PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2562

จิตแข็งไม่แวะข้างทาง

อาการแบบที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม บอกปัดตัดบท ไม่มีการต่อรอง เป็นเรื่องของศาล กระบวนการยุติธรรม

ถึงยังไง คสช.ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้

ไม่รับมุกที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช สายตรงดูไบ ในฐานะโต้โผใหญ่พรรคเพื่อชาติ เสนอตั้งโต๊ะเจรจาภาษาศิษย์เก่านักเรียนเตรียมทหาร ระหว่างอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร กับทีมท็อปบูตฝ่ายคุมเกมอำนาจ

เดินหน้าแผ้วถางทาง อุ้ม “นายใหญ่” กลับบ้านเป็นรอบที่ 4

และก็เป็นอะไรที่กระตุกต่อม “ฉุนขาด” ในทันทีทันควันที่โดน พล.อ.ประวิตรปิดประตูใส่หน้า อดีตนายกฯทักษิณรีบทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ข้ามประเทศ

ซัด “กระบวนการยุติธรรมแบบป้อมๆ” มันหมดความน่าเชื่อถือแล้ว

ย้อนศรไล่ “พี่ใหญ่” ให้เคลียร์เรื่องตัวเองก่อน บอกให้ตนเองกลับเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย ทั้งๆที่ “บิ๊กป้อม” ส่งคนของ “บิ๊กป้อม” เข้าไปนั่งทั้งนั้น เอาเด็กหน้าห้อง “บิ๊กป้อม” ออก แล้วปล่อยให้คนอื่นเข้ามาพิจารณาเรื่องนาฬิกายืมเพื่อนแทนดีกว่ามั้ย

“นายใหญ่” เปิดแนวรบ “พี่ใหญ่” เร่งดีกรีไฟแค้นสุมหัวอก

ปิดตำนาน “เกาะโต๊ะ” ปิดช่องต่อสายดีลผ่านทีมบูรพาพยัคฆ์

ถึงจุด “ทักษิณ” ขาดเยื่อใยกับ “บิ๊กป้อม” ไม่มีดีลลับให้ฝ่ายจ้องระแวง “ซูเอี๋ย” อีกต่อไป

ที่แน่ๆแนวรบด้าน “ดูไบ” ยังไม่เปลี่ยน ส่อลุยกันแรงกว่าเดิม

ตามจังหวะอาศัยเหลี่ยมโหนกระแสเร่งเลือกตั้งที่นักการเมืองแท็กทีมกระโดดขี่คอ คสช. โยนข้อต่อรองอุ้ม “ทักษิณ” กลับบ้าน โผล่กลับมาเร้าเดิมพันศึกพลิกขั้วอำนาจ

นิยายน้ำเน่า “รีรัน” ทันทีที่เกมถนัดโคตรเซียนเลือกตั้งจ่อกลับมา

ในบรรยากาศเร้าอกเร้าใจแบบที่ “สารวัตรเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แกนนำขาบู๊ ฟันธงพรรคเพื่อไทยแอนด์เดอะแก๊ง “นายใหญ่” จะดาหน้ากวาดแต้มเกิน 300 เสียง ชิง

พลิกขั้วอำนาจแน่

ขู่ชนวนระเบิด ถ้าเลื่อนเลือกตั้งจะเกิดเหตุรุนแรง ประชาชนไม่ยอม

ปั่นเกมม็อบวัดใจทหาร

ฉากบู๊ล้างผลาญ มหากาพย์ศึกชิงเมืองวนกลับมาฉายหนังซ้ำ

แต่บังเอิญชินแล้ว มาถึงตรงนี้นักลงทุน “จิตแข็ง” แล้ว

โฟกัสตลาดหุ้นวันที่ 7 มกราคม 2562 ดีดขึ้นปิดที่ 1,592.72 จุด เขียวเต็มกระดาน

สวนกระแสเลื่อนเลือกตั้ง โดยสถานการณ์เอนไปทางตอบรับสัญญาณ “เชิงบวก” มากกว่า

ตามจังหวะที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ประกาศเสียงดังระหว่างลงพื้นที่ช่วยผู้ประสบภัยพายุโซนร้อน “ปาบึก” ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช

ยืนยันไทยมีเลือกตั้งแน่นอน ถึงอย่างไรก็อยู่ภายใน 150 วัน อย่าหลงเชื่อคำบิดเบือนที่บอกว่ารัฐบาลอยากอยู่ต่อโดยจะล้มเลือกตั้ง หรือใช้กลไกอำนาจทำให้การเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์

สอดรับกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ ที่พูดต่อหน้านักธุรกิจบนเวที Krungthai NEXT Thailand ECONOMIC CHALLENGES 2019

ย้ำปีนี้ประเทศไทยมีเลือกตั้งแน่นอน

พร้อมกับยืนยัน จากวันนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้ง รัฐบาลชุดปัจจุบันจะดูแลประคับประคองเศรษฐกิจให้เติบโตได้จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ แม้ต้องเผชิญความเสี่ยงจากสถานการณ์ภายนอก สงครามการค้าสหรัฐอเมริกากับจีนกระเทือนส่งออก ขณะที่สถานการณ์ภายในประเทศกำลังปั่นป่วนจากโหมดเลือกตั้งที่นักลงทุนลังเล ไม่ชัวร์รัฐบาลใหม่จะสานต่อโครงการรัฐบาลนี้หรือไม่

แต่ถ้ารัฐบาลหลังเลือกตั้งเข้ามา โดยมองถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศมากกว่าจับจองพื้นที่หาผลประโยชน์ ร่วมมือกันแก้ปัญหา เลิกด่าทอ หากทุกอย่างไปด้วยดี นโยบายและการลงทุน

ที่เดินหน้าต่อเนื่อง เชื่อว่าหลังเลือกตั้งสถานการณ์เศรษฐกิจภาพรวมของประเทศดีขึ้นแน่นอน

“บิ๊กตู่-สมคิด” หัวเรือใหญ่รัฐบาล “ตีธง” ทิศทางเดียวกัน

การันตีเลือกตั้งตามกำหนด 150 วัน คาดการเมืองไร้ป่วน กลางปีหน้าเศรษฐกิจเดินหน้าฉลุย

ปรากฏตลาดหุ้นขานรับสัญญาณบวก นักลงทุนเริ่มเข้าสู่จุดเน้นเชิงเหตุผลมากกว่าอารมณ์ร่วมกระแสการเมืองชิงพื้นที่เกมอำนาจ เชื่อมั่นทิศทางเดินหน้าประเทศไทยไปสู่เป้าหมายในทางยาวๆ

สะท้อนคนไทยส่วนใหญ่เบื่อเสียเวลา “แวะข้างทาง” แล้ว.


ทีมข่าวการเมือง

เบรคตีความวันเลือกตั้ง

    นายกฯ ย้ำทุกฝ่ายคิดรอบคอบในการกำหนดวันเลือกตั้ง ขอเลิกถกเถียงตีความกฎหมาย ให้รับฟัง กมธ.ในฐานะคนร่าง "วิษณุ" เผยอีกไม่กี่วันจะรู้ความชัดเจนทั้งหมด กกต.เปิดงบเตรียมเลือกตั้ง 55 ล้านบาท ถอยรถประจำตำแหน่ง 6 คัน 22 ล้าน "ศรีสุวรรณ" เตือนจัดเลือกตั้งไม่แล้วเสร็จภายใน 9 พ.ค.62 ถูกฟ้องแน่ "อ๋อย" ปูดเลือกตั้งถึง มิ.ย. ชี้ขัดรธน. "สุชาติ" ลุยต่อเปลี่ยน ส.ป.ก.เป็นที่ดินทองคำ ฟุ้งพลิกคนจนดักดานให้เป็นเศรษฐี อัด "สาทิตย์" อย่าเพิ่งชกลม รมว.เกษตรฯ ยันกฎหมายห้ามเปลี่ยนมือยังไม่เปิดช่องให้ทำใบสลักสิทธิ์ 
    เมื่อวันพุธ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขอให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งพิจารณาอย่างรอบคอบในการกำหนดวันเลือกตั้งให้เรียบร้อย มีความสอดคล้องกันทั้งกระบวนการจัดการเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง โดยคำนึงถึงช่วงเวลาของการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษก การสอบ TCAS และ GAT-PAT ของนักเรียน และเรื่องอื่นๆ ประกอบกัน ซึ่งทั้งหมดจะต้องยึดหลักประโยชน์ของประเทศชาติและความสงบสุขของประชาชนเป็นสำคัญ
     "ส่วนการตีความบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งนั้น นายกรัฐมนตรีอยากให้รับฟังความเห็นของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ซึ่งเป็นผู้ร่างกฎหมายขึ้นมา และทำความเข้าใจให้ตรงกันถึงเจตนารมณ์และสาระสำคัญของกฎหมาย เพื่อให้ได้ข้อยุติเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ในขณะนี้ พร้อมทั้งย้ำว่าทุกคนทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันทำให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าด้วยความสงบเรียบร้อย มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม และไม่เกิดปัญหาซ้ำรอยอดีตที่เคยผ่านมา" นายพุทธิพงษ์กล่าว 
     นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อเสนอการให้เลื่อนวันสอบความถนัดทั่วไป (GAT)และความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ (PAT) ของนักเรียนกลับไปตามกำหนดการเดิมคือ 23-26 ก.พ. หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่กำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจนว่า รมว.ศึกษาธิการระบุว่าสามารถย้ายวันสอบกลับมาได้ ซึ่งจะต้องรอความชัดเจนว่าจะเลื่อนวันเลือกตั้งออกไปหรือไม่ จึงจะกำหนดวันสอบให้ชัด แต่วันนี้ให้ทำใจว่ายึดตามกำหนดที่ประกาศไปแล้วคือ วันที่ 16-19 ก.พ.นี้ และวันที่ 16-17 มี.ค. ที่จะมีการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดม (TCAS) 9 วิชา ขณะนี้ทางกระทรวงศึกษาธิการได้ทำหนังสือชี้แจงรายละเอียดอย่างเป็นทางการไปถึง กกต. เพื่อพิจารณาต่อไปแล้ว และเมื่อมีความชัดเจนว่าจะเลื่อนวันเลือกตั้งออกไปจากวันที่ 24 ก.พ. ก็สามารถเลื่อนวันสอบให้เป็นไปตามเดิมได้ และอีกไม่กี่วันก็จะทราบความชัดเจนทั้งหมด
     ขณะเดียวกัน สำนักงาน กกต.ได้เผยแพร่แผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 โดยพบข้อมูลที่น่าสนใจส่วนใหญ่เป็นงบฯ ที่ใช้เกี่ยวกับการเตรียมการจัดการเลือกตั้ง ส.ส.หลายรายการ โดยรวมเป็นงบฯ กว่า 55 ล้านบาท อาทิ จัดซื้อจัดจ้างในโครงการทำคู่มือปฏิบัติงานสำหรับใช้ในการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการเลือกตั้งทั่วไป  655,000 บาท, จัดซื้อจัดจ้างในโครงการผลิตสื่อสัญลักษณ์ รด.จิตอาสา (ปลอกแขน) จำนวน 27,056 ชิ้น 1,082,240 บาท, จัดซื้อจัดจ้างในโครงการผลิตสื่อสัญลักษณ์ลูกเสืออาสา กกต. จำนวน 2 รายการ 2,163,000 บาท, จัดซื้อจัดจ้างในโครงการสื่อหนังสือพิมพ์เพื่อการประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง ส.ส. 6,000,000 บาท, จัดซื้อจัดจ้างในโครงการผลิตสื่อเผยแพร่ความรู้การเลือกตั้ง ส.ส. และผลิตสื่อเครือข่ายพลเมืองการเลือกตั้ง ส.ส. จำนวน 7 รายการ 9,425,000 บาท, จัดซื้อจัดจ้างในโครงการพิมพ์หนังสือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และระเบียบ กกต.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 12,000,000 บาท, จัดซื้อจัดจ้างในโครงการประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง ส.ส. ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 5,000,000 บาท, จัดซื้อจัดจ้างในโครงการตั้งศูนย์รับรายงานจากผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัด 1,314,000 บาท และจัดซื้อจัดจ้างในโครงการจ้างทำคูหาลงคะแนนสำหรับใช้ในการเลือกตั้ง ส.ส. 18,000,000 บาท เป็นต้น โดยโครงการส่วนใหญ่วางกรอบดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในช่วงเดือน ธ.ค.2561 และ ม.ค.2562
    นอกจากนั้นยังพบโครงการซื้อรถประจำตำแหน่งประธาน กกต. 1 คัน, กรรมการ กกต. 4 คัน และเลขาธิการ กกต. 1 คันงบฯ 22,164,000 บาท โดยคาดว่าจะประกาศจัดซื้อจัดจ้างในช่วงเดือน ม.ค. 2562 นี้ 
เลือกตั้งไม่แล้วเสร็จถูกฟ้อง
     นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ออกแถลงการณ์เรื่อง “เตือน กกต.ไว้ล่วงหน้าเตรียมตัวถูกฟ้องหากจัดเลือกตั้งไม่แล้วเสร็จ 150 วันตาม รธน.” ระบุว่า ตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 268 กำหนดให้ กกต.ต้องดําเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จ ภายใน 150 นับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามมาตรา 267 (1) (2) (3) และ (4) มีผลใช้บังคับแล้ว ซึ่งจะครบกำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ 9 พ.ค.2562 ซึ่งคำว่า “ให้แล้วเสร็จ” ตามรัฐธรรมนูญดังกล่าวหมายความรวมถึงวันเลือกตั้ง และวันประกาศผลการเลือกตั้งอย่างน้อย 95% ต้องแล้วเสร็จ และถึงแม้ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.จะมีบทเฉพาะกาลใน มาตรา 171 แต่การตีความเพื่อยืดระยะเวลาการเลือกตั้งออกไปของ กกต.ย่อมเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญ เนื่องจากรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายแม่บทของประเทศ 
    "หากการเลือกตั้ง ส.ส.ในครั้งนี้ไม่แล้วเสร็จภายใน 150 วัน สมาคมจะเป็นองค์กรแรกที่จะรวบรวมประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งและผู้สมัคร ส.ส. ที่เสียหายจากการใช้อำนาจดังกล่าว ในการดำเนินการเอาผิดต่อ กกต. ในคดีอาญาตามมาตรา 69 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. 2560 (ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท) และตามที่กฎหมายอื่นบัญญัติโดยอาจยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเพื่อให้ชดใช้เงินคืนทั้งหมดจากการเลือกตั้ง และชงเรื่องฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป แต่จะไม่ยอมตกหลุมพลางโดยไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเด็ดขาด เพราะอาจจะเข้าทางผู้มีอำนาจบางคนที่หวังผลให้มีการตีความว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะเพื่อที่ตนจะได้อยู่ในอำนาจได้ต่อไปนั่นเอง" แถลงการณ์ระบุ 
    ช่วงเย็นวันเดียวกัน ที่อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา กลุ่มเครือข่ายประชาชนคนอยากเลือกตั้งกว่า 50 คน รวมตัวกันถือป้ายกระดาษเขียนข้อความคล้ายๆ กันว่า ไม่เลื่อนเลือกตั้ง เพื่อรอต้อนรับแกนนำคนสำคัญที่จะเดินทางมาจากกรุงเทพฯ คือ นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว กลุ่ม Start up people เครือข่ายประชาชนคนอยากเลือกตั้ง และน.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือโบว์  แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง เมื่อเดินทางมาถึงจ่านิวและโบว์ได้สักการะอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (คุณย่าโม) เพื่อเป็นสิริมงคล พร้อมร่วมกิจกรรมชูนิ้ว 3 นิ้วแสดงสัญลักษณ์ โดยในเวลาทำกิจกรรมหนึ่งชั่วโมงเป็นไปอย่างสงบ
     นายสิรวิชญ์กล่าวว่า กิจกรรมคล้ายที่กรุงเทพฯ มาโคราช เป็นการมาพบปะขยายการทำกิจกรรมทุกภูมิภาค ทุกจังหวัด ซึ่งเป็นการเตรียมการไปสู่การชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพฯ ในวันอาทิตย์ที่ 13 ม.ค.2562 และขยายการชุมนุมไปยังทุกๆ จังหวัด ส่วนกิจกรรมวันนี้เป็นการคิกออฟจังหวัดแรกในภูมิภาคในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และหลังจากนี้จะกลับเข้ากรุงเทพฯ ไปดูภาพใหญ่ ส่วนต่างจังหวัดให้ไปทุกศาลากลางจังหวัดเป็นจุดนัดพบกัน และการชุมนุมจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เพื่อต้องแสดงให้เห็นว่าการเลื่อนเลือกตั้งครั้งนี้เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้อยู่แล้ว
     ด้าน น.ส.ณัฏฐากล่าวว่า เราต้องการเรียกร้องรัฐบาล คสช.ไม่แทรกแซงการจัดการเลือกตั้งของ กกต. ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ เรียกร้องให้รัฐบาลให้ความชัดเจน ตอนนี้พระราชกฤษฎีกาที่จะอำนวยให้ กกต.กำหนดการเลือกตั้ง ถ้าผ่านกระบวนการทูลเกล้าฯ ถวายแล้ว ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนไหน หรือวันนี้มีข่าวว่าพระราชกฤษฎีกาได้ถูกส่งลงมาถึงรัฐบาลแล้ว แต่มีการเก็บไว้ไม่ประกาศออกมาหรือเปล่า เป็นความคลุมเครือที่ไม่เป็นผลดีกับประเทศ 
    นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคอีสาน พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า พรรค พปชร.อยากให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด และไม่อยากให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไป เพราะขณะนี้กระแสของพรรคกำลังดีวันดีคืน และเชื่อว่าพี่น้องประชาชนจะเลือกพรรค พปชร.อย่างแน่นอน 
    นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ได้แสดงออกมาชัดเจนว่าพรรคยินดีและน้อมรับกับการเลื่อนออกไป เพื่อเป็นการน้อมแสดงความจงรักภักดี เพราะพระราชพิธีจะนำมาซึ่งมหามงคลใหญ่ยิ่งต่อประเทศไทย 
ปูดเลื่อนเลือกตั้ง มิ.ย.
    นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวว่า ขณะนี้ได้ฟังเหตุผลจากรัฐบาล กกต. รวมถึงองค์กรที่ไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งยังไม่สามารถชี้แจงเหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมต้องเลื่อนวันเลือกตั้ง และไม่ชัดเจนว่าจะกำหนดวันเลือกตั้งเมื่อไหร่ ล่าสุดมีการปล่อยข่าวว่าจะเลื่อนวันเลือกตั้งไปถึงเดือน เม.ย. พ.ค. และ มิ.ย.นั้น ถ้าเลื่อนไปแล้วจะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ดังนั้นพรรคไม่เห็นด้วย เพราะบ้านเมืองเสียหายมามากแล้ว ประเทศจะไม่มีโอกาสแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ หากยังอยู่ภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการ ดังนั้นต้องไม่เลื่อน ต้องมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 ก.พ. เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน 
    นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงพรรค ทษช. กล่าวว่า มีข้อห่วงใยการใช้อำนาจและงบประมาณสนับสนุนพรรคการเมืองบางพรรคที่สนับสนุนผู้นำรัฐบาลนี้ บางพื้นที่มีนักการเมืองไปพูดว่า มีโควตาบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2 หมื่นใบ ให้ประชาชนแลกกับการหนุนพรรคการเมืองของตนเอง บางพื้นที่เก็บบัตรประชาชนนำไปแลกกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เป็นฐานสำคัญเพื่อหวังตัดคะแนนของฝ่ายตรงข้าม ระเบียบ กกต.ก็น่าห่วงในเรื่องของผู้สังเกตการณ์ประจำหน่วยเลือกตั้ง ซึ่งไม่ให้ผู้สังเกตการณ์ทำอะไรได้เลย เหมือนไม่อยากให้มีผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้ง และเรื่องบัตรหีบเลือกตั้ง ซึ่งยังมีปัญหาว่าจะขนย้ายกันอย่างไร การเก็บหีบบัตรเลือกตั้งล่วงหน้าก็ยังไม่ชัดเจน ซึ่งจะเปิดช่องให้เกิดการทุจริตขนานใหญ่ 
    "ยืนยันว่าการเลือกตั้งต้องไปตามกำหนดเดิม คือวันที่ 24 ก.พ. ในส่วนการเคลื่อนไหวของประชาชนที่อยากเห็นการเลือกตั้งเป็นไปตามกำหนดเดิมคือ 24 ก.พ. ขอเป็นกำลังใจให้ รวมถึงสนับสนุนจุดยืนนี้ และขอฝ่ายผู้มีอำนาจอย่าสกัดกั้นการแสดงความคิดเห็นการแสดงออกที่บริสุทธิ์นี้" นายณัฐวุฒิกล่าว
    ขณะที่นายสุชาติ ตันเจริญ คณะกรรมการสรรหาผู้สมัคร ส.ส.พรรค พปชร. ผู้เสนอนโยบาย "เปลี่ยน สปก.4-01 ให้เป็นที่ดินทองคำ" หรือ “สปก. 4.0” กล่าวถึงกรณีที่นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีต ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) วิพากษ์วิจารณ์นโยบาย สปก.4.0 ว่าอาจเปิดช่องให้นายทุนเข้าซื้อที่ดิน ส.ป.ก. และเพิ่มปัญหาความเหลื่อมล้ำว่า อยากแนะนำให้นายสาทิตย์ศึกษารายละเอียดในสิ่งที่ตนเสนอให้ชัดเจนอย่างเข้าใจเสียก่อน ตนทราบดีถึงเจตนารมณ์ของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ในฐานะแกนนำ ส.ส.กลุ่ม 16 ที่เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจกรณี สปก.4-01 จนกระทั่งกลายเป็นฝันร้ายของรัฐบาลพรรค ปชป.ที่ต้องลาออก เพราะปล่อยให้คนรวยได้ที่ดิน ส.ป.ก. เช่น จ.ภูเก็ต เป็นการผิดหลักการของ ส.ป.ก.
    นายสุชาติกล่าวว่า ฝากไปถึงคุณสาทิตย์ อย่าเพิ่งชกลม โดยอ่านแค่พาดหัวข่าว และต้องขอขอบคุณที่นำเรื่องนี้กลับมาให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงความเลวร้ายของ สปก.4-01 ในอดีต ที่เป็นผลพวงมาถึงปัจจุบันที่รัฐบาลชุดนี้ต้องไล่ตามยึดที่ ส.ป.ก. คนรวยหลายแห่ง วันนี้เราจะต้องพัฒนา ไม่ใช่ย่ำอยู่กับที่ ต้องยอมรับความจริงก่อนว่า 30-40 ปีที่แล้วกับวันนี้ยุคสมัยเปลี่ยนไปมาก สมัยนั้นที่ดินเหมาะกับการทำการเกษตร นโยบายจึงเน้นปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แต่มาถึงวันนี้ การทำเกษตรกรรมทำให้เกษตรกรเป็นหนี้ วัตถุประสงค์ของ ส.ป.ก.ต้องการช่วยเหลือคนจน โดยรัฐสนับสนุนให้ประชาชนมีที่ดินทำกิน ก็ควรจะหาทางทำให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้ หรือเป็นคนรวยไปเลยก็ได้ ทำไมจะต้องตีกรอบว่าคนที่จะได้รับที่ดิน ส.ป.ก.ต้องจนดักดานอยู่อย่างนั้น
สปก.ต้องเปลี่ยนมือได้
     เขาบอกว่า ไม่ต้องห่วง นโยบายนี้ไม่ได้ทำให้ที่ดินหลุดไปเป็นของนายทุนและต่างชาติแน่นอน เพราะชื่อเจ้าของที่ดินเป็นของ ส.ป.ก.อยู่ทุกตารางนิ้ว ผู้ครอบครองได้เพียง "ใบสลักสิทธิ์" ที่เปลี่ยนมือได้เท่านั้น การป้องกันการบุกรุกที่ดินต้องดำเนินคดีไม่ไว้หน้า พัฒนากองทุน ส.ป.ก. ให้รองรับบทบาทใหม่ จะใหญ่โต จน ส.ป.ก.อาจจะไม่ต้องพึ่งงบประมาณจากรัฐบาลเลยก็ได้ สำหรับประชาชนที่ไม่มีที่ดินทำกิน กองทุน ส.ป.ก.จะเข้าไปจัดสรรให้กับผู้ที่มีคุณสมบัติ ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนไว้ก่อนปี 2554 จำนวน 3.3 แสนคนได้มีที่ดินทำกิน สำหรับรายใหม่ จะต้องถือครองไม่น้อยกว่า 10 ปี จึงจะสามารถเปลี่ยนมือได้ ซึ่งเป็นการตอบที่นายสาทิตย์กล่าวว่าจะทำให้คนจนไม่มีที่ดินทำกินนั้น จึงไม่จริง กลับจะยิ่งดูแลคนจนได้มากขึ้น และดีขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำไป 
    “ผมจึงกล้าประกาศว่า "ส.ป.ก.จะเป็นที่ดินทองคำ" และต้องทำให้เปลี่ยนมือได้ เพื่อรองรับศักยภาพของคนที่จะนำไปพัฒนาในการใช้ที่ดินทำให้เกิดรายได้มากขึ้น ผมเห็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ของประเทศ จึงพยายามเสนอและผลักดันให้รีบดำเนินการในรัฐบาลนี้ เพราะเชื่อว่าถ้านโยบายดีรัฐบาลก็ควรสนับสนุน" นายสุชาติกล่าว
    ช่วงสายวันเดียวกัน ที่ลานตากมันสำปะหลัง ฮงพืชผล ต.ห้วยบง อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคอีสาน พปชร. พร้อมด้วยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง พปชร. ได้ลงพื้นที่พบปะกับเกษตรกรและร่วมเสวนากับชาวบ้านในพื้นที่กว่า 1,000 คน เพื่อรวบรวมหาข้อมูลเกี่ยวกับที่ดิน ส.ป.ก.ของเกษตรกรในพื้นที่เพื่อไปจัดทำนโยบายของ พปชร. เรื่องการเปลี่ยนแปลงเอกสารสิทธิ์ที่ดิน ส.ป.ก.ให้เป็นโฉนด โดยมีแกนนำคนสำคัญร่วมเวทีปราศรัยคับคั่ง 
     นายสุริยะเปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่พบว่า สภาพที่ดิน ส.ป.ก.มีการเปลี่ยนแปลงสภาพไปมากกว่าแต่ก่อน พรรค พปชร.เตรียมผลักดันนโยบายเปลี่ยนเอกสารสิทธิที่ดิน ส.ป.ก.ให้เป็นโฉนด เพื่อที่เกษตรกรจะได้สามารถใช้ประโยชน์กับที่ดินได้มากขึ้น ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าที่ดิน ส.ป.ก.จะถูกเปลี่ยนมือไปอยู่กับพวกนายทุนนั้น ไม่มีทางที่จะทำได้แน่นอน เพราะการดำเนินการต้องอยู่ในรายละเอียดเงื่อนไขที่เหมาะสม โดยทางพรรคพร้อมที่จะดำเนินการในเรื่องดังกล่าวภายใน 1 ปี 
    ด้านนายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ตามกฎหมาย ส.ป.ก.ไม่สามารถทำได้ ตาม พ.ร.บ.ปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร พ.ศ.2522 ไม่ให้มีการซื้อขายหรือเปลี่ยนมือ กำหนดไว้จัดสรรเพื่อเกษตรกรรมให้กับผู้ยากไร้ไม่มีที่ดินทำกิน เมื่อมอบให้แล้วจำหน่ายจ่ายโอนไม่ได้ ยกเว้นเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท ที่ดิน ส.ป.ก.กว่า 35 ล้านไร่ จัดสรรให้เกษตรกร 7 ล้านครัวเรือน ถ้ามีพรรคใดจะทำเรื่องนี้ ก็ยืนยันว่าวันนี้กฎหมายยังไม่เปลี่ยน และไม่เปิดช่อง 
    ที่พรรค ทษช. ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าทษช., นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์พรรค, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียง, นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด แกนนำพรรค พร้อมด้วยสมาชิกพรรค ร่วมเปิดตัวรถโมบายล์หาเสียงเคลื่อนที่รูปแบบใหม่ โดย ร.ท.ปรีชาพลกล่าวว่า การเปิดตัวรถครั้งนี้ เป็นการนำรถที่มีเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาใช้ในการพบปะประชาชน ทำให้ระยะทางไม่ใช่อุปสรรค เพราะเชื่อมต่อกันได้ด้วยแค่ปลายนิ้วเท่านั้นเอง ตามนโยบายที่พรรคชูว่าจะนำเทคโนโลยียุคใหม่มาใช้เพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชนในเรื่องของเศรษฐกิจปากท้อง แม้ทาง กกต.จะยังไม่มีความชัดเจนในการกำหนดวันเลือกตั้ง แต่ทาง ทษช.จะไม่รอ โดยพรรคจะนำรถออกตระเวนไปพบปะประชาชนอย่างเข้มข้นตามระยะเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด
    นายณัฐวุฒิกล่าวว่า พรรคตั้งใจว่าจะมีการชักธงปราศรัยใหญ่ครั้งแรกใน กทม.  โดยจะใช้รถวิ่งหาเสียงตลอดวันไปตามสถานที่ชุมชน จุดนัดหมายต่างๆ ที่ประชาชนพบปะทำกิจกรรมร่วมกัน เบื้องต้นคาดว่าจะเช่ารถโมบายล์นี้จำนวน 10 คัน รถดังกล่าวใช้ระบบการชาร์จด้วยไฟฟ้า วิ่งได้ 6 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง โดยระหว่างที่รถเคลื่อนที่ ก็จะมีการชาร์จไฟไปในตัวได้พร้อมกัน 
อนค.ส่งชนชาติพันธุ์
    ส่วนนายธีรพงษ์ เผ่ากา รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ(พ.พ.ช.) กล่าวว่า ตนเห็นด้วยอย่างยิ่งกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ว่าอย่าไปเลือกคนแจกเงิน เพราะเขาหวังผลจะได้คืน ตนขอถามกลับ พล.อ.ประยุทธ์ว่า การแจกเงินปีใหม่ 500 บาทให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้ง ผู้คิดและนำนโยบายนี้ไปปฏิบัติให้จ่ายเงินช่วงนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผ่านมา 4 ปีกว่า ทำไมไม่แจก การแจกช่วงนี้หวังผลอยากได้อะไรคืนหรือไม่ 
    ด้าน น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) และนายอำนาจ สถาวรฤทธิ์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ฝ่ายการเมือง พร้อมด้วยทีมงาน จ.ตาก และผู้สมัคร ส.ส. ทั้ง 3 เขตของตาก ได้แก่ นายนัสชัย มูลสาย เขต 1, นายเงินตรา ทั้งเกสร เขต 2 และนายอภิสิทธิ์ สายธารอิสระ เขต 3 เข้าร่วมงานปีใหม่ม้งที่ อ.พบพระ จ.ตาก ซึ่งเป็นงานใหญ่ประจำปีของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง มีผู้เข้าร่วมงานจากหลายจังหวัด รวมกว่า 5,000 คน
    น.ส.พรรณิการ์ได้กล่าวอวยพรปีใหม่พี่น้องม้ง พร้อมประกาศความตั้งใจของพรรค อนค.ที่จะส่งชนชาติพันธุ์เข้าสภาให้ได้ เพื่อเป็นปากเสียงให้พี่น้องชาติพันธุ์ โดยพรรคมีผู้สมัครแบบแบ่งเขตที่เป็นชนชาติพันธุ์ 7 คน และเป็นผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่ออีก 4 คน ทั้งชาวปกากะญอ หรือกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่ที่สุด มีประชากรเกือบล้านคน และชาวม้ง ที่มีประชากรกว่า 600,000 คน รวมถึงชาวเย้าและไทใหญ่     
    ขณะที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนค. พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรค, นายพิจารณ์ เชาวพัฒนพงศ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พร้อมด้วยเครือข่ายพรรค อนค.นครศรีธรรมราช ลงพบปะพูดคุยและช่วยเหลือผู้ประสบภัยโซนร้อนปาบึกที่ จ.นครศรีธรรมราช 
    นอกจากนี้ หอการค้าจังหวัดนครศรีธรรมราช ร่วมกับกลุ่มคนรุ่นใหม่เพื่อประชาธิปไตย และเครือข่าย We Watch ร่วมประชุมนโยบายพรรคการเมืองกับการแก้ไขปัญหาภาคใต้ และการพัฒนาเศรษฐกิจ มี 4 พรรคการเมืองเข้าร่วมคือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาชาติ และพรรคเสรีรวมไทย 
     โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ปชป.  ขอทุกฝ่ายร่วมกันเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม และเมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้ว ทุกพรรคการเมืองต้องส่งเสียงดังให้วุฒิสภา 250 คน เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองที่ได้เสียงอันดับ 1 รวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล และการได้เป็นรัฐบาล จะต้องให้ความสำคัญในระบอบประชาธิปไตย ไม่น้อยกว่าการต่อสู้กับเผด็จการ ถ้านักการเมืองมีธรรมาภิบาล เผด็จการจะเกิดขึ้นไม่ได้
    วันเดียวกัน เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ว่าด้วยการพิจารณาและวินิจฉัยคดีเกี่ยวกับสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสิทธิเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 ทั้งนี้ มาตรา 226 วรรคเจ็ด ของรัฐธรรมนูญ กำหนดให้การพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาในคดีเกี่ยวกับการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้ง ส.ส. เป็นไปตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ซึ่งต้องใช้ระบบไต่สวนและให้ดำเนินการโดยรวดเร็ว. 

ปูถือพาสปอร์ตเขมร สื่อฮ่องกงแฉหลักฐาน/ลิ่วล้อแม้วฉะป้อม

    สื่อฮ่องกง "เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์" แฉ "ยิ่งลักษณ์" ถือพาสปอร์ตกัมพูชาใช้หลบออกจากไทย หนีคดีจำนำข้าวปี 2560 หลังพบเอกสารขอจดทะเบียนตั้งบริษัท พี.ที. คอร์ปอเรชัน ในฮ่องกง ระบุชัด "ลิ่วล้อแม้ว" ฉุน "บิ๊กป้อม" เรียก "ไอ้ทักษิณ" อ้างคำไม่สุภาพเรียกอดีตผู้บังคับบัญชาเก่า "อนุสรณ์" ห่วงเป็นตัวอย่างไม่ดีแก่เด็ก "เพื่อชาติ" ตามขยี้แฮชแท็กยุติธรรมแบบป้อมๆ "ยงยุทธ" ปัดเสนอตั้งโต๊ะเจรจาเอาทักษิณกลับ อ้างแค่ขอพื้นที่พูดคุยแก้ปัญหาขัดแย้ง
    เมื่อวันที่ 9 ม.ค.2562 หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ของฮ่องกงรายงานว่า เอกสารการยื่นขอจดทะเบียนบริษัทในฮ่องกงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของไทยวัย 51 ปี ซึ่งเธอยื่นขอเป็นผู้อำนวยการแต่เพียงผู้เดียวของบริษัท พี.ที. คอร์ปอเรชัน ที่เปิดดำเนินกิจการในฮ่องกงเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2561 น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุในช่องหนังสือเดินทางว่า "ราชอาณาจักรกัมพูชา" 
    ข้อมูลในเอกสารนี้ขัดแย้งคำกล่าวอ้างของรัฐบาลกัมพูชา ที่ยืนกรานปฏิเสธว่ากัมพูชาไม่ได้ออกหนังสือเดินทางให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เมื่อครั้งที่เธอหลบหนีออกนอกประเทศอย่างลึกลับ ทั้งที่ถูกรัฐบาลทหารของไทยจับตาอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง การหลบหนีนั้นเกิดขึ้นก่อนที่ศาลจะพิพากษาว่าเธอมีความผิดในคดีจำนำข้าวและตัดสินจำคุก 5 ปี 
    ช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์หลบหนีออกจากไทยนั้น หนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์เคยรายงานอ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของกรมหนังสือเดินทางของกัมพูชาว่า "น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นคนไทย ไม่ใช่คนกัมพูชา ผมไม่ออกหนังสือเดินทางให้คนต่างชาติ" และกรมตรวจคนเข้าเมืองของกระทรวงมหาดไทยกัมพูชาก็กล่าวไว้ในตอนนั้นด้วยว่า ไม่มีรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางไปสิงคโปร์โดยใช้กัมพูชาเป็นทางผ่าน
    รายงานของหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ระบุว่า เอกสารที่ใช้ยื่นจดทะเบียนบริษัทครั้งนี้เปิดเผยรายละเอียดการทำธุรกิจของอดีตนายกฯ หญิงผู้นี้ต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกนับแต่เธอหลบหนีจากไทยและหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้าความสนใจ ยังไม่แน่ชัดว่าบริษัทนี้ทำธุรกิจอะไร แต่เพียง 4 เดือนหลังก่อตั้งบริษัทนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานของบริษัท ซัวเถาคอนเทนเนอร์เทอร์มินัล ผู้ดำเนินกิจการท่าเรือที่มีสำนักงานในมณฑลกวางตุ้ง
    รายงานระบุด้วยว่า เอกสารการยื่นขอจดทะเบียนบริษัทฮ่องกงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์นี้ ยังเปิดเผยเกี่ยวกับเครือข่ายธุรกิจของตระกูลชินวัตรด้วยว่า ยังมีอีกบริษัทหนึ่งซึ่งระบุที่ตั้งในไทย แต่ใช้ชื่อเดียวกับบริษัทฮ่องกงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นผู้อำนวยการ โดยบริษัทชื่อ พี.ที. คอร์ปอเรชัน นี้มีชื่อของนางพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ และแพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
    ส่วนที่ตั้งบริษัทของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในฮ่องกงนั้น ระบุที่อยู่ว่า K11 Atelier in Tsim Sha Tsui ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานสูง 66 ชั้น ที่ตั้งสำนักงานนั้นติดป้ายว่าเป็นบริษัท แปซิฟิก อินเตอร์เนชันแนล แคปิตอล ผู้อำนวยการคนหนึ่งของบริษัทนี้คือ เฉิน หวยตัน หรือเดิมรู้จักในชื่อซีลีน ถัง แต่พนักงานของบริษัทนี้บอกกับสื่อฮ่องกงฉบับนี้ว่าพวกเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับบริษัท พี.ที. คอร์ปอเรชัน หรือความเกี่ยวข้องกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ 
    อย่างไรก็ดี การขุดคุ้ยของเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์พบว่า เฉินยังมีชื่อเป็นกรรมการผู้จัดการของซิงไห่อี้กรุ๊ป บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในสิงคโปร์ ข้อมูลในเว็บไซต์ของบริษัทนี้เผยว่า เฉินเคยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายตุลาการประจำศาลในเมืองซัวเถาก่อนปี 2538 เชื่อกันว่า เฉินและสามีของเธอ ที่ชื่อ กอร์ดอน ถัง อี้กัง มีความสนิทสนมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึงขั้นที่อดีตนายกฯ หญิงของไทยใช้ที่อยู่คฤหาสน์หรูบนเดอะพีคของฮ่องกงที่สามีภรรยาคู่นี้ซื้อไว้เมื่อปี 2555 ในราคา 250 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง เป็นที่อยู่อ้างอิงในเอกสารยื่นจดทะเบียนบริษัทและบันทึกของสำนักงานทะเบียนที่ดิน
    นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Paisal Puechmongkol" ระบุว่า "ชื่อท่าเรือซัวเถา แสดงว่า บริษัทนี้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลท้องถิ่นของจีน เพราะบริษัทเอกชนไม่มีสิทธิ์ใช้ชื่อเมืองนำหน้าชื่อบริษัทตามระบบของจีน  การที่บุคคลต่างชาติ จะเป็นประธานบริษัทนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ โดยลําพังบริษัท! นัยสำคัญของเรื่องนี้จึงน่าคิดมากครับว่าอาจเป็นเรื่องส่งสัญญาณอะไรหรือไม่"
ลิ่วล้อแม้วฉุน'บิ๊กป้อม'
    ขณะที่กรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ตอบโต้ทวีตของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ระบุนาฬิกายืมเพื่อนเป็นกระบวนการยุติธรรมแบบป้อมๆ ด้วยการใช้คำเรียกไอ้ทักษิณนั้น ตลอดทั้งวันพุธที่ผ่านมา พรรคการเมืองที่มีความใกล้ชิดนายทักษิณ ต่างออกมาแสดงความไม่พอใจ พล.อ.ประวิตรอย่างมาก
    โดยนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมือง พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า การที่พล.อ.ประวิตรตอบโต้ ดร.ทักษิณด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ระบุกระบวนการยุติธรรมแบบป้อมๆ เป็นอย่างไร ก็ไปถามไอ้ทักษิณมันสิ ไปถามมันเองนั้น ต้องขอบันทึกข้อเท็จจริงไว้เบื้องแรกก่อนว่า ประเด็นการนำ ดร.ทักษิณกลับบ้าน หรือเรื่องการเปิดโต๊ะพูดคุยเจรจาอะไรก็ตาม เป็นเรื่องที่คนอื่นพูด ไม่ใช่ ดร.ทักษิณ เป็นผู้พูด แต่ พล.อ.ประวิตรกลับไปพาดพิงอดีตนายกรัฐมนตรีด้วยการใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพอย่างรุนแรง ไม่น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเด็กและเยาวชน
    "ดร.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี ในช่วงเวลาที่พล.อ.ประวิตรเป็นผู้บัญชาการทหารบก ถือเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง ดังนั้นการเรียกขานอดีตผู้บังคับบัญชาว่าไอ้ ไม่น่าจะเหมาะสม และเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อเด็กและเยาวชน ยิ่งในช่วงใกล้ถึงวันเด็กแห่งชาติ นอกจากการคิดคำขวัญวันเด็กเพื่อเป็นแนวทางให้เด็กเยาวชนของชาติยึดถือเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตแล้ว ผู้ใหญ่ในสังคมต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างแก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ของประเทศด้วย ปัญหาของประเทศมีมาก แกนนำรัฐบาลและ คสช. ต้องใช้สติในการแก้ปัญหา และต้องระมัดระวังวาทกรรมที่จะเป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความขัดแย้ง" นายอนุสรณ์กล่าว
    ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียง พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวว่า ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง อยากให้ พล.อ.ประวิตรใจเย็นๆ อย่ามีวิวาทะโต้กันไปมา จะทำให้บรรยากาศตึงเครียดเปล่าๆ อยากให้ พล.อ.ประวิตรเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกหลาน โดยเฉพาะการรู้คุณคน การรู้คุณงามความดีของคนที่ให้โอกาส รวมถึงผู้บังคับบัญชา
    "อยากให้ พล.อ.ประวิตรดูตัวอย่าง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. รวมทั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช.บางคน ที่แสดงความรู้คุณคน ซื่อสัตย์ชัดเจน เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาประชาชนอยู่ตอนนี้" นายณัฐวุฒิกล่าว
    ส่วน น.ส.เกศปรียา แก้วแสนเมือง โฆษกพรรคเพื่อชาติ (พ.พ.ช.) กล่าวว่า ในช่วงเวลาไม่นานวลี “ยุติธรรมแบบป้อมๆ” เป็นกระแสในทวิตเตอร์ด้วย แฮชแท็กอันดับ 1 ว่า #ยุติธรรมแบบป้อมๆ ที่ผู้ใช้ทวิตเตอร์รีทวีตตามเกือบแสนทวีต สะท้อนว่าสังคมไทยไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม สังคมต้องการความยุติธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมที่เหลื่อมล้ำเช่นปัจจุบัน ถึงเวลาหรือยังที่ทุกฝ่ายต้องมาช่วยกันแก้ไขกระบวนการยุติธรรมที่ไม่น่าเชื่อถือเช่นนี้ ก่อนจะเป็นปัญหาที่นานาชาติไม่ยอมรับ เช่น เรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ซึ่งก็คือสิทธิพิเศษทางกฎหมาย ประเทศหนึ่งสามารถบังคับใช้กฎหมายของประเทศตนต่อบุคคลในดินแดนของประเทศอื่นได้ อย่างกรณีในอดีตเมื่อเกิดกรณีพิพาทระหว่างชาวอังกฤษในแผ่นดินไทย ไทยต้องยอมใช้กฎหมายอังกฤษในการตัดสิน อังกฤษไม่ยอมรับให้กระบวนการยุติธรรมไทยเป็นผู้ไกล่เกลี่ยหรือตัดสิน 
    "ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เคยอ่านข่าวพบสัญญาการร่วมลงทุนจากต่างประเทศบางสัญญาระบุว่าเมื่อเกิดข้อพิพาทไม่ขึ้นศาลไทย คณะรัฐประหาร คสช. ที่ยึดอำนาจจากประชาชนมา 4 ปีกว่าๆ โดยอ้างว่าจะปฏิรูปประเทศทุกด้าน ขอถามว่าได้ทำอะไรไปถึงไหน ทำไมกระแสแฮชแท็ก #ยุติธรรมแบบป้อมๆ ถึงเป็นกระแสสูงของสังคมในเวลารวดเร็ว ที่แปลผลได้ว่าประชาชนไม่เชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมของประเทศในปัจจุบัน” โฆษกพรรคเพื่อชาติกล่าว
ยงยุทธอ้างแค่ขอพื้นที่
    วันเดียวกัน นายยงยุทธ ติยะไพรัช กองเชียร์พรรคเพื่อชาติ ให้สัมภาษณ์รายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” เกี่ยวกับประเด็นเรื่องการตั้งโต๊ะเจรจา และการพานายทักษิณกลับบ้านว่า ความหมายของตน คือยกตัวอย่างให้ฟังว่าการหาเสียงของพรรคการเมืองทุกครั้ง มักจะอ้างว่าจะเอานายทักษิณกลับบ้าน ผ่านมา 3 ครั้งแล้ว ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 4 ก็ไม่เห็นว่าการเป็นรัฐบาลจะช่วยให้กลับบ้านได้ ดังนั้นการจะกลับบ้านได้ เราต้องมีพื้นที่ในการพูดคุยกันได้ เหมือนเช่นหมู่บ้านปันมุนจอมที่เกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ ใช้ในการพูดคุย ดังนั้นพรรคเพื่อชาติ เมื่อมีนโยบายแก้ไขความขัดแย้ง จึงไม่จำเป็นต้องไปใช้น้องเกี่ยวก้อย ต้องใช้มนุษย์มาคุยกัน ต้องมีพื้นที่พูดคุยกัน การพูดคุยเป็นเรื่องที่ดี
    นายยงยุทธกล่าวว่า ไม่ได้หมายความว่าเป็นรัฐบาลแล้วจะเอานายทักษิณกลับมา มันไม่ใช่ มันกลับไม่ได้ แต่สิ่งที่จะให้กลับได้ คือ 1.เราเห็นสังคมโลกทุกวันนี้ นายทักษิณบินไปไหนมาไหนได้ คือ กลุ่มที่ยึดอำนาจคงไม่มีใครบอกว่าคนที่ถูกยึดอำนาจเป็นคนดี มันก็ต้องตั้งข้อหา ดังนั้นเมื่อมีตั้งข้อหา เช่น กรณีเงินกู้เมียนมา ถูกตั้งข้อหาผลประโยชน์ทับซ้อน ทุกวันนี้เขาคืนหมด เราก็ได้ความสัมพันธ์ที่ดี อีกทั้งคดีต่างๆ เวลาขึ้นศาล ก็ยังมีความดี มีการบรรเทาโทษอยู่ สิ่งเหล่านี้เวลาเรากล่าวหากันทางการเมืองมันเป็นแรงจูงใจ
    “แล้ววันนี้ถ้านายทักษิณกลับมา คนก็กลัวว่าตัวเองจะเสียอำนาจ พูดชัดๆ นะ คือกลัวตัวเองจะเสียความนิยม ดังนั้นก็คุยกันเสียสิพี่น้องเตรียมทหาร จะบอกว่าพี่ไม่ต้องกลับมาไปอยู่ต่างประเทศ ทำโน่นนี่ก็ว่ากันไป ส่วนคดีผมเดาใจว่าเขาคงไม่กลับมา เพราะบางขั้นตอนการได้มาซึ่งหลักฐาน มันไม่ได้เป็นไปอย่างโลกสวยตามที่เราเข้าใจ เราต้องยอมรับตรงนี้ด้วยใจใสๆ ก่อน ดังนั้นมันต้องพูดคุยกัน หาหนทางที่ดีให้กับชาติบ้านเมือง” นายยงยุทธกล่าว
    กองเชียร์พรรคเพื่อชาติผู้นี้ ยืนยันสิ่งที่ตนพูดไม่ใช่การนำนายทักษิณกลับมาด้วยการเป็นรัฐบาล แต่หมายถึงกลับมาตามแนวทางของพรรคเพื่อชาติ คือ การมีหมู่บ้านปันมุนจอม คือต้องคุยกัน เพราะเห็นว่าแนวทาง 3 ครั้งที่ผ่านมาไม่เคยสำเร็จ คนที่ไม่เข้าใจความหมายของตน ขอให้ไปอ่านเฟซบุ๊กแล้วจะเข้าใจ เป้าหมายที่เราอยู่พรรคเพื่อชาติ เป้าหมายเดียวคือ ปัญหาความขัดแย้ง เราต้องช่วยกันขจัดให้หมดไป บางอย่างแก้ด้วยนิติศาสตร์ไม่ได้ มันต้องแก้ด้วยรัฐศาสตร์
    “ตราบใดที่คนที่ได้ประโยชน์บอกแค่ว่า เอามาติดคุกสิ มันต้องดูที่เนื้อในว่ามาสิๆ ถ้าเป็นคุณจะมาหรือเปล่า ถ้าเจอสภาพอย่างนี้ อันนี้ผมพูดชัดเลยนะ” กองเชียร์พรรคเพื่อชาติผู้นี้ระบุ
    ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ จะเดินทางไปร่วมงานแต่งน้องสาว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ฮ่องกงว่า หากนายพานทองแท้จะขออนุญาตออกนอกประเทศ ไม่น่ามาขอที่ คสช. น่าจะต้องไปขอที่ศาล แล้วแต่ว่าศาลจะอนุญาตหรือไม่ คงไม่ใช่ คสช.