PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เปิดบัญชีทรัพย์สิน 28 สนช. ฟ้องศาลปกครอง อู้ฟู่ถ้วนหน้า "นพดล" มีทรัพย์สิน21ล้าน

เปิดบัญชีทรัพย์สิน 28 สนช. ฟ้องศาลปกครอง อู้ฟู่ถ้วนหน้า "นพดล" มีทรัพย์สิน21ล้าน

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีการเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ในกรณีเข้ารับตำแหน่ง
เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 57

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ 28 สนช.ที่ลงชื่อร้องศาลปกครองให้เพิกถอนมติเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อสาธารณะชนของป.ป.ช.นั้น เป็นที่น่าสนใจเป็นพิเศษ
โดยแต่ละคนมีทรัพย์สินดังนี้

1.พล.อ.นพดล อินทปัญญา อดีตเลขานุการ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สมัยดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม มีทรัพย์สิน 21,313,634 บาท เป็นเงินฝากกว่า 9 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นกว่า 5 ล้านบาท ที่ดินกว่า 4ล้านบาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 1.3 ล้านบาท ยานพาหนะ 4 แสนบาท ไม่มีหนี้สิน

2.พ.ต.ท.พงษ์ชัย วราชิต ประธานกรรมการบริษัท ลิเบอร์ตี้ ประกันภัย มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 219,881,974 บาท เป็นที่ดินมูลค่ากว่า 130 ล้านบาท เงินลงทุนกว่า 75 ล้านบาท

3.นายสุธรรม พันธุศักดิ์ เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ วู๊ดแลนด์รีสอร์ทและทิฟฟานี่โชว์พัทยา มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 637,035,072 บาท เป็นเงินลงทุนกว่า 290 ล้านบาท เงินให้กู้ยืมกว่า 98 ล้าน
บาทสิทธิและสัมปทานกว่า 65 ล้านบาท ที่ดินกว่า 43 ล้านบาท ส่วนคู่สมรสถือครองเงินลงทุนมากสุดกว่า 45 ล้านบาท ที่ดินกว่า 23 ล้านบาททรัพย์สินอื่นกว่า 4 ล้านบาท

4.นายสรณ บุญใบชัยพฤกษ์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 143,114,762 บาท เป็นเงินทุนกว่า 29 ล้านบาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 19 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่น
มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท ส่วนคู่สมรสถือครองโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างมากสุดมูลค่ากว่า 61 ล้านบาท ที่ดินกว่า 23 ล้านบาท เงินฝากกว่า 9 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท

5.นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน นักเคลื่อนไหวประชาสังคม เคยเข้าร่วมชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ และ กปปส. มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 94,982,259 บาท เป็นเงินลงทุนกว่า 16 ล้านบาท โรงเรือนและสิ่ง
ปลูกสร้าง10 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่น มูลค่ากว่า 7 ล้านบาท ได้แก่ พระเครื่องและเครื่องประดับหลายรายการ ขณะคู่สมรสมีเงินฝากกว่า 30 ล้านบาท ที่ดินมูลค่าเกือบ 20 ล้านบาท

6.พล.อ.ไพโรจน์ พานิชสมัย อดีตนายทหารคนสนิท (ทส.) พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 388,207,253 บาท เป็นเงินลงทุนกว่า 209 ล้านบาท ที่ดินเกือบ 100 ล้านบาท โรงเรือน
และสิ่งปลูกสร้างกว่า 23 ล้านบาท ส่วนคู่สมรสถือครองโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 30 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นมูลค่า 5 ล้านบาท

7.นายชัชวาล อภิบาลศรี อดีต ส.ว.สรรหา มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 838,463,795 บาท เป็นเงินลงทุนกว่า 380 ล้านบาท ที่ดินมูลค่าเกือบ 300 ล้านบาท เงินฝากกว่า 52 ล้านบาท ส่วนคู่สมรสถือครอง
ที่ดินมากสุดมูลค่า 160 ล้านบาท เงินลงทุนกว่า 24 ล้านบาท

8.พล.ต.อ.พิชิต ควรเตชะคุปต์ อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) สมัย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็น ผบ.ตร. มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 161,882,999 บาท เป็นที่ดินกว่า 15 ล้านบาททรัพย์สินอื่น.มูลค่ากว่า 12 ล้านบาท เงินฝากกว่า 8 ล้านบาท ส่วนคู่สมรสถือครองที่ดินมากสุดกว่า 46 ล้านบาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างกว่า 21 ล้านบาท เงินฝากและเงินลงทุนรวมกว่า 28ล้านบาท

9.นายประมุท สูตะบุตร อดีตผู้อำนวยการ อสมท. คนแรก สายสัมพันธ์เครือญาติคู่สมรสนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 185,535,343 บาทเป็นที่ดินกว่า 80 ล้านบาท เงินฝากกว่า 43 ล้านบาท เงินลงทุนกว่า 42 ล้านบาท ส่วนคู่สมรสถือครองทรัพย์สินอื่น มูลค่ากว่า 4 ล้านบาท เงินฝากกว่า 2 ล้านบาท

10.พล.อ.จิรพงศ์ วรรณรัตน์ อดีตประธานที่ปรึกษากองทัพบก มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 207,551,976 บาท คู่สมรสถือครองที่ดินมากที่สุดมูลค่ากว่า 85 ล้านบาท รองมาเป็นเงินลงทุนกว่า 65 ล้าน
บาท ขณะที่พล.อ.จิรพงศ์ มีทรัพย์สินเป็นเงินลงทุนมากที่สุดกว่า 22 ล้านบาท

11.พล.อ.ไตรรัตน์ รังคะรัตน ผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า เตรียมทหารรุ่นที่ 10 (รุ่นเดียวกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ.และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน59,213,207 บาท เป็นเงินลงทุนกว่า 11 ล้านบาท สิทธิและสัมปทานกว่า 6 ล้านบาท ที่ดินเกือบ 4 ล้านบาท ส่วนคู่สมรสถือครองที่ดินมากสุดกว่า 8 ล้านบาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 8 ล้านบาท

12.นายธำรง ทัศนาญชลี อดีต ส.ว.สรรหา มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 84,125,882 บาท เป็นเงินลงทุนกว่า 59 ล้านบาท ที่ดินกว่า 9 ล้านบาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างกว่า 5 ล้านบาท สิทธิและสัมปทานกว่า 5 ล้านบาท

13.นางสุวิมล ภูมิสิงหราช อดีตเลขาธิการวุฒิสภา มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 59,824,388 บาท เป็นเงินลงทุนกว่า 32 ล้านบาทที่ดินกว่า 5 ล้านบาท สิทธิและสัมปทานกว่า 4 ล้านบาท ส่วนคู่สมรสถือ
ครองที่ดินมากสุดมูลค่ากว่า 13 ล้านบาท

14.พล.อ.ชยุติ สุวรรณมาศ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองบัญการกองทัพไทย มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 295,061,936 บาท มีที่ดินมูลค่าเกือบ 240 ล้านบาท สิทธิและสัมปทานมูลค่ากว่า 140 ล้านบาท เงินฝากว่า 78 ล้านบาท เงินลงทุนกว่า 56 ล้านบาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 10 ล้านบาท ยานพาหนะเกือบ 8 ล้านบาท ส่วนคู่สมรสถือครองเงินฝากมากสุดกว่า 57 ล้านบาท ที่ดิน 40 ล้านบาท เงินลงทุน 25 ล้านบาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 20 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นกว่า 4 ล้านบาท

15.นายศรีศักดิ์ ว่องส่งสาร อดีตกรรมการบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด สมัยนายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 48,298,141 บาท เป็นที่ดินกว่า 28 ล้านบาทโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างกว่า 11 ล้านบาท เงินลงทุนกว่า 4 ล้านบาท ส่วนคู่สมรสถือครองสิทธิและสัมปทานมากสุดกว่า 2 ล้านบาท ที่ดินกว่า 1 ล้านบาท

16.พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีตประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก มีความสนิทสนมกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินกว่า 63,679,323 บาท มียานพาหนะมูลค่ามาก
สุดกว่า 8 ล้าน ที่ดินกว่า 5 ล้าน เงินฝากกว่า 1 ล้าน ส่วนคู่สมรสถือครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรวมกัน 50 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นกว่า 5 ล้านบาท

17.นายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลวุฒิ อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 169,224,509 บาท เป็นเงินฝากกว่า 55 ล้านบาท ที่ดินกว่า 45 ล้านบาท เงินลงทุนกว่า 42 ล้านบาท ส่วนคู่สมรสถือครองที่ดินมากสุดกว่า 5 ล้านบาท เงินลงทุนกว่า 4 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นกว่า 4 ล้านบาท เงินฝากกว่า 3 ล้านบาท

18.พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 263,487,636 บาท เป็นที่ดินกว่า 92 ล้านบาท เงินลงทุนกว่า 26 ล้านบาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 25
ล้านบาทเงินฝากกว่า 18 ล้านบาท ยานพาหนะกว่า 8 ล้านบาท ส่วนคู่สมรสถือครองที่ดินมากสุดกว่า 89 ล้านบาท

19.พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. น้องชาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 136,563,177 บาท เป็นเงินฝากกว่า 32 ล้านบาท เงินลงทุนกว่า 29 ล้านบาท โรงเรือน
และสิ่งปลูกสร้าง 16ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นมูลค่ากว่า 7 ล้านบาท ส่วนคู่สมรสถือครองเงินฝากมากสุดกว่า 25 ล้านบาท เงินลงทุนกว่า 8 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นกว่า 2 ล้านบาท

20.พล.อ.เลิศฤทธิ์ เวชสวรรค์ อดีต ส.ว.สรรหา มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 26,573,780 บาท เป็นที่ดินกว่า 8 ล้านบาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 2 ล้านบาท ยานพาหนะ 1.5 ล้านบาท ส่วนคู่สมรสถือ
ครองเงินฝากและเงินลงทุนรวมกันเกือบ 9 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นกว่า 3 ล้านบาท

21.พล.อ.โสภณ ศีลพิพัฒน์ อดีตเสนาธิการทหารบก มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 32,308,150 บาท เป็นที่ดินกว่า 15 ล้านบาท เงินฝากกว่า 10 ล้านบาท เงินลงทุนกว่า 2 ล้านบาท โรงเรือนและสิ่งปลูก
สร้าง 2 บาทส่วนคู่สมรสถือครองยานพาหนะมูลค่ามากสุดกว่า 2 ล้านบาท

22.พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพานิชย์ นายตำรวจคนสนิท ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ จบเตรียมนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 25 (รุ่นเดียวกับพล.ต.อ.พัชรวาท) มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 204,180,760 บาท เป็นเงิน
ลงทุนกว่า 181 ล้านบาท ที่ดินกว่า 16 ล้านบาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างกว่า 5 ล้านบาท

23.พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 26,813,982 บาท เป็นเงินฝากกว่า 4 ล้านบาท ที่ดินกว่า 2 ล้านบาท ส่วนคู่สมรสถือครองที่ดินมากสุดกว่า 8 ล้าน เงิน
ฝากกว่า 6 ล้านบาททรัพย์สินอื่นกว่า 1 ล้าน

24.พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ อดีต ผบ.หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก (นปอ.) เตรียมทหารรุ่นที่ 12 (รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี) มีทรัพย์สินมากกว่า
หนี้สิน 41,907,918 บาท เป็นเงินฝากกว่า 12 ล้านบาท เงินลงทุนกว่า 8 ล้านบาท ที่ดิน-โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างรวมกันกว่า 6 ล้านบาท ส่วนคู่สมรสถือครองที่ดินมากสุดกว่า 4 ล้านบาท โรงเรือน
และสิ่งปลูกสร้างกว่า 3 ล้านบาท เงินฝากกว่า 1.8 ล้านบาท ยานพาหนะกว่า 1.2 ล้านบาท

25.พล.อ.ยุวนัฏ สุริยกุล ณ อยุธยา อดีต ผบ.กองอัยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เตรียมทหารรุ่นที่ 12 (รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์) มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 340,479,260 บาท เป็น
ทรัพย์สินอื่นมากสุดได้แก่ พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พระจิตลดาและพระเครื่องอื่นๆ กว่า 100 องค์ ทั้งยังมีทองแท่งหนัก 30 บาท นาฬิกาหรูและเครื่องประดับอีกหลายรายการ มูลค่ากว่า 53
ล้านบาท เงินฝากกว่า3.2 ล้านบาท ส่วนคู่สมรสถือครองที่ดินกว่า 158 ล้านบาท เงินฝากกว่า 120 ล้านบาท

26.นายธานี อ่อนละเอียด อดีต ส.ว.สรรหา มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 5,210,776 บาท มีทรัพย์สินอื่น มูลค่ามากกว่า 2 ล้านบาท

27.พล.อ.คณิต สาพิทักษ์ อดีตประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม อดีตแม่ทัพภาคที่ 1 มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 55,798,389 บาท มีที่ดินมูลค่ากว่า 13 ล้านบาท เงินฝากกว่า 8 ล้านบาท โรงเรือน
และสิ่งปลูกสร้างกว่า 4 ล้านบาท ยานพาหนะกว่า 3 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นกว่า 1.12 ล้านบาท ส่วนคู่สมรสถือครองเงินฝากมากสุดกว่า 6 ล้านบาท ที่ดินกว่า 5.6 ล้านบาท ยานพาหนะกว่า 5.4 ล้าน
บาท28.พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 81,959,153 บาท มีที่ดินมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 20 ล้านบาท เงินฝากกว่า
14 ล้านบาทส่วนคู่สมรสมีเงินฝากกว่า 12 ล้านบาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างกว่า 10 ล้านบาท เงินลงทุนกว่า 1.3 ล้านบาท
/////////////////////////
ป.ป.ช. เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จำนวน 195 คน "อิสระ ว่องกุศลกิจ" มีทรัพย์สินมากที่สุดกว่า 5 พันล้านบาท น้อยสุด สมพร เทพสิทธา 1.6 แสนบาท

วันที่ 3 ต.ค.สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้ดำเนินการ เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. จำนวน 195 คน กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2557 โดยพบว่านายอิสระ ว่องกุศลกิจ คู่สมรส และบุตร ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากที่สุด จำนวน 5,239 ล้านบาท โดยเป็นเงินทุนสูงถึง 3,494 ล้านบาท เงินให้กู้ยืม 1,195 ล้านบาท หนี้สิน 13 ล้านบาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 5,225 ล้านบาท

รองลงมา คือ นางพิไลพรรณ สมบัติศิริ มีทรัพย์สิน 1,316 ล้านบาท เป็นที่ดิน 1,197 ล้านบาท หนี้สิน 2 ล้าน 7 แสนบาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 1,313 ล้านบาท พลตำรวจโทจักรทิพย์ ชัยจินดา มีทรัพย์สิน 968 ล้านบาท โดยเป็นทรัพย์สินของคู่สมรสถึง 870 ล้านบาท มีหนี้สิน 6 ล้าน 3 แสนบาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 962 ล้านบาท

นายชัชวาล อภิบาลศรี มีทรัพย์สิน 951 ล้านบาท หนี้สิน 113 ล้านบาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 838 ล้านบาท ขณะที่พลเรือเอกกำธร พุ่มหิรัญ อดีตผบ.ทร. มีทรัพย์สิน 801 ล้านบาท โดยในส่วนนี้
เป็นของคู่สมรส 720 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน

ส่วนผู้ที่มีทรัพย์สินน้อยที่สุด คือนายสมพร เทพสิทธา มีทรัพย์สินเป็นเงินฝาก 1 แสน 6 หมื่นบาท

ทั้งนี้ การเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินครั้งนี้ ต้องมี สนช.ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ตามข้อกำหนดในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต จำนวน

197 คน แต่ปรากฏว่า มีสนช.จำนวน 2 คน ที่ไม่ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สิน คือ นายรัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง

คมนาคม

โผโยกย้ายผู้การกรม ทบ. หลุดว่อนไลน์ทหาร เสนอเปลี่ยนตัว ผู้การกรม หน่วยขุมกำลังรบ ขุมกำลังปฏิวัติใหม่หมด

ฮือฮา โผโยกย้ายผู้การกรม ทบ. หลุดว่อนไลน์ทหาร เสนอเปลี่ยนตัว ผู้การกรม หน่วยขุมกำลังรบ ขุมกำลังปฏิวัติใหม่หมด ทั้งที่เป็นการให้โบนัส และเพื่อกระชับความมั่นใจในอำนาจของ “พลเอก อุดมเดช” ผบ.ทบ.คนใหม่

เอกสารบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับพันเอกพิเศษ หรือที่เรียกว่า โผผู้บังคับการกรม หน่วยคุมกำลังของทบ.ถูกเผยแพร่และส่งต่อ กันระนาว ในไลน์ของนายทหารกันอย่างกว้างขวาง จนส่งผลให้เกิดความวิตกหวั่นไหว เนื่องจากเป็นการปรับเปลี่ยนขุมกำลังสำคัญ ที่เรียกว่า หน่วยปฏิวัติทั้งหมด พร้อมกัน เนื่องจากนายทหารหลายคนถูกโยกย้ายอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวแต่ก็ยังไม่มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ

แต่มีรายงานว่า เป็นการจัดทัพในส่วนขุมกำลังรบหน่วยปฏิวัติใหม่ ทั้งเพื่อเป็นการตอบแทน นายทหารที่ช่วยดูแลความสงบเรียบร้อย และการรัฐประหารที่ผ่านมา ก็ขยับในตำแหน่งสูงขึ้น แม้อาจไม่ได้คุมกำลัง ขณะที่ บางตำแหน่ง ก็ถูกขยับออก เพื่อสร้างความมั่นใจ ของ พลเอก อุดมเดช ผบ.ทบ. ในการกระชับอำนาจทั้งหมด

แม้ว่า ผบ.หน่วยกำลังรบที่ขึ้นมาใหม่ จะเป็นสายอำนาจเดิมของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตผบ.ทบ. และ นายกรัฐมนตรี รวมทั้ง พลเอก อุดมเดช เองก็ตาม
ที่น่าสังเกตคือ เป็นรายชื่อที่หลุดออกมา ในส่วนของ พล.๑รอ. และ พล.ร.2รอ.

โดยมีรายงานว่า คำสั่งดังกล่าว เป็น รายชื่อ ในส่วนที่ พลเอก ธีรชัย นาควานิช ผช.ผบ.ทบ. ที่ได้เสนอต่อคณะกรรมการของ ทบ. ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ เขายังเป็น แม่ทัพภาค 1 นั่นเอง

โดยน่าสนใจว่า รายชื่อที่หลุดออกมานั้น เป็นในส่วนการโยกย้ายของ กองพลที่1 รักษาพระองค์(พล.1รอ.) กองพลปฏิวัติ หน่วยคุมกำลังสำคัญของ กองทัพภาค1 และกองทัพบก และในส่วนของ กองพลทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์ (พล.ร.๒รอ.) หรือหน่วยบูรพาพยัคฆ์

โดยมีรายงานว่า ในรายชื่อที่เสนอให้บอร์ดของ ทบ. พิจารณา นั้น มีการเปลี่ยนตัว ผู้บังคับการกรมสำคัญทั้งหมด เช่น การขยับ พันเอก เอกรัตน์ ช้างแก้ว ผู้บังตับการกรมทหารราบที่๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ผบ.ร.๑รอ.) (เตรียมทหารรุ่น๒๓) ขึ้นเป็น รองผู้บัญชาการกองพลที่๑ รักษาพระองค์( รองผบ.พล.๑รอ.) โดยมี พันเอก อาสาศึก ขันติรัตน์ (ตท.๒๗) นายทหารฝ่ายเสนาธิการของ พลเอก ธีรชัย มาเป็น ผบ.ร.๑รอ. แทน ที่ถือว่าเป็นการ “ให้โบนัส” แก่นายทหารที่ร่วมดูแลความสงบเรียบร้อย ในช่วงการชุมนุม จนถึงการรัฐประหาร

เช่นเดียวกับที่ มีการเสนอย้าย พันเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี (เตรียมทหาร ๒๔) ผบ.ร.๑๑รอ. ที่เป็นตำแหน่งนี้มา 3ปีครึ่ง ขึ้นเป็น รองผบ.พล.๑รอ. ซึ่งก็ถือว่า สูงขึ้น แต่ทว่า ก็ไม่ได้คุมกำลัง

ทั้งนี้มีการมองว่า เพราะ พันเอก ทรงวิทย์ เป็นนายทหารที่มีผลงานในการรักษาความสงบเรียบร้อย ทั้งที่ รามคำแหง และสี่แยกหลักสี่ ในช่วงการชุมนุม

ที่ฮือฮาคือ การเสนอแต่งตั้ง เสธ.โต พันเอก สุชาติ พรมใหม่ นายทหารฝ่ายเสนาธิการ น้องรัก มือขวา ของ พลเอก อุดมเดช แกนนำตท.๒๗ มาเป็น ผบ.ร.๑๑รอ. คุมกำลังรบนี้แทน เพื่อความมั่นใจในการคุมกำลัง

นอกจากนี้ ยังมีการเสนอเปลี่ยนตัว ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ ๓๑ รักษาพระองค์ (ผบ.ร.๓๑รอ.) หน่วยกำลังรบหลักอีกหน่วย ซึ่งเป็นกำลังรบที่มีขีดความสามารถ ในฐานะหน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็วของ ทบ.RDF โดยเสนอย้าย พันเอก กัณฑชัย ประจวบอารีย์ ผบ.ร.๓๑รอ. ซึ่งถูกนายทหารในหน่วย ไปร้องเรียนที่ทำเนียบรัฐบาล เรื่องการไม่ดูแลลูกน้อง ถูกโยกย้ายไปเป็น เสนาธิการมณฑลทหารบกที่ ๑๓ (เสธ.มทบ.๑๓) ที่ลพบุรี นั่นเอง ทั้งๆที่เขา เพิ่งเป็น ผบ.ร.๓๑รอ. มาได้แค่ ๑ปีเท่านั้น ตามปกติแล้ว การเป็นผู้บังคับการกรม มักจะเป็นกน คนละ ๒-๓ ปี

โดยในรายชื่อ นั้น มีชื่อของ พันเอก พงษ์ศักดิ์ เอี่ยมพญา นายทหารเสือราชินี จากรองผบ.ร.๒๑รอ. มาเป็น ผบ.ร.๓๑ รอ. เลย โดย พันเอก พงศ์ศักดิ์ เป็นหนึ่งในนายทหารระดับผบ.หน่วยหลายสิบคน ที่ถูกกองกำลังชายชุดดำยิงถล่มโจมตี ที่ถนนดินสอ ในช่วงกระชับพื้นที่คนเสื้อแดง เมื่อ ๑๐ เม.ย.๒๕๕๓ ที่ผ่านมาด้วย

แต่มีรายงานว่า ตำแหน่งนี้ อาจจะไม่เป็นไปตามที่เสนอมา. หรือ ที่สุดอาจไม่มีการเปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้ ในโผรายชื่อดังกล่าว ยังมีการเสนอย้าย พันเอก นฤดล ท้าวฤทธิ์ (ตท.๒๔) ผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ที่๑รักษาพระองค์( ผบ.ป.๑รอ.) เป็น เสธ.มณฑลทหารบกที่ ๑๓ และให้ พันเอก คชาชาติ บุญดี มา(ตท.๒๗) เป็น ผบ.ป.๑ รอ. ซึ่งเป็นหน่วยขึ้นตรงของ พล.๑รอ. แทน

รวมทั้ง การย้าย พันเอก เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ ๒๑รักษาพระองค์ (ผบ.ร.๒๑รอ.) หน่วยทหารเสือราชินี ซึ่งเป็น เตรียมทหาร ๒๓ ให้โบนัส ขึ้นเป็น รองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่๒รักษาพระองค์ (รองผบ.พล.ร.๒รอ.) แล้วให้ พันเอก วรยุทธ์ แก้ววิบูลย์พันธุ์ (ตท.๒๔) ขึ้นมาเป็น ผบ.ร.๒๑รอ. แทน

แต่อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ได้มีการประชุมพิจารณา รายชื่อที่เสนอมาแล้ว มีการปรับเปลี่ยนในบางตำแหน่ง ไม่ได้เป็นไปตามที่เสนอมาทั้งหมด แต่ก็เป็นไปตามที่เสนอมาเป็นส่วนใหญ่
โดยต้องรอคำสั่งอย่างเป็นทางการ อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งอาจไม่ตรงตามนึ้ทั้งหมด

สถานการณ์ข่าว3ต.ค.57

นายกฯ เป็น ปธ. ตักบาตรพระสงฆ์ 150 รูป อุทิศถวายแด่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมด้วย นางนราพร จันทร์โอชา ภริยา ร่วมเป็นประธานการทำบุญตักบาตรพระสงฆ์สามเณร จำนวน 150 รูป อุทิศถวายเป็นพระกุศลแด่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เนื่องในโอกาสคล้ายวันประสูติเป็นปีที่ 101 วันที่ 3 ตุลาคม และครบรอบ 1 ปี แห่งการสิ้นพระชนม์ บริเวณถนนพระสุเมรุ ด้านหน้าวัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดย นายกรัฐมนตรี ได้วางพวงมาลาในนามพุทธศาสนิกชนชาวไทย น้อมสำนึกในพระเมตตาคุณและพระกรุณาคุณ จากนั้น เข้าถวายสักการะพระศพ และถวายสักการะ สมเด็จพระวันรัต รักษาการเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร ก่อนจะเดินทางชมนิทรรศการพระประวัติ

ทั้งนี้ บรรยากาศภายในงานมีทั้งคณะรัฐมนตรีผู้บัญชาการเหล่าทัพ รวมถึงหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมด้วย
----
นายกรัฐมนตรี เผย ได้รับรายงานจับผู้ต้องสงสัยคดีฆ่านักท่องเที่ยวเกาะเต่า เบื้องต้นแล้ว ขณะรายชื่อ สปช. รอโปรดเกล้าฯ 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินทางออกจากวัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหารแล้ว ภายหลังร่วมเป็นประธานการทำบุญตักบาตรพระ
สงฆ์สามเณร เนื่องในโอกาสคล้ายวันประสูติเป็นปีที่ 101 วันที่ 3 ตุลาคม และครบรอบ 1 ปี แห่งการสิ้นพระชนม์ ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยได้ตรวจเยี่ยมโครงการก่อสร้างอาคาร 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จากนั้นเข้าชมนิทรรศการสัมพัจฉรานุสรณ์

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ารับรายงานเบื้องต้นกรณีจับกุมผู้ต้องสงสัยที่ก่อเหตุฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี แล้ว ส่วนการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมรายชื่อสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ขอให้รอก่อน
------------
ขรก.ทำเนียบ ทยอยเข้าปฏิบัติงาน จนท. เข้มคนเข้า-ออก ขณะ "พล.อ.ประยุทธ์" นั่งหัวโต๊ะประชุมบีโอไอ ช่วงบ่าย

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาลในช่วงเช้าวันนี้ ยังเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย การรักษาความปลอดภัยยังเป็นไปด้วยความเข้มงวด มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำอยู่บริเวณจุดตรวจทางเข้า-ออก และเดินตรวจตรารักษาความปลอดภัยโดยรอบทำเนียบรัฐบาล ขณะที่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ยังคงทยอยเดินทางมาทำงานตามปกติ

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ในเวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล
-------------
"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร" เผย บอร์ดบีโอไอ อนุมัติโครงการ 18 โครงการ 80,000 ล้านบาท มั่นใจนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเหมือนเดิม

หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ว่า ที่ประชุมมีมติอนุมัติโครงการ 18 โครงการ จำนวน 80,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการ Eco car ซึ่งเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางในการผลิต

นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดส่งเสริมการลงทุนแบบเจาะตามโครงการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมทั่วไปในประเทศลดลง โดยจะใช้เวลา 3 สัปดาห์ ในการรวบรวมข้อมูลก่อนเสนอให้นายกรัฐมนตรี รวมถึงส่งเสริมการลงทุนไปยังต่างประเทศ เนื่องจากไทยเตรียมขยายฐานการผลิตในต่างประเทศ เพื่อให้แข่งขันกับตลาดโลก ส่วนในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะยางพารา นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้ดำเนินการเปิดนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ เพื่อผลิตยางพาราใช้ภายในประเทศ พร้อมดึงนักลงทุนต่างชาติเข้าร่วมลงทุน

ทั้งนี้ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร ยังกล่าวถึงภาพรวมการท่องเที่ยวในประเทศไทย จากเดิมมีนักท่องเที่ยวเฉลี่ยเดือนละ 2.3 ล้านคน และลดลงเรื่อย ๆ จากผลกระทบทางการเมือง จนกระทั่งเดือนกรกฎาคมมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นและเชื่อว่าสิ้นปีนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาเฉลี่ยที่ 2.3 ล้านคนเช่นเดิม
--------------
หม่อมอุ๋ย ย้ำ ให้เงินชาวนาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่ประชานิยม เพราะไม่จำเป็นต้องหาเสียงกับใคร

หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า การอนุมัติงบประมานเพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรชาวนานั้น ไม่ได้เป็นนโยบายประชานิยม เพราะตนไม่ต้องหาเสียงกับใคร แต่เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ให้กับผู้มีรายได้น้อยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศเร็วกว่าการจ้างงานที่ต้องใช้เวลา

โดยการอนุมัติงบให้กับชาวนานั้น จะให้เฉพาะโครงการนาปี 57/58 เท่านั้น เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยจะไม่มีงบประมานสำหรับโครงการนาปรัง 58ในขณะที่การพิจารณายกเลิกกฎอัยการศึกในพื้นที่ท่องเที่ยว ขึ้นอยู่กับฝ่ายความมั่นคงจะพิจารณาตามความเหมาะสม
-------------
รมว.พลังงาน เผย นายกฯ เตรียมเจรจาความร่วมมือพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้าน เริ่ม เมียนมาร์ 9-10 ต.ค.นี้ พร้อมตั้งคณะทำงานร่วม

นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การเดินทางไปยังประเทศเมียนมาร์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 9 - 10 ต.ค.นี้ จะเป็นการหารือถึงความร่วมมือด้านพลังงาน โดยเฉพาะเรื่องพัฒนาศักยภาพการผลิตกระแสไฟฟ้าที่ปัจจุบันเมียนมาร์ มีกำลังผลิตรวมเพียง 4,000 เมกะวัตต์ ขณะที่ทางไทยสามารถผลิตได้กว่า 30,000 เมกะวัตต์ ซึ่งกระแสไฟฟ้าที่เหลือจากความต้องการใช้ในเมียนมาร์ จะส่งกลับมาใช้ในไทย นับเป็นการได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย โดยตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ไทยซื้อก๊าซจากเมียนมาร์ เพื่อนำมาผลิตกระแสไฟฟ้ามีมูลค่าสูงถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยต้องเผชิญความเสี่ยงทุกครั้งที่เมียนมาร์ปิดซ่อมบำรุงท่อส่งก๊าซ นอกจากนี้ เมียนมาร์ ยังต้องการให้ไทยช่วยเหลือพัฒนาระบบจำหน่ายน้ำมัน และการตั้งโรงกลั่นน้ำมัน เนื่องจากไทยมีหน่วยงานที่มีศักยภาพเช่น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี ขณะที่ความร่วมมือกับประเทศกัมพูชา จะมีการตั้งคณะทำงานด้านพลังงาน ร่วมกันระหว่างกระทรวงพลังงานของไทยและกัมพูชา เพื่อพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในทะเล รวมถึงการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลให้แล้วเสร็จ

นอกจากนี้ นายณรงค์ชัย กล่าวว่า ในเดือนนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. ชุดที่จะทำงานภายใต้การบริหารงานของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เพื่อทบทวนเรื่องการปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบให้มีความชัดเจนต่อไป
-------------
"ทนง" มองมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น รบ. ไม่ช่วยเศรษฐกิจขยายตัวมาก ขณะ เรื่องประชานิยมอยู่ที่มุมมอง  

นายทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยผ่าน รายการ ไอ.เอ็น.เอ็น. โฟกัสเศรษฐกิจ ว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลระยะสั้น ช่วง 3 เดือนนั้น มองว่าไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยขยายตัวมากนัก ซึ่งปัจจัยที่ช่วยผลักดัน ได้แก่ ภาคการส่งออก ที่ปัจจุบันมีแนวโน้มขยายตัวที่ลดลง ดังนั้นจึงต้องหาวิธีเพิ่มความสามารถการแข่งขันสินค้าไทย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการหลายรายต้องประสบปัญหาล้มละลายจากค่าแรงขั้นต่ำที่ถูกปรับขึ้นเป็น 300 บาทต่อวัน

นอกจากนี้ มาตรการจ่ายเงินอุดหนุนให้ชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท แต่ไม่เกิน 15 ไร่นั้น ส่วนตัวมีความเป็นห่วงชาวนาทางภาคอีสานมากกว่า เนื่องจากมีปัจจัยการผลิตที่ไม่เอื้อเหมือนภาคกลางที่สามารถปลูกข้าวได้ปีละ 2-3 ครั้ง

ขณะที่นโยบายต่าง ๆ ที่ออกมาจะเป็นประชานิยมหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละบุคคลมากกว่า
////////////////
สภาพร้อมรับ สปช.รายงานตัว

"จเร" ยัน สนง.เลขาธิการสภาฯ พร้อมรับ สปช. รายงานตัว ขณะประชุมนัดแรกเลือก ปธ. - รอง พร้อมกำหนดกรอบงาน

นายจเร พันธุ์เปรื่อง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า สภาผู้แทนราษฎร ในฐานะสำนักงานเลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้เตรียมความพร้อมด้านสถานที่รับรายงานตัวของ สมาชิก
สปช. ซึ่งตามขั้นตอนหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ก็จะเปิดให้รายงานตัวในวันรุ่งขึ้น โดยจะเปิดให้รายงานตัว 5 วัน จากนั้น จะเป็นการประชุมนัดแรก โดยมีวาระการพิจารณาเลือกประธาน และรองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ พร้อมหารือกำหนดกรอบการทำงานของ สปช.

อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวจะต้องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายรัฐสภา หรือ กร. เพื่อให้เกิดความชัดเจนซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 1-2 เดือน จะทราบผล
------------
"สุรชัย" คาด ป.ป.ช. ส่งเรื่องถอดถอนถึง สนช. สัปดาห์หน้า ขอเชื่อมั่นการทำงาน ยึดหลัก กม. ยัน ไม่ก้าวก่าย

นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 1 กล่าวว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยังไม่ได้ส่งเรื่องถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกลับมาที่ สนช. คาดว่าทาง ป.ป.ช. จะส่งเรื่องมาในสัปดาห์หน้าและไม่ถือเป็นการล่าช้าเพราะเป็นเรื่องของระบบการทำงานของ ป.ป.ช. ซึ่งจะต้องจัดทำรายงานก่อน หากเรื่องมาถึง สนช. ก็จะนำเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาทันทีว่าสำนวนคดีนั้นเข้าค่ายความผิดหรือไม่ ซึ่งจะพิจารณาด้วยความยุติธรรมตามหลักกฎหมาย โดยจะพิจารณาเป็นรายกรณี

อย่างไรก็ตาม นายสุรชัย ขอให้เชื่อมั่นการทำงานของสภาเพราะในการพิจารณาถอดถอนนั้นการทำงานเป็นขั้นตอน และ สนช. จะยึดตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญและไม่ก้าวก่ายในส่วนงานของ ป.ป.ช. อย่างเด็ดขาด

//////////////
"พล.อ.อุดมเดช" พร้อม "พล.อ.ประวิตร" ลงชายแดนใต้ มอนนโยบาย เยี่ยมกำลังพล ยัน จับคนฆ่าฝรั่งไม่จัดฉาก 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรได้เดินทางด้วยเครื่องบินของกองทัพบกไทย จากฝูงเครื่องบินกองการบิน กรมการขนส่งทหารบก เพื่อเดินทางไปยังจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อมอบนโยบายและเยี่ยมให้กำลังใจกับกำลังพลและประชาชนในพื้นที่

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงทีมพูดคุยสันติภาพชายแดนใต้ว่า ในขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน ต้องรอให้มีการประชุมอีกครั้ง ส่วนกรณีการฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี นั้นยืนยันไม่ใช่การจัดฉากหรือการจับแพะแต่อย่างใด
-------------
"พล.ท.กัมปนาท" ปรับลดกำลังพล เพิ่มชุดมวลชนสร้างความเข้าใจ ปชช. ขณะ หากมีคำสั่งเลิกอัยการศึก พร้อมปฏิบัติ

พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กล่าวภายหลังการเป็นประธานในการอบรมแนวทางการปฏิบัติงานด้านกิจการพลเรือนให้กับเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการมวลชนกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยกองทัพภาคที่ 1 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ว่า ขณะนี้ได้เข้าสู่โรดแมปในระยะที่ 2 จึงได้มีการลดบทบาทและกำลังพลเจ้าหน้าที่ทหาร รวมถึงเป็นการลดค่าใช้จ่ายเพื่อนำงบประมาณมาบริหารประเทศในด้านต่าง ๆ วันนี้ จึงได้มีการจัดอบรมชุดปฏิบัติการมวลชน เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงชี้แจงการทำงานของ คสช. และรัฐบาล เช่น การชี้แจงกรณีนโยบายมอบเงินให้ชาวนา ไร่ละ 1 พันบาท โดยชุดปฏิบัติการดังกล่าวจะทำงานควบคู่ไปกับสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และมีการประเมินผลงาน 3 เดือน

ส่วนยกเลิกกฎอัยการศึกนั้น ขณะนี้ กำลังอยู่ในขั้นการประเมินสถานการณ์ในทุกมิติ ซึ่งหากมีคำสั่งมานั้นทางกองทัพภาคที่ 1 ก็พร้อมปฏิบัติตาม

นอกจากนี้ พล.ท.กัมปนาท กล่าวว่า ได้ชี้แจงบัญชีทั้งหมดกับ ป.ป.ช. แล้ว และทรัพย์สินทั้งหมดเป็นมรดกซึ่งไม่ได้มีสิ่งใดเพิ่มเติม
/////////////
ป.ป.ช. เปิดแสดงบัญชีทรัพย์สิน 195 สนช. ให้ติดตามตรวจสอบวันแรก ขณะ จนท. ทยอยปฏิบัติงานต่อเนื่อง

บรรยายกาศสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในช่วงเช้าวันนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย พนักงานและเจ้าหน้าที่ทยอยเดินทางเข้ามาปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัย มีเจ้าหน้าที่ยืนประจำตามจุดต่าง ๆ คอยดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด

ขณะที่ ในวันนี้จะมีการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จำนวน 195 คน ที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา ที่ห้องแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตั้งแต่เวลา 08.30 น.

อย่างไรก็ตาม การแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของสมาชิก สนช.นี้ มีขึ้นตั้งแต่วันที่ 3 - 17 ต.ค. บุคคลทั่วไปสามารถเข้าติดตามตรวจสอบได้
-----------
ป.ป.ช. เผย "รัชตะ - อาคม" ยังไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน หลังลาออก สนช. ร่วม ครม. ขณะ รมต. แสดงแล้ว 26 คน

นายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการกรรมดารป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ว่า มีสมาชิกยื่นแสดงบัญชีทรัพย์และหนี้สิน 195 คน จากทั้งหมด 197 คน ซึ่งผู้ที่ไม่ยื่นคือ น.พ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ลาออกไปรับตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี

ทั้งนี้ ทาง ป.ป.ช. ได้ส่งหนังสือถึงทั้ง 2 คน ให้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. พร้อมทั้งชี้แจงถึงสาเหตุที่ไม่ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินตามกำหนด เพื่อพิจารณาดูขัดต่อข้อกฎหมายหรือไม่

โดยทั้ง 2 คน ยังคงต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินในตำแหน่งรัฐมนตรีด้วย ซึ่งจนถึงขณะนี้คณะรัฐมนตรียื่นแสดงบัญชีทรัพย์แล้ว 26 คน เหลืออีก 7 คน ซึ่งคาดว่าจะครบภายในวันนี้ และสามารถแสดงรายการได้ในช่วงปลายเดือนตุลาคม นี้

อย่างไรก็ตาม ทาง ป.ป.ช. จะเก็บรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินไว้ เพื่อเปรียบเทียบกับรายการบัญชีทรัพย์ภายหลังจากที่พ้นจากตำแหน่ง หากพบว่ามีเจตนาแจ้งเอกสารเท็จ ทาง ป.ป.ช. จะส่งเรื่องไปยังศาลฎีกา แผนกคดีอาญา ซึ่งมีโทษสูงสุดคือ ตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี
------------------
ป.ป.ช. เปิดบัญชีทรัพย์สิน สนช. "อิสระ" รวยสุด 5,225 ล. ขณะ "จักรทิพย์" 962 ล. "พรเพชร" 48 ล. "นพดล" 21 ล.

สรุปรายการทรัพย์สินและหนี้สินของสมาชิกนิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) 197 คน ที่เข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 8 ต.ค. โดยสมาชิก ที่มีทรัพย์สินมาก 3 อันดับแรก คือ

1. นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าไทย มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 5,225,733,163.03 บาท
2. นางพิไลพรรณ สมบัติศิริ ประธานกรรมการ บริษัท โรงแรมปาร์คนายเลิศ จำกัด มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 1,313,781,715.39 บาท
3. พลตำรวจโทจักรทิพย์ ชัยจินดา รักษาการรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 962,067,522.93 บาท

ส่วน นายสมพร เทพสิทธา อดีตประธานคณะทำงานการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เป็นสมาชิกที่มีทรัพย์สินน้อยที่สุด คือ 160,735.46 บาท โดยไม่มีหนี้สิน

ขณะที่ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 48,536,225.25 บาท นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. คนที่ 1 มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 177,134,015.43 บาท และ พล.อ.นพดล อินทปัญญา มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 21,313,634.94 บาท
---------------------
"วัชระ" แถลง ขอ ป.ป.ช. ตรวจสอบการทำงาน อดุลย์ สมัยนั่ง ผบ.ตร. หลังไม่ถอดยศ "ทักษิณ" หากไม่คืบ จ่อยื่นนายกฯ 

นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวที่การพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า ต้องการให้ตรวจสอบการทำงานของ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในขณะดำรงแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กรณีไม่ดำเนินการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ทั้งนี้ หากไม่มีความคืบหน้า นายวัชระ จะเดินทางไปยื่นหนังสือแก่ พล.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในสัปดาห์หน้าต่อไป

อย่างไรก็ตาม ขอสนับสนุนการทำงานและเชื่อมั่นในการทำงานของนายกรัฐมนตรี
----------------
"วัชระ" ยืนหนังสือ ป.ป.ช. ตรวจสอบ "พล.ต.อ.อดุลย์" แล้ว หนุน นายกฯ แก้ปัญหาประเทศสำเร็จ

วันนี้ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายวัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางมายื่นหนังสือถึง คณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ดำเนินการชี้มูลความผิดคดีอาญาและเอาผิดทางวินัยตำรวจกับ พล.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จากกรณีไม่ดำเนินการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 2 ปี และเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดีอาญาร้ายแรงถึง 5 คดี แต่ พล.ต.อ.อดุลย์ ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ นายวัชระ กล่าวว่า การเดินทางมายื่นครั้งนี้ไม่ได้แปลว่า ไม่สนับสนุนรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แต่สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ ดำเนินการแก้ไขปัญหาของประเทศได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม สัปดาห์หน้าจะเดินทางไปยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.อ.ประยุทธ์ ต่อไป
-/////////////////
รรท.ผบช.ภ.8 เผย ผลตรวจดีเอ็นเอ 2 พม่า ฆ่าแหม่มอังกฤษตรงกับอสุจิทั้งคู่ ขอศาลหมายจับ ก่อน ผบ.ตร. แถลงและนำตัวทำแผนทันทีวันนี้

พล.ต.ต.เดชา บุตรน้ำเพชร รรท.ผบช.ภ.8 เปิดเผย สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า ความคืบหน้า การรวบรวมพยานหลักฐาน เอาผิด 2 แรงงานต่างด้าวชาวพม่า 2 คน ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฆ่าข่มขืนโหด 2 นักท่องที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่า ล่าสุดผลตรวจดีเอ็นเอ ออกมาแล้ว ปรากฏว่าตรงกับอสุจิที่พบในตัวผู้ตาย ซึ่งทาง พงส.ได้นำเอกสารเพื่อไปขอหมายศาลสมุยอนุมัติออกหมายจับทั้ง 2 คน ทันทีที่ศาลเปิดทำการในวันนี้ (3 ต.ค.) ก่อนที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ที่เดินทางลงพื้นที่ เกาะเต่า เมื่อคืนวานนี้จะทำการแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 รายนี้อีกครั้ง ที่ สภ.ย่อยเกาะเต่า จากนั้น ตร.จะนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ณ จุดเกิดเหตุทันที

นอกจากนี้ การควบคุมตัว ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ที่ สภ.ย่อยเกาะเต่า เป็นไปด้วยความเข้มงวด เนื่องจากเป็นคดีสำคัญระดับประเทศคดีหนึ่ง
--------------
รรท.ผบช.ภ.8 เผย ผบ.ตร. สั่งเร่งสรุปสำนวน 2 พม่า สั่งห้องส่งอัยการภายในวันอังคารที่จะถึงนี้ หลังนำตัวทำแผนแล้ว

พล.ต.ต.เดชา บุตรน้ำเพชร รรท.ผบช.ภ.8 เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้นำตัว 2 ผู้ต้องหาชาวพม่า ที่ก่อเหตุฆ่าข่มขืน 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ บนเกาะเต่า ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ณ จุดเกิดหตุแล้ว โดยมีประชาชนที่สนใจมามงดูจำนวนมาก โดยมีตร.ควบคุมฝูงชน 2 กองร้อย ดูแลความเรียบร้อย และทาง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พงส.ในคดีนี้ เร่งสรุปสำนวนทั้งหมด เพื่อส่งอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องต่อไป ในวันอังคารที่ 9 ต.ค. นี้ เพราะเนื่องจากเป็นคดีสำคัญ
-----------------
ผบ.ตร. แถลงผลการจับกุม คนร้ายชาวพม่า 2 คน ที่ลงมือฆ่า 2 นักท่องเที่ยว ชาวอังกฤษที่ เกาะเต่า

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. พร้อมทั้งชุบสืบสวนกลาง ชุดสอบสวนภูเก็ต ตร.สภ.เกาะพะงัน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง แถลงผลการจับกุม นายเวพิว หรือ วิน (ไม่ทราบนามสกุล) อายุ 21 ปี และ นายซอลิน หรือ โซเรน อายุ 21 ปี (ไม่ทราบนามสกุล) สัญชาติเมียนมาร์ (ยะไข่) ผู้ต้องหาก่อเหตุฆ่าตกรรม นายเดวิด วิลเลียม อายุ 24 ปี และ น.ส.ฮันนาห์ วิคตอเรีย วิทเธอริดจ์ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ที่เสียชีวิตตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา บริเวณหาดทรายรี ต.เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมทำแผนประกอบคำรับสารภาพตรงจุดเกิดเหตุ จากการสืบสวนทราบว่าวันเกิดเหตุขณะผู้เสียชีวิตทั้ง 2 เดินเล่นอยู่บริเวณหาดทรายรี ผู้ต้องหาได้ใช้จอบฟาดเข้าที่ต้นคอของ นายเดวิด จนหมดสติ จากนั้นจึงช่วยกันลาก น.ส.ฮันนาห์ ไปรุมข่มขืน และใช้จอบอันเดิมฟาดเข้าที่หน้าหลายครั้งจนเสียชีวิต แล้วลาก นายเดวิด ไปโยนทิ้งน้ำก่อนแยกย้ายกันหลบหนี

เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจสอบจากวัตถุพยาน หลักฐานในที่เกิดเหตุ รวมทั้งกล้องบริเวณจุดเกิด จนสามารถรู้ตัวคนร้ายก่อนเข้าจับกุมตัวในวันที่ 2 ต.ค.ที่ผ่านมา พร้อมตั้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา โดยร่วมกระทำความผิดเป็นลักษณะโทรมหญิง จนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย และร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ผู้ต้องหาทั้ง2 ให้การรับสารภาพว่าเป็นคนก่อเหตุจริง ด้านโทรศัพท์ที่เอาไปนั้นใช้งานไม่ได้จึงทุบแล้วโยนทิ้งป่าหลังห้อง นายวิน จนมาถูกจับกุมได้
---------------------
รรท.ผบช.พฐ. เผยผลตรวจดีเอ็นเอ 3 พม่า ตรงกับอสุจิแหม่มอังกฤษจริง ส่งผลตรวจให้ พงส. ไปแล้ว

พล.ต.ท.มนู เมฆหมอก รรท.ผบช.สพฐ.ตร. เปิดเผยถึง ผลการตรวจดีเอ็นเอเปรียบเทียบของผู้ต้องสงสัยชาวพม่า 3 รายที่ฆ่านักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ที่เกาะเต่า ว่า ยืนยันผลการตรวจพบว่า ดีเอ็นเอ 2

รายตรงกับดีเอ็นเออสุจิที่พบในช่องคลอดของผู้ตาย ส่วนอีก 1 รายดีเอ็นเอ ตรงกับก้นบุหรี่ที่เก็บได้ในที่เกิดเหตุ ซึ่งได้ส่งผลการตรวจให้พนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป