PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ยิ่งลักษณ์ควงประยุทธ์ ลงพื้นที่น้ำท่วมแปดริ้ว

(15ต.ค.56)น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เดินทางตรวจน้ำท่วมบริเวณเทศบาลตำบลปากน้ำ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา พบปะประชาชนที่ประสบอุทกภัยพร้อมแจกถุงยังชีพแก่ผู้ประสบอุทกภั











อลงกรณ์ พลบุตร สงบรอยร้าว"ปฏิรูป ปชป." เดิมพันสูง"ชนะเลือกตั้ง"

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 09:25:26 น.
 
สัมภาษณ์พิเศษ โดย บุษยา แก้วกำพล

หมายเหตุ - นายอลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และรองหัวหน้า ปชป. ให้สัมภาษณ์พิเศษ "มติชน" ถึงแนวทางการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ ภายหลังการประชุมกับคณะกรรมการบริหารพรรคครั้งล่าสุด รวมทั้งกระแสข่าวการตั้งพรรคทางเลือกที่สามหากการปฏิรูปพรรคไม่สำเร็จ

กรณีข่าวว่ามีกลุ่มเอกชนชวนให้ไปตั้งพรรคทางเลือกที่สาม

ความจริงมีมากกว่า 1 กลุ่มที่มาพูดคุยเรื่องการตั้งพรรคทางเลือกที่สาม ก็ได้ปฏิเสธไป เพราะยังเชื่อมั่นว่าพรรคประชาธิปัตย์จะสามารถปฏิรูปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาการเมืองในระบบพรรค

โอกาสของการเกิดพรรคทางเลือกที่สามจะสามารถเกิดขึ้นได้ แต่จะยังไม่สามารถก้าวสู่พรรคที่ได้เสียงข้างมากไปได้ แต่ก็ถือว่าเป็นความตั้งใจที่ดี เจตนาที่พร้อมกันเป็นแนวร่วม ซึ่งได้ให้คำแนะนำแลกเปลี่ยนกันหลายประการ แต่ในที่สุดเราก็พูดกันเล่นๆ ว่าแทนที่จะเป็นเขามาชวนผมไปตั้งพรรค แต่กลับกลายเป็นว่าผมชวนเขามาช่วยกันปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์เอง

ยืนยันว่ายังคงอยู่กับประชาธิปัตย์ไม่ไปไหน

จริงๆ ไม่เคยมีความคิดที่จะออกจาก ปชป.เลย เพราะว่าอยู่มา 22 ปี และเป็นคณะกรรมการบริหารพรรคและเป็นรองหัวหน้าพรรค หน้าที่ผมคือผลักดันการปฏิรูปให้เกิดขึ้นจริง ให้ประชาธิปัตย์เป็นทางเลือกที่ดี และสามารถนำไปสู่ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปประเทศไทย ตรงนั้นคือความตั้งใจ แต่ก็ขอบคุณที่เชื้อเชิญ ยืนยันอยู่กับประชาธิปัตย์ เพราะภารกิจยังไม่เสร็จสิ้น

หากภารกิจปฏิรูปไม่เป็นไปตามที่ต้องการพรรคทางเลือกที่สามยังเป็นไปได้หรือไม่

โอกาสของความสำเร็จในการปฏิรูปยังมีอยู่ ขณะนี้คณะกรรมการบริหาร เห็นด้วยกับการปฏิรูป ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารได้เห็นชอบโครงสร้างปฏิรูปของพรรค ซึ่งถือว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญ โดยที่สัปดาห์หน้าจะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารอีก ซึ่งเป็นการประชุมในเรื่องของโครงสร้างการบริหารและการจัดการวัฒนธรรมองค์กร เพื่อให้ครบองค์ประกอบในการปฏิรูปพรรคแบบองค์รวม

ภาพที่ออกมาเหมือนมีการให้อำนาจหัวหน้าพรรคมากขึ้นแทนที่สมาชิกพรรคจะได้เข้าไปมีส่วนร่วม

คงเป็นความเข้าใจผิดในการตีความมากกว่า ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าดูกันเพียงบางประเด็น แต่จริงๆ แล้วโครงสร้างตามมติถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยที่การปฏิรูปโครงสร้างดังกล่าวได้มีการออกแบบในองค์รวมของพรรค ว่าควรที่จะออกแบบโครงสร้างพรรคอย่างไร เพื่อจะให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย และเปิดกว้างมากขึ้น จึงได้ออกแบบให้คณะกรรมการบริหาร มีภาวะความเป็นผู้นำเข้มแข็งขึ้น โดยเฉพาะหัวหน้าพรรค โดยมีหลักประกันว่าในโครงสร้างใหม่นั้นหัวหน้าพรรคจะต้องคุมเสียงข้างมากในกรรมการบริหาร ซึ่งจะสามารถทำให้นำพรรคมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนั้นได้มีการจัดตั้งโครงสร้างใหม่ของพรรคขึ้น เช่น คณะกรรมการปฏิบัติการพื้นที่ หรือคณะกรรมการโซน จะทำให้มี ส.ส.ในพื้นที่มากขึ้น และการจัดตั้งสมัชชาประชาธิปัตย์ เปิดกว้างให้ประชาชน องค์กรสนับสนุนพรรคเข้ามีส่วนร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ และปรับโครงสร้างสภาที่ปรึกษาให้มีบทบาทที่ชัดเจน จัดโครงสร้าง เปิดกว้างให้มีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่างๆ

เป็นการเปิดพรรคให้กว้างนำความรู้วิสัยทัศน์ใหม่ๆ ความเชี่ยวชาญเข้ามาสู่สภาที่ปรึกษา ดังนั้น การออกแบบโครงสร้างครั้งนี้จึงเป็นการออกแบบ แบบองค์รวม ไม่ใช่ตัดแปะต่อเติม แต่เนื่องจากว่า
การแถลงผลการประชุมอาจไม่ได้อธิบายเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ ตรงนี้จึงเป็นความเข้าใจผิดคลาดเคลื่อน ว่าเป็นเรื่องของการให้อำนาจหัวหน้ามากขึ้นและไม่เปิดกว้าง ไม่ยอมรับแนวทางปฏิรูป
ไม่ใช่เป็นแบบนั้น

มีข่าวคนในพรรคมีแผนที่จะทำลายการปฏิรูป

ความจริงประเด็นเรื่องการปฏิรูปมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เป็นจริงอย่างที่นายนคร มาฉิม ส.ส.พิษณุโลก ได้พูดถึง เพียงแต่ว่าการประชุมล่าสุดได้ข้อยุติ ยืนยันว่าหัวหน้าพรรค เลขาฯ และผม
เดินบนถนนเส้นเดียวกันในการปฏิรูปพรรค อย่ามองเรื่องความเห็นต่างเป็นความแตกแยก และเป้าหมายที่เห็นต่างจะต้องมีแนวทางที่ทำให้คนเห็นด้วยไปในแนวทางเดียวกันให้มากที่สุด นี่คือสิ่งที่พยายามที่จะทำให้เกิดขึ้นและจะเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่จะเข้มแข็งต่อไปในภายหน้า ดังนั้นขอเวลาให้พรรคประชาธิปัตย์ในช่วงเวลาของการปรับเปลี่ยน และจะไม่มีเรื่องของการจัดตั้งพรรคใหม่  ไม่มีการลาออกจากพรรค ไม่ทราบว่าข่าวนี้ออกมาได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม กลุ่ม ส.ส. และสมาชิกพรรคที่เห็นด้วยกับการปฏิรูปก็ยังพบปะพูดคุยเพื่ออัพเดตการปฏิรูป แต่ไม่ใช่พบปะเพื่อตั้งพรรคใหม่ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์

มีเสียงสะท้อนจากนักวิชาการว่าการปฏิรูปอาจจะไม่เป็นรูปธรรม

คิดว่าการประชุมครั้งหลังสุดเป็นก้าวสำคัญ เป็นหนึ่งในสามที่จะต้องเดินหน้าในการปฏิรูปต่อไป แน่นอนว่ายากกว่าปฏิรูปโครงสร้าง ดังนั้น ข้อวิพากษ์วิจารณ์เป็นสิ่งที่รับฟังได้ แต่อาจไม่ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน แต่การปฏิรูปหรือการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในองค์กรพรรคอย่างประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นองค์กรที่อยู่มา 68 ปี แน่นอนว่ามีความหลากหลาย มีทั้งคนเห็นด้วยไม่เห็นด้วย แต่ในที่สุดคณะกรรมการบริหารสูงสุดของพรรคตัดสินใจเดินหน้าแล้ว

ภาพที่ออกมาดูเหมือนขัดแย้งกันเช่นข้อความที่ได้ทวิตเตอร์ออกมา

คิดว่านั่นคือความเข้าใจผิดจากหน้ามือเป็นหลังมือ ถ้าได้ทราบข้อเท็จจริงแล้วจะเข้าใจว่าวันนี้แล้ว พรรคประชาธิปัตย์กำลังเดินหน้าเข้าสู่การปฏิรูป ต้องเข้าใจว่าความแตกต่างทางความคิดไม่ใช่ความแตกแยก วาระการปฏิรูปพรรคเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก แน่นอนว่าจะหวังให้คนเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์เข้าใจว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าในชั้นผู้นำพรรคขณะนี้ได้เห็นพ้องต้องกัน และต้องช่วยกันคิดช่วยกันทำต่อไป

ปฏิรูป ปชป.จะใช้เวลาเท่าไร หากมีการยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่จะชนะหรือไม่

เป็นคำถามที่ดีมาก ในการหารือกับหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการครั้งล่าสุด ได้กำหนดการไว้ว่า ปลายเดือนตุลาคมนี้จะนำร่างข้อบังคับใหม่เสนอที่ประชุมร่วมส.ส.และคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อให้ความเห็นชอบ หลังจากนั้นก็จะมีการประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี เพื่อให้รับรองโครงสร้างใหม่ และมีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหาร คาดว่าน่าจะเป็นภายเดือนพฤศจิกายน หรืออย่างช้าก็ภายในเดือนธันวาคม หลังจากนั้นเมื่อมีการปรับพรรคใหม่แล้ว เชื่อว่าจะมีโอกาสชนะการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคกลางน่าจะได้ ส.ส.มากขึ้น ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ที่แพ้เลือกตั้งมาถึง 21 ปี อาจมีโอกาสชนะการเลือกตั้ง ในขณะเดียวกันรัฐบาลที่ดูเหมือนแข็งแกร่งแต่ก็ยังมีจุดอ่อนที่มีโอกาสที่อาจจะแพ้การเลือกตั้งครั้งต่อไป

จุดอ่อนของรัฐบาลที่ว่าคืออะไร

การบริหารที่ผิดพลาด โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ เป็นยุคที่ข้าวยากหมากแพงอย่างไร้เหตุผลมาก เพราะการบริหารที่ขาดการดูแลควบคุมราคาและคุณภาพสินค้า ท้ายที่สุดกลับเป็นการสร้างปัญหาให้ราคาสินค้าแพงมากขึ้น และที่สำคัญปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นมากมาย ตรงนี้เป็นจุดอ่อนมากที่จะทำให้รัฐบาลแพ้การเลือกตั้ง เพราะจะทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในฝีมือการบริหารจัดการ และขาดความเชื่อมั่นในการซื่อสัตย์สุจริต และที่สำคัญขาดความเชื่อมั่นในโครงการประชานิยมแบบสุดโต่ง ที่กำลังเป็นหอกข้างแคร่ กำลังจะทำให้รัฐบาลนั้นไม่สามารถเรียกความเชื่อถือศรัทธาในการบริหารประเทศกลับมาได้ ในขณะที่การบริหารจัดการของรัฐบาลยังเป็นการบริหารจัดการแบบครอบครัว ขาดความร่วมมือของ ส.ส.และสมาชิกพรรค

มองว่าการตั้งพรรคทางเลือกที่สามจะเป็นทางเลือกใหม่ให้กับประชาชนได้อย่างไร

มีการเคลื่อนไหวจริงในการก่อตั้งพรรคทางเลือกที่สาม ถือว่าเป็นเจตนาที่ดีต่อประเทศชาติเพราะว่าเขาสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกสิ้นหวังต่อระบบการเมืองไทย และพรรคการเมืองในปัจจุบัน และเห็นว่าพรรคการเมืองไม่ได้ตอบสนองผลประโยชน์ของส่วนรวมและปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นมาก รวมทั้งการกำหนดนโยบายที่เล็งเห็นเฉพาะหน้าเพื่อชนะในการเลือกตั้ง ไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ของการพัฒนาประเทศแบบยั่งยืนในระยะยาว ดังนั้น จึงคิดว่าน่าจะมีทางเลือกใหม่ให้กับประชาชน ซึ่งเห็นว่าก็เป็นทางเลือกที่ดีกับประชาชน แต่ให้ความเห็นไปแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์กำลังเดินหน้าสู่การปฏิรูป ดังนั้น จึงขอให้มาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เห็นว่าหากพรรคปฏิรูปได้ตามข้อเสนอ ก็จะมาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ คิดว่าทุกคนมีอิสระในการตัดสินใจ สิ่งสำคัญก็คือกำลังปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์เพื่อเป็นทางเลือกที่ดีกว่า


(ที่มา:มติชนรายวัน 14 ต.ค.2556)

รธน.ปี56 โดย นฤตย์ เสกธีระ

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 21:01:16 น. มติชน
malui2810@gmail.com

คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12  (มติชนรายวัน 15 ต.ค.2556)

วันที่ 14 ตุลาคม 2516 นิสิตนักศึกษาออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย

หัวใจที่บ่งบอกประชาธิปไตยที่ผ่านมาเน้นไปที่รัฐธรรมนูญ ในฐานะกฎหมายที่กำหนดความเป็นไปของประเทศ

ทั้งนี้ เพราะรัฐธรรมนูญจะบ่งบอกว่า อำนาจอธิปไตยนั้นเป็นของใคร?

และรัฐธรรมนูญอีกนั่นแหละที่บ่งบอกว่า อำนาจอธิปไตยนั้นจะใช้ได้ทางใด ใครเป็นคนใช้

ที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญไทยมักร่างโดยตัวแทนขั้วอำนาจ มีรัฐธรรมนูญน้อยฉบับที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการร่างขึ้นมา

วันนี้รัฐธรรมนูญของไทยกำลังอยู่ระหว่างการแก้ไข...อีกแล้ว

สัปดาห์นี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เข้าสู่รัฐสภา

มาตรานี้มีปัญหาเพราะบัญญัติมาแล้วปฏิบัติจริงไม่ได้ แทนที่จะเสริมสร้างความรอบคอบ กลับกลายเป็นอุปสรรคกับฝ่ายราชการในการทำงาน

ในสมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แก้ไขมาคราวหนึ่ง มาถึงสมัยนี้ก็จะแก้ไขอีก

หลังจากแก้ไขมาตรา 190 ได้ก็จะแก้ไขมาตรา 68 เพราะมีปัญหาเรื่องการยื่นคำร้องว่าจะยื่นให้อัยการสูงสุดก่อน หรือจะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญเลย

ยังมีการแก้ไขมาตรา 237 เรื่องคนทำผิดก็รับผิด ไม่ต้องยุบพรรค

และยังร่ำๆ ว่าจะแก้ไขมาตรา 309 เพราะเป็นบทบัญญัติที่คุ้มครองผลจากการปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

การแก้ไขมาตรานี้ถ้าเกิดขึ้นจริง รัฐสภาคงเดือด เพราะฝ่ายคัดค้านเห็นว่าเป็นการช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ก็ว่ากันไป...

เดิมทีรัฐบาลประกาศนโยบายไปแล้วว่าจะยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยให้เลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเข้ามาทำหน้าที่

แต่ทางฝ่ายค้านเห็นว่า ผลการเลือกตั้ง ส.ส.ร.จะมีแต่คนของฝ่ายรัฐบาล จึงค้านเต็มสูบ

สุดท้ายก็ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามมาตรา 68 แล้วก็มีข้อสรุปทำนองว่า รัฐธรรมนูญปี 50 ยกร่างใหม่ไม่ได้ น่าจะแก้ไขรายมาตรา

หลังจากนั้นรัฐบาลก็เริ่มแก้ไขรายมาตรา เริ่มต้นที่ที่มาของสมาชิกวุฒิสภา

ขณะนี้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่มาของสมาชิกวุฒิสภาได้ทูลเกล้าฯไปแล้ว

แต่กระบวนการทั้งหมดประชาชนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยมาก

มีหลายคำถามเกี่ยวกับการแก้ไขที่บรรดาสมาชิกรัฐสภาถามและตอบกันเอง โดยประชาชนไม่มีสิทธิถาม

อาทิ ทำไมต้องมีวุฒิสภา

ในเมื่อครั้งร่างรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2540 ผู้ร่างต้องการให้วุฒิสภาทำหน้าที่ตรวจสอบ มีอำนาจถึงขั้นถอดถอนฝ่ายบริหาร และองค์กรอิสระ

แต่ที่สุดแล้ว สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งก็เจอข้อครหา "สภาผัวเมีย"

เข้าใจง่ายๆ ว่าสมาชิกวุฒิสภาเป็นพวกฝ่ายรัฐบาล

ปี 2550 อำนาจหน้าที่ของวุฒิสภาเป็นแบบเดิม แต่เปลี่ยนผู้ที่มาเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยให้เลือกตั้งครึ่งหนึ่ง และสรรหาครึ่งหนึ่ง

ปรากฏว่าสมาชิกวุฒิสภาส่วนหนึ่งถูกครหาว่า เป็นพวกฝ่ายค้าน

สรุปได้ว่า สมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ ปี 2540 และสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ต่างถูกโจมตี

คำถามก็คือแล้วจะมีวุฒิสภาดีหรือเปล่า?

หรือถ้ามีวุฒิสภาแล้วจะมอบอำนาจหน้าที่ให้สมาชิกวุฒิสภาแบบที่กำลังเป็นอยู่นี้หรือไม่?

เรื่องแบบนี้ประชาชนควรจะมีโอกาสได้ถาม ได้ตอบ ได้แสดงความคิดเห็น

จนถึงบัดนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังถูกจำกัดให้อยู่ในมือของสมาชิกรัฐสภา

ฝ่ายค้านยิ่งออกมาต่อต้าน การแก้ไขยิ่งไปอยู่ในมือของสมาชิกรัฐสภา

เป็นการแก้ไขโดยฝ่ายการเมือง เป็นการแก้ไขโดยขั้วอำนาจทางการเมือง

ส่วนประชาชนได้แต่นั่งตาปริบๆ อยู่ด้านนอกเหมือนเดิม...

เติมไฟ การทำงาน

          หากคุณเริ่มต้นเช้าวันใหม่ของการทำงานด้วยความเบื่อหน่าย รู้สึกเซ็ง ๆ กับงานในแต่ละวันจำเจซ้ำซาก ไม่มีความท้าทายอะไรเลย อยากจะเปลี่ยนงานแต่ก็กลัวจะไม่ถูกใจอีก คิดว่าเมื่อไหร่ เราจะก้าวหน้ารุ่งเรือง เหล่านี้ล้วนแต่บ่อนทำลายความรู้สึกและศักยภาพในการทำงานของคุณค่ะ เรามาลบล้างความรู้สึกเหล่านี้กันดีกว่า...

ปรับเปลี่ยนความรู้สึก

          เปลี่ยนความเอื่อยเฉื่อย เบื่อหน่าย ให้เป็นความระฉับกระเฉงกระปรี้กระเปร่ากันดีกว่าค่ะ แล้วคุณจะเห็นเลยว่างานแต่ละชิ้นที่ทำด้วยความรู้สึกอยากจะทำ สนุกไปกับงาน จะออกมาดีเยี่ยมขนาดไหน ดีไม่ดีอาจเข้าตาหัวหน้าจนต้องตบรางวัลก็ได้ค่ะ

เปิดมุมมองใหม่

          พอเสียทีกับการคิดว่างานที่ทำอยู่นั้นน่าเบื่อ ไม่เห็นจะท้าทายอะไรเลย ทำไปไม่ก้าวหน้าแน่ ๆ ที่สำคัญ!! คือ หยุดการเปรียบเทียบงานกับคนอื่น แล้วหันมามองงานที่ทำอยู่ใหม่ ถึงแม้จะเป็นงานเล็ก ๆ ไม่เป็นที่เชิดหน้าชูตาก็ตาม แต่ไม่ว่างานในลักษณะใดหากทำอย่างเต็มที่เต็มใจแล้ว จะทำให้เรารู้สึกอิ่มเอมและภูมิใจได้

ต้องอดทน

          ความอดทนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการสร้างกำลังใจ หากเราเจออุปสรรคในการทำงานแล้วไม่สามารถผ่านไปได้ ทำให้รู้สึกท้อแท้ อาจจะเป็นเรื่องที่เราตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าตาหัวหน้าสักทีก็อย่าเพิ่งท้อ รักษาความตั้งใจให้สม่ำเสมอไว้ สักวันสิ่งที่รอคอยย่อมมาถึงค่ะ

สร้างมิตรสัมพันธ์

          ควรสร้างสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานด้วยรอยยิ้ม มีน้ำใจให้กัน ช่วยเหลือและแบ่งปันกัน ชื่นชมให้กำลังใจกัน รับรองเลยว่า ห้องทำงานนั้นจะเต็มไปด้วยความสดใส และจะทำให้คุณอยากมาทำงานทุกวันเลยล่ะ

เสริมสร้างภาพลักษณ์

          เรื่องของภาพลักษณ์นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากในชีวิตการทำงาน เพราะนั่นจะช่วยให้คุณดูน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับ ดังนั้นต้องใส่ใจกับเรื่องบุคลิกภาพ มารยาท และการแต่งกายให้ถูกกาลเทศะ ซึ่งความเชื่อมั่นในตนเองเป็นรากฐานของการมีภาพลักษณ์ที่ดี ดังนั้น เราต้องมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมในความสามารถของตน และอย่าลืมรอยยิ้มที่มุมปากด้วย เพราะนั่นจะทำให้คุณดูดีขึ้นมากค่ะ

เปิดรับข่าวสาร

          ปัจจุบันสิ่งต่าง ๆ รอบตัวมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งข่าวสารที่มีอยู่มากมาย ก็ล้วนแต่เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการทำงาน ดังนั้น หากรู้จักที่จะดึงมาใช้และเรียนรู้อย่างชาญฉลาด ก็จะทำให้คุณได้เปรียบผู้อื่นอย่างแน่นอนค่ะ

          ล้างทิ้งไปเสียเถอะกับความคิดแย่ ๆ หันมาเติมไฟให้กับการทำงานดีกว่าค่ะ...

///////////////////////////

ไฟในการทำงาน

เมื่อเริ่มเข้างานใหม่ ดูเหมือนทุกคนมีไฟในการทำงานกันทั้งนั้น มันเหมือนยังมีพลังไฟเต็มเปี่ยมที่จะผลัดดันให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อยากเรียนรู้ว่าเราต้องทำอะไรบ้าง อยากรู้ว่างานแต่ละงานนั้นเป็นอย่างไร อยากรู้ว่างานที่เชื่อมไปให้กับคนอื่นนั้น เขาทำอย่างไร เขาต้องการอะไร ทุกอย่างมันดูใหม่ สด ซึ่งทำให้เกิดไฟในการทำงาน และ อยากที่จะเรียนรู้อย่างมาก

แต่เมื่อทำงานไประดับหนึ่ง ความกระตือรือล้นในการทำงานจะเริ่ม ถดถอยลง อันเนื่องจาก ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ต้องทำแล้ว เริ่มรู้ตารางเวลาของตนเองแล้วว่า ต้องทำอะไรบ้าง เริ่มมีเพื่อน ชวนคุย ชวนเล่น เริ่มมีกิจกรรมระหว่างกันมากขึ้น

บางครั้งโดนการกดขี่ ทำงานหนัก หักโหม เป็นปีๆ แต่ผลกลับไม่ได้ดั่งที่คาดหวัง ทำให้เกิดอาการท้อแท้กับระบบ และ เจ้านาย ซึ่งก็จะเป็นกับคนเก่งๆในองค์กร หรือ คนที่เป็นหัวใจหลักขององค์กร หากพวกเขาหมดไฟแล้ว องค์กรอาจจะอยู่ในขั้งวิกฤติได้

ยิ่งทำงานนานขึ้นเท่าใด ก็จะรู้สึกว่า งานเหล่านั้นเป็นงานที่จะต้องทำประจำ อาจจะต้องทำทุกวัน ทำทุกสัปดาห์ ทำทุกเดือน ทำทุก 3 เดือน หรือ ทำทุกปี ซึ่งงานเข้าที่เข้าทาง ใช้เวลาทำงานไม่นานหรอก งานก็ทำแต่แบบเดิมๆ งานที่ทำดูเหมือนไม่ก้าวหน้า เงินเดือนก็ขึ้นน้อย ปรับตำแหน่งก็ไม่ปรับให้ เสนองานอะไรไปเจ้านายก็ไม่ยอมทำ อยากรับคนเพิ่มเจ้านายก็ไม่ให้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ความรู้สึกที่ดีต่องาน เริ่มถดถอยลง จนคิดแต่ว่า ทำงานประจำให้เสร็จๆกันไปก็ใช้ได้แล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณของการ หมดไฟในการทำงาน

คนในอดีตเปรียบเทียบ ไฟ ให้เหมือนกับ ความมุ่งมั่นในการทำงาน หรือ ความอยากที่จะทำงาน ซึ่งผมคิดว่า คนในอดีตช่างสังเกตุ และ เปรียบเทียบได้อย่างเหมาะสมมากๆ ซึ่งถ้าอยากจะสร้างไฟในการทำงานให้เกิดขึ้นแล้ว คุณควรจะมองให้เห็นสภาพความเป็นไปของไฟให้เข้าใจเสียก่อน

ธรรมชาติของไฟนั้น ตอนเรียนวิทยาศาสตร์สมัยเด็กๆ เขาบอกว่ามันมี 2 สิ่งคือ สิ่งที่ทำให้ติดไฟ เช่น ไม้ กระดาษ น้ำมัน เป็นต้น กับ สิ่งที่ช่วยให้ไฟติด คือ ก๊าซอ๊อกซิเจน กับ สิ่งมากระตุ้นเพื่อให้เกิดความร้อนในการเผาไหม้ด้วย ในโบราณกาล เรารู้จักจุดให้ไฟติดกันมาแล้ว โดยเริ่มตั้งแต่การใช้ไม้มาปั่น ขัดสี โดยใช้สำลีเพื่อมาเป็นตัวติดไฟ และ ค่อยๆ เริ่มใช้หินไฟ มากระเทาะซึ่งกันและกัน เพื่อเกิดประกายไฟ และ ก็เริ่มมี ไม้ขีด จนมาถึง การใช้ไฟฟ้าในการจุดไฟกันแล้ว

เมื่อเข้าใจว่า ไฟ นั้นจะมีได้อย่างไร ต้องการอะไรบ้าง ผมก็จะขอเปรียบเทียบให้เข้ากับ การทำงานละกันครับ จะได้มองภาพได้ชัดว่า คนไทยโบราณมีความคิดที่ลึกซึ้ง และ เข้าใจธรรมชาติทั้งธรรมชาติของไฟ และ การทำงานได้อย่างลงตัว

หากต้องการสร้างให้เกิดไฟในการทำงาน ต้องเพิ่มเชื้อฟืนเข้าไปให้มากขึ้น นั่นหมายถึง หากคุณเริ่มหมดไฟ คุณต้องหางานอะไรใหม่ๆทำ เพื่อให้เกิดความตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา การมองหาวิธีการทำงานใหม่ๆไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากจะทำมันก็มีหลักการณ์ที่จะสามารถหางานใหม่ๆทำได้ ด้วยการหาจุดบกพร่องของแต่ละจุด แล้ว หาทางกำจัดจุดบกพร่องเหล่านั้น หรือ พัฒนาจุดเหล่านั้นให้ดีมากขึ้น ลดข้อผิดพลาด เพิ่มคุณภาพของสินค้า อะไรทำนองนี้ ผมเคยเขียนตอบเพื่อนๆในห้องสีลมไว้นานแล้ว หากจะทบทวนสามารถอ่านได้ใน "ทำอย่างไรจึงจะสร้างสรรงานออกมาได้" ซึ่งมันก็เหมือนกับเราต้องหาฟืนเพื่อมาจุดไฟ เราก็ต้องหางานเพื่อมาสร้างให้ไฟในการทำงานนั้น สามารถลุดโชติช่วงขึ้นให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะสามารถ

บางคนเกิดปัญหากับเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย หรือ ลูกค้า ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ไฟในการทำงานหมดลง อย่างเช่น เบื่อเจ้านายไม่ยอมปกป้อง เพื่อนร่วมงานไม่ช่วยกันทำงานเลย หรือแม้นแต่ลูกค้าขาใหญ่ จู้จี้ขี้บ่นเปลี่ยนงานบ่อยๆ ทำให้เจ้านายตำหนิ ซึ่งสภาวะแวดล้อมไม่อำนวย ทำให้เกิดการปิดกั้นตัวเองเกิดขึ้น เมื่อมีการปิดกั้นตัวเองจากสภาวะแวดล้อมมากขึ้น จะทำให้ความรู้สึกที่อยากจะทำงานลดลงไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อตนเองและความก้าวหน้าในการทำงาน ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหากับเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย หรือ แม้นแต่ลูกค้า ก็ควรที่จะทำความเข้าใจซึ่งกันและกันให้มากที่สุด หรือ แม้นแต่เกิดการทะเลาะกับเพื่อนร่วมงานด้วยแล้ว ก็ต้องไกล่เกลี่ยสิ่งต่างๆที่มันจะค้างคาใจนั้นให้ออกไปให้เร็วที่สุด โดยการพูดคุย ปรึกษา ซึ่งกันและกัน เพื่อถามเหตุและผล หรือ หาคนกลางมาไกล่เกลี่ย หรือ อย่างน้อยก็อาจจะต้องทำใจ แล้ว มองโลกในแง่ดี ให้อภัย แล้วทำตัวให้เหมือนเดิม...

บางคนก็คิดว่า ได้เงินน้อยกว่างานที่ทำให้ หรือ บางคนมีข้อข้องใจเกี่ยวกับรายได้ของตนเอง เมื่อเอาไปเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมงาน ว่า ทำงานก็มากกว่า แล้วทำไมได้เงินน้อยกว่า ก็เป็นตัวที่ทำให้ไฟในการทำงานมอดลงไปได้เช่นกัน จนบางบริษัทฯ ต้องออกกฎห้ามไม่ให้บอกเงินเดือนกับเพื่อนร่วมงาน ไม่ว่าจะระดับใด อันเป็นการป้องกันความรู้สึกที่ไม่ดีที่จะตามมา แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปอยากรู้ถึงรายได้ของอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งห้ามยากมาก แต่การรับรู้แล้ว ทำให้ไม่มีจิตใจในการทำงาน จะยิ่งทำให้ ผลงานของคุณนั้น ย่ำแย่ลง และ ไฟการทำงานก็จะมอดดับไปด้วยซ้ำ

การที่มีไฟ มีเชื้อไฟ ก็ต้องมีอ๊อกซิเจน ที่จะช่วยให้ไฟติด ซึ่งก็เหมือนกับ ปัญหาที่เกิดจากตัวเราเอง และ สิ่งแวดล้อมในการทำงาน ก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้การทำงานของเราดีขึ้น หากเราสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมในการทำงาน ให้ดี ไม่มีการขัดแย้ง หรือ มีน้อยที่สุด ก็จะเป็นตัวขับที่ดีที่จะทำให้เราหมดไฟในการทำงานช้าลง

เมื่อถึงจุดนี้สรุปได้ว่า หากคุณต้องการเพิ่มไฟในการทำงานให้กับตัวคุณ คุณต้องหาเชื้อไฟที่จะทำให้คุณต้องใช้ความคิด ต้องใช้การเรียนรู้ หรือ หางานใหม่ๆทำ เพื่อสร้างให้คุณมีใจในการทำงานมากขึ้น และ สร้างสภาพแวดล้อมของคุณให้เหมาะสมกับการทำงานของคุณ ลดความขัดแย้ง และ สร้างให้ความคิดมุ่งอยู่กับการทำงาน จะทำให้ไฟที่คุณได้จุดขึ้นกับการทำงานใดๆนั้น สามารถอยู่ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หรือ จนกว่าจะงานเสร็จสิ้น แล้ว ก็ต้องวกกลับไปหาเชือ้ไฟใหม่ๆ ซึ่งมันก็จะกลายเป็นวัฏจักรในการสร้างสรรงาน เมื่อทำอย่างนี้ ผลงานก็จะเกิดขึ้น แล้ว ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ก็จะมาเอง ซึ่งแน่นอน สิ่งที่ตามมากับหน้าที่ก็ย่อมหนีไม่พ้นถึงผลตอบแทนที่มากขึ้นตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ...

หวังว่าทุกคนที่ได้อ่านจะสามารถสร้างไฟในการทำงานให้คงอยู่ได้ตลอดเวลานะครับ...

ยังกังขา ซื้อข้าวจากไทยของจีนตกลง1ล้านตัน/ปีหรือ ภายใน5ปี

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงาน

“รัฐบาลจีนเคยตกลงที่จะซื้อข้าวจำนวน 1 ล้านตันภายในระยะเวลา 5 ปี แต่วันนี้ได้ปรับจำนวนขึ้นเป็นปีละ 1 ล้านตัน”

นายกฯ ยิ่งลักษณ์กล่าวกับผู้สื่อข่าวหลังจากนายกฯ หลี่เสร็จสิ้นการเยือน โดยจะให้กระทรวงพาณิชย์ศึกษาในรายละเอียด ซึ่งช่วงเวลาที่จะทำการซื้อขายนั้นยังไม่มีการระบุไว้

อย่างไรก็ตาม ไม่มีความเห็นอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลจีนในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด

วันศุกร์ นายกฯ หลี่กล่าวว่า จีนอาจจะซื้อข้าวจำนวน 1 ล้านตัน ภายในระยะเวลา 5 ปี แต่ไม่ได้ระบุว่าจะเป็นลักษณะรัฐต่อรัฐ

นายกฯ หลี่ยังกล่าวอีกว่า การซื้อข้าวอาจทำโดยบริษัทเอกชน และไม่ได้พูดถึงข้าวจำนวน 1.2 ล้านตันซึ่งรัฐบาลไทยอ้างว่าได้ขายให้จีนเมื่อเดือนที่แล้วในลักษณะรัฐต่อรัฐเช่นกัน

นอกจากนี้ รัฐวิสาหกิจค้าข้าว COFCO ของจีนเป็นผู้ลงนามใน MOU กับบริษัทเอกชนไทยเมื่อวันศุกร์ ไม่ใช่ระหว่างรัฐต่อรัฐ และเงื่อนไขการซื้อขายนั้นจะเป็นในลักษณะครั้งต่อครั้งที่ “ราคาตลาด”

ข้อมูลอ้างอิง :

Thai PM says China pledges to buy 1 mln tonnes of rice a year
http://www.trust.org/item/20131013115650-eu6xu/

ใบตองแห้งกับบทวิเคราะห์ : มองข้ามช็อต"ยุบสภา"

ใบตองแห้งกับบทวิเคราะห์ : มองข้ามช็อต"ยุบสภา"





โดย ใบตองแห้ง 
ที่มา TCIJ
15 ตุลาคม 2556

ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้ง จะผ่านศาลรัฐธรรมนูญ หรือไม่ผ่าน? ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ปรับโครงสร้างระบบคมนาคมขนส่ง 2.2 ล้านล้าน จะผ่านศาลรัฐธรรมนูญ หรือไม่ผ่าน? เมื่อไหร่ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จะผ่านวาระ 3 แล้วศาลรัฐธรรมนูญจะให้ไฟเขียวไหม แล้วร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68, 190 และ 237 อีกล่ะ ถ้าผ่าน ถ้าไม่ผ่าน จะเกิดอะไรในต้นปีหน้า เป็นไปได้ไหมที่จะยุบสภา เป็นไปได้สูงมากเลยครับ เพราะไม่ว่ากฎหมายสำคัญผ่านหรือไม่ผ่าน คิดจากด้านพรรคเพื่อไทยก็น่ายุบทั้งนั้น 


สมมติร่างรัฐธรรมนูญผ่าน รัฐบาลก็อาจฉวยโอกาสยุบ เพื่อกลับมาพร้อมวุฒิชุดใหม่ ที่จะเลือกตั้งในเดือนมีนาคม หรือถ้าศาลรัฐธรรมนูญยับยั้ง ทำให้ไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย รัฐสภาต้องลงมติยืนยัน 2 ใน 3 ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ก็ยิ่งเป็นโอกาสยุบ ชูธงประชาธิปไตยหาเสียงอย่างแหลมคมได้อีกครั้ง
ถ้าเงินกู้ 2.2 ล้านล้านผ่าน รัฐบาลก็ชูคำขวัญ 8 ปีสร้างอนาคต ถ้าไม่ผ่าน ยิ่งหาเสียงสนุก เลือกเพื่อไทยเพื่ออนาคตประเทศ ไม่ใช่เลือกแมลงสาบกัดแข้งกัดขา ฯลฯ
ถามว่าทำไมต้องยุบ ไม่ยุบไม่ได้หรือ เหลืออีกตั้ง 2 ปี โห 2 ปี เกิดอะไรได้ตั้งเยอะ อย่าลืมว่าที่ผ่านมาในแง่การบริหาร รัฐบาลอยู่ในช่วง “ขาลง” เพียงได้เปรียบในกระแสการเมือง ที่พวกสุดขั้วสุดโต่งพยายามล้มรัฐบาลนอกวิถีประชาธิปไตย หวังล้มด้วยม็อบ หวังล้มด้วยศาล หวังล้มด้วยทหาร ซึ่งสังคมไม่เอาด้วย
แต่ในภาคการทำงานจริง ในภาคเศรษฐกิจจริง แม้แต่มวลชนเสื้อแดงก็ยอมรับว่าของแพง ทำมาหากินฝืดเคือง นโยบายจำนำข้าวก็พ่นพิษ หนี้ท่วมหัว ไม่รู้จะเอาตัวรอดทางไหน จำนำต่อไปก็ยิ่งเจ๊ง ไม่จำนำก็เจอม็อบชาวนา เศรษฐกิจโลกปีหน้าใช่ว่าจะดี ปัญหาของรัฐบาลเรื่องโน้นเรื่องนี้จะมีโผล่มาเรื่อยๆ

เอาเป็นว่ารัฐบาลไม่มีทางทำได้ดีกว่านี้แล้วละ มีแต่จะเตี้ยลงๆ โอเค ไม่ยุบก็อยู่ได้ แต่หันไปมองเงื่อนไขหลายด้านประกอบกัน มันน่ายุบเสียกระไร ดูฝ่ายรัฐบาลเอง แม้ดูแย่ แต่ถามจริงว่ายิ่งลักษณ์ช้ำไหม ไม่ช้ำนะครับ ยังขายได้ เหมือนใหม่ ๆ ซิง ๆ โพลล์ส่วนใหญ่ออกมาดี แม้จะด่ารัฐบาล ด่าพรรค แต่คะแนนนิยมยิ่งลักษณ์ยังสูง

ที่สำคัญอย่าลืมว่าเดือนธันวาคมนี้ บ้านเลขที่ 109 จะเป็นอิสระ อิสระที่บรรหาร ศิลปอาชา กับลูกชายลูกสาวรอมานาน ฝั่งเพื่อไทยก็มีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เมื่อรวมกับบ้านเลขที่ 111 ที่ครั้งนี้มีโอกาสสมัคร ส.ส. ถ้าไม่ยุบสภาก็มีแรงกดดันภายใน ถ้ายุบสภา ก็จะได้ขุนพลคับคั่ง
หันไปดูคู่แข่งบ้าง พรรคประชาธิปัตย์กำลังตกต่ำ เปลี่ยนจากพระเอกหนุ่มหล่อมาเป็นนางอิจฉาในละครหลังข่าว เล่นนอกกติกา ถ่อย เถื่อน ทั้งในและนอกสภา จนนิวยอร์คไทม์ประจานข้ามโลก
ในสายตาประชาชนทั่วไปที่ไม่ใช่เหลืองแดง กำลังเบื่อทั้งสองฝ่าย แต่ไม่รู้จะไปทางไหนดี พรรคที่สามก็ไม่สามารถเกิด แน่นอนสภาพเบื่อทั้งสองฝ่ายอาจทำให้คะแนนลด แต่ก็ลดทั้งสองฝ่าย โค้งสุดท้ายพรรคเพื่อไทยยังช่วงชิงเสียงข้างมากได้อยู่ดี อย่าลืมว่า 2 ปี เพื่อไทยกุมกลไกราชการได้เกือบหมด แม้แต่ทหารก็ไม่เป็นปรปักษ์ เราจะไม่เห็น ผบ.ทบ.ออกมาต่อต้านพวก “ล้มเจ้า” อีกแล้ว ขณะที่แวดวงธุรกิจ เงินกู้ 2.2 ล้านล้านขายฝันได้ ตั้งแต่กลุ่มทุนทุกกลุ่มไปถึง SME

รัฐบาลจึงมีโอกาสยุบสภาในต้นปีหน้า หรือในครึ่งปีหน้า โดยไม่จำเป็นต้องรอครบ 4 ปี กองเชียร์พรรคเพื่อไทยไม่ต้องตกใจ นี่เป็นเรื่องปกติในวิถีประชาธิปไตย การยุบสภาไม่ใช่แสดงว่ารัฐบาลย่ำแย่ ในประเทศแม่แบบอย่างอังกฤษ เมื่อเห็นฝ่ายค้านเพลี่ยงพล้ำ รัฐบาลก็รีบยุบสภา
อำนาจต่อรองกลับมา

ถ้าวิเคราะห์สถานการณ์อย่างนี้ ประเด็นสำคัญคือ มวลชนแต่ละสี แต่ละข้าง จะมีท่าทีอย่างไร ต้องเตรียมการอย่างไร ให้สมกับที่เป็นยุค “การเมืองมวลชน”
มวลชนเสื้อเหลืองคงไม่มีปัญหา เพราะถึงเวลาก็ชูป้าย Vote No แต่เอาเข้าจริงโค้งสุดท้ายเลือก ปชป.เพราะกลัวเพื่อไทยชนะ

มวลชนเสื้อแดงก็มีด้านที่คล้ายกัน แท็กซี่เสื้อแดงบ่นว่าของแพง ทำมาหากินฝืดเคือง แต่โค้งสุดท้าย จะเอาอภิสิทธิ์หรือยิ่งลักษณ์ ต่อให้บ่นกะปอดกะแปดอย่างไรก็ต้องเลือกเพื่อไทย

ส่วนคนที่ห่างออกไป ไม่มีสีหรือสีจางๆ ก็อาจเบื่อหน่ายจนไม่ไปเลือกทั้งสองข้าง
นี่เป็นปัญหาที่ต้องข้ามให้พ้น ต้องเลิก “ถูกบังคับ” ให้เลือก ไหน ๆ จะเลือกแล้ว มวลชนก็ควรมีส่วนร่วม ตั้งแต่การกำหนดตัว ส.ส.หรือ Primary Vote ที่เคยเรียกร้องกัน ไปจนมีส่วนร่วมกำหนดนโยบาย หรือมีส่วนร่วมปฏิรูปพรรค

พูดว่าสองสี แต่ความจริงคือเสื้อแดงเป็นหลัก อ้าว ก็เสื้อเหลืองบอกไม่เอาเลือกตั้งไงครับ ไม่เอาทั้งสองพรรค ด่าประชาธิปัตย์โครม ๆ จะไปร่วม Primary Vote หรือปฏิรูปพรรคกับเขาได้ไง ถึงเวลาเลือกตั้งก็เลือก ปชป.ด้วยความเกลียดทักกี้เท่านั้นเอง
คนที่จะปฏิรูปประชาธิปัตย์จึงมีแค่หยิบมือ เพราะพวกคนใต้เอาใครก็ได้ ขอให้พะโลโก้ ชวน หลีกภัย ฉะนั้น ต้องให้อลงกรณ์ พลบุตร หรือ อ.สมเกียรติ อ่อนวิมล ไปปฏิรูปกันเอง

หันมาดูพรรคเพื่อไทยบ้าง ปฏิรูป ปชป.ว่ายากแล้ว ปฏิรูป พท.ยิ่งแสนเข็ญ เปล่า ไม่ได้พูดแบบพวกพันธมิตรฯ ว่าเป็นพรรคของ “นายใหญ่” สั่งซ้ายหันขวาหัน ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงอาจจะดีกว่านี้ก็ได้ แต่ความเป็นจริงคือพรรคเพื่อไทยเละกว่านั้น ทั้งความสับสนของอำนาจ คุณภาพนักการเมือง และการหาประโยชน์ของกลุ่มก๊วน

นั่นทั้ง ๆ ที่เพื่อไทยได้ชัยชนะมาจากชีวิตเลือดเนื้อของมวลชนเสื้อแดง แต่ยังไม่มีความเป็น “พรรคของมวลชน” แม้กระผีก อย่าพูดถึงแกนนำ นปช.ที่เข้าไปเป็น ส.ส. เพราะกลายเป็นเรื่องของ นปช. ลงมาถึงมวลชนน้อยมาก

ทำอย่างไรจะให้มวลชนมีอำนาจต่อรองมากขึ้นในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งถ้ามียุบสภา ก็จะเร็วขึ้นเพราะต้องเลือกตั้งใน 60 วัน ต้องคิดและเตรียมกันตั้งแต่ตอนนี้

พูดเช่นนี้ไม่ใช่ยุให้แย่งชิงอำนาจ แต่มวลชนเสื้อแดงต้องตระหนักว่า พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งและได้ความชอบธรรมทางการเมือง จากชีวิตเลือดเนื้อมวลชนเสื้อแดง แต่รัฐบาลเพื่อไทยกลับย่ำแย่เพราะนักการเมือง และความไม่มีประสิทธิภาพในการบริหาร

ปัญหาของรัฐบาลเพื่อไทยมีหลายด้าน ข้อแรก ยิ่งลักษณ์ไม่ได้มีความสามารถเท่าทักษิณ มีความพร้อมน้อยกว่าทักษิณ เจอปัญหาหนักกว่าทักษิณ และไม่มีทีมงานที่ดีเหมือนทักษิณ ซึ่งเข้ามาพร้อมกับนโยบาย มีไอเดียไว้หมดว่าจะทำอะไร และมีคนเก่งรอบตัว เช่นมีหมอพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เป็นเลขานายกฯ
ยิ่งลักษณ์ไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในพรรคเหมือนทักษิณ เมื่อปี 2544 แน่นอน เพราะมีทั้งพี่ชาย พี่สาว พี่สะใภ้ แต่ พ.ศ.นี้ทักษิณก็ไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ พรรคไม่เป็นเอกภาพ ข้อหนึ่งอาจเป็นเพราะรัฐธรรมนูญ 2550 รัฐมนตรีไม่ต้องลาออกจาก ส.ส.ไม่เหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ทำให้รัฐมนตรีกลัวทักษิณหงอ อีกข้อหนึ่งอาจเป็นเพราะการต่อสู้ยืดเยื้อตั้งแต่ปี 2549 ถึง 2554 ทำให้ทักษิณมีแผลเต็มตัว ต้องเป็นหนี้บุญคุณ ต้องพึ่งพาอาศัยกลุ่มต่าง ๆ ในพรรค และต้องต่างตอบแทน

รัฐมนตรียุคยิ่งลักษณ์ จึงเหมือนตัดเค้กแบ่งกระทรวง ใครอยากทำอะไรทำได้ตามใจชอบ และแต่งตั้งเข้ามาแบบผิดฝาผิดตัวตลอด

การปูนบำเหน็จ ให้ความดีความชอบ ของพรรคเพื่อไทยก็มีปัญหา ตั้งแต่ระดับบนสุดจนถึงล่างสุด ผู้ที่เคยต่อสู้ร่วมกันมาถูกทอดทิ้ง ผมไม่ได้บอกว่าต้องตั้งจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นรัฐมนตรี เพราะถ้ามีคนมีความสามารถกว่า ก็ไม่ควรตั้งจตุพร ณัฐวุฒิ แต่พรรคให้ความสำคัญกลุ่มก๊วน กลุ่มทุน กลุ่มตระกูล มากกว่าคนมีคุณภาพ ทั้งตำแหน่งการเมืองและราชการ ซึ่งได้คนสอพลอหาผลประโยชน์เสียตั้งเยอะ

ระดับล่างสุด มีอดีตสหายที่เชียงใหม่ เป็นแดง บ่นให้ฟังว่ามวลชนอุตส่าห์วิ่งช่วยหาเสียงเลือกตั้งซ่อม แต่ชนะแล้วกลับไปโอ๋หัวคะแนนในระบบเก่า กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต.กลุ่มแม่บ้าน ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามเสียเยอะ

พูดก็พูดเถอะ ส.ส.เพื่อไทยบางคนยังไม่ตระหนักเลยว่า ชนะเพราะมวลชน บางคนยังเชื่อเหมือนพวกพันธมิตรฯ ว่าตัวเองชนะเพราะซื้อเสียง เพราะหัวคะแนน ทั้งที่มีบทเรียนพิสูจน์ในหลายพื้นที่ นักการเมืองกเฬวรากบางคน ชนะเลือกตั้งเพราะมวลชนจำต้องเลือกพรรค แต่พอส่งลูกส่งเมียลงนายก อบจ.หรือนายกเทศมนตรี กลับแพ้ย่อยยับ

ถ้าจะรักษาชัยชนะของประชาธิปไตย ก็ต้องทำให้พรรคเพื่อไทยมีความเป็นพรรคของมวลชนมากขึ้น


“พรรคทักษิณ” + พรรคมวลชน
การเรียกร้องให้ทำพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคของมวลชนไม่ใช่เรื่องง่าย ที่เรียกร้องให้ทำ Primary Vote คงมีไม่กี่เขตทำได้ เพราะมวลชนเสื้อแดงเองก็ไม่เป็นเอกภาพ แต่ละพื้นที่ก็มีหลากหลายกลุ่ม ซึ่งเห็นต่างกัน แกนนำส่วนหนึ่งก็กลายเป็นหัวคะแนน ส.ส.เหมือนหัวคะแนนในระบบเก่า

แต่อย่างน้อยก็ต้องตั้งเป้าว่า ในการเลือกตั้งครั้งที่จะถึง มวลชนต้องมีสิทธิมีเสียง มีการเสนอความเห็นต่อตัว ส.ส.หรือผู้สมัครของพรรค แสดงปฏิกิริยาออกมา ถ้าไม่ต้องการ ส.ส.คนเดิม แน่นอนว่าจะเกิดความขัดแย้ง แต่ต้องยอมรับความขัดแย้ง มวลชนจะต้องต่อสู้ถึงที่สุด แต่เมื่อมีข้อยุติว่าพรรคเลือกใคร ก็ต้องยอมรับและต้องสนับสนุน
เวลาพูดนะพูดง่ายแต่เวลาทำจริงยาก นิสัยคนไทยถ้าทะเลาะกันเสียแล้วอาจไม่มองหน้ากัน เรื่องไรกรูจะช่วยเมริง

ข้อสำคัญคือพรรคต้องยอมรับการดำรงอยู่ของมวลชนเสื้อแดง ที่อาจจะมี 3-4 กลุ่มใน 1 เขตเลือกตั้ง บางกลุ่มอาจไม่เอา ส.ส.ที่พรรคหรือเสียงส่วนใหญ่เลือก ก็ต้องให้พวกเขาต่อสายตรงกับพรรค มีข้อต่อรองกับพรรค ว่านี่มวลชนเลือกพรรค ไม่ได้เลือกผู้สมัคร เมื่อชนะแล้วพรรคต้องฟังมวลชนกลุ่มนี้ด้วย ไม่ใช่ ส.ส.ริบอำนาจเป็นผู้แทนพรรคแต่ผู้เดียวในเขตนั้น

พูดง่ายแต่ทำยากอีกนั่นแหละ เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ได้เข้มแข็ง ไม่มีคนทำงานซักเท่าไหร่ ก่อน “พี่อ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย เข้าไปเป็นเลขาฯ พรรคเพื่อไทย ก็เป็นเหมือนตึกร้าง มีแต่ “เด็จพี่” ให้สัมภาษณ์อยู่คนเดียว คนอื่น ๆ หนีไปเป็นรัฐบาลหมด

คนทำหน้าที่แทนพรรคในเรื่องนี้ที่ผ่านมาคือทักษิณ ซึ่งว่ากันว่ามีเบอร์โทร ต่อสายตรงถึงแกนนำทั่วประเทศ

คำถามคือเป้าหมายขั้นต้น ควรช่วงชิงพรรคเพื่อไทยให้เป็นพรรคของมวลชนในระดับใด ถ้าเป็นพวกพันธมิตร ก็คงยุให้ “ก้าวข้ามทักษิณ” แต่ขั้นนี้ไม่จำเป็น เป้าหมายที่ควรจะเป็นคือทำอย่างไรให้เป็น “พรรคของทักษิณ” พร้อมกับ “พรรคของมวลชน” โดยลดอำนาจกลุ่มการเมืองทุนท้องถิ่นลงไป

มวลชนเสื้อแดงไม่ว่าก้าวหน้าแค่ไหน ก็ยังไม่ได้ปฏิเสธทักษิณ ไม่ได้ปฏิเสธยิ่งลักษณ์ แต่ที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากก็คือ “นักการเมือง”กลุ่มก๊วนที่เข้าไปเป็นรัฐมนตรี ไม่เว้นแม้กลุ่มก๊วนที่เป็นของเครือญาติทักษิณด้วย

ขอบคุณภาพประกอบข่าวจาก Google

เล่ห์รัฐยัดไส้ “โดยชัดแจ้ง” ใส่ม.190 ส่อรวบอำนาจพื้นที่ทับซ้อนบก – ทะเล ไม่ต้องเข้ารัฐสภา

เล่ห์รัฐยัดไส้ “โดยชัดแจ้ง” ใส่ม.190
ส่อรวบอำนาจพื้นที่ทับซ้อนบก – ทะเล ไม่ต้องเข้ารัฐสภา

ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมมาตรา 190 มีการระบุแก้ไขว่า “หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยชัดแจ้ง หรือต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา หรือมีบทให้เปิดเสรีด้านการค้าหรือการลงทุน ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา

อาจตีความได้ว่า : กรณีที่เป็น “พื้นที่ทับซ้อน” อาจไม่ได้เข้าข่าย “โดยชัดแจ้ง” ตามที่ปรากฏ จึงทำให้กรณีใดๆที่เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทั้งทางบกและทางทะเล ไม่จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

ผลที่เกิดขึ้นตามมา :
• รัฐบาลใช้ช่องโหว่กฎหมายออกมติ ครม. เดินหน้าทำสนธิสัญญาเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนที่ไม่มีความชัดเจนได้
• ความมั่นคงชายแดนพระวิหารขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาล
• ความมั่นคงทางทรัพยากรพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลขึ้นอยู่กับรัฐบาล
• มีผลต่อหลักการพิจารณาคดีแถลงการณ์ร่วมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่มีนายนภดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพันตำรวจโททักษิณชินวัตร ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นจำเลย


ปัญหา....ค่าเช่าที่ดินสำนักงานใหญ่ ปตท. บนถนนพหลโยธินของ รฟท.

แฉกันเละ ...... ค่าเช่าที่ดินสำนักงานใหญ่ ปตท. บนถนนพหลโยธินของ รฟท. ที่ยังตกลงกันไม่ได้ “ผู้ว่ารถไฟ” เสียงแข็ง สิ้นปีนี้ หาก ปตท.ไม่จ่ายค่าต่อสัญญาเช่า 1,792 ล้านบาท ก็ให้ย้ายออก ขีดเส้นตาย 31 ธ.ค.นี้ ให้ ปตท.ตัดสินใจเรื่องการต่อสัญญาเช่าใช้ที่ดินอีก 30 ปี ชี้ข้ออ้างของ ปตท.ที่ระบุว่าการทำสัญญาขอใช้ที่ดิน ในครั้งแรก นั้น เป็นข้อตกลงที่เสมือนเป็น การขายขาดที่ดิน ให้กับ ปตท.ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะที่ดินของ รฟท.ไม่สามารถซื้อขายได้

นอกจากนี้ การทำสัญญาเช่าใช้ที่ดินเดิมของ รฟท. เมื่อปี 2526 ทางการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้รับผิดชอบ ในการก่อสร้างอาคารสำนักงานการแพทย์ 1 หลังและอาคารที่พักอาศัย 6 หลัง รวมทั้งปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค เพื่อชดเชยในการรื้อย้าย จากที่เดิมออกไป เป็นเงินรวม 54 ล้านบาท ขณะที่ราคาประเมินที่ดิน 23 ไร่ ที่ปรึกษาประเมินไว้ 80 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าราคาค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้าง ด้วย ทั้งยังพบว่า ปตท.ได้นำที่ดินบางส่วน แบ่งให้สำนักงานส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ก่อสร้างสำนักงาน และเก็บค่าใช้ที่ดินในอัตรา 70 ล้านบาท อีกด้วย

รฟท.ได้ทำ หนังสือเพื่อสงวนสิทธิ ในการเรียกเก็บค่าเช่าจาก ปตท. ที่ค้างจ่ายหลังจากสัญญาเดิมสิ้นสุด เมื่อวันที่ 31 มี.ค.56 ในอัตราเดือนละ 6 ล้านบาท “ค่าเช่าต่อสัญญาอีก 30 ปี รวม 1,792 ล้านบาท แต่ ปตท.ขอจ่ายแค่ 800 ล้านบาท ขณะที่ราคาที่คิดนั้นตกปีละ 59 ล้านบาท หรือเดือนละ 4.97 ล้านบาทเท่านั้น และ ที่สำคัญ ปัจจุบัน ปตท.ก็เป็นบริษัทมหาชนอีก แล้ว ไมใช่รัฐวิสาหกิจเหมือนก่อน

การที่ ปตท.อ้างเหตุผลในสัญญาเดิม ที่กำหนดว่าจะได้สิทธิในการต่อสัญญาอีก 30 ปี โดยไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนนั้น ในความเป็นจริงสัญญาเดิม รฟท.ผูกพันกับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ แต่หลังจากนั้น ปตท.ได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน ซึ่งฝ่ายกฎหมาย และตัวแทนอัยการสูงสุด ที่เป็นกรรมการ รฟท.ได้ยืนยันตรงกันว่า ผลผูกพันทางนิติกรรม ได้สิ้นสุดลงแล้ว เพราะถือว่าเป็นนิติบุคคลใหม่ ดังนั้น รฟท.มีสิทธิเรียกเก็บค่าเช่า ใช้ที่ดินได้ รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างเหนือ พื้นดินทั้งหมด จะต้องตกเป็นของ รฟท.หลังสัญญาสิ้นสุดด้วย

ในทางกลับกัน กรณีที่ ปตท.ลงทุนจัดซื้อหัวรถจักร เพื่อนำมาเดินรถขนสินค้า ได้คิดอัตราดอกเบี้ย 10% จาก รฟท.ด้วย โดยอ้างว่าเป็นบริษัทมหาชน แต่กรณีต่อสัญญาเช่าที่ดินกลับ อ้างว่าเป็นรัฐวิสาหกิจ ขอเช่าที่ดินในราคาถูก ?????


สนนท. และ อศ.มร. แถลงปัดไม่ได้เข้าร่วมม็อบต้านรัฐบาล

เมื่อวันที่ 15 ต.ค.
ที่ห้องประชุมสภานักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง นายสุพัฒน์ อาษาศรี เลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย(สนนท.) นายนันทพงศ์ ปานมาศ รองประธานนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง และนายฮากิม พงตีกอ รองประธานสหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียน และเยาวชนปาตานี ร่วมกันออกแถลงการณ์ต่อกรณีการชุมนุมของกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาและประชาชนปฏิรูปประเทศไทย(คปท.) ที่แยกอุรุพงษ์

โดยนายสุพัฒน์ ได้อ่านแถลงการณ์มีใจความว่า หลังการรัฐประหารปี2549 ทำให้การต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการยิ่งชัดเจนขึ้น ซึ่งทางฝ่ายเผด็จการได้วางรากฐานอำนาจไว้ทั้งองค์กรตุลาการ องค์กรอิสระ พรรคการเมือง เพื่อแช่แข็งประเทศให้อยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มอำนาจเก่าล้าหลัง แม้ว่าปัจจุบันพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ประชาธิปไตย แต่ก็ยังมีกลุ่มลิ่วล้อของเผด็จการหลงยุค ปักหลักชุมนุมอยู่ ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับกลุ่มอำนาจเก่าล้าหลังอย่างชัดเจน ความสัมพันธ์เริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อกลุ่มแกนนำผลัดเปลี่ยนขึ้นมาแสดงบทบาท พร้อมกับข้อเรียกร้องที่ขัดแย้งกับทิศทางประชาธิปไตย โดยมีเป้าหมายเพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตยแช่แข็งประเทศ และขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยกลุ่มลิ่วล้อและเครือข่ายเผด็จการหลงยุค มักใช้ปัญหาต่างๆ มาเป็นเงื่อนไขมาสร้างสถานการณ์ปลุกระดมมวลชนเช่นปัญหาราคายางพารา ปัญหาชายแดน โดยเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ และมีการเปลี่ยนชื่อกลุ่มขับเคลื่อนต่อไป

สนนท.ขอให้กลุ่มลิ่วล้อและเผด็จการหลงยุค หยุดการกระทำที่นำไปสู่การล้มระบอบประชาธิปไตย เพื่อรื้อฟื้นอำนาจเก่าล้าหลัง เพราะการกระทำดังกล่าวเป็นการแย้งกับทิศทางประชาธิปไตย

นายสุพัฒน์กล่าวต่อว่า สนนท.ไม่เห็นด้วยในทุกกรณีใดๆ ทั้งการทำลายระบอบประชาธิปไตย ศาลรัฐธรรมนูญ โดยนำความทุกข์ยากของประชาชนมาเป็นข้ออ้างในการเคลื่อนไหวทางการเมือง เผด็จการนอกสภา จึงขอประณามการกระทำดังกล่าว และวิงวอนผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้มีอำนาจให้เคารพกฎเกณฑ์บ้านเมือง

ด้าน นายนันทพงศ์ กล่าวว่า จากกรณีที่ นายอุทัย ยอดมณี นายกองค์การนักศึกษา ม.รามคำแหง และนศ.ม.รามคำแหงจำนวนหนึ่งไปร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่ม คปท. โดยอ้างชื่อม.รามคำแหงนั้น ขอยืนยันว่าองค์การนักศึกษา ม.รามคำแหงมีคณะกรรมการ 12 คน แต่ที่ไปร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่ม คปท.มีเพียง2คน ที่เหลือต่างไม่เห็นด้วย และไม่เคยมีการประชุมอนุมัติให้ไปร่วมเคลื่อนไหวด้วย ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิ์ในการอ้างชื่อองค์การนักศึกษา ม.รามคำแหงไปร่วมเคลื่อนไหว เพราะที่ผ่านมาพวกเราเคารพในประชาธิปไตย และสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แม้ว่ารัฐบาลจะทำไม่ถูกไม่ควร แต่ก็ต้องมีเหตุผลในการไปเรียกร้อง ไม่ใช่ไปขับไล่โดยใช้ความรุนแรง ซึ่งหากนายอุทัยและนศ.กลุ่มดังกล่าวยังไม่หยุดใช้ชื่อ ม.รามคำแหงไปเคลื่อนไหว ทางองค์การนักศึกษา ม.รามคำแหงก็จะมีมาตรการคว่ำบาตรต่อไป..


“โว เหงียน ยัป” ตำนานวีรบุรุษคนสุดท้ายแห่งเวียดนาม


15 ตุลาคม 2013
รายงานโดย…อิสรนันท์
“อสัญกรรมของ พล.อ.โว เหงียน ยัป ถือเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศ…ท่านได้อุทิศชีวิตทั้งชีวิตให้กับประเทศชาติและประชาชน จิตวิญญาณของท่านจะผนึกเป็นหนึ่งเดียวกับประชาชนชาวเวียดนาม มอบความเข้มแข็งให้กับพวกเขาเพื่อสร้างประเทศให้แข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรือง”
โว เดียน เบียน ลูกชายของ พล.อ.ยัป กล่าวไว้อาลัยผู้เป็นพ่อระหว่างเคลื่อนศพไปฝังท่ามกลางชาวเวียดนามราวสองแสนคนที่ร่วมส่งศพวีรบุรุษสงครามคนสุดท้ายผู้เป็นตำนานเล่าขานไม่มีวันลืมเลือน
อดีตทหารผ่านศึกผู้หนึ่งให้ความเห็นว่า “หลายคนร่ำไห้ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับพิธีศพผู้นำคนก่อนๆ แสดงให้เห็นว่าประชาชนมีความรู้สึกเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับ พล.อ.ยัป”
“พล.อ.โว เหงียน ยัป” หรือ “หว่อ เหงียน ย้าป” หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อของ “โว เหงียน เกี๊ยบ” วีรบุรุษคนสุดท้ายในยุคสงครามปลดแอกจากเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส และจากการยึดครองของกองทัพสหรัฐอันเกรียงไกร สิ้นลมเมื่อต้นเดือนตุลาคมนี้ด้วยวัย 102 ปี เรียกได้ว่าเป็นนายทหารเพียงคนเดียวที่มีโอกาสได้เห็นประธานาธิบดีและนายทหารระดับสูงของฝรั่งเศสและสหรัฐทุกคนที่เคยเป็นคู่สงครามกันมาก่อนในช่วงสงครามกู้เอกราชและช่วงสงครามเวียดนามทะยอยลาลับไปก่อนหน้า
ในสายตาของนักการทหารและนักประวัติศาสตร์ทั้งตะวันตกหรือตะวันออกผู้มีใจเป็นธรรมปราศจากอคติในเรื่องเชื้อชาติหรือยึดติดกับความยิ่งใหญ่ของอดีตเจ้าอาณานิคมต่างยอมรับโดยปราศจากข้อดังขาใดๆ ว่านายพลโว เหงียน ยัป เจ้าของตำนานวีรบุรุษเดียนเบียนฟู และผู้พิชิตกองทัพอันยิ่งใหญ่ของสหรัฐว่าเป็นนักการทหารผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดติดอันดับท็อปเทนของนักการทหารระดับโลกในศตวรรษที่ 20 เทียบเท่ากับนายพลมอนต์โกเมอรีแห่งอังกฤษ จอมพลรอมเมล แห่งกองทัพนาซีเยอรมนี และพลเอกแมคอาเธอร์ของสหรัฐ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กระทั่งได้รับสมญาว่า “นโปเลียนแดง”
แต่เพราะความใจแคบของนักการทหารและนักประวัติศาสตร์ของตะวันตกจึงพยายามทำเป็นลืมเลือนชื่อของนายพลแห่งบูรพาทิศผู้นี้เพราะไม่อยากตอกย้ำปมด้อยที่แพ้การศึกกับนายทหารจากดินแดนใต้อาณานิคมผู้ไม่เคยผ่านโรงเรียนทหารแม้แต่แห่งเดียว นอกเหนือจากเรียนรู้จากประสบการณ์จริงในการทำสงครามกองโจรเพื่อปลดปล่อยประเทศโดยลอกตำรามาจากกลยุทธ์การทำสงครามประชาชนของอดีตประธานเหมา เจ๋อ ตุง แห่งแดนมังกรจีนผู้เปรียบเสมือนลูกพี่และผู้อุปถัมภ์รายใหญ่เท่านั้น
พล.อ.โว เหงียน ยัป
พล.อ.โว เหงียน ยัป
ขณะเดียวกัน การเมืองในแดนตระกูลเหงียนซึ่งเต็มไปด้วยศึกชิงอำนาจระหว่างกลุ่มต่างๆ ก็พ่นพิษจนทำให้ชื่อของนายพลโว เหงียน ยัป แทบจะเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ทั้งๆ ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ของลุงโฮ หรือโฮ จิ มินห์ คู่กับฟาม วัน ดง ที่เป็นเสมือนฝ่ายบุ๋น หรือเหมือนกับแขนซ้าย-ขวา คู่บุญบารมีของลุงโฮมาตลอดช่วงทำสงครามขับไล่เจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสต่อเนื่องมาจนถึงขับไล่ทหารอเมริกันออกจากประเทศนี้ ที่สำคัญก็คือ เป็นขุนศึกผู้มีความรักชาติเป็นที่สุดแทบไม่ผิดแผกไปจากลุงโฮแม้แต่น้อย
ตำนานวีรบุรุษเดียน เบียน ฟู ผู้นี้เกิดในครอบครัวชาวนาที่จังหวัดกวางบินห์ ทางตอนกลางของประเทศเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2453 แค่อายุ 14 ปี ก็เข้าร่วมกับกองทัพใต้ดินของโฮ จิ มินห์ เพื่อต่อต้านจักรวรรดินิยมฝรั่งเศศ แต่พออายุ 18 ปี ก็ถูกฝรั่งเศสจับกุมเป็นครั้งแรกในข้อหามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ จากการเป็นแกนนำการประท้วงของนักศึกษา กระนั้น ยัปก็อุตส่าห์เรียนต่อกระทั่งสำเร็จการศึกษา
นิติศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยฮานอย เมื่อ พ.ศ. 2480 ในตอนแรกยึดอาชีพเป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์และนักหนังสือพิมพ์ ระหว่างนั้นได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ของโฮ จิ มินห์ ก่อนจะหลบหนีการจับกุมของตำรวจไปยังภาคใต้ของจีนพร้อมกับโฮ จิ มินห์ และฟาม วัน ดง ขณะที่ภรรยาคนแรกถูกจับขังจนเสียชีวิตในคุก
แม้จะไม่เคยผ่านโรงเรียนทหารมาก่อน แต่ลุงโฮก็ไว้วางใจคนสนิทอย่างโว เหงียน ยัป ซึ่งมีบทบาทสำคัญในยุทธการครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นยุทธการที่ลางเซินและยุทธการฮวาบิญห์ ให้เป็นคนวางแผนการรบแบบสงครามกองโจรต่อกรกับเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส แม้จะเสียเปรียบไปทุกด้าน ไม่ใช่แค่อาวุธที่ห่างกันหลายขุม ยังรวมไปถึงยุทธปัจจัยสำหรับทหารกองโจรซึ่งอัตคัดไปเสียทุกอย่าง ทหารกองโจรต้องสวมรองเท้าแตะที่ตัดมาจากยางรถยนต์ แต่ด้วยจิตใจอันมุ่งมั่นที่จะขับไล่เจ้าอาณานิคมออกไปให้ได้ ทหารกองโจรซึ่งได้เปรียบในเรื่องของจำนวนและจิตใจอันฮึกเหิมไม่ย่อท้อ แม้ต้องลากปืนใหญ่ข้ามภูเขาลูกแล้วลูกเล่าระหว่างการปิดล้อมและบดขยี้กองทัพฝรั่งเศสที่เดียน เบียน ฟู กระทั่งสามารถพิชิตชัยได้อย่างเหลือเชื่อที่สุดเมื่อปี 2497 ด้วยกลยุทธิ์ “อ่อนพิชิตแข็ง” ท้ายสุด เจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสต้องยอมคืนเอกราชให้กับเวียดนามอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจนัก จึงแอบหนุนหลังให้สหรัฐเข้ามาแทรกแซงการเมืองในประเทศนี้ในอีก 20 ปีให้หลัง ด้วยการสนับสนุนรัฐบาลเวียดนามใต้ทุกๆ ด้าน
นายพลยัป ได้ชื่อเป็นผู้บัญชาการทหารที่เฉียบขาด อารมณ์ร้อน ได้เลียนแบบตำรารบของบรรดาขุนพลของจีนในอดีต นั่นคือมุ่งมั่นเอาชนะโดยไม่คำนึงถึงจำนวนไพร่พลที่จะต้องสูญเสียไป จึงได้รับความไว้วางใจจากลุงโฮอีกครั้งให้เป็นจอมทัพในการทำสงครามกับสหรัฐ ซึ่งได้เปรียบทุกด้านทั้งด้านกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ และนายพลยัปก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เป็นคนวางแผนเปิดฉากโจมตีสายฟ้าแลบในเทศกาลวันตรุษญวนหรือเท็ตซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่ของเวียดนาม หรือรู้จักกันในชื่อของ “การรุกวันตรุษญวน” และ “การรุกวันอีสเตอร์” สร้างความเสียหายให้กับทหารอเมริกันซึ่งได้แต่โวยวายว่าทหารเวียดนามเหนือละเมิดข้อตกลงหยุดยิงในวันตรุษ
ยอดขุนพลของเวียดนามเองยอมรับสารภาพระหว่างให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติเป็นครั้งสุดท้ายระหว่างร่วมงานรำลึกวันครบรอบ 30 ปีการปลดปล่อยไซ่ง่อนว่า “ไม่มีสงครามปลดปล่อยครั้งใดที่จะรุนแรงและมีการสูญเสียทหารมากเท่ากับสงครามขับไล่ทหารอเมริกันออกจากไซ่ง่อน…แต่การยอมแพ้ ไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของข้าพเจ้า” ตำนานวีรบุรุษของเวียดนามเคยพูดอย่างอหังการ์ “ทหารที่ต่อสู้เพื่ออิสรภาพ จะมีพลังพิเศษเพื่อให้บรรลุสิ่งที่มุ่งหวังไว้อย่างยากจะจินตนาการถึง”
ขณะที่เสนาธิการทหารของสหรัฐแก้ตัวที่ต้องเดินตามรอยทหารฝรั่งเศสพ่ายแพ้การรบในเวียดนามว่าถ้าเป็นการศึกแบบตะวันตกแล้ว หากนายทหารคนใดปล่อยให้ทหารเสียชีวิตมากถึงขนาดนี้ มีหวังถูกสั่งปลดทันที แถมยังอาจถูกนำตัวขึ้นศาลทหารด้วย
อย่างไรก็ดี แม้จะชนะในสนามรบจนได้รับยกย่องว่าเป็นยอดขุนพลผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ แต่ในสนามการเมืองแล้ว นายพลยัปกลับอ่อนหัดปราชัยยับเยินครั้งแล้วครั้งเล่า หลังปราศจากลุงโฮซึ่งถึงแก่อนิจธรรมเมื่อปี 2512 คอยเป็นกะลาคุ้มหัวให้แล้ว กระทั่งถูกปลดจากตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม ผู้บัญชาการทหารบกและสมาชิกอาวุโสของพรรคแรงงานเวียดนามหรือพรรคลาวด่อง แถมยังถูกเบียดให้ไปนั่งอยู่ข้างเวที ดูความรุ่งโรจน์ของนายพล 4 ดาว วัน เทียน ดุง ที่ตัวเองสนับสนุนและผลักดันให้ขึ้นมาเป็นทหารระดับแถวหน้าอีกทั้งยังช่วยวางแผนการรบอันยิ่งใหญ่รั้งสุดท้าย นั่นก็คือแผนยุทธการบัวบาน จนสามารถยึดกรุงไซ่ง่อนได้เมื่อปี 2518 แต่ประวัติศาสตร์ของเวียดนามไม่พูดถึงบทบาทของนายพลยัปแต่อย่างใด
กระนั้น ยอดขุนพลคู่บารมีลุงโฮก็ไม่สนใจ เพราะถือว่าบรรลุเป้าหมายสูงสุดของลุงโฮแล้ว นั่นก็คือรวมเวียดนามเป็นหนึ่งเดียวกันได้สำเร็จสมปรารถนา นายพลยัปจึงได้กล่าวคมวาทะไว้ประโยคหนึ่งหลังยึดไซ่ง่อนได้ใหม่ๆ ว่า “จากชัยชนะเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2518 บรรดาทาสทั้งหลายก็กลายเป็นเสรีชน เป็นเรื่องราวที่เหลือเชื่อที่สุด”
หลังจากเวียดนามรวมประเทศแล้ว นายพลยัปได้ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีกลาโหมอีกครั้ง แต่อิทธิพลทางการเมืองเริ่มลดลงตามลำดับ เนื่องจากคัดค้านที่เวียดนามจะกรีฑาทัพไปยึดกรุงพนมเปญเมื่อช่วงปลายปี 2521 โดยมองว่าเท่ากับเดินตามรอยเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ทำให้สมาชิกระดับนำในพรรคคอมมิวนิสต์หลายคนไม่พอใจ
ท้ายสุด อดีตบุรุษเดียน เบียน ฟู ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมื่อปี 2519 ก่อนจะถูกปลดจากรัฐมนตรีกลาโหมในปี 2523 และถูกบีบให้พ้นจากโปลิตบุโรในปี 2525 ตามด้วยการลาออกจากตำแหน่งสุดท้ายคือรองนายกฯ ในปี 2534
น่าแปลกตรงที่ว่า ยิ่งหมดบุญวาสนาทางการเมืองนายพลยัปกลับยิ่งเป็นที่รักของประชาชนมากขึ้น มีโอกาสเดินทางไปเยือนถิ่นสมรภูมิรวมทั้งเยี่ยมเยือนมวลชนในท้องถิ่นต่างๆ และได้กล่าวปราศัยถึงยุคสมัยการต่อสู้ในอดีต รวมไปถึงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลในหลายๆ เรื่องด้วยกัน โดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชัน นอกจากนี้ ยังมีบทบาทสำคัญในการประสานทางการทูตกับจีนและสหรัฐอเมริกา ไม่นับรวมกรณีได้รับเชิญเดินทางเยือนต่างประเทศหลายครั้ง ตลอดจนออกต้อนรับแขกเมืองระดับสูงจากต่างประเทศหลายครั้ง
พล.อ.โว เหงียน ยัป ที่มาภาพ : http://www.cand.com.vn
พล.อ.โว เหงียน ยัป ที่มาภาพ : http://www.cand.com.vn
โว เหงียน ยัป เองได้ถ่ายทอดประสบการณ์การรบนอกตำราออกมาเป็นหนังสือหลายเล่ม อาทิ “ชัยชนะอันยิ่งใหญ่”, “ภารกิจอันยิ่งใหญ่”, “กองทัพประชาชน”, “สงครามประชาชน”, “เดียน เบียน ฟู” และ “เราจะชนะ” ซึ่งฝ่ายซ้ายและนักปฏิวัติทั่วโลกต่างต้องหาอ่านหากต้องการทำสงครามที่ไม่มีวันพ่ายแพ้บ้าง
ในส่วนของชีวิตครอบครัวปัจจุบัน อดีตขุนพลผู้ยิ่งใหญ่มีลูกสาว 3 คน และลูกชาย 2 คน จากภรรยาคนที่สอง หลังจากภรรยาคนแรกเสียชีวิต ระหว่างถูกจองจำในคุกของฝรั่งเศส เมื่อปี 2486
นักวิจารณ์หลายคนมองว่าการที่ชาวเวียดนามซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยรับรู้ประวัติศาสตร์สมัยสงครามเดียน เบียน ฟู และสงครามกับสหรัฐต่างโศกเศร้าอาลัยต่อการจากไปของวีรบุษเดียน เบียน ฟู ผู้นี้ เป็นสัญลักษณ์สะท้อนให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ล้วนแต่ไม่พอใจผลงานของรัฐบาลชุดหลังๆ ซึ่งมีแต่ข่าวฉาวโฉ่เรื่องการทุจริตฉ้อฉล ละเลยปัญหาปากท้องของประชาชน และปล่อยให้เศรษฐกิจประเทศตกต่ำลง

คืบคดีฆ่าเอกยุทธ ไอ้บอล เปิดรับความจริง ว่าคนมีสีฆ่า เอกยุทธ จ้างอุ้ม 3 ล้าน !แถมถูกเบี้ยวค่าจ้าง

คืบหน้า คดีเอกยุทธ อันชัญชบุตร
ไอ้บอล เปิดรับความจริง ว่าคนมีสีฆ่า เอกยุทธ จ้างอุ้ม 3 ล้าน !แถมถูกเบี้ยวค่าจ้างอีก แฉหมดเปลือก ชี้ แม้ว อยู่เบื้องหลัง สั่งฆ่า เอกยุทธ 16 ส.ค.56 เมื่อเวลา 17.00 น. ที่บริษัท กฎหมายอรุณอัมรินทร์ จำกัด เลขที่ 109/12 ซอยลาดพร้าว 23 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร 
นายสุวัตร อภัยภักดิ์ อดีตทนายความของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร พร้อมด้วย น.ส.อัจฉรา แสงขาว ทีมทนายความ ได้แถลงข่าว กรณีที่ออกมาเปิดเผยว่า นายสันติ เพ็งด้วง หรือบอล ผู้ต้องร่วมกันฆ่า นายเอกยุทธ ติดต่อมาไปพบ เพื่อเปิดเผยข้อมูลว่า ถูกว่าจ้างโดยกลุ่มคนมีสี ให้ฆ่านายเอกยุทธ แต่ พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. ก็ยืนยันว่า ไม่มีใครเข้าเยี่ยมนายบอล ที่เรือนจำ แต่อย่างใด 

โดย นายสุวัตร เปิดเผยว่า ตนไม่อยากแถลงข่าว เนื่องจากเลิกทำคดีนี้แล้ว แต่ที่ พล.ต.ต.อนุชัย ออกมาให้ข่าวว่า ตนไม่ได้ส่งทีมงานไปพบนายบอลจริงนั้น ทำให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียง เหมือนตนเป็นคนโกหก และไม่ได้ตั้งใจคัดค้านพนักงานสอบสวน ยังคงแสวงหาความร่วมมือกันต่อไป โดยตนได้ส่ง น.ส.อัจฉรา ซึ่งเป็นคนจังหวัดพัทลุง และเป็นคนที่พูดกับนายบอล ที่บช.น.จน นายบอล ยอมบอกที่ฝังศพ นายเอกยุทธ นอกจากนั้น ตนยังทำหนังสือ เรื่อง ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงและเสนอประเด็นให้สอบสวนพยานเพิ่มเติม ถึง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. มีใจความว่า ตามที่ พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผบช.น. ได้แถลงข่าวถึงกรณีที่ให้พนักงรานสอบสวน เข้าไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ เพื่อสอบปากคำนายสันติภาพ เพ็งด้วง หรือบอล โดยมีการตอบเป็นข้อๆ โดยอ้างว่า ไม่เคยมีผู้แทน นายสุวัตร อภัยภักดิ์ พบหรือพูดคุยกับนายบอล แต่อย่างใด และอ้างว่า ไม่เคยพูดว่ามีคนจ้าง ให้ฆ่านายเอกยุทธ อัญชันบุตร เป็นเงิน 3 ล้านบาท โดยปรากฏตามข่าวที่สื่อมวลชนนำเสนอ โดยมีการนำคำให้การที่อ้างว่า เป็นของนายบอลได้ให้การไว้มาแสดงต่อสื่อมวลชน ตนขอยืนยันว่า เมื่อประมาณ วันที่ 18 ก.ค. นายสันติภาพ ได้ให้คนติดต่อมาเพื่อจะบอกข้อมูลสำคัญ ต่อมาตนได้ส่งตัวแทน ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมทนายความ คือ น.ส.อัจฉรา แสงขาว เข้าพบนายสันติภาพ เมื่อวันที่ 26 ก.ค.โดยแสดงบัตรทนายความ เข้าเยี่ยม เวลา 13.00 น.และได้พบนายบอล เวลา 14.10 น.ซึ่งได้พูดคุยกันประมาณ 10–15 นาที 

ด้าน น.ส.อัจฉรา เปิดเผยว่า ตนขอยืนยันว่า วันที่ 26 ก.ค. ตนได้เข้าไปพบกับ นายบอล จริง โดยสามารถตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่เรือนจำได้ เพราะถ้าจะเข้าไปเยี่ยมผู้ต้องหาต้องยื่นบัตรประจำตัวทนายความ และต้องกรอกเอกสารว่าจะเข้าเยี่ยมใคร จากนั้นยังจะต้องนำเอกสารไปให้หัวหน้าเซ็นอีกที ก่อนจะมานั่งรออยู่กว่า 30 นาที จนเจ้าหน้าที่มาบอกว่ารอนานหน่อนนะ เพราะนายบอล เป็นนักโทษคดีสำคัญ ต้องมีผู้คุมเดินมาด้วย ซึ่งที่ตนจำวันที่ได้ เพราะตอนยื่นบัตรทนาย ในบัตรระบุวันหมดอายุวันที่ 26 ก.ค. เจ้าหน้าที่ยงถามว่า บัตรหมดอายุวันนี้แล้ว อย่าลืมไปต่อนะ ตนยังบอกว่าถ้าอย่างนั้น ก็เร็วหน่อย จะได้รับกลับไปต่อบัตรทนาย ก่อนจะพบนายบอล ซึ่งวันนั้นเขาสวมเสื้อนักโทษสีน้ำตาล โดยเราพูดคุยกันเป็นภาษาใต้ เพราะเป็นคนพัทลุง ด้วยกัน 

โดยนายบอล บอกกับตนว่า ผลจะเล่าความจริงให้พี่ปุยฟังทุกอย่าง ซึ่งชื่อปุย เป็นชื่อเล่นของตน และอยากให้พี่บอกนายสุวัตร ช่วยตนด้วย พี่สามารถตรวจสอบได้ว่าข้อมูลที่ผมเล่าเป็นความจริงหรือไม่ น.ส.อัจฉรา กล่าวต่อว่า ตนยังถามบอลว่า ไม่กลัวอันตรายหรือหากเล่าให้พี่ฟัง เพราะไม่แน่ใจว่าจะถูกดักฟังหรือไม่ บอลยังตอบว่า ไม่กลัว เพราะกำลังลำบาก และเขาเบี้ยวค่าจ้างผม 3 ล้านบาท ผมรับมาเพียงหลักแสนในเบื้องต้น หากนายสุวัตร รับปากจะช่วยดูแลครอบครัวผม 

จากนั้นนายบอลได้ล่าให้ฟังว่า เคยทำงานที่บริษัท ซ๊ทีเอ็ม มาก่อนโดยตอนนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็นทรีวิว ตั้งอยู่สี่แยกอโศกเลี้ยวขวาไปทางคลองเตย อยู่ชั้น 22 หรือชั้น 23 อยู่ในตึก ซีทีไอทาวเวอร์ โดยมีเจ้านายเก่า ตนชื่อนายสมชาย เป็นเจ้าของบริษัท จำนามสกุลไม่ได้ มีภรรยาเชื่อ เกียว อยู่หมู่บ้านชิชา พระราม 2 และมีคอนโดเดอะเลค อยู่สี่แยกอโศกที่เดียวกับายเอกยุทธ และนายสมชาย ยังมีบ้านพักอยู่ประเทศอังกฤษ นอกจากนั้น นายสมชาย ยังอ้างว่า เป็นลูกน้องคนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ (ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) และเคยพาตนเข้าออกพรรเพื่อไทยเป็นประจำ เมื่อตนลาออกมาอยู่กับ นายเอกยุทธ นายสมชาย ได้ติดต่อมาว่า สนใจรับงานไหม จากนั้น ก็ให้ตนติดต่อทีมอุ้มซึ่งเป็นคนมีสี โดยก่อนหน้านี้มีการวางแผนกัน 2 ครั้งแต่ไม่สบโอกาส จนวันเกิดเหตุ นายเอกยุทธ ลืมปืนไว้ในรถตนจึงตัดสินใจทำวันนั้น โดยติดต่อทีมอุ้ม พี่ปุยคิดดูว่า จะเอาศพไปพัทลุงได้อย่างไร โดยไม่เจอด่านตำรวจ ตลอดเวลาที่ขับรถจะขับชิดขวาตลอด และมีรถนำขบวนตลอดทาง รวม 3 ช่วง นอกจากนั้น การทำงานคร้งนี้มีเบอร์พิเศษ และฮาร์ดดิสก์ ตนก็ไม่ได้ทุบทำลาย ตามที่ให้การกับตำรวจ แต่นำไปฝังดิน ดังนั้น หลักฐานทุกอย่างยังอยู่ สามารถสาวไปถึงผู้บงการได้ หากนายสุวัตร รับปากจะดูแลพ่อแม่ตน ตนก็ยินดีจะบอกทุกอย่าง 

น.ส.อัจฉรา กล่าวต่อว่า หลังจากพบนายบอล แล้วตนก็ให้ทีมงานเช็คว่า นายสมชาย มีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ โดยคัดหนังสือรับรองบริษัท ทรีวิว จำกัด เมื่อวันที่ 26 ก.ค. พบว่า บริษัททีซีเอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด มี นายสมชาย (สงวนนามสกุล) เคยเป็นกรรมการ ส่วนคอนโดเดอะเลควิว ก็ตั้งอยู่บริเวณเดียวกับที่นายบอล เล่าให้ฟัง 

นายสุวัตร กล่าวต่อว่า เพื่อจะได้เกิดความยุติธรรม กับ นายเอกยุทธ และจำเลย ตนจึงขอให้พนักงานสอบสวน ทำการสอบสวนในประเด็นดังต่อไปนี้ 1.นายบอล หรือสันติภาพ เคยทำงานอยู่ที่ บริษัท ซีทีเอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด จริงหรือไม่ 2.นายสมชาย เกี่ยวกับอย่างไรกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย 3.นายบอล และ นายสมชาย เคยไปที่ทำการพรรคเพื่อไทย หรือไม่อย่างไร 4.ฮาร์สดิสก์ฝังอยู่ใต้ดิน อยู่ที่ไหน เพราะฮาร์ดิสก์จะนำไปสู้ทีมฆ่าตัวจริง ขอให้พนักงานรสอบสวนค้นหาฮาร์ดิสก์ ดังกล่าวมาให้ได้ 5.ที่อ้างว่ามีรถนำนายบอล นำศพเอกยุทธไป จังหวัดพัทลุง 3 ช่วง เพื่อเป็นใบเบิกทางมีอยู่จริงหรือไม่ และเป็นรถของผู้ใด นายสุวัตร กล่าวต่อว่า หากเจ้าหน้าที่ทำการสืบสวนสอบสวนทั้ง 5 ประเด็นดังกล่าวแล้ว ก็จะเป็นการคบลี่คลายปัญหาของคดีนี้ได้ อันจะไม่ทำให้พนักงานสอบสวนไม่หลงทาง เนื่องจากบาดแผล จาการชันสุตรฃศพของ นายเอกยุทธ ขัดกับคำให้การของนายบอล และข้อสรุปของพนักงานสอบสวนและตนจะขอแถลงข่าวครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และไม่ขอไปเยี่ยมนายบอล อีกแล้ว ขอยุติคดีของนายเอกยุทธ และส่งเอกสารที่ได้มาให้กับพนักงานสอบสวน และ กมส.ต่อไป แต่ถ้าญาติ นายเอกยุทธ เข้ามาขอให้ทำคดีอีก ก็ต้องคุยกันอีกที http://www.naewna.com/local/64624