PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2561

แจ้งเพิ่มอีก 32คน จาก 39คน คดีชุมนุมสกายวอล์ก ผิดพรบ.ชุมนุม ‘หนูหริ่ง-วีระ ‘ โดนด้วย!

แจ้งเพิ่มอีก 32คน จาก 39คน คดีชุมนุมสกายวอล์ก ผิดพรบ.ชุมนุม ‘หนูหริ่ง-วีระ ‘ โดนด้วย!


ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)ว่า จากกรณีวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมาพ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารปฏิบัติการประจำกองบัญชาการกองทัพบก ปฎิบัติหน้าที่หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานด้านกฎหมายส่วนงานการรักษาความสงบแห่งชาติ ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา เข้าพบพ.ต.ท.สมัคร ปัญญาวงศ์ รอง ผกก.(สอบสวน) สน.ปทุมวัน เข้าแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับ 1.นายรังสิมันต์ โรม 2.นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ 3.น.ส.ณัฎฐา มหัทธนา 4.นายอานนท์ นำภา 5.นายเอกชัย หงส์กังวาน 6.นายสุกฤษฎ์ เพียรสุวรรณ 7.นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล
ในข้อหา ฝ่าฝืนคำสั่งคสช.ที่ห้ามชุมนุมเกิน 5 คน ที่ทางกลุ่มออกมาเคลื่อนไหววันที่ 25 ม.ค. เวลา 21.00 น. และวันที่ 27 ม.ค.เวลา 19.00 น. ที่บริเวณสกายวอล์ค แยกปทุมวัน ลงสมุดคดีอาญาที่ 121/61 ข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 3/2558 เรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยและการรักษาความมั่นคงของชาติ และการกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชน ด้วยวาจาหนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช้เป็นการกระทำ ภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือ มิใช้เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ หรือใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้เกิดความปั่นป่าวหรือกระด้าง กระเดื่อง ในหมู่ประชาชน ถึงขนาดจะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 นั้น
ต่อมาวันที่ 30 ม.ค. นางนวพร กลิ่นบัวแก้ว ผอ.สำนักงานเขตปทุมวัน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องยืนยันว่าจุดที่จัดให้มีการชุมนุมเป็นพื้นที่สาธารณะพ.ต.ท.สมัคร จึงได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมเพิ่มเติม 39 ราย อาทิ
1. นายรังสิมันต์ โรม 2. นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ 3. นางสาวณัฏฐา มหัทนา 4. นายอานนท์ นำภา 5. นายเอกชัย หงส์กังวาน 6. นายสุกฤษฎ์ เพียรสุวรรณ 7. นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล 8. นายวีระ สมความคิด 9. นายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำการชุมนุม 10. นายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ 11. นางมัทนา อัจจิมา แนวร่วมคนเสื้อแดง 12. น.ส.พัฒน์นรี ชาญกิจ มารดาของ นายสิรวิชญ์ 13. นายเอกศักดิ์ สุพรรณขันธ์ 14. นางรักษิณี แก้ววัชระสังสี 15. นางจุฑามาศ ทรงเสี่ยงไชย 16. นางพรนิภา งามบาง แนวร่วมคนเสื้อแดง 17. นายกิตติธัช สุมาลย์นพ แนวร่วมกลุ่มนักศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 18. นางสุดสงวน สุธีสร นักวิชาการกลุ่มคนเสื้อแดง 19. นายกันต์ แสงทอง นักวิชาการ 20. นายนพพร นามเชียงใต้ แนวร่วมกลุ่มวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ 21. นายสุวัฒน์ ลิ้มสุวรรณ นักวิชาการอิสระ 22. นางกมลวรรณ หาสาลี คนเสื้อแดงพระราม9 23. นางนัตยา ภานุทัต แนวร่วมคนเสื้อแดง 24. นายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ ฉายา “ฟอร์ด เส้นทางสีแดง” 25. นางประนอม พูลทวี คนเสื้อแดงจังหวัดสมุทรปราการ 26. นายสงวน คุ้มรุ่งโรจน์ 27. นายสุรศักดิ์ อัศวะเสนา 28. นางพรวลัย ทวีธนวาณิชย์ 29. นางสุวรรณา ตาลเหล็ก 30. นางนภัสสร บุญรีย์ แนวร่วมคนเสื้อแดง 31. น.ส.อรัญญิกา จังหวะ นักศึกษามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 32. นายพรชัย ประทีปเทียนทอง 33. นายวรัญชัย โชคชนะ แนวร่วมคนเสื้อแดง 34. นายนพเกล้า คงสุวรรณ แนวร่วมกลุ่มประชาธิปไตยศึกษา 35. นายคุณภัทร คะชะนา 36. นายสามารถ เตชะธีรรัตน์ 37. น.ส.อ้อมทิพย์ เกิดผลานนท์ 38. นายวราวุธ ฐานังกรณ์ แนวร่วมกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย และ 39. นายเดชรัตน์ สุขกำเนิด นักวิชาการมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ในความผิดฐาน “ร่วมกันชุมนุมในที่สาธารณะในรัศมี 150 เมตร จากวังของพระรัชทายาทหรือของพระบรมวงศ์ตั้งแต่สมเด็จเจ้าฟ้าขึ้นไป” อันเป็นความผิดตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 มาตรา 7 วรรคแรก ซึ่งพนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์ไว้แล้ว จะดำเนินการสืบสวน สอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ยังมีผู้ร่วมกระทำความผิด ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบอีก 66 คน
ตร.ขอให้กลุ่มมวลชนและประชาชนได้รับทราบถึงข้อกฎหมายในเรื่องการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย อาจมีความผิดตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ และนอกจากนี้การยุยง ปลุกปั่นให้เกิดความแตกแตก จะเป็นความผิดทางกฎหมายอาญา ซึ่งมีโทษสูง

จังหวะ แนวโน้ม Start Up People กับ We Walk

จังหวะ แนวโน้ม Start Up People กับ We Walk


ทําไมต้องเป็น We Walk เดินเพื่อมิตรภาพและทำไมต้องเป็น Start Up People ทั้งๆ ที่เป็นกิจกรรมและการเคลื่อนไหวในประเทศ
อาจเป็นเพราะมาจาก People Go Network
อาจเป็นเพราะ 1 มาจากความริเริ่มของ “กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย” และอาจเป็นเพราะประสานเข้ากับ 1 กลุ่มประชาธิปไตยใหม่
แล้วทำไมต้องใช้ชื่อเป็น “ภาษาอังกฤษ”
หากดูจากองคาพยพซึ่งประกอบส่วนขึ้นเป็นกลุ่ม เป็นขบวนการ ก็ต้องยอมรับว่าด้านหลักมาจากคนรุ่นใหม่
สัมพันธ์อยู่กับสถานการณ์ในห้วง 1 ทศวรรษ
นั่นก็คือ ก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 และก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 อย่างแนบแน่น
สถานการณ์นี้มีลักษณะ “โลกาภิวัตน์”
ถามว่า 2 การเคลื่อนไหวนี้มีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันหรือไม่ ยกเว้นคำว่า People ที่ดำรงอยู่ทั้งที่ถนนมิตรภาพ และที่สี่แยกปทุมวัน
กระนั้น เมื่อดูข้อเรียกร้องก็แทบไม่แยกห่างออกจากกัน
ภายในข้อเรียกร้อง 4 ข้อที่อ่านกันบริเวณสกายวอล์ก สี่แยกปทุมวัน มีอยู่ในข้อ 3 ผู้จัดกิจกรรม We Walk เดินมิตรภาพ และ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ต้องหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาและการดำเนินคดีทั้งปวง
ขณะเดียวกัน คำสั่งของศาลปกครองที่ให้การคุ้มครองชั่วคราวซึ่งกลุ่ม People Go Network เป็นเจ้าของเรื่อง
ก็ส่งผลสะเทือนให้กับกิจกรรม Start Up People
และส่งผลสะเทือนให้กิจกรรม “เดินเพื่อมิตรภาพ ส่งใจสู่เพื่อน” ของเครือข่ายภาคประชาชน 19 องค์กร จากลานจัตุรัสนครหาดใหญ่ ดำเนินไปด้วยความคึกคัก อบอุ่น

เป็นผลสะเทือนในด้าน “ความคิด” เป็นผลสะเทือนในด้าน “กิจกรรม”
แม้ว่าท่าทีในเบื้องต้นจากทางด้าน คสช.ต่อ “We Walk เดินมิตรภาพ” บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 21 มกราคม
จะรุนแรง แข็งกร้าว และมีลักษณะคุกคาม
กระนั้น นับแต่เวลา 02.00 น.ของวันเสาร์ที่ 27 มกราคม ท่าทีก็เริ่มเปลี่ยนจากคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ พ.ศ.2558
เป็นอานิสงส์ถึงการชุมนุมบริเวณ สกายวอล์ก แยกปทุมวัน
เป็นอานิสงส์ถึงการชุมนุมบริเวณลานจัตุรัสนครหาดใหญ่ และรวมถึงการค่อยๆ เคลื่อนไหวจากนครราชสีมามุ่งไปยังขอนแก่นบนถนนมิตรภาพ
และรวมถึง “เดินเพื่อมิตรภาพ ส่งใจสู่เพื่อน” ที่สวนลุมพินีในวันที่ 28 มกราคม
การออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวจากศาลปกครองจึงเป็นจุดตัดและหัวเลี้ยวใหม่ในทางการเมืองซึ่งจะทำให้ คสช.และรัฐบาลต้องนำไปขบคิดพิจารณา
ท่าทีแบบที่เคยเห็นหน้าวัดพระธรรมกายจะยังคงอยู่หรือไม่
ท่าทีแบบที่เคยเห็นในบรรยากาศแห่งการลงประชามติเมื่อเดือนสิงหาคม 2559 จะยังคงอยู่หรือไม่ จึงควรให้ความสนใจ
สถานการณ์อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในขณะนี้เป็นสถานการณ์อันเนื่องแต่ 2 ผลสะเทือน 1 ผลสะเทือนจากนาฬิกาหรู และ 1 ผลสะเทือนจากการยื้อการเลือกตั้ง 2 เรื่องนี้กระทบความรู้สึกของประชาชน
จึงนำไปสู่ความพยายาม “We Walk เดินมิตรภาพ” จึงนำไปสู่ Start Up People เกิดขึ้นทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด
ยังไม่มีใครตอบได้ว่าจะ “จบ” หรือ “คลี่คลาย” ไปอย่างไร

ยิ่งยุ่งก็ยิ่งยาว

ยิ่งยุ่งก็ยิ่งยาว


สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ยุค คสช.ถูกตั้งฉายาเป็นสภา ฝักถั่ว สภาตรายาง สภาใบสั่ง และอีกมากมาย
ข้อสำคัญ “สนช.ลากตั้งชุดนี้” ยังขยันสร้างเรื่องเลอะเทอะให้ต้องเก็บกวาดเช็ดถูตามหลังอีกบานตะไท
เลอะเทอะอย่างไร “แม่ลูกจันทร์” ขอยกมาเป็นแซมเปิ้ลซัก 3 ประเด็น
เรื่องเลอะเทอะอันดับ 1, คือกรณี สนช.ลากตั้งใช้เสียงข้างมากลากไปแก้ไข พ.ร.บ.ป.ป.ช.ให้ประธาน ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน ที่ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ ให้สามารถดำรงตำแหน่งต่อไปได้อย่างสบายอุรา
แค่นี้ยังไม่พอ ยังใช้เสียงข้างมากต่อวีซ่าให้ประธาน ป.ป.ช.และกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งมี “ลักษณะต้องห้าม” ตามรัฐธรรมนูญ ให้ลากยาวยั่งยืนต่อไปอีก 9 ปี
เหลือเชื่อจริงๆ พ่อเจ้าประคุณ
ทีนี้มาถึง เรื่องเลอะเทอะอันดับ 2,กรณี สนช.ลากตั้งกระเด้งรับใบสั่งแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. เพื่อเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก 90 วัน
ยิ่งกว่านั้นยังใช้เสียงข้างมาก ยกเลิกกติกาที่ห้ามจัดมหรสพต่างๆในการหา เสียงเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งใช้บังคับมานานกว่า 43 ปี
การเปิดช่องให้พรรคการเมืองจ้างมหรสพมาแสดงจูงใจประชาชนให้มาฟังการปราศรัยหาเสียง จึงเป็นการแก้ไขกฎหมายเอื้อประโยชน์พรรคใหญ่ๆทุนหนาได้เปรียบพรรคเล็กๆทุนน้อยกว่าอย่างชัดเจน
เท่ากับไปแก้กติกาที่ดีอยู่แล้วให้แย่ยิ่งกว่าเดิม
“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่าประเด็นนี้จะสร้างความยุ่งหยอยเป็นฝอยขัดหม้อในการเลือกตั้ง ส.ส.อย่างแน่นอน!!
ทีนี้มาถึง “เรื่องเลอะเทอะอันดับ 3” คือ กรณี สนช.ลากตั้งใช้เสียงข้างมากลากไปแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มาของ ส.ว. แหกออกนอกกรอบจากร่างของ กรธ.จนไม่เหลือเค้าเดิม
เช่น ล้มกติกาที่ห้ามผู้สมัคร ส.ว. แต่ละกลุ่มลงคะแนนเลือกกันเอง
โดยกำหนดกติกาใหม่ ให้ผู้สมัคร ส.ว.กลุ่มเดียวกันเลือกกันเองโดยรง
เท่ากับเปิดช่องให้ “บล็อกโหวต” กันได้อย่างสะดวกโยธิน
แย่ยิ่งกว่านั้น ยังไปเพิ่มกติกาให้แยกผู้สมัคร ส.ว.ออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทสมัครแบบอิสระ 100 คน และองค์กรต่างๆส่งสมัครเป็นตัวแทนอีก 100 คน
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าผลจากการแก้ไขให้ที่มา ส.ว.เป็น 2 ประเภท จึงไปขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 107 อย่างจังเบอร์
เนื่องจากมาตรา 107 ของรัฐธรรมนูญ กำหนดให้สมัคร ส.ว.ประเภทเดียว และสมัครช่องทางเดียว
ดังนั้น การที่ สนช.ลากตั้งแก้ไข ก.ม.ลูกไปขัดกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็น ก.ม.แม่ จึงยุ่งเป็นฝอยขัดหม้อด้วยประการฉะนี้แล
“แม่ลูกจันทร์” สรุปว่าการแก้ไข ก.ม.ลูกไปขัดแย้ง ก.ม.แม่ ทำให้การประกาศใช้กฎหมายลูก 3 ฉบับ ต้องชักตะพานแหงนเถ่อต่อไป
ทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีกไม่จบสิ้นซะที
หรือว่า...การที่ สนช.ลากตั้งขยันแก้ไข ก.ม.ลูกให้ขัดแย้ง ก.ม.แม่ตะบี้ตะบัน...
เพื่อต้องการสร้างเงื่อนไขให้การเลือกตั้งต้องยืดออกไปอีกยาวๆ?
เพราะถ้าเรื่องไม่จบก็ต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา
ต้องบวกเวลาเพิ่มไปอีกหลายเดือน
อืมม์...มันก็ชวนให้สงสัยได้เหมือนกันนะโยม.
“แม่ลูกจันทร์”

“นิด้า” ชื่อช้ำมากพอแล้ว

“นิด้า” ชื่อช้ำมากพอแล้ว


“เลือกเอาแล้วกันว่าจะเอาแบบผม หรือจะให้กลับมาที่เดิม”
จับอาการอึดอัดของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ที่ถูกไล่บี้ไล่ต้อนทวงถามสัญญาเลือกตั้ง
ปล่อยมุกวัดใจกันเลยว่า ระหว่างการทำตามความพยายามของคนที่จะทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นแบบเก่า กับการเดินตาม “ลุงตู่” ไปสู่ปลายทางปฏิรูป โดยที่บ้านเมืองยังสงบ ไม่มีม็อบป่วนเมือง
ถามใจประชาชนส่วนใหญ่จะเอาแบบไหน
เรื่องของเรื่อง ในห้วงที่ทหารทำอะไรก็ผิด บรรยากาศสลับข้างให้นักวิชาการ นักศึกษา พลิกกลับมาเป็นฝ่ายขี่กระแส นักการเมืองได้จังหวะตามแห่ คอยแหย่ไฟ
ปรากฏการณ์แบบที่เครือข่ายคนหน้าเก่าหน้าเดิมของฝ่ายความมั่นคง อย่าง “จ่านิว” นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ และนายรังสิมันต์ โรม นักศึกษาที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับ “ลุงตู่” รวมพลในนามขบวนการใหม่ “Start Up People” แสดงพลังคนอยากเลือกตั้ง ต้านการสืบทอดอำนาจ คสช.
ก็มีคนตามแห่ ชิงพื้นข่าวในสื่อได้
ในห้วงสถานการณ์ที่เครือข่ายนักวิชาการกล้าล่ารายชื่อกดดัน คสช.ให้ทบทวนการดำเนินการทางกฎหมายกับกลุ่ม “วีวอล์ค” ที่จัดกิจกรรมเดินเรียกร้องเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
เดินแต้มกดดันอำนาจพิเศษ ท้าทายกันแบบออกหน้าออกตา
ฉากปัญญาชนที่เป็น “ของแสลง” กับทหารเริ่มถูกเซตขึ้นมา ชัดเจนเป็นลำดับ
โยงกับสถานการณ์ “จุดไฟ” ในสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่ทำให้ชื่อของนายอานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ผู้อำนวยการ “นิด้าโพล” กลายเป็นฮีโร่ของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหาร คสช.
กับคำพูดหล่อๆ “ไม่เลียท็อปบูต”
สูตรสำเร็จของการปั่นกระแสปัญญาชนประจันหน้าทหารกำลังถูกรื้อฟื้น ย้อนอดีตคนเดือนตุลา
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องของกระแสก็ว่ากันไปตามห้วงสถานการณ์ แต่ประเด็นของหลักการความถูกต้องที่ต้องยึดเป็นบรรทัดฐาน นั่นก็ต้องว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง
โดยเฉพาะการใช้ชื่อสถาบันการศึกษามาแฝงเหลี่ยมเกมการเมือง
จากปมร้อน “นิด้าโพล” ถ้าฟังความอีกด้านหนึ่งจากมุมของนายประดิษฐ์ วรรณรัตน์ อธิการบดีนิด้า ที่ชี้แจงว่า การที่โพลมุ่งเป้าที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดถือเป็นการไม่ยุติธรรม โดยเฉพาะในห้วงที่ยังอยู่ในกระบวนการสอบสวน ไม่มีการชี้ถูกชี้ผิด
เรื่องของเรื่องถ้าเป็น “อานนท์โพล” ก็คงไม่มีปัญหา ไม่มีใครไปเบรกอะไร
และแน่นอนก็คงไม่มี “น้ำหนัก” หรือราคาค่างวดสักเท่าไหร่
แต่มันเป็นโพลในนามของ “นิด้า” ประทับตราสถาบัน มันก็มีเหตุผลที่จะต้อง “เซ็นเซอร์” กันก่อน เพราะถ้ามีข้อผิดพลาด
หรือวาระแฝงในการใช้โพลเพื่อผลประโยชน์ของบางฝ่าย คนที่รับผิดชอบเต็มๆหนีไม่พ้นคนนั่งเป็นฝ่ายบริหารสูงสุดคืออธิการบดี
ตรงนี้เข้าใจได้ในคำอธิบายของนายประดิษฐ์
ไม่นับปมเบื้องหน้าเบื้องหลัง นายอานนท์เพิ่งเข้ามาทำหน้าที่ผู้อำนวยการ “นิด้าโพล” แค่ 2 สัปดาห์ ก่อนหน้านั้นก็เห็นชื่อเป็นคอลัมนิสต์ประจำอยู่ในสื่อค่ายพันธมิตรฯ
มีลูกติดพันกับ “บิ๊กป้อม” ในคดีลอบสังหารหัวขบวนม็อบเสื้อเหลือง
ถ้าจะบอกว่าเป็นงานเชิงวิชาการเพียวๆไม่เกี่ยวกับขบวนการลงดาบซ้ำ พล.อ.ประวิตร
คนที่ติดตามข่าวการเมืองคงมีเครื่องหมายคำถามอยู่ในใจ
เหนือสิ่งอื่นใด จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ชื่อ “นิด้า” แทบไม่เหลือความขลัง ชั่วห้วงเวลาไม่กี่ปีหลัง คนไม่กี่คนเอาชื่อสถาบันอันเป็นที่รักของศิษย์เก่าศิษย์ปัจจุบันไปเป็นใบเบิกทาง สร้างโอกาสให้ตัวเองเข้าสู่เกมอำนาจและผลประโยชน์
ก่อโทษให้สถาบัน “นิด้า” โดนลากเข้าไปในสงครามชิงกระแสการเมือง
ถูกพวกที่เสียประโยชน์โจมตี ด่าเสียๆหายๆ เหมารวมทั้งสถาบัน
ตรงนี้ถึงจุดที่ต้องทบทวน ดึง “นิด้า” กลับมาเป็นองค์กรวิชาการเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง
อย่าให้ “นักวิชาเกิน–นักวิชากิน” เอาชื่อไปสร้างความเสื่อมอีกเลย.
ทีมข่าวการเมือง

ถ้าปชช.ไม่ต้องการพร้อมจะไป

"อยากจะพูดกับผู้สื่อข่าวสายทหาร กับทุกคน ผมไม่ได้มาขอร้องให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่อยากจะบอกว่าผมรับราชการมาตั้งแต่ปี 2511 ถึงวันนี้ก็ 50 ปีได้ รับราชการมาโดยตลอด ก็ไม่เคยมีเรื่องอะไรต่างๆ ก็ดูเอาแล้วกัน ว่าผมได้ทำอะไรที่เสียหายต่อประเทศชาติบ้านเมืองบ้าง ผมเข้ามาเพื่อต้องการทำงานให้บ้านเมือง ถ้าประชาชนไม่ต้องการผมก็พร้อมที่จะไปจากตำแหน่งนี้" 

 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ, 31 ม.ค.61
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 
ที่มา : 'ประวิตร' บอกถ้าประชาชนไม่ต้องการ ตนก็พร้อมที่จะไปจากตำแหน่งนี้ https://prachatai.org/journal/2018/01/75204


กองหนุนลดรบ.ขาลง


(30/1/61)

กองหนุน ลด
รัฐบาล ขาลง

"บิ๊กตู่" ยอมรับ รัฐบาล "ขาลง" ชี้ ทุกคนอยากจะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะผ่านมา 3 ปีแล้ว ...ยัน ไม่ได้ทำเพื่อสืบทอดอำนาจ. ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไรจากการเลื่อนเลือกตั้ง

พลเอกประยุทธ์  กล่าวตอบคำถาม ถึงความรู้สึกที่ถูกมองว่ารัฐบาลอยู่ในช่วงขาลง ว่า ผมเข้าใจประเด็น แต่อย่างที่บอกระยะเวลาการทำงานของเรา อาจจะมีความขัดแย้งสูง อาจจะมีคนได้ประโยชน์เสียประโยชน์ อะไรก็แล้วแต่ 

"ทุกคนอยากจะมีการเปลี่ยนแปลงเพราะผ่านมา 3 ปีแล้ว"

ก็ต้องไปดูกลุ่มไหนที่เดือดร้อน และเป็นตัวตั้งตัวดีในเรื่องเหล่านี้ สื่อคงหาเจออยู่แล้ว ผมคงไม่ไปขัดแย้งด้วย

“เรามุ่งมั่นที่จะทำงานดูแลประชาชนทั้งหมด นโยบายต่างๆในช่วงปีนี้  อย่ามองว่ารัฐบาลนี้ทำเพื่อสืบทอดอำนาจ มันเป็นการทำงานต่อเนื่อง จากปีที่1-2-3ตามโรดแมพของผม 

เพราะฉะนั้นในขั้นตอนนี้ปีนี้ ก็เป็นปีสุดท้ายตามโรดแม็พ คือทำงานที่มีโครงการไทยนิยมยั่งยืนลงไป 

คำว่าไทยนิยมคือ นิยมความดี ความงาม นั่นคือ ความหมายไทยนิยมของผม ในทุกๆ เรื่อง เพราะความดีความงาม เป็นเรื่องของคนไทยทุกคนที่จะมุ่งมั่นในการทำความดีเพื่อประเทศชาติ ให้บุตรหลานตัวเองในอนาคต 

รัฐบาลนี้มุ่งหวังเพียงวางพื้นฐาน รากฐานของประเทศไว้ให้ สุดแล้วแต่รัฐบาลต่อไป จะดำเนินการอย่างไรต่อ

แต่ผมยังไม่เห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากการเลื่อน ไม่เลื่อนตรงนี้เลย และผมก็ยืนยันโรดแม็พเดิมที่กำหนดไว้ หากไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นในเรื่องของกระบวนการทางกฎหมายมันก็เป็นไปตามนั้น ผมไม่ก้าวล่วงใครทั้งสิ้น ขอให้พิจารณา 

บางเรื่องถ้าไม่ตรงความต้องการของคนบางกลุ่มบางฝ่ายก็ไม่ค่อยพอใจ อยากให้ใช้มาตรา 44 อันไหนที่ตัวเองไม่ได้ประโยชน์ก็หาว่าไปละเมิดคนนู้นคนนี่ สรุปไม่มีความพอใจเท่าที่ควรจะเป็น” นายกฯ กล่าว

ถนนไทยนิยมยั่งยืน

ถนน "ไทยนิยม ยั่งยืน”

(30/1/61)ทหารพัฒนา สนองนโยบาย"บิ๊กตู่" ใช้ ยางพารา สร้างถนน สระน้ำ  ช่วยราคายาง พร้อม เชื่อมเส้นทาง ท่องเที่ยว ดอยหล่อ -ผาช่อ  เชียงใหม่

"บิ๊กอ๋อย" พล.อ.ธงชัย สาระสุข ผบ.นทพ. เดินทางขึ้นเหนือ ส่งมอบโครงการให้ ชาวดอยหล่อ จ. เชียงใหม่ โดยมี พล.ต.อภิสิทธิ์ นุชบุษบา ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาภาค 3 และ  นายอรุณ ศรีใส นายอำเภอดอยหล่อ ต้อนรับ

พล.อ.ธงชัย ส่งมอบโครงการก่อสร้างเส้นทางคมนาคม ผิวจราจรลาดยาง ที่มีส่วนผสมของยางพารา และโครงการขุดสระเก็บน้ำพร้อมปูสระ ด้วยยางพาราและโครงการก่อสร้างทางผิวจราจรลูกรัง รวมทั้งสิ้น จำนวน 12 โครงการ 

ซึ่งจะมีชุมชนได้รับประโยชน์ จำนวน 37 หมู่บ้าน 6,985 ครัวเรือน รวมราษฏรได้รับประโยชน์ทั้งสิ้น 13,946 คน 
     
ทั้งนี้โครงการนี้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล ในการพัฒนาประเทศ ตามโครงการ”ไทยนิยม ยั่งยืน” และยังสามารถช่วยแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ 
    
เพื่อให้ราษฏรในพื้นที่ อ.ดอยหล่อ มีเส้นทางใช้สำหรับการสัญจรได้สะดวก ปลอดภัย และสามารถใช้ขนส่งผลผลิตทางการเกษตร และเชื่อมไปยัง “ผาช่อ” ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ 

สำหรับโครงการขุดสระเก็บน้ำ ก็จะทำให้สามารถกักเก็บน้ำเพื่อใช้อุปโภค บริโภค และการเกษตร ได้ตลอดทั้งปี

เข้ม/แรงเสียดทาน

แรงเสียดทาน

"บิ๊กป้อม" ชี้ อยู่มากว่า 3 ปี แรงเสียดทานเยอะ  ยันสร้างสงบ ลดแตกแยก แบ่งสี ประคับประคองชาติ ย้ำซื้อสัตย์สุจริต ยัน กองทัพ สนับสนุนรัฐบาล ยัน บิ๊กตู่ ลงพื้นที่  ไม่ได้ไปหาเสียง  แต่ไปสร้างการรับรู้

พลเอกประวิตร  วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง. และ รมว.กลาโหม. กล่าวว่า กลาโหม เราดูแลแก้ปัญหาความมั่นคง และ ทำให้รัฐบาล มั่นคง ประเทศ ชาติ มั่นคง  เราทำทุกเริ่อง

สำคัญที่สุด  คือ ทำบ้านเมืองให้ สงบ จะเห็นได้ว่า ไม่มีอะไรเลย ที่ทำให้เกิดบั่นทอน แตกแยกขึ้น

รวมทั้งการทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และทำให้ปชช.รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ  ไม่มีแบ่งสี จะเห็นว่า เราทำงานด้วยความยากลำบาก

เราพยายามร่วมกันมา ประคับประคอง และคลี่คลาย ความขัดแย้งของบ้านเมือง รักษาเสถียรภาพ ความมั่นคงของประเทศ ให้ได้

แต่ยอมรับว่า. มีความยากลำบสก และมีแรงเสียดทาน เพราะมีคนจำพวกหนึ่งที่พยายาม จะกล่าวหารัฐบาล ว่า ทำงานไม่ได้ผล  ไม่สมความมุ่งหมายของ ปชช ทำเพื้อปชช.โดยแท้

ในช่วง3ปีกว่า เราสนับสนุน รัฐบาล 3ปี 8เดือน เราทุ่มเท กว่า3 ปี ที่ ผ่านมา แรงเสียดทาน ที่มีอยู่ตอนนี้ เราพยายามต่อสู้ต่อไป ให้เป็นไปตามกม.ระเบียบทุกอย่าง ไม่มีนอกรูปนอกรอย

กองทัพ มีจุตยืน ในการเป็นกลไกรัฐบาล แะเป็นแกนหลักความม้่นคง เคียงข้าง ปชช ส่วนรวม กองทัพ อยู่ ข้าง ปชช.ตลอด

เราต้องรักษาประเทศชาติ เอาไว้ให้ได้ และทำให้เกิดความสงบ

"เราเข้ามา  คสช.ตั้งใจมา  ทำงานให้ประเทศ เดินหน้าต่อให้สงบ

พร้อมกล่าวถึง การที่ พลเอกประยุทธ์  นายกฯ ลงพื้นที่  ก็ไม่ได้ไปหาเสียง  แต่ไปสร้างการรับรู้ ว่าอะไรไม่ถึงรากหญ้า  เพราะนายกฯไม่ได้ลงรับสมัครเลือกตั้ง ขออย่าไปเล่นด้านการเมือง

ศาล ปค.สูงสุดสั่ง สตช.ชดใช้ 254 พันธมิตรฯรายละ 7 พัน - 4 ล้าน ชี้สลายชุมนุมมิชอบ

ศาล ปค.สูงสุดสั่ง สตช.ชดใช้ 254 พันธมิตรฯรายละ 7 พัน - 4 ล้าน ชี้สลายชุมนุมมิชอบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ศาล ปค.สูงสุดสั่ง สตช.ชดใช้ 254 พันธมิตรฯรายละ 7 พัน - 4 ล้าน ชี้สลายชุมนุมมิชอบ
ศาล ปค. สูงสุดสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติชดใช้ค่าเสียหาย 254 ผู้ชุมนุม พธม. ตั้งแต่รายละ 7 พันบาท ถึงรายละ 4 ล้านบาท รวม 26.2 ล้านบาทจากเหตุสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภา 7 ต.ค. 51 ชี้ ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ใช้แก๊สน้ำตาไม่มีคุณภาพ ยิงแนวตรงขนานพื้นไม่ถูกต้องตามหลักสากล ทนายชี้ สตช. ต้องจ่ายภายใน 60 วัน และเป็นคำสั่งถึงที่สุด ด้าน “ตี๋ - ชิงชัย” ดีใจศาลให้ความยุติธรรม เผยพร้อมออกมาต่อสู้อีกหากพบการบริหารบ้านเมืองไม่ถูกต้อง 
       
       วันนี้ (31 ม.ค.) ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ นายชิงชัย อุดมเจริญกิจจและ นายกร เอี่ยมอิทธิพล กับพวกรวม 254 คน กรณีได้รับบาดเจ็บเสียหาย จากเหตุ สตช. เข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บริเวณรอบรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 51 โดยให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแต่ละรายจำนวนตั้งแต่ 7,120 บาท ถึง 4,152,771.84 บาท พร้อมดอกเบี้ย โดยศาลปกครองสูงสุด เห็นว่า ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่า การกระทำของผู้ชุมนุมเป็นการกระทำเพื่อขัดขวางไม่ให้นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีเข้าแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ไม่ใช่การก่ออาชญากรรมโดยแท้ จึงไม่อาจปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมทั้งหมดด้วยวิธีการเดียวกับการจับกุมผู้กระทำความผิดอาญาได้ แต่หากการชุมนุมเป็นไปโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ทำให้ผู้อื่นเกิดความเกรงกลัว สตช. และสำนักนายกรัฐมนตรี ย่อมมีอำนาจหน้าที่ระงับยับยั้งได้ โดยต้องปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมตามกฎหมายระเบียบ และขั้นตอนวิธีการที่เหมาะสม ไม่ว่าการชุมนุมจะเป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่
       

       
       อีกทั้งหลังเกิดเหตุ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงซึ่งรับฟังได้เป็นที่ยุติตามที่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายไม่โต้เถียงกันว่า ก่อนการใช้แก๊สน้ำตาเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ใช้รถดับเพลิงฉีดน้ำตามขั้นตอนที่กำหนดไว้แต่อย่างใด โดยพยานให้ถ้อยคำว่าได้ประสานขอรถดับเพลิงไปยังกรุงเทพมหานครแล้ว แต่ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องใช้แก๊สน้ำตา โดยปรากฏว่า ได้มีการขอรถไฟฟ้าส่องแสงสว่างและรถดับเพลิงไปยังกรุงเทพมหานครตามหนังสือวันที่ 19 ก.ย. 51 แต่ไม่มีการเร่งรัดใดๆ และมีหนังสืออีกครั้งหนึ่งตามหนังสือลงวันที่ 7 ต.ค. 51 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทราบก่อนหน้านั้นแล้วว่าจะมีการชุมนุมที่บริเวณหน้ารัฐสภาและเป็นการขอรถดับเพลิงหลังจากผู้ชุมนุมได้เคลื่อนมวลชนมาที่บริเวณหน้ารัฐสภาเมื่อเวลา 20.00 น. ของวันที่ 6 ต.ค. แล้ว ถึงแม้ สตช. และสำนักนายกฯ ทั้งสองจะอ้างว่ามีการกระทำความผิดต่อกฎหมายและมีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บจำนวนมากและอ้างส่งสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่เกิดขึ้นในวันดังกล่าวจำนวนหลายคดี แต่ก็ปรากฏตามสำนวนการสอบสวนดังกล่าวว่าเป็นการกระทำหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุมเป็นครั้งแรกเวลา 06.00 น. ทั้งสิ้น อีกทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีและผู้ร้องสอดแต่ละรายเป็นผู้กระทำความผิดดังกล่าว และข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีผู้ชุมนุมได้รับอันตรายแก่ชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ในระยะเวลาแตกต่างกันหลายครั้งหลายสถานที่ตั้งแต่เริ่มมีการสลายการชุมนุมเมื่อเวลาประมาณ 06.00 น. เศษ ไม่ใช่ได้รับบาดเจ็บในช่วงเวลาเดียวกัน จึงไม่อาจรับฟังได้ว่ากรณีดังกล่าวเกิดจากวัตถุระเบิดที่ตนพกพามา
       
       ดังนั้น เมื่อไม่มีปัญหาโต้แย้งและพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพยานบุคคลและพยานหลักฐานที่ปรากฏเป็นพยานหลักฐานเท็จหรือเกิดจากการปรุงแต่งหรือดำเนินการไปโดยกลั่นแกล้งผู้หนึ่งผู้ใด ศาลจึงสามารถรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้ ส่วนการดำเนินการขององค์กรอื่นๆ และสำนวนการสอบสวนคดีอาญานั้น ศาลมีอำนาจพิจารณาเปรียบเทียบกับพยานหลักฐานอื่นๆ และสามารถใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานว่าพยานหลักฐานใดรับฟังได้พยานหลักฐานใดรับฟังไม่ได้เพื่อประโยชน์แก่การวินิจฉัยคดี ซึ่งถึงแม้การให้ถ้อยคำของฝ่ายผู้ชุมนุมที่ได้รับความเสียหาย และพยานบางรายที่ยืนยันการกระทำที่ไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งศาลต้องระมัดระวังในการรับฟัง แต่มีกลุ่มสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสีย หรือเป็นปฏิปักษ์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ให้ถ้อยคำที่สอดคล้องกับผู้ชุมนุม ซึ่งพยานทั้งหมดได้ให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมการของกสม.ในช่วงเดือนตุลาคม 2551 ซึ่งเป็นเวลาใกล้ชิดกับวันเกิดเหตุที่ยังจดจำเหตุการณ์ได้ จึงฟังได้ว่าเป็นการให้ถ้อยคำตามความเป็นจริงไม่มีการเสริมแต่งข้อเท็จจริงใดๆ
       
       

       
       นอกจากนี้ ยังมีการให้ถ้อยคำของกลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีความชำนาญเฉพาะด้านมายืนยันในความไม่เหมาะสมในวิธีการสลายการชุมนุมและการใช้แก๊สน้ำตาอีกด้วย พยานหลักฐานดังกล่าวจึงมีน้ำหนักมั่นคงให้รับฟังได้ว่า การปฏิบัติหน้าที่ของสตช.มีข้อบกพร่องในขั้นตอนการเตรียมการหารถดับเพลิงมาใช้ในการสลายการชุมนุมและมีข้อบกพร่องในวิธีการยิงแก๊สน้ำตา โดยยิงในแนวตรงขนานกับพื้นซึ่งไม่เป็นไปตามวิธีการที่ถูกต้องที่ต้องยิงเป็นวิถีโค้ง ประกอบกับแก๊สน้ำตาที่นำมาใช้เป็นแก๊สน้ำตาที่ซื้อมาเป็นเวลานานจึงมีประสิทธิภาพต่ำ จึงต้องใช้แก๊สน้ำตาจำนวนมากเกินกว่าที่จะใช้โดยปกติทั่วไป ทำให้เกิดความปั่นป่วนชุลมุนเกิดความเสียหายต่อผู้ชุมนุมมากเกินกว่าผลตามปกติที่เกิดจากการใช้แก๊สน้ำตาที่มีประสิทธิภาพดีและยิงโดยวิธีการที่ถูกต้อง และยังส่งผลเสียหายไปถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่มาช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งไม่ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติจะรู้ถึงข้อบกพร่องของขั้นตอนในการเตรียมการหารถดับเพลิงมาใช้กับผู้ชุมนุมก่อนการใช้แก๊สน้ำตาและข้อบกพร่องในประสิทธิภาพของแก๊สน้ำตาที่ทำให้ต้องยิงแก๊สน้ำตาเป็นจำนวนมากหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อบกพร่องดังกล่าวส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของนายชิงชัยกับพวก แต่ละรายจึงเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายแก่ชีวิตร่างกายสิทธิและเสรีภาพจึงเป็นการกระทำละเมิดตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สตช.จึงต้องรับผิดต่อผู้ได้รับความเสียหาย
       
       ส่วน สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า แม้นายกฯ จะเป็นหัวหน้ารัฐบาลมีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารทุกตำแหน่ง และการกระทำละเมิดดังกล่าวจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากมติคณะรัฐมนตรีที่ให้มีการจัดประชุมแถลงนโยบายที่รัฐสภา แต่มติดังกล่าวก็เป็นไปตามปกติเพื่อให้การแถลงนโยบายของรัฐบาลดำเนินการไปได้เท่านั้น หน่วยงานที่มีหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง คือสตช. สมควรติดตามสถานการณ์และเตรียมการเพื่อป้องกันแก้ไขปัญหา หากจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงกำหนดนัดหรือสถานที่ประชุมทางรัฐสภาคงต้องปรึกษาหารือกันแล้วแจ้งคณะรัฐมนตรีทราบ และมีมติมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีติดตามตรวจสอบสถานการณ์และกำกับดูแลการรักษาความสงบเรียบร้อย โดยประสานสั่งการ สตช. หน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้อง นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีจึงไม่ได้กำหนดขั้นตอนและวิธีการในการสลายการชุมนุมแต่อย่างใด การกำหนดขั้นตอนวิธีการในการสลายการชุมนุมเพื่อเปิดทางให้มีการประชุมแถลงนโยบายึงอยู่ภายใต้ำนาของสตช. อีกทั้งเมื่อเริ่มประชุมแล้วเกิดความเสียหายย่อมเป็นอำนาจประธานรัฐสภาที่จะสั่งปิดกาปรระชุมเพื่อยุติเหตุการณ์ ดังนั้นนายกฯและสำนักนายกรัฐมนตรีจึงไม่ได้กระทำละเมิด
       
       อย่างไรก็ตาม กรณีสืบเนื่องจากการชุมนุมบางส่วนมีลักษณะทำให้ผู้อื่นเกรงลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายเสรีภาพและทรัพย์สินซึ่งเป็นหน้าที่ของ สตช. ที่ต้องระงับยับยั้งการกระทำดังกล่าว เมื่อพิจารณาพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งกากรระทำละเมิดแล้วเห็นว่าค่าเสียหายที่ศาลปกครองชั้นต้นกำหนดตั้งแต่ 8 พันบาทเศษ ถึง 5 ล้านบาทเศษ สูงเกินส่วน สมควรลดค่าเสียหายลงร้อยละ 20 จึงมีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้สตช.ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นายชิงชัยกับพวกแต่ละรายจำนวนตั้งแต่ 7,120 - 4,152,771.84 บาท พร้อมดอกเบี้ย และยกฟ้องสำนักนายกรัฐมนตรี
       
       ด้าน นายตี๋ แซ่เตียว หนึ่งในผู้ฟ้องคดี กล่าวว่า วันนี้พอใจมากที่ศาลให้ความยุติธรรม เพราะที่ผ่านมาชีวิตการครองตัวลำบากมาก ไม่สามารถประกอบอาชีพอะไรได้ เนื่องจากยังมีการอาการเจ็บป่วยทางร่างกายซึ่งเป็นผลกระทบจากการสลายการชุมนุมฯทำให้ภรรยาต้องประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว อย่างไรก็ตามจากเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ทำให้ตนรู้สึกกลัวและไม่กล้าที่จะไปชุมนุมทางการเมืองอีก หากอนาคตการบริหารบ้านเมืองเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง ก็จะออกมาต่อสู้อีก
       
       ส่วน นายชิงชัย กล่าวยอมรับคำพิพากษา แม้ว่าค่าสินไหมที่ได้รับเทียบไม่ได้กับสิ่งที่สูญเสียไป ทุกวันสภาพร่างกายยังไม่ปกติ ต้องไปพบแพทย์ตรวจติดตามเป็นระยะะ และไม่ได้รู้สึกกลัวกับการชุมนุม หากเห็นว่ามีการบริหารบ้านเมืองที่ไม่ถูกต้องก็จะไปร่วมเคลื่อนไหวอีก
       
       ส่วน นายบุญธานี กิตติสินโยธิน ทนายความ กล่าวว่า หลังจากนี้ ทาง สตช. ก็ต้องชดใช้ให้กับผู้เสียหายตามคำพิพากษาภายใน 60 วัน ซึ่งที่ศาลยกฟ้องในส่วนของสำนักนายกรัฐมนตรีผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ทางผู้เสียหายก็คงต้องยอมรับเพราะเป็นคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดแล้ว