PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

ใครชนะ คอลัมน์ ใบตองแห้ง



วันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 14:24 น.
จำนวนคนอ่านล่าสุด 2639 คน
อยู่ประเทศนี้ พ.ศ.นี้ มีเรื่องฮาได้ฮาดีไม่หยุดหย่อน กับความถดแถยอกย้อนของคนชั้นกลางระดับบน คนมั่งมี ผู้มีการศึกษา


ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน พากันใส่เกียร์ห้าเชียร์ร่างรัฐธรรมนูญ แต่พอแพ้มติถูกคว่ำ หงายเงิบ ปากอ้า ก็ยังพลิกหาคำอธิบายได้ว่า อ้าว นี่มันเกมหลอกให้นักการเมืองชั่วต่อต้านนี่หว่า คว่ำร่างรัฐธรรมนูญเสีย คสช.ก็อยู่นาน


คิดได้ดังนั้นก็หัวเราะกันคิกคัก ขวัญเอ๊ยขวัญมา ที่แท้เราเป็นผู้ชนะ (เพิ่งรู้นะนี่) ต้องเอาอย่างพระอาจารย์พุทธอิสระ ลืมซะว่าเคยด่าทนายวันชัยไว้อย่างไร ไปขอบคุณทนายวันชัยดีกว่า


ก็เอาที่สบายใจเลย ยังไงพวกเรียกร้องประชาธิปไตยก็แพ้อยู่ดี เพราะถ้าทำประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ก็แปลว่าคน 20 ล้านอยากให้คสช.อยู่ต่อ พวกที่อยากเลือกตั้งคงมีแค่ 4-5 ล้านคน


ส่วนที่ "ลุงกำนัน" ออกมาเชียร์ก็คงสับขาหลอก แต่ไม่ยักบอก 105 สปช. ที่มีหลายคนเคยขึ้นเวทีกปปส. เคยอยู่กลุ่ม 40 ส.ว. เคยต่อสู้มาด้วยกัน ปล่อยให้ยกมือ "เอาเลือกตั้ง" ซะงั้น


โหคนดีๆ ทั้งนั้นนะครับที่ยกมือรับร่างรัฐธรรมนูญ เช่นท่าน พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป, คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา, คุณประมณฑ์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น, อ.ปราโมทย์ ไม้กลัด, คณผาณิต นิติทัณฑ์ประภาส ฯลฯ พร้อมทั้งนักวิชาการ สื่อ NGO ภาคประชาสังคมจำนวนมาก ตั้งแต่หมอพลเดช ปิ่นประทีป, คุณรสนา โตสิตระกูล, คุณสารี อ๋องสมหวัง ไปกระทั่งคุณจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี พ่อน้องตั๊น


ถ้านี่เป็นการ "จัดฉาก" ก็ไม่ยักบอกกันบ้างเลย ปล่อยให้พระนางรำออกมาค้างอยู่กลางฉาก


ผมก็ไม่ได้อยากคุยหรอกว่ายกนี้ใครชนะ อยากให้มองแบบ Win-Win มากกว่า เพราะถ้าเปรียบเป็นสงครามก็เหมือนแม่ทัพใหญ่ส่งกองหน้ามาชิมลาง ส่งโหราจารย์มาทำพิธีบวงสรวง แต่ประเมินสถานการณ์แล้วเห็นท่าไม่ดี ถ้ายกพลโจมตีก็สูญเสียทั้งสองฝ่ายโดยไม่จำเป็น จึงถอยทัพกลับไป ตั้งหลัก โดยยังคุมความได้เปรียบ ไม่ได้เพลี่ยงพล้ำซักหน่อย แค่ยอมสละโหราจารย์กับหัวหมู่ทะลวงฟันไม่กี่คน (ขออโหสิกรรม)


เพียงแต่นี่ไม่ใช่สงคราม ฉะนั้นมองอีกด้านก็เห็นนิมิตหมายที่ดี ใครก็ตามที่สั่งรั้งม้าริมผา รู้ว่าดันทุรังไม่ได้ ถึงแม้เจตนาไม่ต้องการให้ตัวเองเพลี่ยงพล้ำ แต่ถ้าตกเหว สังคมไทยก็ตกไปด้วยกัน ถ้าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านไปสู่การทำประชามติก็เกิดการประจันหน้า หรือถ้าผ่านไปบังคับใช้ก็จะเป็นระเบิดเวลา นี่แสดงว่าแม้อยู่ข้างไหนก็เข้าใจสถานการณ์ตรงกัน


ฉะนั้นถ้า มองให้กว้าง ปรากฏการณ์ครั้งนี้ ความมีสติ ความมีเหตุผล ความเติบโตของสังคม และหลักการประชาธิปไตย คือผู้ชนะ ไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่เพื่อไทย ไม่ใช่ประชาธิปัตย์ ไม่ต้องกลัวหรอกครับ เพราะร่างรัฐธรรมนูญถูกโหวตคว่ำโดยสปช.ต่างจังหวัด สปช.สายทหาร ข้าราชการ เห็นกันชัดๆ (ไม่เกี่ยวกับนายทักษิณ ชินวัตร ซักหน่อย)


มันสะท้อนว่าแม้ในกลุ่มผู้มีอำนาจ ก็ยังมีสติ มีเหตุผล พอจะตระหนักว่าประชาชนไม่ยอมรับ (ไม่ยักเป็นไปตามโพล) ประชาชนไม่ได้โง่ ไม่สามารถยัดเยียดระบอบที่ถอยหลังไปห้าสิบปี


ตรงข้ามกับพวก ดึงดันจะเอา "อภิรัฐบาล" ซึ่ง Ultra ยิ่งกว่าทหาร อาจเป็นเพราะทหารยังเรียนตำราพิชัยสงคราม รู้จังหวะรุกถอย รู้ประเมินสถานการณ์ แต่พวกเคยผ่าน 14 ตุลา พฤษภา 35 มาแท้ๆ กลับจะเอาระบอบปูลิตบูโรมาขี่คอชาวบ้าน


ไม่อยากพูดเลยว่าพวก นี้ต่างหากคือผู้แพ้ที่แท้จริง บางคนแพ้แล้วยังโวย ประกาศจะไม่เป็นเครื่องมือให้รัฐบาลต่อไป "ภาคประชาสังคมผิดหวังและถอยตัวออกห่าง" (ขอให้แน่ซักราย)


"ทัพ ใหญ่" ไม่ได้แพ้ แค่ถอยไปตั้งหลักใหม่ ขอคารวะในฐานะที่ใส่สลักเองแล้วถอดสลักเอง กระนั้นก็ใช่ว่ารอบหน้าจะมีโอกาสแก้ตัวใหม่ เพราะนั่งทับเงื่อนเวลาที่เร่งเร้าให้ต้องกลับสู่เลือกตั้ง ต้องเร่งหา "ทางลง" ที่สังคมยอมรับร่วมกัน


ซึ่งมันไม่ง่ายอย่างที่สื่อ เที่ยวไปจิ้มชื่อใครต่อใครเป็นประธานยกร่างฯ สังคมไทยวันนี้ เนติบริกรหน้าไหนมา แค่อ้าปากก็รู้ทัน ช่วงเวลา "6-4-6-4" คนพูดก็รู้ดีว่าเงื่อนเวลาไม่เปิดโอกาสให้ยืดยาดปานนั้น ถ้าทอดได้ "หกสี่เอี่ยว" ก็ว่าไปอย่าง เจ้ามือกินรอบวง

ฑูตอังกฤษประจำประเทศไทยไบรอัน จอห์น เดวิดสัน รับตำแหน่งฉลองแต่งงานครบ ๑ ปีกับชายชาวจีน



Pat Hemasuk

ข่าวออกมาหลายวันแล้วครับ อังกฤษแต่งตั้ง นายไบรอัน จอห์น เดวิดสัน เป็นเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทยคนใหม่โดยจะเข้ารับตำแหน่งเดือนกันยายน นี้ แต่สิ่งที่หลายๆ คนหลังไมค์มาถามผมในบางเรื่องนั้น ผมขอเขียนให้อ่านเลยดีกว่าครับ
นายไบรอัน เดวิดสัน นั้นเกิดที่ไอร์แลนด์ 1964 มาเรียนจนจบกฎหมายจากทรีนิตี้ แคมบริจ ก่อนที่จะมาทำงานกับกระทรงต่างประเทศในปี 1985 โดยเริ่มทำงานในตำแหน่งนั่งโต๊ะธรรมดาๆ รับเรื่องที่เกี่ยวกับประเทศยุโรปตะวันออก และเข้าเรียนภาษาจีนที่สถาบันตะวันออกและอัฟริกันศึกษาไปด้วย ในปี 1988 ก็ถูกย้ายมาทำงานที่สถานทูตปักกิ่งในอีกสามปีต่อมาในตำแหน่งนักวิเคราะห์การก่อการร้ายและความมั่นคงระหว่างประเทศ ก่อนจะได้เลื่อนขึ้นมาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของแผนก ประเทศจีนและตะวันออกไกล-แปซิฟิกจนถึงปี 1996 หลังจากนั้นก็เลื่อนเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยรับตำแหน่งที่ ออสเตรเลีย ลิทัวเนีย จนถึงปี 2006ก็เลื่อนมารับตำแหน่ง สถาบันบริการการเงินระหว่างประเทศที่ลอนดอนและกลับไปจีนอีกรอบในปีเดียวกัน โดยเป็นกงศุลที่กว่างโจว จนถึงปี 2011ก็มารับตำแหน่งกงศุลที่เซี่ยงไฮ้

เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วนี้เอง นายไบรอัน เดวิดสัน ได้แต่งงานกับ นายสก็อต เคลลี่ ชาง ที่ประเทศจีนโดยอำนาจทางกฎหมายอังกฤษโดยทูตอังกฤษประจำประเทศจีน เพราะว่าที่จีนยังไม่มีกฎหมายแต่งงานเพศเดีวยกัน

นายไบรอัน จอห์น เดวิดสัน จะเข้ามารับตำแหน่งเป็นเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยจะเข้ารับตำแหน่งเดือนกันยายน นี้ถือว่าฉลองแต่งงานครบรอบปี และอัพเกรดตำแหน่งจากกงศุลมาเป็นทูตเต็มตัวที่เมืองไทยก็ว่าได้

ใครมีเพลง I Will Survive ของ Gloria Gaynor ฉบับของแท้ เปิดฟังประกอบการอ่านบทความนี้จะได้อรรถรสเพิ่มขึ้นครับ
เครดิตภาพ พิงค์นิวส์ ยูเค

รปภ.นายกฯรวบ"พริษฐ์ ชิวารักษ์"นักเรียนชูป้าย




(6ก.ย.58)สงสัยจะเป็นเพราะ ทีม รปภ.นายกฯ เคยเจอแต่นศ.ชู3นิ้ว ประท้วงหน้านายกฯ มาก่อน แถมช่วงนี้ มีประท้วงเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ และ เพิ่งใช้ มาตรา44 ถอดยศ พันตำรวจโท "ทักษิณ ชินวัตร" ไปหมาดๆ... ในงานวันต้านคอรัปชั่น ที่ โรงแรมเซนทารา แกรนด์ เมื่อเช้านี้ พอนายกฯ ปาฐกถาพิเศษ เปิดงานจบ ก็เปิดโอกาสให้ถาม "ใครมีอะไรจะถามมั่ย"

น้องนักเรียน ม.5 คนนี้ ก็ยกมือ เตรียมที่จะตะโกนบอก ว่า"นายกฯรับหนังสือผมด้วย" พร้อมมีป้ายกระดาษ เขียนด้วยลายมือมาด้วย เพื่อให้ นายกฯเห็นในระยะไกล
แค่นั้น ทีมรปภ.ก็เข้าถึงตัวเลย และพาตัวออกไป โดยไม่ดูเลยว่า ป้ายที่เขียนมา ก็ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องข้อเสนอแนะในการเรียนการสอน
ถึงขั้นต้องพาตัวน้องไป สอบสวนที่ สน.ปทุมวัน...แทนที่จะเอามาถาม นอกห้องก่อนก็ได้ มาแค่คนเดียว แถมเป็นเด็กนักเรียน

ทั้งนี้ น้องคนนี้ ทราบชื่อว่า นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ นักเรียนมัธยมศึกษาและเป็นเลขาธิการกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไทย ซึ่งได้ลุกขึ้นเดินไปหน้าเวทีชูป้ายพร้อมกับตะโกนถามนายกฯ เพื่อขอคำอธิบายและเรียกร้องให้ลดการเรียนการสอนเรื่องหน้าที่พลเมืองลงและขอให้เพิ่มการสอนวิชาปรัชญาแนวคิด รวมถึงเสนอให้สอนวิชาประวัติศาสตร์ด้วยเนื้อหาที่หลากหลาย ไม่เน้นชาตินิยม
โดยขณะที่ ทีม รปภ.รีบเข้าไปล็อกตัวเอาไว้ทันที

นายกฯ ได้พูดบนเวทีบอกกับทีม รปภ.ว่า “ให้ใจเย็นๆ เขายังเด็กอยู่ ดูแลเขาด้วย” พร้อมกับถามว่าเขาร้องเรื่องอะไร ให้รับเรื่องไว้ แล้วยังกล่าวทีเล่นทีจริงด้วยว่า “ใช่พวกเราหรือเปล่า “เฮ้ย รปภ.ถ้าเป็นพวกเรา ดูแลเขาดีๆ” ทำให้บรรยากาศในห้องประชุมที่กำลังตกใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครึกครื้นและมีเสียงหัวเราะขึ้นมา

นอกจากนี้ นายกฯ ยังได้กล่าวปิดท้ายบนเวทีอีกว่า “เราอย่าแก้ปัญหาหนึ่งไปสู่ปัญหาหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะอยู่อย่างนี้ ไปไม่ได้ ค่อยๆ ลดบรรเทาไปเรื่อยๆ แล้วมันจะดีด้วยความร่วมมือร่วมใจของเราทุกคน แล้วกลับสู่ประชาธิปไตย ไม่ขัดแย้ง ไม่ขัดแข้ง ผมไม่บ้า ไม่เผด็จการ”

แต่ในที่สุด เมื่อช่วงเที่ยง ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า นักเรียนชายคนดังกล่าวถูกนำตัวไปอยู่ที่สน.ปทุมวัน ต่อมาผู้ปกครองของนักเรียนชายคนดังกล่าวได้มาพบกับเจ้าหน้าที่ ตำรวจสน.ปทุมวันเพื่อรับทราบข้อมูลและรับตัวกลับ โดยทางตำรวจไม่ได้มีการแจ้งข้อหาหรือลงบันทึกประจำวันไว้แต่อย่างใด

นักเรียนชายคนดังกล่าว เปิดเผยว่า ทราบว่านายกรัฐมนตรีจะมากล่าวต้านโกง ซึ่งเห็นว่าเรื่องการต้านทุจริตเป็นเรื่องสำคัญ ทุกรัฐบาลทำมาหลายครั้งแต่ไม่เห็นผลจริงจัง จึงตั้งใจจะมายื่นหนังสือให้ถึงมือนายกฯ เพราะถ้ายื่นตามขั้นตอนไม่ทราบว่าจะถึงมือนายกฯโดยตรงหรือไม่

นักเรียนชายคนนี้ ยังระบุว่า ตัวจดหมายที่ยื่นนี้ คือข้อเสนอให้นายกรัฐมนตรีว่า ถ้าจะสร้างปลูกฝังการต้านโกงที่แท้จริง คือ การสอนวิชาปรัชญาและจริยศาสตร์ แทนวิชาหน้าที่พลเมือง เพราะวิชาหน้าที่พลเมือง ส่วนมากมันถูกกำหนดแล้วว่าอะไรดี อะไรไม่ดี พลเมืองมีหน้าที่อะไร ซึ่งข้ามขั้นตอนว่า ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น ทำไมทำอย่างนี้ ไม่ได้สร้างระบบคิด จึงควรปลูกฝังวิธีคิดอย่างจิตสำนึก

นักเรียนชาย ยืนยันว่า มาด้วยความบริสุทธิ์ใจ ป้ายข้อความไม่ได้มีเนื้อหารุนแรงหรือต่อต้านรัฐบาล หรือโจมตีใคร แต่มาเรียกร้องให้ปฏิรูปการศึกษาไทยให้ดีขึ้น ไม่ควรถูกคุมตัว เพราะตั้งใจจะยื่นจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีโดยตรง แต่กลายเป็นยื่นให้ตัวแทนนายกฯ
(ภาพจาก-ไทยรัฐ)

ประยุทธ กับนักข่าว



ตบจูบ.....เมื่อวาน นายกฯ หยอก นักข่าว "เดี๋ยวเตะ เลยนี่" เพราะย้อนศรถามว่า นายกฯจะนั่งประธาน กก.ร่างรธน.เองเลยจริงปะ หลังนายกฯบอก "ฉั้น จะเขียนเอง"....มาวันนี้ นายกฯ หยอกอีก" ก็ถามแล้ว ตอบไปแล้วนี่ เดี๋ยวชกเลย ไอ้นี่ " หลังนักข่าวถามซ้ำ คุย ครม.-คสช. ได้ กรธ.22กย.แน่นอนใช่มั้ยคะ?....พอก่อนขึ้นรถกลับ นายกฯถาม..."ฉั้นไปต่างประเทศ.พวกเธอจะคิดถึงฉั้นมั้ย ถ้าเธอไม่อยากให้ไป ฉันก็จะไป ถ้าเธออยากให้ไป ฉันก็จะอยู่"55 ....นักข่าว เลยบอกว่า ดีใจ ไปนานๆเลย อเมริกา พวกเราจะได้ปิดเทอม"..... เพราะทุกวันนี้ กลับบ้านกันทุ่มสองทุ่ม วันไหน นายกฯให้สัมภาษณ์ตอนเย็น กว่าจะพิมพ์ข่าวเสร็จ ก็2-3ทุ่ม...นายกฯเลยบอก ฉั้นไปอเมริกา หลายวัน แต่คนอื่นก็ยังทำงานกันอยู่ แต่ ยกเลิกไปจีน 17-18 กย. นี้แล้ว

หัวอก เลขาฯสมช..,.

หัวอก เลขาฯสมช..,.
เพราะเป็นทั้ง เพื่อน และผู้บังคับบัญชา ของ คุณพี่ กนกทิพย์ รชตะนันท์ และเป็น ผู้ใต้บังคับบัญชา ของ บิ๊กๆในรัฐบาล ต่อเริ่องการลาออก ของ รองเลขาฯกนกทิพย์ เพราะรัฐบาล เลือกทหาร เลือกคนนอกมาเสียบแทน ตนเองที่อาวุโสสุด และเป็นลูกหม้อ สมช. เลยทำให้ คุณอนุสิษฐ์ คุณากร เงขาฯสมล. ที่กำลัง เค้าท์ดาวน์จะเกษียณ อีกไม่กี่วัน ต้องมาโดนกระหน่ำ พูดไรไป มีแต่เข้าตัว เพื่อนอาจโกรธ ลูกน้องในสมช.ก็งอน ...หรือถ้าพูดอีกอย่าง นาย อาจไม่พอใจ เลขาฯแจงที่บอกว่า "ผู้ใหญ่ ยึดชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง ในการพิจารณาเลือก สมช"นั้น ไม่ได้ตำหนิ ใคร เพราะ คุณกนกทิพย์ ถือว่า มีความสามารถ / เผย ยังไม่อนุมติ “กนกทิพย์"รองเลขาฯ” ลาออก เชื่อ” เข้าใจ วอน เลิกถาม-ไม่มีประโยชน์ต่อการทำงาน
นายอนุสิษฐ คุณากร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) กล่าวถึงกรณีที่นางกนกทิพย์ รชตะนันท์ รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง ว่า ยังไม่ได้อนุมัติ และได้คุยกับนางกนกทิพย์แล้วว่า อยากให้ความรู้ความสามารถที่ท่านมีอยู่มากมาย ได้มีโอกาสช่วยงานด้านความมั่นคง
“ผมไม่อยากพูดเรื่องส่วนตัวเรื่องนี้แล้ว เพราะไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาฯสมช. ที่ท่านถาม ขอให้ยุติแล้วกัน เพราะเรากำลังทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด
ท่านรองเลขาฯเอง ก็เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ และเข้าใจเรื่องเหล่านี้ดี ผมไม่พูดแล้ว ไม่มีประโยชน์ต่อการที่จะพูดต่อไป” นายอนุสิษฐ กล่าว

Airforce1 ลำใหม่.....

Airforce1 ลำใหม่.....
เครื่องบินAirbus ACJ 320 ลำใหม่ ราคา 3,421ล้าน อนุมัติซื้อยุค"ยิ่งลักษณ์"เข้าประจำการทอ.วันนี้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ/รมว.กห. รับมอบ โดยใช้ เป็นเครื่องสำหรับVIP และ สำหรับนายกฯ-ครม.-ผบ.เหล่าทัพ ใช้ รวมถึงภารกิจเร่งด่วน อพยพคนไทย ภารกิจมนุษยธรรม โดยซื้อจากฝรั่งเศส ผูกพันงบประมาณ2556-2558 เป็นเครื่องแบบ 75ที่นั่ง มี2เครื่องยนต์ บินนานสุด7 ชม.หรือ5,900 กม.(3,200ไมล์)
ตามแผนทอ. กำหนดให้มีฝูงบินรับ-ส่งบุคคลสำคัญ จำนวน8 เครื่อง แต่ปัจจุบัน มี3 เครื่องคือ Airbus 310 , Airbus 319 CJ และ Boeing737-800 แต่ไม่เพียงพอกับภารกิจของบุคคลสำคัญ การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการอพยพคนไทยในต่างแดน จึงจัดหาเพิ่มเติม1 เครื่อง

ไทยคู่ฟ้า....ลำใหม่





ไทยคู่ฟ้า....ลำใหม่
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ/รมว.กห. พร้อม พลอากาศเอกตรีทศ สนแจ้ง ผบ.ทอ.ถ่ายภาพหมู่ทหลังรับมอบเครื่องบินVIP Airbus ACJ 320 เข้าประจำการ ฝูง602รักษาพระองค์ ดอนเมือง
เครื่องบินVIPรับ-ส่งบุคคลสำคัญ Airbus ACJ 320 ลำใหม่ 3,421ล้าน ซื้อยุค"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"
ในสมัยก่อนอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร"เคยตั้งชื่อ เครื่องวีไอพี.แบบนี้ สำหรับVIP นายกฯ ครม. ว่า เครื่อง"ไทยคู่ฟ้า"แต่ต่อมา ไม่มีการตั้งชื่อเรียกใดๆ นอกจากรับรู้กันว่า เป็นเครื่อง คล้ายๆAirforce1 สำหรับผู้นำประเทศ
โดยวันนี้ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์วัดปากน้ำปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชฯทรงมาเจิมเครื่องบินใหม่
ลำนั้ ใช้ เป็นเครื่องสำหรับVIP และ สำหรับนายกฯ-ครม.-ผบ.เหล่าทัพ ใช้ รวมถึงภารกิจเร่งด่วน อพยพคนไทย ภารกิจมนุษยธรรม โดยซื้อจากฝรั่งเศส ผูกพันงบประมาณ2556-2558 เป็นเครื่องแบบ 75ที่นั่ง มี2เครื่องยนต์ บินนานสุด7 ชม.หรือ5,900 กม.(3,200ไมล์)
ตามแผนทอ. กำหนดให้มีฝูงบินรับ-ส่งบุคคลสำคัญ จำนวน8 เครื่อง แต่ปัจจุบัน มี3 เครื่องคือ Airbus 310 , Airbus 319 CJ และ Boeing737-800 แต่ไม่เพียงพอกับภารกิจของบุคคลสำคัญ การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการอพยพคนไทยในต่างแดน จึงจัดหาเพิ่มเติม1 เครื่อง

คสช.- หน่วยความมั่นคง เตรียมจัดอบรมให้ความรู้ประชาชน ชุมชน ครอบครัว ลูกหลานในการเฝ้าสังเกตสิ่งผิดปกติ

คสช.- หน่วยความมั่นคง เตรียมจัดอบรมให้ความรู้ประชาชน ชุมชน ครอบครัว ลูกหลานในการเฝ้าสังเกตสิ่งผิดปกติ เพื่อให้มีความรู้เบื้องต้น และตระหนักการสร้างความปลอดภัย
พันเอกวินธัย สุวารี โฆษก คสช. แถลงข่าวจากศูนย์ติดตามสถานการณ์คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ว่า ภายหลังจากเกิดเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์และท่าเรือสาทร การทำงานของเจ้าหน้าที่ในด้านการสืบสวน สอบสวนคดีก็ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ส่วนพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย ได้รับการซ่อมแซม และฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิมแล้ว
จากการประเมินล่าสุดของสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยระบุว่าภาพรวมการท่องเที่ยวของไทยปี ๕๘ ดีขึ้น โดยจะมีนักท่องเที่ยว จำนวน ๓๐.๔๕ ล้านคนซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง ๒๒ เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ตลอดทั้งปีประเทศไทยจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมกว่า ๒.๓ ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกำหนดไว้
โฆษก คสช.ระบุว่า ในส่วนของการเฝ้าระวังผู้ไม่ประสงค์ดีและการบันทึกข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในเรื่องการรักษาความปลอดภัย จึงขอความร่วมมือผู้ประกอบการ และเจ้าของธุรกิจ ห้องพัก หอพัก และห้องเช่าต่าง ๆ ให้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการเก็บข้อมูลพื้นฐานและเอกสารเบื้องต้นประกอบการลงทะเบียนของผู้เข้าพักอาศัย เช่น ข้อมูลหนังสือเดินทางบัตรประจำตัวประชาชน ระยะเวลาที่เข้าพัก ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว
นอกจากผู้ประกอบการจะได้ปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดไว้แล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับระบบการดูแลความปลอดภัยได้อีกทางหนึ่ง
พันเอกวินธัย กล่าวว่า หน่วยงานด้านความมั่นคง ร่วมกับทุกภาคส่วน ได้วางแผนในการอบรมให้ความรู้กับพี่น้องประชาชน ชุมชน ครอบครัว ลูกหลาน เพิ่มเติมโดยไม่กระทบต่อการประกอบอาชีพหรือการใช้ชีวิตประจำวัน ในเรื่องการเฝ้าสังเกตสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นซึ่งหากพี่น้องประชาชนมีความรู้เบื้องต้นและตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องดังกล่าวจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความปลอดภัยให้เกิดขึ้นในสังคมไทยของเรา

บิ๊กตู่ ยก"สามก๊ก"ปราม นักการเมือง เทียบ "พิชัย"กับ"เบ้งเฮ็ก"

บิ๊กตู่ ยก"สามก๊ก"ปราม นักการเมือง เทียบ "พิชัย"กับ"เบ้งเฮ็ก"ให้อภัยมา 7 ครั้ง แต่ครั้งที่ 7 เบ้งเฮ็ก ยอมปฏิบัติตาม มิฉะนั้นถูกตัดคอไปแล้ว ยันมีเมตตา/ ยัน คุมตัว"เก่ง การุณ"7 วัน/เตือนสร้างความแตกแยกและให้ร้ายรัฐบาล เตือนไม่ต้องมาสอนผม ลั่นผมไม่ใช้กฎหมายกับคนตรงข้ามผม แต่ใช้กฎหมายกับคนทำความผิด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้สัมภาษณถึงการควบคุมตัวนายการุณ โหสกุล อดีตส.ส.กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย ว่า การวิพากษณ์วิจารณ์รัฐบาลในเชิงสร้างสรรค์นั้น ผมรับได้ แต่ถ้าไม่สร้างสรรค์ ก็ไม่รับกรณีนี้ ตนขอถามว่ามีแนวโน้มที่จะสร้างความเข้าใจผิดหรือไม่ โดยจะมีการควบคุมตัวในระยะแรก 7 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจะพิจารณาข้อหาซึ่งมีกฎหมายปกติในข้อหาทำให้ไม่สงบเรียบร้อยอยู่แล้ว
"กฎหมายก็มีอยู่แล้วเรื่องการนำไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อย ทำไมต้องให้เตือนบ่อยครั้ง ที่ผ่านมาปัญหาเกิดจากคนไม่เคารพกฎหมาย
"ผมไม่ใช้กฎหมายกับคนตรงข้ามผม แต่ใช้กฎหมายกับคนทำความผิด ทุกคนที่มาพูดให้เกิดความแตกแยกและให้ร้ายรัฐบาลในสิ่งที่เราไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน อย่ามาติติงในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำมา ถ้าทำแล้วไม่ได้ผล อย่ามาสอนผม ห้ามมาแนะนำ เมื่อติติงสังคมก็มองตามทุกวัน ก็ต้องเชื่อสักวันว่าเศรษฐกิจมันแย่ เพราะไม่ทำอย่างที่เขาพูด ผมถามว่าที่ผ่านมาเขาได้สร้างความเข้มแข็งมาหรือไม่"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมว.พลังงาน ที่ถูกคสช.ควบคุมตัวเช่นกัน ว่า กรณีนี้ก็ให้อภัยมา 6 ครั้งแล้ว ครั้งที่ 7 อาจจะไม่ให้ก็ได้ ซึ่งผู้เกี่ยวข้องกำลังพิจารณา หากยังทำผิดอีกครั้งก็ถูกต้องดำเนินคดีเพราะทำผิดกฎหมาย
วันหน้าเมื่อขึ้นศาลก็อย่ามากล่าวหาว่าไม่เป็นธรรมอีก เพราะเราให้โอกาสมาหลายครั้งแล้ว
เมื่อถามว่าหากวิพากษ์วิจารณ์ซ้ำซาก จะมีการตั้งข้อกล่าวหาใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ตั้งข้อหา แต่ข้อหามีอยู่แล้ว และเป็นการให้อภัยด้วยความเมตตา
"ขอให้ไปอ่านหนังสือเรื่อง"สามก๊ก"ที่ให้อภัย"เบ้งเฮ็ก"มา 7 ครั้ง ซึ่งครั้งที่ 7 เบ้งเฮ็กยอมปฏิบัติตาม มิฉะนั้นถูกตัดคอไปแล้ว"
"หลายเรื่องไม่ใช่เรื่องที่คนไม่เกี่ยวข้องในปัญหามาแนะนำอะไรผมได้ ขอให้คิดถึงหัวอกผมบ้าง ถ้าใครก็ตามเกี่ยวข้องกับความผิดพลาดที่ผ่านมาก็ไม่ควรจะพูดอะไร แต่ควรสนับสนุนเราแก้ปัญหาที่เขาทำไม่ได้ ผมจะทำให้เขา เขามาติผมทำไม จะรังเกียจผมได้อย่างไร ถ้ารังเกียจผมเพราะเข้ามาแบบนี้ ผมก็เข้ามา 2 ปีแล้ว ผมก็ทำทุกอย่างมองทุกคนไม่ว่าจะสีอะไร
วันนี้ก็ขอร้องอย่ามาต่อต้าน มาอะไรกับผมมากนัก ผมทำทุกอย่างให้พวกท่าน และไม่เคยฝืนกระบวนการประชาธิปไตยในอนาคต แต่เตรียมประชาธิปไตยให้เข้มแข็ง ผมมาในขณะที่กำลังล่มอยู่แล้ว ถ้าผมไม่มาแล้วจะทำอย่างไร ถ้าเดินได้ก็เดิน เลือกตั้งได้ก็เลือก นักการเมืองดีๆเยอะแยะ แต่คนไม่ดีบางพรรคยังมีอยู่ วันหน้าประชาชนก็ดูเอาแล้วกัน"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

รวมข่าวอ.ชัยวัฒน์

Chaiwat Suravichai

11092558 วันศุกร์ สุขหลายเรื่องหลายรส รวมทั้งไปเคารพครบรอบ 72 ปี อาจารย์โคทม ฯ
• 1."พิชัย นริพทะพันธุ์" หรือเสี่ยแดง อดีตรมว.พลังงาน สมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ถูกเชิญตัวมาปรับทัศนคติ 6 ครั้ง ๆละไม่กี่นาที กลับออกไปก็วิจารณ์ อ้อต้องเรียก
สัมภาษณ์สื่อให้ความเท็จใส่ร้ายคสช.มาตลอด ยิ่งได้ใจ เพราะได้เป็นข่าวถึงนายทัก,
ครั้งที่ 7 จึงโดน 7 วัน , นักประชาธิปไตยพรรคเพื่อไทย ออกมาขู่คสช.ให้รีบปล่อย
โธ่ “ ทำมาเป็นอ้างสิทธิเสรีภาพ< สิทธิ ต้องมากับหน้าที่,เสรีภาพ ต้องมีความรับผิดชอบ”
แต่พวกที่ออกมา ทำไมให้ความเห็นมีแต่discredit รัฐบาลและคสช.ตลอด,ไม่เคยชม
เสี่ยแดง อาศัยเป็นนักธุรกิจใหญ่เงินเยอะ สื่อทุกฝ่ายเกรงใจ ต้องออกให้ นี่คือความจริง!
แล้วสื่อแดง รวมทั้ง sms ก็นำไปขยายหวังผล มาตลอด ! นี่คือ พรรคเพื่อไทยเพื่อบักทัก
แล้ว คสช. ก็แจงว่า “ เหตุที่คุมตัวเสี่ยพิชัย เพราะผิดคำมั่นสัญญา “
• 2. ดร.ชัยวัฒน์/น้องชายที่รักชื่อเดียวกัน) ชี้ปัญหาในประเทศไทยคือ'การหลอกตนเอง'
"ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์" อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พูดในหัวข้อ “ การจัดการความจริง-ความลวงในสื่อกับศานติภาวะของสังคมไทย"
สังคมไทยกำลังเผชิญหน้าอยู่กับความอันตรายเนื่องจากความซับซ้อนของความขัดแย้ง
ที่จะนำพาประเด็นไปสู่การไม่สามารถที่จะประสานสัมพันธ์หรือประสานประโยชน์ของบุคคลในฝ่ายต่างๆได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลใจ
โดยตนมองถึงตัวปัญหามากกว่าตัวบุคคล สิ่งที่สาธารณะต้องติดตามในข้อมูลที่มีความซับซ้อนนั้นต้องมองให้เห็น ถึงความขัดแย้ง ที่อาจจะมองไม่เห็นอย่างชัดเจนในปัจจุบัน
"ไทยอาจจะเข้าสุ่จุดอันตรายหากเพราะด้วยความสับซ้อนของข้อมูลที่ไม่ยอมเปิดเผยออกมา และนำมาซึ่งการไม่สานสัมพันธ์ของหลายฝ่าย และในที่สุดอาจะไม่มีทางออก"
• 3. เรื่อง 21กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ และ 200 สภาขับเคลื่อน ,
หลายฝ่ายเสนอให้เลือกคนมีคุณภาพรู้จริงมีประสบการณ์
ควรเลือกคนใหม่ มิใช่คนเก่าหน้าเดิมที่มาทุกครั้ง
เพราะ ไม่ได้มีความกล้าเสนอปฏิรูปให้สอดคล้องกับสภาพสังคมไทย และ
เป็นการเปิดโอกาสให้คนดีมีความรู้กล้าคิดกล้าทำ ซึ่งมีอีกมาก เข้ามาทำหน้าที่บ้าง !
• 4. พี่เปลว สีเงิน เขียนวันนี้ หัวข้อ “ เมื่อกีฬานำชาติพัฒนาไปอีกขั้น “
ก่อนจะพูดชื่นชมนักฟุตบอลไทย คืนวันแข่งกับอิรัก ที่ใช้ใจและทีม ตามตีเสมอ 2:2
ยังมีแถม เรื่อง ลูกโอ๊ก เอม อิ๊ง โพส สุดดีพ่อ นายทัก อย่างน่สนใจ
ฉะนั้น ลูกเต้า ข้าทาสบริวาร หรือใครๆ จะเรียกทักษิณ ด้วยคำนำหน้า นาย...ก
หรือนายไทกอ เมื่อเจ้าตัวพอใจ ก็เชิญ....
ไม่ต้องประชดสังคมสาธารณะสะเหล่อๆ อย่างที่ทำหรอก!
นายทักษิณ...นายกฯ ทักษิณ...มัคนายกทักษิณ เทวดาทักษิณ เจ้ามูลเมืองทักษิณ หรือสถุลขี้ข้าทักษิณ เอากันไปเลย
สังคมประเทศไทยวันนี้ เขารู้กันหมดแล้วว่าขี้...เมื่อเป็นขี้ ไม่มีใครสนหรอก!
เอาล่ะ...ในเมื่อเชิญชวนให้เติม ก.ไก่ จะเติมให้บ้างก็ได้ เดี๋ยวจะว่าไม่มีอารมณ์ร่วม
ชวนเล่นแล้วไม่ยอมเล่น เอาเป็นกลอนเลยนะ....
@ พ่อขี้โกงลูกก็รู้อยู่ว่าโกง แต่โกงเดียวสำหรับพ่อพอไฉน
ริยำโกงของพ่อร่ำลือระบือไกล ต้องหลายไก่ เป็นนายโคตรโกกกกกกง.
• 5. กาแฟดำ ตื่นเช้าหน่อย พูดถึง “ New Normal : อะไรที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น ”
• 6. เมื่อวานไปร่วมเคารพรัก ดร.โคทม อารียา จัดงานครอบ 6 รอบ 72 ปี ที่จุฬาฯ
เอาใจและความปรถนาดีไปแนของขวัญดอกไม้กล้วยไม้ ,อาจารย์มาสวมกอด
แสดงความผูกพัน ตั้งแต่เป็นดร.ใหม่ๆ มาสอนที่จุฬาฯ เมื่อกว่า 40 ปี
แล้วมาทำกิจกรรมการบ้านการเมือง จัดตั้งสมาคมสหภาพสิทธิและเสรีภาพ (สสส.)
ในขณะที่อ.ธีรยุทธ บุญมีและพวกผม ตั้ง “ กลุ่มประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปช.ปช.
และอาจารย์ได้ตั้งองค์กรและทำอะไรอีกมากมาย มีลูกศิษญ์เต็มบ้านคนรักเต็มเมือง
อ้อ มีคนไม่รัก และคนที่วิพากษ์วิจารณ์ ว่า “ ไม่เอาจริง , ไม่โน้น ไม่นี่ “ ฯลฯ
แต่ผมเห็นความมั่นคงสม่ำเสมอคงเส้นคงวา ในหลักคิดหลักการมาตลอด
ขณะที่คนที่มักวิจารณ์คนอื่น กลับเปลี่ยนไปมาตามสถานการณ์,ลืมวิจารณ์ตนเอง!
• 7. ปิดท้าย ก็เป็นข้อเขียนบันทึกประวัติศาสตร์ ของสหายสุข ชมจันทร์ ตอนที่ 19
เราอยู่กันที่ไหน และเราทำอะไรกันบ้าง ช่วงอยู่ที่ภูแววภูพยัคฆ์ จังหวัดน่าน
ที่จบบทตอนนี้ ในเรื่องการรักษาความลับได้ดี แต่มาพลาดที่กางเกงใน ทปท.สีเขียว
ก่อนเข้ามาสู่นาครชั่วคราว ทำธุรให้ภรรยาอาจารย์ธีรยุทธ ก่อนไปภูพาน ในตอนที่ 20.
@ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ก็ตามอ่านได้ หลังจากนี้

New Normal : อะไรที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น



11092558 New Normal : อะไรที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น
โดย : กาแฟดำ

ผมไม่รู้ว่าคำว่า “New Normal” เริ่มใช้กันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อไหร่
แต่มาสนใจเพราะผู้นำจีนใช้คำนี้บ่อยขึ้น
นกลายเป็น “วลีทอง” สำหรับอธิบายว่าทำไมผู้คนจึงไม่ควรคาดหมาย ว่าเศรษฐกิจของจีนจะต้องโต 10% อย่างที่เคยทำได้มายาวนาน

อะไรที่มันเคยเป็นเรื่องปกติ เมื่อเข้าสู่วงจรใหม่ บรรยากาศใหม่ และมีปัจจัยใหม่ ก็จะกลายเป็นเรื่องไม่ปกติ

คำว่า New Normal ทางการจีนใช้คำว่า 新常态 ซึ่งยังไม่เห็นใครแปลเป็นภาษาไทยอย่างเป็นทางการ ผมจึงถือวิสาสะเรียกมันว่า “ความปกติระดับใหม่”

หรือพูดง่าย ๆ คือของเก่าเคยดีอย่างไร ก็อย่าได้หวังว่าจะดีอย่างนั้นอีก

เป็นข้ออ้างสำหรับผู้นำประเทศที่ไม่ต้องการให้ใครมาวิพากษ์วิจารณ์ ว่าของเก่าทำไว้ดีกว่าที่ตนเองทำอะไรทำนองนั้น

New Normal ตีความได้อีกอย่างว่าอะไรที่เคย “ไม่ปกติ” บัดนี้กลายเป็น “เรื่องปกติ” แล้ว

อะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นก็จะได้เห็นกันแล้วนี่แหละ

ความจริง นักธุรกิจและนักเศรษฐศาสตร์ใช้คำ New Normal อธิบายสถานการณ์การเงินและเศรษฐกิจหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2007-2008 และผลพวงจากช่วงเศรษฐกิจถดถอยระหว่างปี 2008-2012

หลังจากนั้น คำนี้ถูกใช้ในบริบทต่าง ๆ เพื่ออธิบายว่าอย่าได้มองข้ามความร้ายแรงของวิกฤตเศรษฐกิจเป็นอันขาด เพราะบางคนอาจพยายามวาดภาพให้เห็นว่าวิกฤตเศรษฐกิจนั้น ๆ เป็นเพียงแค่บาดแผล
ธรรมดาทั้ง ๆ ที่ความจริงมันอาจร้ายแรงถึงขั้นเข้ากระดูกเลยก็ได้

จึงต้องเรียกมันว่า New Normal หรือ “ความปกติที่เคยไม่ปกติ”
ในภาวะเศรษฐกิจและการเมืองของไทยก็เริ่มจะมีการใช้คำนี้บ่อยขึ้น เพราะอะไร ๆ ดูจะเสื่อมทรามลง และโอกาสที่จะฟื้นคืนกลับไปเหมือนเดิมก็ดูเหมือนจะยากเย็นยิ่งขึ้น
ที่เราเคยสามารถจะแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมได้ด้วยการนั่งลงพูดจากัน เปิดอกแลกเปลี่ยนความเห็นกันเพื่อผลประโยชน์ของชาติร่วมกัน วันนี้ก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลดราวาศอก จะต้องเอาชนะคะคานกัน เป็นเกมที่ต้องมีคนชนะกับคนแพ้เท่านั้น ไม่อาจจะมี win-win ให้ได้ “ชนะทั้งสองฝ่าย”
มาวันนี้อะไรที่เคยเห็นและเป็นไปก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เรียกว่าเป็น New Normal
หรือตัวเลขเติบโตทางเศรษฐกิจของเราที่เคยสูงถึง 5-7% เป็นเรื่องปกติจากนี้ไปก็คงจะหวังยากแล้ว อย่างเก่งก็โตได้ 3-4% เพราะปัจจัยอะไรต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว การจะกลับไปเหมือนเดิมก็เป็นไปไม่ได้
นี่ก็เป็น New Normal อีกกรณีหนึ่ง

การส่งออกที่เราเคยเฟื่องฟู เติบโตปีละ 20% ถือเป็นเรื่องปกติ วันนี้ 7 เดือนติดต่อกัน รายได้ส่งออกหดตัวติดลบด้วยซ้ำไป เพราะประเทศผู้ซื้อสินค้าจากเราปรับเปลี่ยนในหลาย ๆ ด้าน จะไม่ซื้อเหมือนที่เคยซื้ออีกแล้ว ดังนั้น จึงต้องมาตั้งเป้ากันใหม่ ว่าการส่งออกของเราจะโตได้อย่างมากที่สุดเท่าไหร่ ซึ่งก็คงจะเป็นเลขตัวเดียวมากกว่าที่จะเป็นเลขสองหน่วยอย่างในอดีต

นี่ก็ New Normal เช่นกัน

ไม่ต้องพูดถึงการเมืองที่เรื่องที่เคย “ไม่ปกติ” มาหลายสิบปีกลับมากลายเป็นเรื่อง “ปกติแบบใหม่” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรัฐธรรมนูญ เลือกตั้งหรือ “ประชานิยม” กับ “ประชาธิปไตย” ก็ตาม!

11092558 'ชัยวัฒน์'ชี้ปัญหาในประเทศไทยคือ'การหลอกตนเอง'



โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

คณะนิเทศน์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดงาน ครบรอบ 50 ปี และในงานได้มีการปาฐกถาโดย "ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์" อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในหัวข้อ การจัดการความจริง-ความลวงในสื่อกับศานติภาวะของสังคมไทย"

โดยเขา ได้ระบุว่า ความสำคัญระหว่างนิเทศศาตร์กับความจริงถือว่าเป็นผลผลิตของการสร้างชุมชน ซึ่งในภาควิชาสสังคมศาสตร์ ในศตวรรษที่ 20 ถึง ปัจจุบันได้ให้เหตุผล เกี่ยวกับความจริงว่าเป็นความเข้าใจในอำนาจของคำหรือการเปลี่ยนแปลง ในอำนาจของภาษา หากจะอธิบายความจริง ผ่านถ้อยคำ อาจทำให้เกิดปััญหาที่ว่าจะเผชิญความจริงได้อย่างไร เพราะการสื่อสารผู้พูดมักจะเลือกคำมาพูด แต่ผู้ฟังจะเข้าใจอย่างไรเป็นเรื่องของผู้ฟัง ซึ่งถือว่าเป็นธรรมชาติ ที่ผู้พูดไม่สามารถทำให้คนเข้าใจอย่่างที่คำพูดได้ ดังนั้นการสื่อสารจึงมีความสัมพันธ์กับความจริงในประเทศไทยมีปัญหากับการจัดการทั้งทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งคน ทั้งเรื่องที่ดิน หรือ 21 อรหันต์ ที่จะเข้ามาทำงาน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมักจะมีกระบวนการจัดการกับความจริง ซึ่งทีผ่านมาการจัดการกับความจริงเกิดขึ้นมาตลอด ทั้งเรื่องความจริงทางการค้า ความขัดแย้งทางการเมือง การสงคราม สิ่งแรกที่มักจะถูกจัดการก็คือความจริง แต่ในปัจจุบันปัญหาของความขัดแย้งที่รุนแรงท่ามกลลางสังคมที่แตกแยกเป็นส่วนๆ ตนไมก็ไม่ทราบว่าาความจริงอยู่ตรงไหน

"นอกจากนั้น ปัญหาโลกทางการเมืองเหตุผลข้ออ้างมากจะนำมาถูกจัดการกับความจริงซึ่งทำให้เกิดความสับสนว่าเหตุที่นำมาอ้างนั้นเป็นความจริงหรือไม่ เช่นการยึดอำนาจล้วนมีปรากฏการณ์ มีเหตุผล มีข้ออ้างจนทำให้ ประเด็นต่างๆนั้นกลายเป็นความจริงทั้งที่จะจริงหรือไม่ก็ยังไม่ชัดเจน"

ดร.ชัยวัฒน์ ระบุว่า ขอยกตัวอย่างว่าในภ่าวะสงครามที่มีการใส่ร้ายป้ายสี มีโฆษณาชวนเชื่อ แต่โจทย์ที่นำมากล่าวอ้างมักจะถูกผลิตออกมา ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องแยกประเด็นของข้อเท็จจริง ออกจากความจริง ทั้งนี้ข้อเท็จจริงจะหมายถึงการโยงกับประสาทสัมผัส แต่ความจริงจะมีนัยยะทางสังคมมากกว่าเพราะการรับรู้ ตามเหตุผลของแต่ละบุคคล ซึ่งในข้อเท็จจริง หรือความเป็นจริง เมื่อมาถึงบุคคลเดียวกันเมื่อมาถึงช่วงเวลาที่ต่างกัน ความหมายก็จะไม่เหมือนกันคล้ายกับปรากฏการณ์ของฝนตกที่บางคนบอกว่าให้คงวามชุ่มฉ่พ แต่ในบางเวลาก็ถูกมองว่าสร้างความเปียกแฉะ

การมีอยู่กับการไม่มีอยู่พึงพิจารณาไตร่ตรงเช่น การเมืองมักมีตัวแทน แต่อาจจะไม่ใช่ตัวจริง ซึ่งตัวแทนที่เราเห็นเขาอาจไม่ใช่ตัวจริง วันนี้หากพูดถึงจำนวน และสิทธิของคนที่สามารถลงคะแนนประชามติได้ จะมีอยู่ประมาณ 40 ล้านคน แต่ปัญหาคือการมีตัวแทนก็จะมีอยู่เท่าที่รัฐธรรมนูญกำหนด

ซึ่งตรงนี้มีข้อถกเถียงในเรื่องของคนที่จะมาทำประชามติ โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯได้ชี้แจงว่า ผลโหวตต้องดูจากคนที่มาลงคะแนน ไม่ได้ดูจากคนที่มีสิทธิ ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น เรื่องความเป็๋นตัวแทนในประเทสไทยยังมีปัญหา ทั้งนี้ในทางการเมืองของระบบตัวแทน ที่ผ่านมาย่อมมีเป้าหมาย แต่การจะนำไปสู่เป้าหมายทางสังคมย่อมขึ้นอยู่กับตัวแปร โดยปัจจุบันเราต้องยอมรับว่าสังคมแบ่งเป็นสองขั้ว และแต่ละขั้วก็มีตัวแทนและตัวจริงอยู่จริง ซึ่งสังคมไทย ในประเด็นเรื่องตัวแทนในระบบการเมือง มีประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ การเมืองมักจะสร้างประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ เพื่อมากลบประวัติศาสตร์ในส่วนอื่นๆเช่นประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น ดังนั้นประเด็นดังกล่าวจึงเป็นที่มาของการขัดแย้งที่เกิดขึ้นและกลายเป็นปัญหาใหญ่ เช่นในพื้นที่ภาคใต้ ดังนั้นสังคมที่มีตัวแทนมักมีความจริงที่ต่างกัน เป็นความต่างที่ดำรงอยู่ไม่ใช่ ซึ่งถือเป็นธรรมชาติฐานะตัวแทนของความจริง

"ในปี 2540 มีผู้พยายามจัดการกับความจริงด้วยสันติวิธีแต่ก็ถูกนำไปไว้บนหิ้ง ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นถือเป็นการจัดการความจริงอีกรูปแบบหนึ่ง อย่างไรก็ตามความจริงในเชิงข้อเท็จจริงจะมีลักษณะเป็นเผด็จการจะทำใ้หสังคมต้องตั้งคำถามว่าความจริงอยู่ที่ไหน และในสังคมทางการเมืองมักจะมีการทำลายข้อเท็จจริงด้วยการเขัียนประวัติศาสตร์ใหม่หรือการสร้างภาพพจน์หรือการโกหก ซึ่งการโกหกทางการเมืองที่นำไปสุ่การรับรู้ของสาธารณะถือว่าเป็นการลบประวัติศาตร์ของบุคคลออกไป ทั้งนี้การใช้ความพยายามเพื่อให้กลุ่มคนเงียบก็ถือเป็นการจัดการความจริงอีกรูปแบบ"

ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นปัญหาและส่งผลกระทบตามมาได้ แต่จะมีผลอะไรตามมาต้องช่วยกันพิจารณา ซึ่งการศึกษาเรื่องการโกหกยุคใหม่ ที่เกี่ยวกับการซ่อนจะมีผลน้อยกว่าการทำลายเรื่อง ส่วนตัวมองว่าผู้ที่ทำหน้าที่บอกความจริงถือเป็นตัวกลางของคนสองฝ่าย โดยงานวิจัยสามารถที่จะบ่งบอกได้ว่าความรุนแรงอยู่ตรงไหนและวิธีการจัดการกับความจริงการ การที่บอกว่าสังคมไทยมีความรุนแรงแม้จะมีผลกระทบแต่ก็จะนำไปสู่จุดเคลื่อนของการเปลี่ยนแปลงได้ แต่ปัญหาในประเทศไทยก็คือ "การหลอกตนเอง"

ในปี 2553 มีรายงานที่ศึกษาเรื่องข้อเท็จจริงของการใช้ความรุนแรงในการชุมนุมจำนวน 3 ฉบับ ซึ่งในรายงานมีข้อมูลที่เลือกจะบอกรายละเอียดไม่เหมือนกัน ทำให้เห็นว่าแม้การศึกษาความจริงก็ยังมีความลับ มีข้อมูลไม่ตรงแม้จะเป็นเหตุการณ์เดียวกัน เรื่องเดียวกันในสถานการณ์เดียวกัน จึงทำให้ไม่แน่ใจงว่าความจริงอยู่ตรงไหน ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองจะมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวละครที่หลากหลาย ทำให้ความเป็นจริงมีหลายชั้น อย่างไรก็ตามเมื่อถามเรื่องมุมมองทางการเมืองต่อสถานการณ์ความขัดแย้ง

ดร.ชัยวัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้สังคมไทยกำลังเผชิญหน้าอยู่กับความอันตรายเนื่องจากความซับซ้อนชของความขัดแย้งที่จะนำพาประเด็นไปสู่การไม่สามารถที่จะประสานสัมพันธ์หรือประสานประโยชน์ของบุคคลในฝ่ายต่างๆได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลใจ โดยตนมองถึงตัวปัญหามากกว่าตัวบุคคล ดังน้ั้นสิ่งที่สาธารณะต้องติดตามในข้อมูลที่มีความซับซ้อนนั้นต้องมองให้เห็น ถึงความขัดแย้ง ที่อาจจะมองไม่เห็นอย่างชัดเจนในปัจจุบัน

"ประเทศไทยอาจจะเข้าสุ่จุดอันตรายหากเพราะด้วยความศับซ้อนของข้อมูลที่ไม่ยอมเปิดเผยออกมา และนำมาซึ่งการไม่สานสัมพันธ์ของหลายฝ่าย และในที่สุดอาจะไม่มีทางออก"

ทางออกรธน.ของชาติไทย

ทางออกรธน.ของชาติไทย
ร่างรธน.ฉบับใหม่กำลังสร้างความขัดแย้งรอบใหม่ที่ทุกฝ่าย ทุกพรรค ทุกสี ทุกพวก ตุลาการ อัยการ องคมนตรี องค์กรท้องถิ่น ต่างออกมาปฏิเสธการยอมรับ เฉพาะมาตราเกี่ยวกับกก.ยุทธศาสตร์เพื่อการปรองดอง ที่จะมี นายก ประธานวุฒิสภา ประธานสภาผู้เแทน ผู้นำเหล่าทัพ เป็นคณะกรรมการ แค่หลักคิดอันนี้ ก็สะท้อนให้เห็นชัดว่า ผู้คิดร่างมาตรานี้ ยังไม่ตกผลึกทางความคิด ความขัดแย้งการปกครองไทยตลอด 83 ปี แถมลดอำนาจคณะกรรมการป้องกันการทุจริตแห่งชาติในการเอาผิดคนทุจริตลงอีก
หากมีการเลือกตั้งแล้วมีการตั้งกก.ตามร่างรธน. จะส่งผลให้ประเทศตกอยู่ในมือของคนที่มีตำแหน่งเป็นนายกฯคนเดียว ที่จะสามารถควบคุมได้ทั้ง บริหาร นิติบัญญัติ และความมั่นคง อันเป็นหลักศูนย์รวมอำนาจเบ็ดเสร็จที่คนๆเดียวทันที รัฐบาลจะกลายเป็นรัฐบาลเผด็จการ ที่จะยึดคำสั่งของนายกฯเป็นใหญ่ อันนี้อันตรายมาก ขนาดปัจจุบัน อำนาจแบ่งเป็น ตุลาการ บริหาร นิติบัญญัติ แยกออกจากกัน ดันทะลึ่งมาจับรวมอำนาจที่คนๆเดียว ที่ผ่านมาทุจริต วุ่นวายมากมายขนาดนี้ อนาคตจะขนาดไหน
คนคิดเอาเหล่าทัพมาเป็นกก.ยุทธศาสตร์ คงคิดแบบตื้นๆว่า เหล่าทัพจะได้มีส่วนตัดสินใจในยุทธศาสตร์ชาติด้วย แต่หลักนี้ผิด มันจะกลายเป็นการรวบอำนาจมาที่คนๆเดียวคือนายก คือนักการเมือง อำนาจการต่อรอง เสียง พลัง เขาจะมีมากกว่าเหล่าทัพตามหลักทฤษฎีเกมส์ นักการเมืองคือผู้กำหนดชะตาผู้นำเหล่าทัพว่าจะเป็นใคร คนต่อไปแม้จะมีสภากลาโหมรองรับ เพราะเขามาจากการเลือกตั้ง สั่งปรับแผนอ้างยุทธศาสตร์ชาติได้ทุกเวลา
อย่าคิดลอกแนวคิด คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ที่ผมเคยเสนอไปเลย มันไม่ใช่แบบนี้ แค่ลอกวาทกรรมสภาปฏิรูปประเทศของผมไปใช้ ก็ใช้ผิดทาง ของจริงมิใช่แบบนี้ จนต้องยุบสภาปฏิรูปประเทศลง จนต้องรื้อเกมส์ใหม่แล้วหวังว่าจะคัดสรรคนใหม่มาในสภาขับเคลื่อน คงเป็นบทเรียนที่ดี สิ่งเหล่านี้ที่ทำไปแก้ไป เพราะมันขัดหลักยุทธศาสตร์การเมือง ทำไปสักพักก็จะต้องหยุดเพราะมันจะจนกระดานด้วยตัวของมันเอง
ต่อให้รัฐธรรมนูญผ่าน ทั้งสภาปฏิรูปประเทศแห่งชาติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทั้ง 2 สภา แต่ลงประชามติก็ยากที่จะผ่าน เพราะรธน.2550 ขนาดมี ปชป. เหลือง ช่วยกันเต็มสูบ ในปี 2549 ชนะเพียง 53% ตอนนี้ ปชป. เหลือง แดง ทุกพรรค องค์กรตุลาการ องค์กรท้องถิ่น ก็ไม่มีใครเอา แม้ต่อให้ผ่านประชามติผ่านก็จะเกิดม๊อบออกมาต่อต้าน เกิดความวุ่นวาย เหมือนในอดีต งานนี้คงมิพ้นมีการเช็คบิลทั้งคนร่าง และคนบริหารปัจจุบันเป็นธรรมชาติ
ทางออกของชาติมีทางเดียวคือ ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ประเทศจะปฏิรูปสำเร็จ จะต้องมีรัฐบาลพลเรือนที่เชี่ยวชาญด้านการบริหาร ปฏิรูป มาเป็นผู้บริหาร ตั้งรัฐบาลปฏิรูป ทำหน้าที่ปฏิรูปประเทศจนกว่าจะแล้วเสร็จ อาจใช้เวลาบ้างแต่ก็ต้องอดทน โดยมีคสช.คอยประคับประคอง ต่างชาติ คนไทย นักลงทุน มวลชน ทุกพรรค ทุกสีจึงจะยอมรับ เศรษฐกิจ ส่งออก ความเชื่อมั่นนักลงทุน ทุกอย่างจึงจะดีขึ้น
ร่างรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นหากผ่าน ก็จะเข้าสู่การเลือกตั้ง การปฏิรูปก็จะไม่เกิดอีกเลย สรุปความโดยย่อว่าควรคว่ำรธน. แต่จะคว่ำที่ไหน อย่างไร ก็พิจารณาเอาเอง แต่ถ้าหลุดไปลงประชามติเมื่อไหร่ หากไม่ผ่าน งานนี้ลงหลังเสือไม่สวยแน่นอน หรือจะหักมุมให้สนช.มีมติไม่ลงประชามติ ลากมาใช้เลยประเทศก็จะก้าวสู่เลือกตั้ง ชาติก็จะกลับเข้าโมดขัดแย้งตามเคย สิ่งที่มวลมหาประชาชนนับสิบล้านคนออกมาบนถนน ทั้งบาดเจ็บ ล้มตาย นับพันคน ก็จะเป็นอันสูญเปล่าทันที
"สู้เข้าไปอย่าได้ถอย มวลชนคอยเอาใจช่วยอยู่ รวมพลังทำลายเหล่าศัตรู พวกเราสู้เพื่อความยุติธรรม เราเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ สู้เข้าไปด้วยความมุ่งมั่น เขาจะฟาดเขาจะฟัน เราสู้มันเรายอมสู้ตาย"
เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา
1 กันยายน 2558
(กปปส.แถลงจุดยืนร่างรธน.)

ซีเรีย...หลังอเมริกาประกาศเป็น"แกนแห่งความชั่วร้าย"

ซีเรีย...หลังอเมริกาประกาศเป็น"แกนแห่งความชั่วร้าย"

หลายวันที่ผ่านมา หลายคนคงเห็นภาพ"ผู้อพยพชาวซีเรีย"จำนวนมาก หนีตายจากบ้านเกิดเมืองนอน และมีเด็กจำนวนไม่น้อยเสียชีวิต
เกิดอะไรขึ้น !!!
ความจริงแล้ว "ซีเรีย" เป็นเหมือน"ประเทศใหม่" เพราะว่ากันตามตรงแล้ว ประเทศซีเรีย หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐอาหรับซีเรีย (Syrian Arab Republic) เพิ่งสถาปนาขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยเป็นอาณาเขตในอาณัติของฝรั่งเศส และเป็นรัฐอาหรับใหญ่ที่สุดที่กำเนิดขึ้นจากเลแวนต์อาหรับที่เดิมออตโตมันปกครอง
ซีเรียเพิ่งได้รับเอกราชเมื่อเดือนเมษายน 2489
"ซีเรีย"มีพรมแดนทิศตะวันตกจดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทิศเหนือติดกับประเทศตุรกี ทิศตะวันออกติดกับประเทศอิรัก ทิศใต้ติดกับประเทศจอร์แดน และติดตะวันตกเฉียงใต้ ติดกับประเทศอิสราเอล มีกรุงดามัสกัส ซึ่งเป็นนครที่มีผู้อยู่อาศัยต่อเนื่องที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเป็นเมืองหลวง
ประเทศซีเรียเป็นที่ราบอุดมสมบูรณ์ มีภูเขาสูงและทะเลทราย มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับ
กล่าวได้ว่า "ซีเรีย" เป็นประเทศที่ประชากร"อยู่ดีกินดี" โดยมีตัวเลข(ล่าสุด)เมื่อปี 2554 ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) อยู่ที่ 107.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (เทียบกับประเทศไทย 5.7 พันล้านเหรียญ) ส่วน GDP รายบุคคล ตัวเลขปี 2554 อยู่ที่ 5,100 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประเทศไทย ตัวเลขธปท.ระบุว่าปี 2554 คนไทยมี GDP ที่ 54,700 บาท)

สินค้าส่งออกที่สำคัญของซีเรีย คือ น้ำมันดิบ แร่ธาตุ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผักและผลไม้ ใยฝ้าย สิ่งทอ เสื้อผ้า เนื้อสัตว์และสัตว์มีชีวิต ข้าวสาลี โดยประเทศคู่ค้าสำคัญก็คือประเทศเพื่อนบ้านนั่นแหละ
"ชาวซีเรีย"อยู่ดีกินกีตามสถานะ ...จนถึงปี 2556
เพราะในปี 2556 สหรัฐอเมริกา ประกาศว่า "ซีเรียอยู่ใน"แกนแห่งความชั่วร้าย" จากนั้น ก็ส่งกำลังทางทหารเข้าแทรกแซงซีเรีย โดย"บารัค โอบามา" ไม่แยแสคำเตือนจาก"สหประชาชาติ" ที่บอกว่า การกระทำใดๆ ที่ปราศจากหลักฐาน และไม่ผ่านความเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากยิ่งขึ้น

ยังดีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษ ลงมติ 285 ต่อ 272 เสียง ไม่ให้อังกฤษเข้าไปเกี่ยวข้องกับการโจมตีใดๆที่นำโดยสหรัฐอเมริกาในซีเรีย
2 ปีที่ผ่านมา อเมริกายังหาหลักฐานผิดซีเรียไม่ได้ (ก็เหมือนกับการบุกอิรักที่ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยัน) 
สุดท้าย โอบามาและสหรัฐ ก็ขุดค้นตัวละครขึ้นมากลุ่มหนึ่งมาหากิน นั่นคือ ISIS 
“ISIS” ย่อมาจาก “Islamic State of Iraq and Greater Syria” เป็นกลุ่มของสุหนี่มุสลิมหัวรุนแรงสุดโต่ง และได้ชื่อว่าป่าเถื่อนและกระหายเลือดเข้าขั้นซาดิส แม้แต่อัลกออิดะห์ยังไม่เอาด้วย เพราะพวกนี้โหดถึงขั้นฆ่ามุสลิมด้วยกัน รวมทั้งชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ และชาวคริสต์
ISIS เป็นกลุ่มต่อต้านประธานาธิบดี บาชาร์ อัสซาด ของซีเรีย
จากนั้น "อเมริกา"ก็อาศัยความชอบธรรมที่ตัวเองกำหนดขึ้น ส่งกองทัพบุกถล่มซีเรีย...จนไม่เหลือสภาพเดิม
จึงอย่าแปลกใจที่เราเห็นคนซีเรียหนีตาย !!!
นำเรื่องนี้มาเล่าเพื่อเตือนสติคนไทย ว่าอย่าพยายามดึงต่างชาติเข้ามา ไม่มีหน้าไหนรักประเทศไทยเท่ากับคนไทยเราหรอก
ถ้าคนไทยนั้นยังสำนึกว่าเป็นคนไทย !!!
(ขออนุญาตนำภาพกรุงดามัสกัส ซีเรีย ก่อนและหลังอเมริกาเข้าไปมารวมกันให้เห็นความแตกต่าง)
Cr. ลูกเสือ ชาย หมายเลขเก้า

หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ชิ่งหนีวิกฤตผู้ลี้ภัย มุ่งเป้าความสนใจไปเรื่องสิทธิมนุษยชนในจีนแทน

จักวรรดิเฮเกเล่นมุกเดิมอีกแล้วครับท่าน... หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ชิ่งหนีวิกฤตผู้ลี้ภัย มุ่งเป้าความสนใจไปเรื่องสิทธิมนุษยชนในจีนแทน (ฮ่าๆๆ เข้าใจเล่นนะสหรัฐฯ)
-----------
ลองไปอ่านข่าวจากสื่อฯจีนดูบ้างนะครับ วันนี้ (11 ก.ย.58) บทบรรณาธิการของ Global Times ของจีนตั้งชื่อว่า "NYT shifts refugee crisis attention to China" เป็นการตอบโต้สื่อฯสหรัฐฯที่กำลังหาเรื่องจีนรอบใหม่ เพื่อปิดข่าวเน่าเฟะของตัวเองเกี่ยวกับวิกฤตผู้ลี้ภัยและความล้มเหลวในการปราบปรามผู้ก่อการร้ายไอซิสในตะวันออกกลาง เรื่องอะไรที่จีนจะปล่อยให้สื่อฯสหรัฐฯมาเห่าหอนหลอกประชาชนทั่วโลกและกล่าวหาจีนฝ่ายเดียวอยู่ได้ จีนจึงสวนหมัดกลับทันที ไม่ยอมก้มหน้าเงียบให้ถูกกล่าวหาอีกต่อไป
"สำหรับประเทศจีน วิกฤตผู้อพยพเป็นความผิดพลาดและความรับผิดชอบของคนอื่น" นั่นเป็นพาดหัวข่าวของบทความเรื่องหนึ่งในหนังสือพิมพ์ New York Times ของสหรัฐฯเมื่อวันพุธที่ผ่านมา 
บทความดังกล่าวได้วิพากษ์วิจารณ์จีนว่า "ไม่เต็มใจที่จะมีส่วนร่วมในความพยายามแก้ไขวิกฤตด้านมนุษยธรรม" (เป็นไงเล่าสื่อฯของจักรวรรดิเฮเก เขาชิงเล่นกล่าวหาคนอื่นก่อนแบบนี้แหละ อยากให้จีนเข้าไปช่วยรัสเซียแก้ไขปัญหาด้านมนุษยธรรมในซีเรีย อิรัค และตะวันออกกลางก็บอกสิครับคุณจักรวรรดิเฮเก ประชาชนทั่วไปเสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศโดยฝีมือของพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯไปตั้งหลายพันคน และอพยพไร้ที่พักอาศัยอยู่ตามค่ายอพยตามแนวชายแดนและทะลักเข้าไปในยุโรปรวมกันตั้งหลายล้านคน นั่นเรียกว่าด้านมนุษยธรรมตามความเข้าใจของสหรัฐฯหรือไม่? การที่รัสเซียจะส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปให้ซีเรีย แล้วสหรัฐฯขวางไม่ให้เครื่องบินของรัสเซียบินผ่านประเทศต่างๆทำแป๊ะอะไรครับ? อ้าวววว แอ็ดมินตอบแทนสื่อฯจีนซะแล้วอ่ะ ขออภัยครับอินไปหน่อย ฮ่าๆๆ อ่านข่าวต่อนะครับ)
สื่อฯจีนรู้ทันความเจ้าเล่ห์ของสื่อฯจักรวรรดิเฮเกดีจึงสวนกลับไปแบบไม่ต้องเกรงใจว่า... ผู้เขียนได้เปลี่ยนความสนใจของประชาชนอย่างมีเลศนัย (The author slyly shifted people's attention) โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่พอใจ จากสหรัฐฯไปยังจีนแทน

ตั้งแต่เกิดวิกฤตผู้อพยพขึ้นมา สื่อฯของสหรัฐฯส่วนมากได้จงใจที่จะมองข้ามความผิดของกรุงวอชิงตัน (Washington's guilt) ในเรื่องภัยพิบัติและปฏิเสธที่จะพินิจพิเคราะห์ด้วยสติปัญญาอย่างจงใจ แม้กระทั่งในสังคมเอง มีเสียงที่เข้มแข็งเพียงไม่กี่เสียงที่ออกมาเรียกร้องว่า สหรัฐฯเป็นสมมุติฐาน (เป็นต้นเหตุ) ในการแสดงความรับผิดชอบต่อวิกฤตด้านมนุษยธรรมของคุณ "eagle eye" ของนิวยอร์กไทมส์ ที่ยังมีจีนให้ถูกตำหนิ ผู้เขียนได้วิพากษ์วิจารณ์จีน ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสอง (ของโลก) ที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมน้อยกว่าญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่สาม ดูเหมือนว่าตรรกะจะชัดเจน - พลังที่ยิ่งใหญ่ ย่อมมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง (with great power comes great responsibility) (ว้าววว! คำนี้คุ้นๆ นะครับ ใครจำได้บ้างไหมว่าเคยได้ยินจากที่ไหนซักแห่งนี่แหละ มันก้องอยู่ในหูนี่แหละ แต่ไม่รู้ว่าคำนี้จะก้องอยู่ในหูของจักรวรรดิเฮเกบ้างหรือไม่ ว้าวว สื่อฯจีนนี่ไม่ธรรมดาจริงๆครับ ดาบนั้นคืนสนอง! คริๆ)
ไม่มีหลักการใดที่กล่าวว่าประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่กว่าควรจะช่วยเหลือผู้ลี้ภัยนานาชาติมากกว่า (ประเทศอื่นๆ) ไม่มีรัฐบาลไหนที่ออกแถลงการณ์เช่นนั้นอย่างเป็นทางการ พวกเราดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยโดยเร็วที่สุดที่เท่าจะเป็นไปได้ แต่พวกเราก็สามารถกระทำได้ภายใต้ขีดความสามารถของพวกเราเท่านั้น
ในฐานะที่เป็นประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งไม่เพียงแต่เลี้ยงดูประชากรทั้งหมดของตนเองเท่านั้น จีนยังมีปัญหาของตัวเองอีกหลายอย่างด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะที่จีนยังคงมีประชาชนที่ยากจนอยู่เป็นจำนวนมาก โลกก็ไม่ได้คาดหวังที่จะเห็นจีนเข้าไปมีบทบาทหลักในการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยด้วย
นอกจากนี้แล้ว จีนไม่ได้มีการเชื่อมโยงกับวิกฤตในทางภูมิรัฐศาสตร์ด้วย และก็ไม่ได้เป็นรากเหง้าหรือการก่อตัวของปัญหาดังกล่าวเช่นกัน มุมมองจากสังคมโลกไม่ได้คาดหวังให้จีนเข้าไปร่วมแสดงความรับผิดชอบขนาดใหญ่ต่อยุโรปในวิกฤตผู้อพยพในครั้งนี้
ก็ไปอ้อนวอนขอร้องให้กรุงวอชิงตันให้อ้าแขนรับผู้อพยพเหล่านั้นจากทุกๆแห่งสิ มีการวิพากษ์วิจารณ์ต่อสหรัฐฯกรณีที่เข้าไปทิ้งอี้ (messing up) ไว้ในซีเรีย แต่การปฏิเสธที่จะแก้ไขความผิดของสหรัฐฯกลับอยู่ทุกหนทุกแห่ง (ที่จีนว่ามานี้จริงหรือเปล่าโอบาม่า? เงยหน้าขึ้นสิครับ!) โชคร้ายจริงๆ ที่สื่อฯสหรัฐฯกับหูหวกจนไม่ได้ยินเสียงเหล่านี้
ก็พอจะเป็นที่เข้าใจได้ว่าพวกเขา (สื่อฯจักรวรรดิเฮเก) กำลังพยายามปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ (ปกป้องผลประโยชน์ แหม… คำนี้มันฟังดูดีนะ มิน่าสื่อฯพวกนั้นถึงออกมาเขียนในลักษณะนี้) แต่พวกเขาก็ไม่ควรสับสนกับความว่าถูกและผิด (But they should not confuse right and wrong โอ้… งานสื่อฯจีนสอนจริยธรรมและจรรยาบันให้สื่อฯสหรัฐฯด้วยอ่ะ ไม่รู้ว่าจะสำนึกบ้างหรือเปล่านะ?) และสื่อจีนก็ให้คำแนะนำสื่อฯจักรวรรดิเฮเกต่ออีกว่า "ในกรณีนี้ การหุบปากเงียบจะดีกว่าการเที่ยวกล่าวหาโดยไม่มีมูลความจริง" (keeping silent is better than making baseless accusations) (ว้าวววว! ทำให้นึกถึงพวกที่ชอบมาป่วนเพจนี้อยู่บ่อยๆ ที่ชอบชกใต้เข็มขัดบ่อยๆหนะ แบบนี้เลยหละ มิน่าหละ พวกโปรอเมริกาทำไมถึงชอบแถ ชอบชิงกล่าวหาคนอื่น และชอบโวยวายว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำทั้งๆที่ไปหาเรื่องกับคนอื่น เขาคงจะซึมซับพฤติกรรมแย่ๆมาจากสื่อฯของจักรวรรดิเฮเกนั่นเอง นี่ถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติและมนุษยชาติเลยนะนี่ เพราะเรามักจะพบว่าคนพวกนี้เที่ยวปล่อยข่าวลวง บิดเบือนความจริงให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ และก็ไม่เคยที่จะออกมาแสดงความรับผมชอบต่อสังคมเลย พูดถูกด่าแล้วก็เงียบไป ครั้งหน้าก็เอาอีก เพื่ออะไร? ก็เขาจ้างให้มาเขียนแบบนั้นอ่ะ เงินมันดี โดยไม่สนใจจริยธรรมและจรรยาบรรณของสื่อฯนี่นะ? จรรยาบรรณมันกินไม่ได้ กรรม!)
สำหรับประเทศจีนแล้ว มันกลายเป็นความจำเป็นที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆว่า (เป็น) ประเทศที่ควรจะมีส่วนร่วมในวิกฤตผู้อพยพให้เป็นรูปธรรมที่เห็นได้ชัดขึ้นประเทศที่เหลือทั่วโลก (ในมุมมองของสหรัฐฯและตะวันตกที่ต้องการให้จีนเข้าไปแบ่งรับดูแลผู้อพยพในครั้งนี้?)
แต่อาจจะมีปัญหาใหม่เกิดขึ้นมา: หากจีนบดบังรัศมีของประเทศอื่นในเรื่องนี้ จีนอาจจะถูกสงสัยว่าอาจจมีแรงจูงใจบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ก็ได้ (ulterior motives) ซึ่งก็มาจากสำนวนที่ใช้กันอยู่บ่อยๆและท่องจนขึ้นใจในโลกตะวันตกว่า "Knowing how to set the balance requires wisdom" (ไม่แน่ใจว่าตรงกับสำนวนไทยอย่างไรบ้าง แต่ขอแปลตามตัวอักษรว่า "การรู้จักถ่วงดุลย่อมต้องใช้ปัญญา" เรื่องนี้ - balance and wisdom - มีพูดถึงอยู่ในภาควิชาปรัชญาและจิตวิทยา โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องปัญญาและญาณวิทยา (Epistemology) และศาสตราจารย์ Robert Sternberg จากมหาวิทยาลัยเยล - Yale University - ได้เขียนหนังสือชื่อ "Why Schools Should Teach for Wisdom: The Balance Theory of Wisdom in Educational Settings" ขึ้นมาด้วย มีการพูดถึงเรื่อง foolishness และ Widom เช่นตอนหนึ่งพูดว่า "ความโง่เขลา (foolishness - ตรงกันข้ามกับ Wisdom - ปัญญา) เป็นผลมาจากการขาดความสมดุลในความคิดของคนเรา ส่วนปัญญานั้นจะต้องมีการถ่วงดุลระหว่างความสนใจต่อการรู้จักตนเอง (intrapersonal) และความสนใจกับบุคคลที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย และกับความสนใจต่อบุคคลภายนอกที่เราพูดถึงด้วย (extrapersonal) ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว... ส่วนความโง่เขลานั้นมักจะรวมเอาความสนใจเหล่านี้ออกไปจากความสมดุล" ก็ประมาณนี้หละนะครับ)
นอกเรื่องหละ กลับมาอ่านข่าวต่อนะครับ... สื่อจีนกล่าวต่ออีกว่า สหรัฐฯเป็นผู้รับผิดชอบต่อการแสดงความคิดเห็นของสังคมทั่วโลก สหรัฐฯสามารถที่จะฆ่าเชื้อ (-โรค) ที่กระทำความผิดต่างๆ แต่จีนไม่ใช่ (งานนี้จีนขอชิ่งก่อนนะครับ) ขณะนี้จีนไม่สามารถที่จะกระทำอะไรได้เลย ยกเว้นพยายามทำให้ดีกว่าเดิม อาจจะเป็นเรื่องจำเป็นที่ว่าจีนควรจะมีส่วนร่วมทางการทูตในปัญหาผู้อพยพในซีเรีย วิกฤตครั้งนี้อาจจะกำลังทำให้มองเห็นปัญหาได้หลายอย่าง และจีนก็ควรที่จะดำเนินมาตรการที่ยึดถือผลประโยชน์ต่อสังคมมากก่อน
นั่นไง... ชอบยั่วและหาเรื่องจีนดีนัก เจอสวนกับไปอย่างนี้บ้าง เงียบเลยสิคราวนี้ คิดจะให้จีนช่วยอ้าแขนรับผู้อพยพเพียงอย่างเดียวซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุอย่างที่ตะวันตกกำลังทำอยู่ในขณะนี้ แต่ไม่ให้เข้าไปแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุซึ่งสหรัฐฯและตะวันตกนั่นแหละก่อขึ้นมาเอง จีนบอกว่าไม่ได้เด็ดขาด ถ้าจะให้ช่วย งั้นจีนก็จะขอเข้าไปเอี่ยวในซีเรียด้วย สหรัฐฯจะว่าอย่างไรบ้างหละ? นี่ไม่ได้ขู่นะ เฮียสีเอาจริงนะครับ นี่แหละหนา... ปากพาจนแท้ๆสื่อฯแกว่งปากหาเท้า Oopz! แกว่งเท้าหาเสี้ยน!
ป.ล. มีรายงานข่าวว่าทำเนียบขาวออกมาประกาศว่าจะรับผู้อพยพชาวซีเรียจำนวน 10,000 คน ในปีงบประมาณปีหน้าซึ่งจะเริ่มต้นในเดือนตุลามคมนี้จำนวน 2,000 คนก่อน ตอนแรกก็ออกมาบอกว่าไม่รับ พอโดนตะวันตกจวกเข้าก็พูดว่างั้นขอรับแค่ 1,500 คน จะบ้ารึ! เยอรมันนีรับเกือบล้านคนแหนะ สหรัฐฯที่เป็นหัวหน้าแก๊งไปสร้างปัญหาจะรับแค่ 1,500 คนได้อย่างไร? จึงออกบอกว่างั้น เก๋าขอรับเพิ่มเป็น 10,000 คนละกัน แต่ปีนี้ขอรับแค่ 2,000 คนก่อนได้ป๊ะ? นิสัย ส่วนอังกฤษตัวแสบบอกว่าจะรับไว้ 20,000 คน แต่มีเงื่อนไข เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังในโพสต์ต่อไปว่าอังกฤษแสบขนาดไหน
The Eyes
11/09/2558
----------

ISรับจ้างเฝ้าหลุมก๊าซและบ่อน้ำมันให้ชาติตะวันตก?

Cr:ทหารปฏิรูปประเทศไทย
หลักฐานว่ากลุ่ม IS ฮอลีวู๊ดคือกลุ่มนักเลงรับจ้างเฝ้าหลุมก๊าซและบ่อน้ำมันให้ชาติตะวันตก
ทหารราบของรัฐบาลซีเรีย ร่วมกับกำลังกับกองกำลังป้องกันแห่งชาติซีเรีย และกองทัพอากาศ ได้บุกโจมตีโจมตีบ่อน้ำมันจาร์ซาลทางตะวันตกเฉียงเหนือของพัลมัยร่า คืนได้จากทหารรับจ้างกลุ่ม IS ฮอลีวู๊ด และถูกสังหารไปราว 40 ราย ทำลายรถหุ้มเกราะติดปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 23 มม.
ของจ้าวลัทธิประชาธิปไตยที่เอาไปประเคนให้ทหารรับจ้างกลุ่ม IS ฮอลีวู๊ด อีกจำนวน 4 คัน พวกนี้หนีกระเจิงออกไป แต่การสู้รบยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ทางกองทัพซีเรียมีจัดวางกำลังรักษาพื้นที่นี้ไว้ เพราะเป็นหลุมก๊าซและบ่อน้ำมันที่สำคัญ และอเมริกายึดเอาไปทำธุรกิจ แล้วจ้างทหารกลุ่ม IS อารักขาเฝ้าไว้
หมดแล้ว ถูกฉีกหน้ากากจนไม่เหลือหรอฉากหน้าของลัทธิประชาธิปไตย และคงไม่ได้เห็นข่าวแบบนี้จากสื่อตะวันตก คนไทยต้องเข้าใจว่าใครเป็นใคร ไม่งั้นก็จะถูกสื่อตะวันตก และสื่อไทยปิดหูปิดตาว่าลัทธิประชาธิปไตยนั้นดีเลิศประเสริฐศรี
ถ้านึกถึงลัทธินี้ครั้งใด ให้นึกถึงภาพนักเลงอันธพาลหัวไม้ การทิ้งระเบิดโจมตีเด็ก การเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์ การยิง M79 ใส่เด็ก ผู้หญิง คนชรา การทำร้ายทุบตี การเผาทำลาย การเห็นแก่ตัว การแย่งชิง ท่านก็เข้าใจแก่นแท้ของลัทธินี้ดียิ่งขึ้น
@เสธ นํ้าเงิน2

สื่อจีนชี้ระเบิดราชประสงค์ “เอาคืน”ไทยส่งอุยกูร์ให้จีน | เดลินิวส์

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2558 เวลา 13:35 น.

สื่อจีนชี้ระเบิดราชประสงค์ “เอาคืน”ไทยส่งอุยกูร์ให้จีน สื่อจีนชี้เหตุระเบิดราชประสงค์เป็นการแก้แค้นไทย ส่งตัวชาวอุยกูร์มากกว่าร้อยคนให้จีน ขณะที่รัฐบาลปักกิ่งเกรง หากเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศอื่นอาจเลิกให้ความร่วมมือส่งตัวชาวอุยกูร์ เพราะไทยเป็นตัวอย่าง 

 เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ สื่อฮ่องกง รายงานเมื่อวันที่ 11 ก.ย.ว่า สื่อของรัฐบาลจีน “โกลบอล ไทม์ส”ระบุชัดเจนว่า เหตุระเบิดที่ย่านราชประสงค์ของไทย ซึ่งเป็นต้นเหตุให้มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเสียชีวิตอย่างน้อย 6 คนนั้นอาจจะเป็นแผนการของกลุ่มขบวนการอิสลามแห่งเตอร์กิสถานตะวันออก (อีทีไอเอ็ม) ซึ่งต้องการแก้แค้นทางการไทย ที่ส่งตัวชาวอุยกูร์มากกว่าร้อยคนให้จีนเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา    

ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวถูกนำเสนอหลังจากรัฐบาลจีนสั่งสื่อปิดปากเลี่ยงเสนอข่าวที่เกี่ยวข้องกับเหตุบึ้มราชประสงค์ โดยนักข่าวจากสามสำนักข่าวใหญ่ของจีนเผยว่า ในเดือนนี้พวกเขาถูกสั่งให้หลีกเลี่ยงการนำเสนอข่าวดังกล่าว เนื่องจากเกี่ยวข้องกับประเด็นอ่อนไหวอย่างอุยกูร์    

ข้อมูลจากโกลบอล ไทม์สยังอ้างคำสัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่จากทางการจีนที่ไม่ต้องการระบุชื่ออีกว่า นายเมียไรลี ยูซุฟู ถือหนังสือเดินทางจีน เขาเดินทางออกจากจีนตั้งแต่ปี 2556 ภายหลังถูกจับกุม ได้ให้การกับทางการไทยว่า เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่มีการวางแผนมาเป็นอย่างดี นอกจากนี้ คนที่ถูกรัฐบาลไทยเข้าจับกุมนั้นไม่ได้ถือหนังสือเดินทางจีนทุกคน    

นายสี หลี่ผิง อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสถาบันChinese Academy of Social Sciences (CASS) ในกรุงปักกิ่ง ออกมาแสดงความเห็นว่า รัฐบาลจีนกำลังพยายามปกปิดการนำเสนอข่าวระเบิดที่ย่านราชประสงค์ของไทย เพราะอาจขัดขวางนโยบายต่อต้านการก่อการร้ายในต่างแดนของตน และไม่ต้องการให้สื่อจีนโยงเหตุบึ้มดังกล่าวเข้ากับเหล่าชนกลุ่มน้อยอุยกูร์    

นายสีกล่าวว่า หากในที่สุดพบว่า เหตุระเบิดเป็นการเอาคืนไทยที่ส่งชาวอุยกูร์ให้จีนจริง ก็จะทำให้ประเทศอื่นๆต้องคิดรอบสอง หากจะส่งชาวอุยกูร์ให้จีนเพราะเห็นเหตุการณ์ที่ไทยเป็นแบบอย่าง นอกจากนี้ นายราฟฟาเอลโล แพนทุชซี นักวิจัยของสถาบันรูซี ในอังกฤษยังกล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลจีนไม่ต้องการให้ผู้คนคิดว่า พวกเขาตกเป็นเป้าหากออกไปท่องเที่ยวนอกประเทศ แม้จะมีหน่วยงานต่อต้านการก่อการร้ายที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องพวกเขาแล้วก็ตาม“

อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/foreign/347281

ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหา สุกำพล สุวรรณทัต ล้วงลูกตั้งปลัดกลาโหม ปี 55





ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหา สุกำพล สุวรรณทัต ล้วงลูกตั้งปลัดกลาโหม ปี 55
Cr:kapook
อนุกรรมการ ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหา สุกำพล สุวรรณทัต แทรกแซงการแต่งตั้งปลัดกระทรวงกลาโหมปี 2555 ขีดเส้นเข้าชี้แจง 28 กันยายนนี้
วันที่ 11 กันยายน 2558 นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่าคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีร้องเรียน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรณีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับชั้นนายพลสังกัดกระทรวงกลาโหม จากการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ประจำปี 2555 ซึ่งมีการเสนอ พล.อ. ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม โดยไม่ถูกต้องตามข้อบังคับและกฎหมายนั้น
ล่าสุดคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาต่อ พล.อ.อ. สุกำพล แล้ว และนัดให้มาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายในวันที่ 28 กันยายนนี้ ซึ่ง พล.อ.อ. สุกำพล ได้มาขอดูเอกสารและสำนวนในส่วนที่สามารถขอดูได้ โดยคาดว่าจะมีการเข้าชี้แจงก่อนวันที่คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ กำหนด ทั้งนี้ในส่วนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในชั้นนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ พล.อ.อ. สุกำพล ได้มีการเรียกประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพปลัดกระทรวงกลาโหม โดยมีการเสนอ พล.อ. ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมโดยไม่ถูกต้องตามข้อบังคับและกฎหมาย และ พล.อ.อ. สุกำพลมีคำสั่งกระทรวงกลาโหมให้ พล.อ. เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น พร้อมด้วย พล.อ. ชาตรี ทัตติ รองปลัดกระทรวงกลาโหม และ พล.อ. พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตราในขณะนั้น ไปช่วยราชการสำนักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเพื่อให้ พล.อ. ทนงศักดิ์ ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม โดยในคดีดังกล่าวมีกรรมการ ป.ป.ช. ที่รับผิดชอบ คือนายวิชัย วิวิตเสวี, นายปรีชา เลิศกมลมาศ และ พล.ต.อ. สถาพร หลาวทอง