PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ตำรวจบอกนส.เตือนรัสเซีย ของจริง

4 ธ.ค. 58 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.ต.ต.ทรงพล วัธนะชัย รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวถึงหนังสือแจ้งเตือนกลุ่มไอเอสซึ่งกำลังเป็นที่สังคมของสังคมว่า ยอมรับหนังสือแจ้งเตือนเรื่องความเป็นไปได้ในการก่อการร้ายของกลุ่มไอเอส ซึ่งระบุว่าให้ติดตามพฤติการณ์ของชาวซีเรีย 10 คน ที่เดินทางเข้าประเทศไทยว่า เป็นของจริง ซึ่งชาวต่างทั้ง 10 ราย จะมีตัวตนหรือไม่ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ
ส่วนกรณีที่หนังสือแจ้งเตือนจากกองบัญชาการตำรวจสันติบาล เรื่องความเป็นไปได้ในการก่อการร้ายของกลุ่มไอเอส ซึ่งระบุว่าให้ติดตามพฤติการณ์ของชาวซีเรีย 10 คน ที่เกี่ยวข้องกับรัฐอิสลาม เดินทางเข้ามายังประเทศไทย ระหว่างวันที่ 15-31 ตุลาคมที่ผ่านมา ว่า หนังสือดังกล่าวเป็นของจริง ส่วนชาวต่างชาติทั้ง 10 ราย จะมีตัวตนหรือไม่ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ โดยตำรวจได้เพิ่มความเข้มงวดในการดูแลรักษาความปลอดภัย และด้านการข่าวแล้ว
พล.ต.ต.ทรงพล กล่าวว่า เบื้องต้นนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี สั่งการให้ตำรวจวางกำลังเข้มรอบสถานทูตต่างๆ ที่อยู่ในประเทศไทย รวมถึงแหล่งท่องเที่ยว และแหล่งที่พักอาศัยที่มีชาวรัสเซียและประเทศเป้าหมายพำนักอยู่ พร้อมกันนี้ยืนยันว่าหลังเกิดเหตุก่อการร้ายในประเทศฝรั่งเศส ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีบันทึกสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดวางกำลังรักษาความปลอดภัยอยู่แล้ว ซึ่งจนถึงขณะนี้ทางสถานทูตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังไม่ได้ร้องขอการดูแลเป็นพิเศษ
ทั้งนี้มีรายงานว่า ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มผู้ต้องสงสัยที่ทางการรัสเซีย ส่งมาให้ทั้ง 10 คน ได้ส่งข้อมูลชื่อและลักษณะเฉพาะมาให้ตำรวจไทย จำนวน 8 คน ส่วนที่เหลืออีก 2 คน ทางการรัสเซียไม่มีข้อมูล

เวียดนามเซ็นข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป


เวียดนามเซ็นข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป ยกเลิกภาษีศุลกากรแทบทุกรายการ ช่วยกระตุ้นการค้ามูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบ. ขณะอียูระงับการเจรจากับประเทศไทยนับแต่รัฐประหาร

เมื่อวันพุธ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม เหงียนเติ๋นสุง กับประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ฌอง-โคลด์  ยุงเกอร์ ร่วมกันเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามข้อตกลงการค้าเสรี อียู-เวียดนาม ที่กรุงบรัสเซลส์

ข้อตกลงฉบับนี้เป็นผลจากการเจรจาอย่างเคร่งเครียดระหว่างสหภาพยุโรปซึ่งมีสมาชิก 28 ประเทศกับเวียดนาม มูลค่าการค้าสองฝ่ายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่าเป็น 28,000 ล้านยูโร หรือกว่า 1 ล้านล้านบาทในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ภายใต้ความตกลงดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายจะยกเลิกภาษีศุลการกรระหว่างอียูกับฮานอยเกือบทุกรายการ

@  นายกรัฐมนตรีเวียดนาม เหงียนเติ๋นสุง (ยืน-ซ้าย) กับประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ฌอง-โคลด์ ยุงเกอร์ (ยืน-ขวา) ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงการค้าเสรี ที่กรุงบรัสเซลส์ เมื่อวันพุธ

ข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งบรรลุผลการเจรจาต่อจากข้อตกลงกับสิงคโปร์เมื่อปีที่แล้ว นับเป็นหมุดหมายในความสัมพันธ์ระหว่างอียูกับประเทศอาเซียน เวลานี้ อียูกำลังเจรจากับมาเลเซีย ขณะที่การเจรจากับประเทศไทยได้ถูกยกเลิกเนื่องจากกองทัพทำรัฐประหาร

เมื่อเดือนมิถุนายน 2557 ภายหลังรัฐประหารในไทยเมื่อเดือนพฤษภาคมของปีเดียวกัน คณะกรรมาธิการด้านการค้าของยุโรป ประกาศยกเลิกแผนการเจรจาเอฟทีเอรอบใหม่กับไทย ซึ่งเดิมกำหนดมีขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2557 พร้อมกับยืนยันว่า อียูไม่มีแผนจะเดินหน้าเจรจากับประเทศไทย

ไทยกับอียูได้เจรจารอบสองเมื่อเดือนกันยายน 2556 และกำหนดเจรจารอบสามในเดือนกรกฎาคม ทว่าเมื่อกองทัพไทยยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2557 อียูได้ประกาศยกเลิกกำหนดการเจรจารอบสามดังกล่าว

พร้อมกันนั้น สหภาพยุโรป ได้ระงับการเยือนอย่างเป็นทางการระหว่างไทยกับอียู และระงับความตกลงว่าด้วยความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนกับประเทศไทย.

Photo: AFP

รบ.เช็คแล้วไม่มีไอเอส.เข้าไทย

รบ.ตรวจแล้ว ไม่มีไอเอสเข้าไทย "สุวพันธุ์"แจงแค่เป็นข่าวเเลกเปลี่ยนกับรัสเซีย

รบ.ตรวจแล้ว ไม่มีไอเอสเข้าไทย "สุวพันธุ์"แจงแค่เป็นข่าวเเลกเปลี่ยนกับรัสเซีย

Matichon
สนับสนุนเนื้อหา
"สุวพันธุ์" ยัน ไม่มี เข้าไทย ชี้ รัสเซีย แค่ส่งข้อมูลมาให้ตรวจสอบ ย้ำ หน่วยงานมั่นคงเข้มงวดกิจกรรมช่วงส่งท้ายปี
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีรายงานข่าวว่าตำรวจสันติบาลมีคำสั่งให้ติดตามพฤติการณ์ของชาวต่างชาติ ตามที่หน่วยต่อต้านข่าวกรองรัสเซีย ให้เฝ้าติดตามกลุ่มไอเอสที่เข้ามาในประเทศไทย ว่า
ข้อมูลที่เป็นข่าวเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการข่าวระหว่างไทยกับรัสเซียเท่านั้น และทางรัสเซียได้มอบข้อมูลชุดนี้เพื่อให้ทางการไทยตรวจสอบ ว่ามีการเดินทางของกลุ่มคนดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยจริงหรือไม่ โดยข้อมูลที่ให้มาไม่มีความชัดเจนและไทยได้ตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวแล้ว พบว่าไม่มีกลุ่มไอเอสอยู่จริงตามที่เป็นข่าว
ช่วงนี้เป็นช่วงปลายปีที่เป็นเรื่องปกติที่จะต้องระมัดระวังอย่างสูง และตรวจตราให้เข้มข้นสืบเนื่องมาจากสถานการณ์ที่ผ่านมา และสถานการณ์โลกและเป็นช่วงที่มีการจัดกิจกรรมวันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ กิจกรรมปั่นเพื่อพ่อ เทศกาลวันคริสต์มาส เทศกาลวันปีใหม่ จึงต้องยกระดับการดูแลความปลอดภัยให้เข้มข้น
เห็นได้จากการที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางไปประชุมกับตำรวจและทหาร ในพื้นที่ภาคอีสาน เพื่อเข้มงวดเฝ้าระวังเรื่องคนผ่านแดน

ไอซิส ในมุมมอง"อุสมาน ลูกหยี"



อุสมาน ลูกหยี
Following
December 2 at 8:04pm · Edited ·
สรุปสั้น ๆ มุมมองต่อการสร้างและการปราบ ISIS ของข้าพเจ้า
ISIS คือไซออนิสต์อิสลาม ตามแผนสกัดการรุกคืบสู่อิสราเอลของกองทัพกุดส์ มุ่งสถาปนารัฐอิสลามใจกลางเส้นทางยุทธศาสตร์แห่ง คุรอนซาน เป็นนอมินีอิสราเอล ในพื้นที่รัฐอาหรับวาฮาบี นอมินีที่มีอยู่เดิมซึ่งครอบคลุมไปไม่ถึง
พันธมิตรทางยุทธศาสตร์ซึ่งเป็นญาติทางเศรษฐกิจและการเมือง อิหร่าน รัสเซีย จีน ขั้วมหาอำนาจต้านไซออนิสต์ ร่วมปราบ ISIS ซึ่งมาตามแผนไซออนิสต์ ด้วยยุทธศาสตร์สถาปนารัฐอิสลามตามแผนการณ์ของตน ด้วยยุทธศาสตร์รัฐอิสลามตามทฤษฏี คอลีฟะห์ นอมินี ยะห์ฮูดี ที่วางรากฐานมายาวนานนับพันปี
สร้างแล้วปราบ
อเมริกาไซออนิสต์สร้าง ISIS เทียมเพื่อปรับกลยุทธ์จาก อัลกออิดะห์ ญับตุลนุศเราะห์ ใหม่หวังผลสัมฤทธิ์ระยะสั้นเข้ายึดครองพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ ด้วยการหลอกลวงพวกวาฮาบีหน้าโง่ที่เชื่อว่าเป็นของจริงไปตายแทน หากสำเร็จตามเป้าหมาย ยุโรปทั้งหลายจะเข้าครองแผ่นดินโดยยุโรป ISIS เป็นอิสราเอลที่สอง

ราชฑันฑ์ไม่ให้เข้าดูคุก

ราชทัณฑ์เสียงแข็งไม่ให้เข้าดูคุก มทบ.11 – เอ็นจีโอเผย 3 จังหวัดใต้ยังเข้าได้

ภาพจาก ประวิตร โรจนพฤกษ์ นักเขียนอาวุโสข่าวสดอิงลิช
2 ธ.ค.2558  พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ จากมูลนิธิผสานวัฒนธรรมให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ มูลนิธิได้รับจดหมายตอบกลับจากกรมราชทัณฑ์ กรณีที่ทางมูลนิธิทำหนังสือแจ้งความประสงค์ขอเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำชั่วคราว มณฑลทหารบกที่ 11 (เรือนจำชั่วคราว แขวงถนนนครไชยศรี) หนังสือดังกล่าวลงนามโดยนายวิทยา สุริยะวงศ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ลงวันที่ 30 พ.ย.2558 ระบุว่าไม่อนุญาตตามที่มูลนิธิฯ ร้องขอเนื่องจากผู้ต้องขังที่อยู่ที่นั่นเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความมั่นคงของประเทศและอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาล ประกอบกับทางมูลนิธิไม่มีกิจเกี่ยวข้องหรือรู้จักเป็นญาติมิตรกับผู้ต้องขัง
พรเพ็ญกล่าวว่า วัตถุประสงค์ที่ทำเรื่องขอเข้าเยี่ยมเพราะที่ผ่านมามีผู้ถูกควบคุมตัวที่เสียชีวิตที่นั่นสองราย คิดว่าการตรวจเยี่ยมสถานที่คุมขังและขอพบคนที่ถูกควบคุมตัวจะทำให้ได้รับทราบว่าพวกเขาได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานหรือไม่ ซึ่งเป็นหลักทั่วไปของคนที่ถูกจับ แม้แต่ในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ซึ่งผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวไว้ในความดูแลของทหาร ทางมูลนิธิฯ ก็ยังสามารถเข้าเยี่ยมได้
“ในสามจังหวัดภาคใต้ก็ยังสามารถไปเยี่ยมคนที่ถูกทหารควบคุมตัวได้ แม้กระทั่งประกาศกฎอัยการศึกก็ยังไปได้ ระยะแรกๆ ของการเกิดเหตุความรุนแรงหรือประกาศกฎอัยการศึกใหม่ๆ หน่วยงานจะจำกัดสิทธิแบบนี้ แล้วก็เกิดข้อกล่าวหาการซ้อมทรมาน การละเมิดสิทธิผู้ต้องหา เราจึงเสนอให้มีการตรวจเยี่ยม ญาติต้องเยี่ยมได้อย่างเปิดเผยตั้งแต่วันแรก กี่โมงถึงกี่โมงก็ว่าไป ทางราชการก็ปรับตัวและมีระเบียบออกมารองรับ เราคิดว่าถ้าเราไปเยี่ยมพูดคุย เราจะสามารถเสนอแนะป้องกันเหตุละเมิดที่อาจเกิดขึ้น ที่ผ่านมาไม่เคยมีหน่วยงานไหนปฏิเสธ ถ้าจะมีบ้างก็เพียงการผัดผ่อน อีกสามชั่วโมง อีกชั่วโมง หรือวันนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ แต่ไม่เคยได้รับจดหมายปฏิเสธแบบนี้” พรเพ็ญกล่าว
พรเพ็ญกล่าวถึงการให้เหตุผลของกรมราชทัณฑ์ด้วยว่า ในภาคใต้หลายครั้งทางมูลนิธิขอเข้าเยี่ยมก็ได้เข้า โดยเข้าไปกับญาติด้วย แต่บังเอิญว่ากรณีเรือนจำใน มทบ.11 นั้น ทางมูลนิธิไม่ได้รู้จักญาติผู้ต้องขังจึงไม่สามารถติดต่อได้
“จริงๆ น่าจะให้โอกาสพิสูจน์เรื่องความโปร่งใส ควรมีระเบียบในเรื่องนี้ ตอนนี้เราเองก็รอบทบาทของกรรมการสิทธิฯ อยู่ เมื่อไหร่จะมาดู เราทำงานใกล้ชิดกับกรรมการสิทธิและคิดว่าควรเข้ามาดูได้แล้ว” พรเพ็ญกล่าวและว่าขณะนี้กำลังปรึกษากันภายในองค์กรว่าจะทำอย่างไรต่อไป อาจเป็นการขอเข้าพบอธิบดีกรมราชทัณฑ์เพื่อหารือในการทำงานร่วมกัน
“ในเมื่อราชทัณฑ์มารับหน้าเสื่อ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบทางกฎหมาย ถึงแม้จะเป็นสถานที่ทหาร แต่เขารับรองว่าเป็นเรือนจำของราชทัณฑ์ ดังนั้นก็ควรเปิดเผย โปร่งใส หรือราชทัณฑ์อาจจะไม่ได้ควบคุมดูแลเองหรือเปล่า ทำให้ไม่สามารถเปิดโอกาสเข้าไปดูได้ หรือกำลังพัฒนาปรับปรุงอยู่หรือเปล่า ยิ่งตอนนี้มีผู้ต้องหาเข้าไปเพิ่มเติมด้วย ยิ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต้องโปร่งใส” พรเพ็ญกล่าว  
เธอกล่าวอีกว่า ในเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว หลังการรัฐประหาร สหประชาชาติได้เคยให้ข้อเสนอแนะให้ไทยปรับใช้เรื่องการตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัว ไทยเองก็รับปากแล้วด้วยว่าจะลงนามในพิธีสารว่าด้วยการตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัว ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับย่อยของอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน
“ไม่อยากให้ราชทัณฑ์ถอยหลังเข้าคลอง เพราะส่วนหนึ่งพัฒนาจนได้มาตรฐานสิทธิมนุษยชนแล้ว แต่พอเจอเรื่องเรือนจำพิเศษ มทบ.11 มาตรฐานราชทัณฑ์ก็ตกต่ำลง แทนที่เราจะมีหน้ามีตาในการทำ Bangkok Rules ซึ่งเป็นเรื่องพัฒนาการควบคุมผู้ต้องขังที่เป็นสตรีที่ได้รับการยอมรับในเวทีสากล เป็นบวกกับการพัฒนากระบวนการยุติธรรมไทย" พรเพ็ญกล่าว

หลักฐานมัดตุรกีซื้อน้ำมันเถื่อนจากไอเอส

หลักฐานสำคัญ..ที่จะมัดตุรกี !!
ส้มจีีด จี๊ดจ๊าด
เจ้าหน้าที่กองทัพรัสเซียกำลังแถลงข่าว ในขณะที่คลิปวิดีโอด้านหลังแสดงให้เห็นภาพถ่ายทางอากาศของรถบรรทุกน้ำมันจำนวนมหาศาล ใกล้ชายแดนซีเรียที่ติดต่อกับตุรกี
หลักฐานชัดเจนเลย ดิ้นไม่หลุดแน่มึงตุรกี !
กระทรวงกลาโหมรัสเซีย เผยสิ่งที่พวกเขาอ้างว่าเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่า ตุรกีซื้อน้ำมันเถื่อนจากกลุ่มรัฐอิสลาม และเส้นทางการลักลอบขนน้ำมันจากซีเรียและอิรักเข้าสู่ตุรกี...
สำนักข่าว อาร์ที ของประเทศรัสเซียรายงานว่า กระทรวงกลาโหมของประเทศรัสเซีย ระบุเมื่อวันพุธ (2 ธ.ค.) ว่า ระดับผู้นำของประเทศตุรกี ซึ่งรวมถึง ประธานาธิบดีเรเจป ไตยิป เอร์โดอัน และครอบครัวของเขา มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าขายน้ำมันผิดกฎหมายกับกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม หรือ ไอซิส พร้อมทั้งเน้นย้ำด้วยว่า ตุรกีคือจุดหมายสุดท้ายของการลักลอบขนน้ำมันจากซีเรียและอิรัก
เมื่อวันพุธ กระทรวงกลาโหมรัสเซียจัดงานแถลงข่าวใหญ่ในกรุงมอสโก เกี่ยวกับการค้นพบใหม่เรื่องการจัดหาเงินทุนของกลุ่มไอซิส โดยนายอนาโตลี อันโตนอฟ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ตอนนี้รัสเซียทราบเส้นทางหลักสำหรับลักลอบขนน้ำมันเข้าสู่ตุรกี 3 เส้นทาง
"วันนี้ เราจะนำเสนอเพียงข้อเท็จจริงที่ยืนยันว่า ทั้งกลุ่มโจร และชนชั้นผู้นำของตุรกีกำลังขโมยน้ำมันจากประเทศเพื่อนบ้านของพวกเขา" นายแอนโตนอฟ กล่าว และเสริมว่า น้ำมันปริมาณมหาศาลถูกนำเข้าสู่ตุรกีผ่านท่าส่งน้ำมันมีชีวิต ซึ่งประกอบด้วยรถบรรทุกน้ำมันหลายพันคัน
นายแอนโตนอฟเผยอีกว่า ตุรกีเป็นผู้ซื้อน้ำมันเถื่อนจากอิรักและซีเรียรายหลัก "จากข้อมูลของเรา ผู้นำทางการเมืองระดับสูงของประเทศนี้ ทั้งประธานาธิบดีเอร์โดอัน และครอบครัวของเขา มีส่วนร่วมในธุรกิจผิดกฎหมายนี้"
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่รัสเซียเริ่มปฏิบัติการต่อต้านผู้ก่อการร้ายในซีเรียเมื่อ 30 ก.ย. รายได้ของกลุ่มไอซิสจากการขายน้ำมันเถื่อนก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ "รายได้ขององค์กรก่อการร้ายกลุ่มนี้อยู่ที่ประมาณ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน แต่หลังจากรัสเซียเริ่มโจมตีทางอากาศได้ 2 เดือน รายได้ของพวกเขาก็ลดลงเหลือประมาณ 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน" พลโทเซอร์เกย์ รุดส์คอย เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพรัสเซีย เผย
ภายในการแถลงข่าว กระทรวงกลาโหมยังได้เผยแพร่ภาพรถบรรทุกน้ำมัน, คลิปวิดีโอแสดงการโจมตีทางอากาศใส่คลังเก็บน้ำมันของกลุ่มไอซิส และมีแผนที่รายละเอียดเส้นทางของการลักลอบขนส่งน้ำมันด้วย ขณะที่ พลโทรุดส์คอย ระบุว่า ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา การโจมตีทางอากาศของรัสเซียได้ทำลายโรงเก็บน้ำมัน 32 แห่ง, โรงกลั่นน้ำมัน 11 แห่ง และปั๊มน้ำมัน 23 แห่ง รวมทั้งทำลายรถบรรทุกน้ำมันไปแล้วกว่า 1,080 คัน
ด้านพลโทมิคาอิล มิซินเซฟ หัวหน้าศูนย์เพื่อการควบคุมการป้องกันรัฐแห่งชาติของรัสเซีย เผยว่า มีนักรบกว่า 2,000 คน เครื่องกระสุน 120 ตัน และยานพาหนะอีก 250 คัน ถูกส่งจากตุรกีไปให้แก่กลุ่มไอซิส และกลุ่มติดอาวุธ อัล-นุสรา ฟรอนต์ ในซีเรีย "จากรายงานข่าวกรองที่เชื่อถือได้ ตุรกีได้ดำเนินการดังกล่าวมานานแล้ว และทำเป็นประจำ และที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดด้วย"
ลิงค์คลิป https://www.youtube.com/watch?v=nMA4B2ZnQ2o

เอพีวิเคราะห์ ประเทศไทยในสายตาโลกตกต่ำไม่หยุด นับแต่ทำรัฐประหาร

เอพีวิเคราะห์ ประเทศไทยในสายตาโลกตกต่ำไม่หยุด นับแต่ทำรัฐประหาร ใช้แรงงานทาส ระเบิดกลางกรุง ล่าสุดสหรัฐฯยกธงแดงความปลอดภัยการบิน รอลุ้นยุโรปสั่งแบนซีฟู้ด-สายการบินของประเทศ
 ในวันศุกร์ สำนักข่าวเอพีเสนอบทวิเคราะห์ ระบุว่า ครั้งหนึ่ง ไทยเคยเป็นแบบอย่างของประชาธิปไตยและเสรีภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทว่าตลอดสองปีที่ผ่านมา ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหายครั้งแล้วครั้งเล่าในสายตาชาวโลก
 รายงานบอกว่า ความหายนะด้านภาพลักษณ์ของไทยเริ่มต้นที่การรัฐประหาร ตามด้วยการเปิดโปงการใช้แรงงานทาสในอุตสาหกรรมอาหารทะเล ในเดือนสิงหาคม ใจกลางกรุงเทพฯถูกถล่มด้วยระเบิด ในสัปดาห์นี้ สหรัฐฯเพิ่งลดอันดับมาตรฐานด้านการบินของไทย ทั้งหมดนี้ยังไม่นับภาพความปั่นป่วนทางการเมืองที่ดำเนินมาร่วมทศวรรษ
 “ไทยเคยมีภาพลักษณ์ยอดเยี่ยมในสายตาชาวโลก อาหารอร่อย ผู้คนเฮฮา ยิ้มง่าย ภาพแบบนั้นกำลังเลือนหายไป ไม่รู้ว่าในอนาคตภาพลักษณ์ของประเทศนี้จะเป็นอย่างไร” ไมเคิล มอนเตซาโน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเมืองไทย สถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ในสิงคโปร์ กล่าว
 รายงานบอกว่า นับแต่ประชาชนโค่นรัฐบาลทหารเมื่อปี 2535 ไทยได้รับการยกย่องอยู่นานหลายปีว่าเป็นคบเพลิงแห่งความก้าวหน้าในภูมิภาคซึ่งยังคงตกอยู่ใต้ระบอบเผด็จการ ชื่อเสียงเรื่องประชาธิปไตยของไทยสั่นสะเทือนเมื่อรัฐประหารปี 2549 และการขู่ที่จะเข้าแทรกแซงของกองทัพต่อรัฐบาลจากการเลือกตั้งชุดต่างๆ
 นับแต่พวกนายพลเข้าปกครองเมื่อปี 2557 คำสัญญาที่จะจัดการเลือกตั้งโดยเร็วถูกพับเก็บ เสรีภาพถูกลิดรอน บรรยากาศเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ฮิวแมนไรท์วอทช์ บอกว่า “สถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยกำลังดิ่งเหว”
 ในสัปดาห์นี้ องค์การการบินของสหรัฐ หรือเอฟเอเอ ลดอันดับมาตรฐานการบินของไทยจากกลุ่ม 1 ลงไปเป็นกลุ่ม 2 คาดกันว่า หน่วยงานกำกับดูแลการบินของสหภาพยุโรปจะตัดสินใจในเดือนธันวาคม ว่าจะลดชั้นประเทศไทยหรือไม่ ในขณะนี้ การบินไทย ซึ่งกำลังประสบภาวะขาดทุนอย่างหนัก มีเที่ยวบินไปยังยุโรปใน 11 เมือง
 “ไม่ว่ารัฐบาลไหนๆต่างเจอปัญหาสั่งสมขึ้นเรื่อยๆ แต่ธรรมชาติของรัฐบาลทหารก็คือ มีขีดความสามารถจำกัดในการแก้ปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อน” นายฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันความมั่นคงศึกษาและนานาชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็น
 นอกจากปัญหาเรื่องการบิน คาดว่าสหภาพยุโรปจะตัดสินใจในเดือนนี้ว่า การค้ามนุษย์ในประเทศไทยมีความรุนแรงถึงขั้นที่อียูจะลงโทษหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารทะเล
 ขณะเดียวกัน คณะรัฐประหารกำลังเจอกรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับข้อกังขาเรื่องค่าหัวคิวในโครงการอุทยานราชภักดิ์ มูลค่า 1,000 ล้านบาท นับเป็นหายนะด้านการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของรัฐบาลทหาร ซึ่งอ้างการปราบคอรัปชั่นเป็นเหตุผลข้อหนึ่งของการยึดอำนาจ
 “ไทยมักด้อยมาตรฐานในเรื่องต่างๆ แต่ช่องว่างดูจะถ่างกว้างขึ้นภายใต้รัฐบาลนี้ และยังมองไม่เห็นทางออก” นายฐิตินันท์กล่าว.
 Source: AP
Photo: AFP

ยอมรับว่าความผิดครั้งนี้เป็นอุบัติเหตุโดยไม่ได้ตั้งใจ โดยได้ซื้อหุ้นของบมจ. สยามแม็คโคร MAKRO


"ยอมรับว่าความผิดครั้งนี้เป็นอุบัติเหตุโดยไม่ได้ตั้งใจ โดยได้ซื้อหุ้นของบมจ. สยามแม็คโคร MAKRO ก่อนทราบดีลซื้อหุ้น ขณะที่ CPALL ไม่ได้เจรจาซื้อหุ้น แต่เป็นเครือ CP ที่เป็นผู้เจรจา"
คนดีมีคุณธรรม ทำผิดแล้ว(โดนจับได้)ก็ต้องยอมรับผิด "แมนๆ" แบบนี้ ... ทำให้คิดถึงคดีซุกหุ้นแม้วที่แก้ตัวว่า "ทำผิดโดยสุจริต" ขึ้นมาเลย...แต่อันนั้นมัน"คนชั่ว"แก้ตัวน้ำขุ่นๆฟังไม่ขึ้น
ปล. ข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการตัดสินใจ ...
- วันที่ 22 เม.ย. 56 CPALL ประกาศซื้อกิจการ Makro ที่ราคา 787 บาทต่อหุ้น (จากราคาตลาดประมาณ 680 บาท)
- วันที่ 10-22 เม.ย. 56 มีการซื้อหุ้น Makro ในบัญชีผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้อง (ก่อศักดิ์คนเดียวซื้อไป 1 แสนกว่าหุ้น คิดเป็นเงินกว่า 70 ล้านบาท!!!)
ก่อศักดิ์ ยืนยันไม่ลาออกจากตำแหน่งผู้บริหาร CPALL พร้อมยอมรับเป็นความผิดโดยไม่ตั้งใจ เผยเข้าซื้อหุ้น MAKRO ก่อนรู้ดีล ขณะที่เครือ CP เป็นผู้เจรจาไม่ใช่กลุ่ม CPALLนายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร…
MONEYCHANNEL.CO.TH

"เลขาฯยูเอ็นประนามพันธมิตรอาหรับที่โจมตีทางอากาศใส่คลีนิกของโรงพยาบาลแพทย์ไร้พรมแดนในเยเมน"



"เลขาฯยูเอ็นประนามพันธมิตรอาหรับที่โจมตีทางอากาศใส่คลีนิกของโรงพยาบาลแพทย์ไร้พรมแดนในเยเมน" ฮิ้วววว… ลุงบันไปโด๊ปวอดก้ามาหรือเปล่าครับถึงได้กล้าขนาดนี้?...
-----------
วันที่ 3 ธ.ค.58 Sputnik news พาดหัวข่าวว่า "เลขาฯยูเอ็นประนามพันธมิตรอาหรับที่โจมตีทางอากาศใส่คลีนิกของโรงพยาบาลแพทย์ไร้พรมแดนในเยเมน" (UN Chief Condemns Arab Coalition Airstrikes on MSF Facilities in Yemen)
รายงานข่าวบอกว่านาย Ban Ki-moon เลขาธิการสหประชาชาติได้ออกมาประนามการโจมตีทางอากาศโดยกองกำลังพันธมิตรนำโดยซาอุดิอาระเบีย (Saudi-led military coalition) ใส่อาคารด้านการแพทย์และการให้ความช่วยเหลือดัานมนุษยธรรมของโรงพยาบาล Medecins sans Frontieres (Doctors Without Borders หรือ MSF) ที่เมือง Taiz ประเทศเยเมน เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีประชาชน (พลเรือน) ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 7 คน
[จังหวัด Taiz นี้เป็นสนามรบใหญ่อีกแห่งหนึ่งในเยเมนในตอนนี้เลยนะครับ ซัดกันรุนแรงมากระหว่างกองทัพเยเมนร่วมกับนักรบฮูติเคี้ยวใบ Qat แก้มตุ่งนึ่งโสร่งรองเท้าแตะและ AK-47 กับพวกทหารรับจ้างต่างชาติที่พันธมิตรอาหรับนำโดยซาอุดิอาระเบียจ้างมาหวังรุมกินโต๊ะเยเมน - ผู้แปล]
สหประชาชาติได้ออกแถลงการณ์ว่า "ท่านเลขาธิการฯขอประนามการโจมตีทางอากาศในวันนี้โดยพันธมิตรนำโดยซาอุดิอาระเบียใส่าคลีนิกเคลื่อนที่ซึ่งดำเนินการโดยโรงพยาบาล Médecins Sans Frontières ในจังหวัด Taiz ประเทศเยเมน... เลขายูเอ็นยังได้ประนามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในวันที่ 27 ตุลาคมซึ่งโรงพยาบาลในเครือ MSF ถูกโจมตีทางอากาศในจังหวัด Sa'ada"
นายบัน คีมูนได้ชี้ให้เห็นว่า อาคารโรงพยาบาลและบุคคลากรไม่ใช่ฝ่ายที่จะใช้สำหรับสู้รบทางทหาร และอยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายด้านมนุษยธรรมด้วย
[นี่แหละการที่พันธมิตรซาอุดิอาระเบียไปสนิทสนมกับรัฐบาลสหรัฐฯมากเกินไปก็เลยติดเชื้อมาด้วย สหรัฐฯก็บอมบ์โรงพยาบาลในอัฟกานิสถาน ส่วนพันธมิตรซาอุดิอาระเบียก็บอมบ์โรงพยาบาลในเยเมน เฮ้อ… โลกหนอโลก - ผู้แปล]
2.) ไหนๆก็พูดถึงข่าวเกี่ยวกับเยเมนแล้ว มาดูสถานการณ์ในเยเมนกันต่อเลยนะครับ วันที่ 2 ธ.ค.58 สำนักข่าว FNA ของอิหร่านรายงานข่าวว่า "โฆษกกองทัพเยเมน: กองทัพเยเมนเดินหน้าปฏิบัติการลึกเข้าไปในซาอุดิอาระเบีย" (Army Spokesman: Yemeni Forces Continuing Operations Deep into Saudi Arabia)
Sharaf Luqman โฆษกของกองทัพเยเมนกล่าวว่า "กองทัพเยเมนได้สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับศัตรูที่เป็นชาวซาอุดิภายในซาอุดิอาระเบีย"
โฆษกของกองทัพเยเมนเน้นย้ำว่า "กองทัพเยเมนและกองกำลังยอดนิยม (ฮูติและชนเผ่าต่างๆ) มีขวัญกำลังใจเป็นอย่างมากในการต่อสู้กับศัตรู ปฏิบัติการทางกองทัพกำลังจะเข้ายึดฐานทัพต่างๆแห่งใหม่ของซาอุดิอาระเบียเพิ่มขึ้น กองทัพซาอุดิอาระเบียมุ่งแต่โจมตีทางอากาศซึ่งแน่นอนว่าจะต้องล้มเหลว"
วันจันทร์ที่ผ่่านมากองทัพเยเมนและกองกำลังของคณะปฏิบัติวัติเยเมนได้เข้าควบคุมฐานทัพต่างๆหลายแห่งในจังหวัด Najran หลังจากที่เข้ายึดจุดยุทธศาสตร์ทางทหารในสามจังหวัดของซาอุดิอาระเบียได้ในคืนวันอาทิตย์ โดยสามารถยึดฐานทัพของซาอุดิอาระเบียในพื้นที่ al-Shurfa ของจังหวัด Najran ได้สามแห่ง
ซาอุดิอาระเบียได้โจมตีเยเมนมาแล้วเป็นเวลาถึง 252 วัน เพื่อที่จะดึงอำนาจกลับไปให้ปธน. Mansour Hadi ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของกรุงริยาดห์ การรุกรานของพันธมิตรนำโดยซาอุดิอาระเบียได้สังหารชาวเยเมนไปแล้วถึง 7,103 คนซึ่งรวมทั้งผู้หญิงและเด็ดหลายร้อยคนด้วย
ฮาดี้ก้าวลงจากอำนาจในเดือนมกราคม และปฏิเสธที่จะทบทวนการตัดสินใจ แม้ว่าจะมีการเรียกร้องโดยคณะปฏิวัติ Ansarullah แห่งขบวนการ Houthi แห่งเยเมนก็ตาม ส่วนกรุงริยาดห์อ้างว่าตนเองทิ้งระเบิดใส่ตำแหน่งของพวกนักรบ Ansarullah เท่านั้น เครื่องบินรบของได้ปูพรมบริเวณที่อยู่อาศัยและบ้านเรือนของประชาชนพลเรือนเป็นจำนวนมาก
3.) วันเดียวกันนี้ FNA ก็รายงานข่าวว่าเกิดการทะเลาะกันระหว่างซาอุดิอาระเบียกลับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เกี่ยวกับกองกำลังเสริมจากนักรบรับจ้างโคลอมเบียในเเยเมน
เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทางยูเออีได้จัดหาทหารรับจ้างจากประเทศโคลอมเบียมาหลายร้อยคน เพื่อส่งเข้าไปในเยเมน และขณะนี้สถานีโทรทัศน์ของอาหรับก็กล่าวว่า ยูเออีได้จัดหาทหารรับจ้างของโคลอมเบียมาเป็นการส่วนตัวเพื่อส่งเข้าไปแทนที่กองทัพของตนเองในเยเมนหลังจากที่ประสบความสูญเสียอย่างหนักในสงครามกลางเมือง
เว็บไซท์ของสถานีโทรทัศน์ Arab 24 ได้อ้างแหล่งข่าวจากเยเมนว่า "ซาอุดิอาระเบียปฏิเสธคำร้องขอของยูเออีให้ส่งกองทัพซึ่งเป็นทหารรับจ้างจากโคลอมเบียเข้าไปในจังหวัด Aden เพื่อต่อสู้กับกองทัพของเยเมนและกองกำลังยอดนิยม"
รายงานข่าวบอกว่าก่อนหน้านี้ทางยูเออีได้ส่งทหารรับจ้างจากลาตินอเมริกา โดยเฉพะอย่างยิ่งจากโคลอมเบียเข้าไปในเยเมนโดยปราศจากการประสานงานกับทางซาอุดิอาระเบีย

ศาลสั่ง สตช.จ่าย 2.9 แสน สั่งย้าย'เสรีพิศุทธ์' ออกจาก ผบ.ตร. มิชอบ

(ข้อมูล)

ศาลสั่ง สตช.จ่าย 2.9 แสน สั่งย้าย'เสรีพิศุทธ์' ออกจาก ผบ.ตร. มิชอบ
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 4 ธ.ค. 2558 00:30

ศาลปกครองสั่ง สตช.ชดใช้เงินค่าเสียหาย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ 2.9 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ฟ้องจนชำระเสร็จใน 30 วัน กรณี นายกรัฐมนตรีสั่งย้าย และให้ออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร. โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตั้งแต่ปี 2551
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ศาลปกครองกลาง โดย นายสมศักดิ์ ตัณฑเลขา ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลางและคณะ ออกบัลลังก์อ่านคำพิพากษาเพิกถอนมติคณะอนุกรรมการข้าราชการตำรวจเกี่ยวกับการร้องทุกข์ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ในการประชุมครั้งที่ 18/2551 เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2551 ที่ยกคำร้องทุกข์ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร. ที่ร้องทุกข์คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 35/2551 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 ที่ให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) รับผิดชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 294,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นให้แก่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด
คดีนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ได้ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี สตช. ก.ตร. คณะอนุกรรมการข้าราชการตำรวจเกี่ยวกับการร้องทุกข์ และสำนักงาน ก.ตร. ในคดีหมายเลขดำที่ 1413/2551 เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2551 และในคดีหมายเลขดำที่ 1924/2551 เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2551 ว่า นายกรัฐมนตรี (นายสมัคร สุนทรเวช) ในขณะนั้น มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง และมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ขณะดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. ถูก พ.ต.อ.ทินกร มั่งคั่ง พ.ต.ท.ศิริวัฒน์ โมรานนท์ และ บริษัท แพล็ททินัม มอเตอร์ เซลส์ จำกัด กล่าวหาร้องเรียนว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริตในโครงการเช่าซื้อรถยนต์ สตช. มีพฤติการณ์ใช้ถ้อยคำมิบังควร และไม่เหมาะสม หมิ่นเบื้องสูง และดำเนินการบริหารงานบุคคลโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งขอให้ศาลสั่งนายกรัฐมนตรี และ สตช. ร่วมชดใช้ค่าเสียหายอันเกี่ยวเนื่องกับคำสั่งดังกล่าว แก่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ ซึ่งต่อมา ศาลมีคำสั่งรวมพิจารณาคดีทั้งสองคดีเข้าด้วยกัน เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณา
ทั้งนี้ ศาลปกครองพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ว่า พ.ร.บ.ระเบียบบริหาราชการแผ่นดิน พ.ศ.2535 จะให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลสั่งให้ข้าราชการ ซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรม มาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรีได้ แต่การใช้อำนาจดังกล่าว จะต้องคำนึงถึงเหตุผลความจำเป็นเหมาะสม และประโยชน์ของหน่วยงานเป็นสำคัญ จะต้องไม่กระทำโดยมีอคติ หรือเจตนากลั่นแกล้งข้าราชการผู้ถูกย้ายให้ได้รับความเสียหาย
แต่จากบันทึกข้อความของสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร 0101/31 ลงวันที่ 29 ก.พ. 2551 ไม่ปรากฏว่า มีการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงในการนำเสนอให้นายกรัฐมนตรี ออกคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ว่า มีประสิทธิภาพ คุ้มค่าประโยชน์ที่ตกแก่ประชาชนอย่างไร หากแต่อ้างว่า ถ้ายังให้อยู่ในหน้าที่ราชการจะเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนพิจารณา หรือก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยใน สตช. ขึ้น โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยใน สตช.หรือไม่ ประการใด
นอกจากนี้ การที่นายกรัฐมนตรีออกคำสั่งดังกล่าวในวันเดียวกับการมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ โดยอ้างว่า จะเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน ทั้งที่ยังไม่มีการเริ่มสอบสวนพิจารณาแม้แต่น้อย เท่ากับเป็นการออกคำสั่งโดยไม่มีข้อเท็จจริงรองรับ หรือไม่มีเหตุอันสมควร คำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่โดยที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้เกษียณอายุราชการไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2551 คำสั่งดังกล่าวจึงสิ้นผลไปแล้ว ศาลจึงไม่จำเป็นต้องมีคำพิพากษา อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลได้วินิจฉัยไปแล้วว่า คำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น มติคณะอนุกรรมการข้าราชการตำรวจเกี่ยวกับการร้องทุกข์ ในการประชุมครั้งที่ 18/2551 เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2551 ที่ยกคำร้องทุกข์ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร. ที่ร้องทุกข์ในกรณีดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน
เมื่อ คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ ใช้เวลาตั้งแต่ วันที่ 29 ก.พ. 2551 จนถึงวันที่ 24 ธ.ค. 2553 รวมระยะเวลา 30 เดือน ไม่อาจหาหลักฐานมารับฟังจนน่าเชื่อว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้กระทำความผิดร้ายแรงตามที่ถูกกล่าวหา ย่อมแสดงว่า การดำเนินการทางวินัยร้ายแรง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ การที่นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี รวมถึงการที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ออกจากราชการไว้ก่อน เป็นการใช้อำนาจออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการกระทำละเมิดแก่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
อย่างไรก็ตาม การที่นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ออกจากราชการไว้ก่อน เป็นการใช้อำนาจภายใต้ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 สตช.จึงต้องรับผิดในผลแห่งการกระทำละเมิดของ นายกรัฐมนตรี ด้วยการชดใช้ค่าเสียหายทดแทนเงินประจำตำแหน่ง แก่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2551 จนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2551 เป็นเงิน 294,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ฟ้องเป็นต้นไป
ศาลจึงมีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติคณะอนุกรรมการข้าราชการตำรวจเกี่ยวกับการร้องทุกข์ ในการประชุมครั้งที่ 18/2551 เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2551 ที่ยกคำร้องทุกข์ของผู้ฟ้องคดีที่ร้องทุกข์คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 35/2551 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 ที่ให้ผู้ฟ้องคดีไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี และให้ สตช.รับผิด ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 294,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นให้แก่ผู้ฟ้องคดีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด
http://www.thairath.co.th/content/544250
อาสาหาข่าว
โดยไทยรัฐออนไลน์
ศาลปกครองสั่ง สตช.ชดใช้เงินค่าเสียหาย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ 2.9 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ฟ้องจนชำระเสร็จใน 30 วัน กรณี…
THAIRATH.CO.TH

"ประยุทธ์" ใช้อำนาจหัวหน้า คสช. ตามม.44 รื้อพรบ.ตำรวจแห่งชาติพ.ศ.2547 แก้ปมอำนาจ "ผบ.ตร." และก.ตร. แต่งตั้งและโยกย้าย



"ประยุทธ์" ใช้อำนาจหัวหน้า คสช. ตามม.44 รื้อพรบ.ตำรวจแห่งชาติพ.ศ.2547 แก้ปมอำนาจ "ผบ.ตร." และก.ตร. แต่งตั้งและโยกย้าย
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ (4ธ.ค.) คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๔/๒๕๕๘ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตํารวจ 

เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตํารวจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเกิดความเป็นธรรม อันจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปในด้านการบริหารราชการแผ่นดินและกระบวนการยุติธรรม
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้ 
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน 
“มาตรา ๓๒ เพื่อรักษาความเที่ยงธรรมในการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตํารวจ ให้ ก.ตร. ออกกฎ ก.ตร. กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตํารวจไว้ให้ชัดเจนแน่นอน กฎ ก.ตร. ดังกล่าวให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป” 

ข้อ ๒ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕๓ และมาตรา ๕๔ แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๘๘/๒๕๕๗ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยตํารวจแห่งชาติ ลงวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน 
“มาตรา ๕๓ การแต่งตั้งข้าราชการตํารวจให้ดํารงตําแหน่งตามมาตรา ๔๔ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) และ (๖) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ 
(๑) การแต่งตั้งข้าราชการตํารวจให้ดํารงตําแหน่งตามมาตรา ๔๔ (๑) ให้ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ คัดเลือกรายชื่อข้าราชการตํารวจที่ดํารงตําแหน่งจเรตํารวจแห่งชาติหรือรองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ แล้วเสนอ ก.ต.ช. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน แล้วให้นายกรัฐมนตรีนําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง 
(๒) การแต่งตั้งข้าราชการตํารวจให้ดํารงตําแหน่งตามมาตรา ๔๔ (๒) (๓) (๔) (๕) และ (๖) ให้ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติคัดเลือกรายชื่อข้าราชการตํารวจเสนอ ก.ตร. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนแล้วให้นายกรัฐมนตรีนําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง มาตรา ๕๔ การแต่งตั้งข้าราชการตํารวจให้ดํารงตําแหน่งตั้งแต่มาตรา ๔๔ (๗) ลงมาในสํานักงานผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ให้ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติเป็นผู้สั่งแต่งตั้ง ส่วนในกองบัญชาการที่มิได้สังกัดสํานักงานผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ให้ผู้บัญชาการเป็นผู้สั่งแต่งตั้ง
ในกรณีที่เป็นการแต่งตั้งข้าราชการตํารวจให้ดํารงตําแหน่งจากส่วนราชการหนึ่งไปอีกส่วนราชการหนึ่ง ให้หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทําความตกลงกัน แล้วให้ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติหรือผู้บัญชาการที่ประสงค์จะแต่งตั้งเป็นผู้สั่งแต่งตั้ง” 

ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕๖ แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน 
“มาตรา ๕๖ ในกรณีที่ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติเห็นว่าการใช้อํานาจในการแต่งตั้งของผู้บัญชาการไม่เป็นธรรม หรือมีกรณีไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์หรือวิธีการที่ ก.ตร. กําหนดตามมาตรา ๕๗ หรือมีเหตุผลความจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ข้าราชการตํารวจซึ่งดํารงตําแหน่งตั้งแต่มาตรา ๔๔ (๗)ลงมาพ้นจากพื้นที่หรือหน้าที่ หรือเห็นว่าหากดํารงตําแหน่งเดิมต่อไปจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการหรือมีเหตุพิเศษตามที่ ก.ตร. กําหนด ให้ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติมีอํานาจสั่งแต่งตั้งข้าราชการตํารวจให้ดํารงตําแหน่งตามมาตรา ๔๔ (๗) ลงมา ได้ตามควรแก่กรณี” 

ข้อ ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๑๐๕/๑ ของหมวด ๘ การอุทธรณ์ แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ 
“มาตรา ๑๐๕/๑ ในกรณีที่ศาลปกครองมีคําพิพากษาถึงที่สุดสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขคําสั่งในเรื่องใด ให้เป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาผู้มีอํานาจ ก.ตร. หรือ ก.ต.ช. แล้วแต่กรณี ในการสั่งการตามสมควรเพื่อเยียวยาและแก้ไขหรือดําเนินการตามที่เห็นสมควร” 

ข้อ ๕ ให้ ก.ตร. ดําเนินการออกกฎ ก.ตร. เพื่อปฏิบัติตามคําสั่งนี้ ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คําสั่งนี้ใช้บังคับ

ข้อ ๖ ในระหว่างที่ยังมิได้มีการออกกฎ ก.ตร. ตามข้อ ๕ ให้นํากฎ ก.ตร. ประกาศ มติหรือกรณีที่กําหนดไว้แล้วในส่วนที่เกี่ยวข้องซึ่งใช้อยู่เดิมมาใช้บังคับโดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งนี้ จนกว่าจะมีกฎ ก.ตร. ตามข้อ ๕ ขึ้นใช้บังคับ 

ข้อ ๗ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป 

สั่ง ณ วันที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ 
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา 
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

วิกฤติพรรคการเมืองใหญ่

03122558 วิกฤตพรรคการเมืองใหญ่ โอกาสของพรรคการเมืองภาคประชาชน ( 2 )
หมายเหตุ
1. ตีพิมพ์ในนสพ. สยามรัฐรายวัน หน้า 3 ฉบับที่ผ่านมา
2. เพื่อให้อ่านต่อเนื่อง จะนำเอา ตอน ( 1 ) ที่ลงมาก่อนหน้านี้ กว่าสัปดาห์มาลงต่อท้าย
• จุดอ่อนของ คนไทย คือ จะคอยให้ผู้มีอำนาจ เป็นผู้กำหนด แล้วส่งต่อให้ประชาชน
โดยได้แต่วิพากษ์ วิจารณ์ เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย แต่ไม่เข้าไปร่วมการเปลี่ยนแปลง
เพราะคิดว่า ไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเรา แต่เป็นของผู้มีอำนาจ
อีกด้านหนึ่ง กลับปล่อยอำนาจอีกขั้วหนึ่ง กระทำคัดค้านในสิ่งที่ขัดประโยชน์ของตน
@ แล้ว สิ่งทีถูกต้องคืออะไร
ต้องตั้งคำถามและตอบตัวเอง
โดยเฉพาะผู้นำภาคประชาชนหรือนักประชาธิปไตย
บ้านเมืองนี้ของใคร ?
แน่นอนบ้านนี้เมืองนี้เป็นของประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของตัวจริง
และเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของแผ่นดิน มีสิทธิเต็มที่ แล้วมีเสียงข้างมากเป็นส่วนใหญ่
แต่ก็จะมีเสียงดังขึ้นมาอีกว่า
แต่เราไม่มีอำนาจหรือพลัง ที่จะไปทำอะไร กำหนดอะไร ?
นี่คือปัญหาความคิด และเป็นความผิดพลาดใหญ่ของฝ่ายประชาชน
เราเข้าใจอยู่แล้วว่า : ฝ่ายขั้วอำนาจเก่า ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงใหม่เพื่อประชาชน
การเปลี่ยนแปลงจักเกิดขึ้น จากการออกแรงออกความคิดใช้พลังของประชามหาชน
เริ่มต้น จากคนส่วนน้อยที่จริงจัง เอาการเอางาน แน่วแน่ กล้าหาญเสียสละ
ประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง รวมทั้งเรื่องประชาธิปไตย ก็เป็นเช่นนั้น
@ เอาล่ะ เข้าใจแล้วใช่ไหม
สังคมไทย มีคนที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตย ต้องการการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตย
และอีกไม่น้อย เคยมีประสบการณ์ ทั้งด้านประสบความสำเร็จในเบื้องต้น และ
บาดเจ็บเสียหายไปในช่วงท้าย เพราะไม่สามารถรักษาพลังของตนได้
อีกทั้งฝ่ายอำนาจ “ ทุน-นักการเมือง-ข้าราชการ” ที่ไม่ดี ได้สมคมร่วมมือกันทำลายเรา
@ บัดนี้มีโอกาส ฟ้าสีทองแห่งการเปลี่ยนแปลง เริ่มโผล่ส่องแสงแห่งความหวังขึ้น
จากสภาพการณ์ที่ฝ่ายอำนาจเก่าถูกสยบไปชั่วคราวด้วยอำนาจใหม่ และ
ฝ่ายอำนาจใหม่ ได้เห็นภัยและวิกฤตของชาติที่เกิดจากฝ่ายอำนาจเก่าพรรคการเมืองเก่า
และได้สร้างสิ่งใหม่ขึ้น ท่ามกลางสิ่งเก่าที่ยังมีอยู่มาก และบางเรื่องก็สร้างปัญหาใหม่
แต่เรา : ผู้นำการเปลี่ยนแปลง ผู้ริเริ่ม ต้องกุมหลักการใหญ่
มองด้านหลัก ภาพรวม และแนวโน้ม เป็นหลัก แล้วเริ่มต้นจากแสงสว่างปลายอุโมงค์นี้
@ สภาพที่เป็นโอกาสทองเล็กๆแบบ SME คือ
๑. คสช. รัฐบาลประยุทธ์ ได้แสดงเจตนารมณ์และมีการเริ่มต้น ไม่เอาเก่า ต้องการใหม่
๒. คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ชุด อาจารย์มีชัย ได้นำเสนอสิ่งใหม่หลายเรื่อง
โดยเฉพาะ “การลดบทบาทพรรคการเมืองใหญ่และนักการเมืองที่สร้างปัญหา การทุจริต”
• ฉะนั้นสิ่งที่ผู้นำภาคประชาชน ผู้ต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง ต้องเริ่มทำและ ทำทันที่
๑. รวบรวมผู้คนที่มีประสบการณ์จากพรรคการเมืองเล็กๆ-นักประชาธิปไตยทั้งประเทศ
มาคุยแลกเปลี่ยนและประชุมกัน ในเรื่องของการร่วมพลังกันสร้างประชาธิปไตย
วิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง สภาพเงื่อนไข โอกาสและแนวโน้ม
๒. ต้องร่วมสนับสนุนผลักดันสิ่งที่ดีและถูกต้อง เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศ
กล่าวโดยเฉพาะ : การแก้ไขรัฐธรรมนูญชุดมีชัย ในเรื่องที่ดี
และที่สำคัญ คือ การลดบทบาทของพรรคการเมืองใหญ่ที่สร้างวิกฤตประเทศ
และการเพิ่มอำนาจและบทบาทของพรรคการเมืองเล็กและประชาชน
คือ ทั้งทำเอง และสนับสนุนสิ่งที่ดีที่ “ รัฐบาลและคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ” ได้ทำ
๓. ต้องร่วมกันคัดค้านสิ่งที่ไม่ดี ที่ทำเพื่อคงอำนาจของพรรคใหญ่ไม่ดีต่อประชาชน
กล่าวโดยเฉพาะ : การคัดค้านการลดบทบาทของพรรคการเมืองเก่าฯ
โดย ฝ่ายพรรคการเมืองใหญ่และอำนาจเก่า
เราจะต้องเปิดโปง ให้ประชาชน ได้รับรู้ความจริง และเป้าหมายมิชอบของพวกเขา
ซึ่งรวมทั้งสื่อทุกระบบของพวกเขา และสื่อ นสพ. TV ฯลฯ
๔. ดำเนินการร่าง แนวคิด แนวทาง เป้าหมาย ของฝ่ายประชาชนขึ้นอย่างเป็นระบบ
เพื่อเผยแพร่ต่อประชาชน และผู้ที่สนใจ ให้เข้ามีส่วนร่วมพลังในการเปลี่ยนแปลงนี้
๕. ต้องมีแผนงาน และการจัดการ อย่างมีจังหวะก้าว ขั้นตอน เป็นรูปธรรม
การสนับสนุนคนของเรา เพื่อนมิตร และคนดีมีอุดมการณ์
ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการเมืองทุกระดับ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ท้องถิ่น กทม.ประเทศ
รวมทั้งการสร้างโอกาสเข้าไปร่วมในองค์กรอิสระ องค์กรมหาชน และสว.สรรหาฯลฯ
๖. ต้องมีนักวิชาการ นักกฎหมาย และผู้มีประสบการณ์ เข้ามาร่วมให้มากพอ
๗. ต้องมีการระดมทุน ในการดำเนินการ ซึ่งจำเป็นต้องหานักธุรกิจและนายทุนที่รักชาติ
๘. ต้องสนใจคนที่รักชาติในส่วนงานราชการ การเมือง และคนไทยในต่างประเทศ
๙. ต้องสร้างสื่อ และช่องทางการเผยแพร่ปชส.ให้ประชาชนในวงกว้างได้รับความจริง
๑๐. ต้องมีการประชุมหารือ สรุปบทเรียนกันอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ
• นักปฏิวัติที่ประสบความสำเร็จในการสร้างประชาธิปไตย ได้ให้สูตรของความสำเร็จว่า
“ ในโลกนี้ สิ่งที่ศัตรูของประชาชนกลัว คือ การเอาจริงของประชาชน “ .
............................................
วิกฤตพรรคการเมืองใหญ่ โอกาสของพรรคการเมืองภาคประชาชน ( 1 )
• คนไทยส่วนไม่น้อย มองพรรคการเมืองใหญ่ที่เคยเป็นรัฐบาล เป็นตัวปัญหา
ทั้งผลของโพล์ในปัจจุบัน และช่วงกปปส.คนเรือนล้านๆออกมาปฏิเสธการเมืองเก่า
และนำเสนอคำขวัญที่ดังกึกก้องไปทั่วไทย คือ “ ต้องปฏิรูป ก่อนเลือกตั้ง “
หากรวมความเห็นของประชาชนดังกล่าว อาจกล่าวว่า
“ ต้องปฏิรูป พรรคการเมืองสามานย์ให้เป็นประชาธิปไตย ก่อนมีการเลือกตั้ง”
สิ่งที่นักการเมืองในสังกัดพรรคดังกล่าว อย่ามากล่าวหาใคร หรือ รัฐบาลประยุทธ
แต่ต้องกลับไปทบทวนตัวเองและพรรคการเมืองของตน ทำอะไรให้ประเทศเสียหาย
“ โกงข้าวโกงชาวนา ห้าแสนล้าน , โกงบ่อบำบัดน้ำคลองด่านหลายหมื่นล้าน
โกงงบประมาณในกรมชลและเกษตรกร , โกงโรงพักตำรวจ และสารพัดโกง ฯลฯ
การใช้อำนาจรัฐ โยกย้ายเรียกเงินข้าราชการ การแก้รัฐธรรมนูญเพื่อเพิ่มอำนาจตน
สั่งตำรวจมาสลายการชุมนุมของประชาชนที่ใช้สิทธิตามรธน.ปี51
การปกป้องแกนนำผู้ชุมนุมติดอาวุธชุดดำ ที่ทำร้ายประชาชนทำลายประเทศ ปี 53
และเมื่อ22 พฤษภา 2557 พลเอกประยุทธ ทำการรัฐประหาร มวลมหาชนสนับสนุน
โดยสรุปนี่คือ วิกฤตของพรรคการเมือง จากการกระทำของนักการเมืองเอง
• แล้วประชาชน จะสรุปบทเรียนนี้ ให้เกิดประโยชน์แก่บ้านเมืองได้อย่างไร
ก. บทเรียนของวิกฤตพรรคการเมืองใหญ่
๑. วิกฤตของพรรคการเมืองนักการเมือง เพราะการใช้อำนาจไม่ถูกต้องชอบธรรม
ทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเองพวกพ้อง มิใช่ประชาชนและประเทศชาติ
๒. เพราะพรรคการเมืองมิใช่พรรคประชาธิปไตย มีนายทุนเป็นเจ้าของบงการพรรค
แต่พรรคการเมืองที่ประชาชนต้องการ คือพรรคมวลชน สมาชิกเป็นเจ้าของพรรค
๓. เพราะ รัฐธรรมนูญ กฎหมายพรรคการเมือง มิได้ควบคุมพรรคและนักการเมือง
ปล่อยให้นักการเมืองที่เข้าไปเป็นสส. นายกรมต.ประธานรัฐสภา มีอำนาจล้นฟ้า
และใช้อำนาจรัฐไปในทางมิชอบ โกงงบประมาณ รังแกข้าราชการเอาเปรียบชาวบ้าน
๔. ประชาชนเรือนล้าน ปฏิเสธ พรรคการเมืองเก่า ทั้งใหญ่กลางเล็ก ที่สร้างปัญหา
ข. โอกาสของพรรคประชาชน
๑. แนวโน้ม การไปสู่ประเทศประชาธิปไตย ต้องมีการเลือกตั้ง โดยพรรคการเมือง
แต่ต้องเป็นพรรคการเมืองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
๒. เป็นโอกาสของพรรคการเมืองที่ดี และประชาชนที่จะจัดตั้งพรรคการเมืองที่ดีขึ้น
๓. แต่ประชาชน คสช. กมธ.ร่างรธน. จะต้องคิดให้ออกว่า What is to be done
• มาศึกษาบทเรียนในอดีตที่ผ่านมาของพรรคการเมืองประเทศไทย
ผมเป็นคนเดือนตุลา 14 ตุลาคม 16 ได้รับรู้และได้เข้าร่วม-ก่อตั้งพรรคการเมืองฯ
ร่วมก่อตั้ง เป็นกรรมการ-รองเลขาธิการ-รองประธานพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย
เข้าร่วมกับพรรคพลังธรรม หลังเหตุการณ์17 พฤษภา 35 เป็นกรรมการ-รองเลขาธิการ
ได้เห็นพลังประชาชน บทบาทผู้นำนักศึกษาประชาชนนักธุรกิจ ที่ต้องการประชาธิปไตย
และเข้าใจสถานการณ์ทางการเมืองและความตื่นตัวของประชาชนได้ดี
จึงขอสรุปให้เห็นประเด็นที่สำคัญ เพื่อนำมาคิดประยุกต์ต่อ ในสถานการณืปัจจุบัน คือ
๑. ประเทศไทยเคยมีพรรคการเมืองที่ดี มีลักษณะพรรคมวลชนเกิดขึ้น
เช่น พรรคประชาธิปัตย์ในยุคต้นๆ พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย
พรรคแนวร่วมสังคมนิยม พรรคพลังใหม่ พรรคก้าวหน้า ฯลฯ
๒. พรรคการเมืองเหล่านี้ เป็นการรวมตัวของคนที่มีแนวคิดและอุดมการณ์
และสามารถนำเสนอและผลักดันนโยบาย ให้เป็นที่ยอมรับของประชาชน
๓. สถานการณ์ในช่วงนั้น เปิดโอกาส เพราะ
ก. ประชาชนเติบโต รับรู้ปัญหาเผด็จการ ต้องการประชาธิปไตย
ข. ระบบเผด็จการทหารลดบทบาท ระบบพรรคการเมืองไม่ผูกขาดอำนาจ
ค. การเลือกตั้ง ไม่ใช่เงินมาก การซื้อเสียงมีน้อย ไม่มีการซื้อพรรคการเมือง
ง. สื่อ มีจรรยาบรรณ มีอิสระ และมีสื่อที่ก้าวหน้า สื่อประชาธิปไตย
โดยสรุป สังคมการเมืองยังมีภาวะสมดุล ทุกฝ่าย มีโอกาส ในการเลือกตั้ง
• สภาพสังคมและการเมืองในปัจจุบัน มีเงื่อนไขและมีโอกาส
๑. พรรคการเมืองเก่า ใหญ่กลางเล็ก ต้องถูกยุติบทบาท ( ไปชั่วคราว )
๒. ประชาชนปฏิเสธการเมืองเก่า ต้องการการเมืองใหม่
๓. รัฐบาลพลเอกประยุทธ คสช. ฯ ได้มองเห็นต้นเหตุวิกฤต ที่มาจากนักการเมืองเก่า
๔. คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ชุดอาจารย์มีชัย เห็นปัญหา ได้นำเสนอการแก้วิกฤต
ลดอำนาจบทบาทของพรรคการเมืองใหญ่ เพิ่มอำนาจในการใช้สิทธิของประชาชน
กวดขันเข้มงวดคุณสมบัติ ไม่เอานักการเมืองทุจริต ปฏิเสธคนไทยย้ายสัญชาติฯ
๕. คนมีอุดมการณ์ นักประชาธิปไตย มีการตื่นตัว พูดคุยแลกเปลี่ยน ที่จะมีการรวมตัว
เข้าร่วมการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ และฟื้นฟูพรรคการเมืองเก่าที่มีอุดมการณ์
• แล้วประชาชน จะมีส่วนร่วมในการผลักดันเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร

กอ.รมน.เตรียมมาตรการรับมือก่อการร้าย



โฆษก กอ.รมน. ยันหน่วยมั่นคง มีมาตรการรองรับ ก่อการร้าย ติงข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ หากยังไม่มีการยืนยันในข้อเท็จจริง อาจทำให้สังคมเกิดข้อกังวลเกินกว่าเหตุได้ ยันไทยไม่ใช่คู่ขัดแย้ง
พล.ต.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เปิดเผยกรณีปรากฏการเผยแพร่ภาพเอกสารลับมากของทางราชการที่อ้างว่าเป็นหนังสือสั่งการให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้ายไอเอส. เดินทางเข้ามาในประเทศไทยแล้วนั้น ว่า ประเด็นที่มาของเอกสารลับมากขอให้เป็นการยืนยันความมีอยู่จริงของหน่วยราชการนั้นๆ
สำหรับความเห็นต่อประเด็นเนื้อหาของเอกสารขอเรียนว่า ประเทศไทยไม่ใช่คู่ขัดแย้งโดยตรงกับประเทศใด
ส่วนความน่าจะเป็นที่กลุ่มก่อการร้ายจะเดินทางเข้าไทยนั้นต้องรอการพิสูจน์ทราบตัวบุคคลตามข้อมูลในเอกสารที่มีการเผยแพร่
ทั้งนี้ หน่วยงานด้านความมั่นคงทุกหน่วยได้มีมาตรการรองรับตามภารกิจของแต่ละหน่วยแล้ว และเห็นว่าข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ หากยังไม่มีการยืนยันในข้อเท็จจริง อาจทำให้สังคมเกิดข้อกังวลเกินกว่าเหตุได้

บิ๊กป้อม พา"บิ๊กโด่ง-บิ๊กหมู" ออกงานด้วยกัน สยบข่าวเกาเหลา ยันทำงานด้วยกัน ตามหน้าที่


บิ๊กป้อม พา"บิ๊กโด่ง-บิ๊กหมู" ออกงานด้วยกัน สยบข่าวเกาเหลา ยันทำงานด้วยกัน ตามหน้าที่ บินประชุมความมั่นคง พื้นที่อิสาน และจะชวนไปด้วยกัน 9 ธค. ไป ทัพภาค3 ภาคเหนือที่พิษณุโลก/ เผยไม่รู้ จะปรับครม.หรือไม่ แล้วแต่นายกฯ/ เผย กก.สอบ "ราชภักดิ์" ต้องสอบอีกจำนวนมาก ทั้งทหาร-พลเรือน ให้รอบด้าน
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม พร้อม พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รมช.กห. พลเอกปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกห. พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ.และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เดินทางไปตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการปฏิบัติงานให้กับ เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ กองทัพภาค2 โดยมีผู้บังคับหน่วยทหารและตำรวจ ตั้งแต่ ผบ.พันและผู้กำกับสถานีตำรวจ ในพื้นที่ขึ้นไป ร่วมรับฟัง ที่ค่ายสุรนารี
มีรายงานว่า พลเอกประวิตร กล่าวในที่ประชุม ในค่ายสุรนารี ต่อหน้า ผบ.หน่วย ที่มาประชุม ว่า พลเอกอุดมเดช กับ พลเอกธีรชัย ผบทบ ไม่ได้ขัดแย้งกัน อย่าไปเชื่อตามข่าวลือ นี่ก็มาด้วยกัน ทำงานด้วยกัน เพราะต่างต้องทำหน้าที่ของตนเอง
ทั้งนึ้ พลเอกประวิตร จะเดืนสายไปประชุมหน่วยความมั่นคงในทุกกองทัพภาค โดย9ธค. จะไปประชุม หน่วยในพื้นที่ภาคเหนือ กองทัพภาค3 ที่ พิษณุโลก โดย ทั้ง พลเอกอุดมเดช พลเอกธีรชัย ก็จะมาด้วยทุกครั้ง
ส่วนการปรับ ครม. พลเอกประวิตร กล่าวในการให้สัมภาษณ์สื่อ ว่า ให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ตัดสินใจ ท่านคิดของท่านเองได้ว่าจะปรับหรือไม่ เมื้อใด ไม่ต้องปรึกษาผมหรอก ระบุ ยังไม่ได้คุยกัน เริ้อง พลเอกอุดมเดช
พลเอกประวิตร กล่าวว่า ตอนนี้ คณะกรรมการสอบข้อเทจจริง ราชภักดิ์ ของกลาโหม กำลังเร่งสอบสวน ให้สรุปเร็วที่สุด เพราะต้องใช้เวลา เนื่อฝจาก มีการเชิญ คนมาให้ข้อมูล จำนวนมาก ทั้งทหารและพลเรือน เพราะต้องตรวจสอบให้รอบด้าน
มีรายงานว่า พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกลาโหม ในฐานะประธานกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ เรียกประชุม กรรมการ ทุกวัน รวมทั้ง เสาร์ อาทิตย์ วันหยุด ด้วย เพื่อให้สรุปผลได้เร็ว ภายใน1-2สัปดาห์ นี้

"พลเอกประวิตร" สั่งดูแล นักท่องเที่ยว สถานที่เชิงสัญลักษณ์ของประเทศที่ร่วมโจมตี ไอเอส.


"พลเอกประวิตร" สั่งดูแล นักท่องเที่ยว สถานที่เชิงสัญลักษณ์ของประเทศที่ร่วมโจมตี ไอเอส. ที่อยู่ในไทย หลังรัสเซียเตือน 10สมาชิก ไอเอส.เข้าไทย สั่งตามหาในพื้นที่ สั่งสกรีน 400 นักท่องเที่ยว ซีเรีย อยู่ในไทย
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง เผยว่า สั่งตำรวจ สันติบาล ตืดตาม หาตัว 10 สมาชิก ISลอบเข้าไทย เผยได้ข่าวมา ราว10วันแล้ว ให้ตำรวจตรวจสอบอยู่ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่การข่าวแจ้งเตือน ทั้ง พัทยา ภูเก็ต
เผยสั่งจับตา ตรวจสอบ นักท่องเที่ยวชาวซีเรีย ที่เข้ามาไทย 400คน ว่า เข้ามาแล้วกลับไปแล้วกี่ตน ไปไหนบ้าง แต่ยังไม่พบผิดปกติ ยอมรับดูแลยาก เพราะเข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยว แต่ ขอให้มั่นใจ ในการดูแล เราทำอย่างเต็มที่ ให้ดีที่สุด
พร้อมสั่งให้ผบตร.ตั้งกก.สอบ เอกสารลับสันติบาล เรื่องISเข้าไทยหลุดออกมาได้อย่างไร
นอกจากนี้ ยังให้ ตำรวจ ทหาร ไปดูแล สถานที่สำคัญเชิงสัญลักษณ์ ของประเทศ ต่างๆท นักท่องเที่ยว ของประเทศที่ร่วมกันโจมตี IS ที่ตั้งในประเทศไทย ด้วย
"ขอให้มั่นใจ ว่าเราต้องทำให้ได้ ทำให้ดีที่สุด ในการดูแลความปลอดภัย " พลเอกประวิตร กล่าว
พลเอกประวิตร กล่าวว่า ตอนนี้ ให้การทำงานด้านความมั่นคง เป็น3 ขา คือ มหาดไทย-กลาโหม-ตำรวจ ทำงานร่วมกันในทุกพื้นที่ ทั่วประเทศ ทั้งปัญหาการก่อการร้าย และการเมือง การสร้างสถานการ์ภายใน โดยตนเอง จะเดินสายประชุม หน่วยมั่นคง ทั่วประเทศ ทั้ง อิสาน ที่ไปมาแล้ว วันนี้ และภาคเหนือ ด้วย