PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เจ็บพอทน

พรุ่งนี้ (25 ก.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะนำ ครม.ใหม่ 35 คน แถลงนโยบายรัฐบาล ต่อที่ประชุมรัฐสภาเป็นการเผชิญหน้าครั้งแรกระหว่าง 7 พรรคฝ่ายค้านกับ 19 พรรคร่วมรัฐบาล และ ส.ว.ลากตั้งอีก 250 คน

นี่จะเป็นครั้งแรกในชีวิตนายกฯลุงตู่ ที่จะถูก ส.ส.ฝ่ายค้านจับขึ้นเขียงตรวจอัลตราซาวนด์

จะเอาตัวรอดจากคมเขี้ยวฝ่ายค้านได้หรือไม่...ต้องตามไปดู

แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ โดนฝ่ายค้านถลุงจนเสียรูปมวย พรรคพลังประชารัฐจึงได้เตรียมคัดเฟ้น ส.ส.ฝีปากดีจำนวน 20 คน ตั้งเป็น “ทีมองครักษ์พิทักษ์บิ๊กตู่” อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู

ถ้าหาก ส.ส.ฝ่ายค้านอภิปรายพาดพิงนายกฯลุงตู่นอกประเด็น ทีมองครักษ์พิทักษ์ลุงตู่จะยกมือประท้วงทันควัน

ไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านรุมขยี้นายกฯลุงตู่อย่างสะดวกปากสะดวกคอ

และเพื่อสร้างเกราะป้องกัน 2 ชั้น พรรคพลังประชารัฐได้ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นเป้าใหญ่ที่ฝ่ายค้านรุมเจาะไข่แดง

ขอให้ “ลุงตู่” และ “ลุงป้อม” อดทนใจเย็นๆเป็นหิมะพันปี

ไม่ว่าฝ่ายค้านจะจี้จุดคีมึ้งอย่างไรให้นั่งยิ้มลูกเดียว

ห้ามนอตหลุดหรือเม้งแตกกลางสภาฯ

ขืนตอบโต้แลกหมัดสาดน้ำลายกับฝ่ายค้านให้เอิกเกริกโครมครามจะเข้าล็อกฝ่ายค้านเต็มเปา

“แม่ลูกจันทร์” ประเมินว่าศึกแถลงนโยบายรัฐบาล 2 วัน 2 คืน จะไม่ปะฉะดะกันดุเดือดเลือดท่วมจอ

ด้วยเหตุปัจจัย 4 ประการดังนี้คือ...

1,นี่เป็นมวยยกแรกที่ฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลจะได้สัประยุทธ์กันบนเวทีสภาฯ

ยังไม่จำเป็นที่ฝ่ายค้านต้องงัดอาวุธหนักถล่มรัฐบาลทันที

แต่จะเก็บข้อมูลเด็ดๆไว้ใช้ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลช่วงปลายปี

2,นี่เป็นการแถลงนโยบายรัฐบาล

การอภิปรายจึงต้องเน้นจี้ไชไปที่ตัวนโยบายสำคัญ

และต้องให้โอกาสรัฐบาลได้ทำตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา

3,ผู้ที่จะเป็นเป้าโจมตียังมีบรรดารัฐมนตรีสีเทาๆที่ฝ่ายค้านจะต้อนรับน้องใหม่อีกหลายคน

ฝ่ายค้านมีเวลาอภิปรายแค่ 19 ชั่วโมง

จึงไม่มีเวลามากพอที่จะจองกฐิน “นายกฯบิ๊กตู่” ให้เต็มปากเต็มคำ

4,งวดนี้ขุนพลฝ่ายค้านฝีปากจัดจ้านระดับซุปตาร์ 5 ดาว ที่สามารถขยี้แผลรัฐบาลให้เหวอะหวะ กลางสภาฯ เช่น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, ดร.เฉลิม อยู่บำรุง, นายจาตุรนค์ ฉายแสง, นายอดิศร เพียงเกษ, นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ฯลฯ โดนสารพิษรัฐธรรมนูญจนไม่ได้เข้าไปเป็น ส.ส.ฝ่ายค้านในสภาฯ

ทำให้ความเผ็ดร้อนในการอภิปราย นโยบายรัฐบาลลดความแซ่บอีหลีไป 60 เปอร์เซ็นต์

ด้วยเหตุปัจจัย 4 ประการที่ “แม่ลูกจันทร์” กระชุ่นมา นายกฯลุงตู่ น่าจะเอาตัวรอดศึกแถลงนโยบายโดยไม่ถึงขั้นบาดเจ็บสะบักสะบอม

เมื่อลุงตู่เต็มใจสืบทอดอำนาจเป็นนายกฯต่อไปยาวๆก็ต้องเต็มใจยอมโดนฝ่ายค้านตรวจสอบทุกซอกทุกมุม

ไม่มีใครบังคับให้เป็นนายกฯลุงตู่สมัครใจเป็นเอง.

“แม่ลูกจันทร์”

คอยตีมือพวกสอดไส้

“งานเข้า” นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ “ทนายรัฐบาล” ต้องเคลียร์ปมแก้ต่างพัลวัน

ทั้งคิวที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ โดนด่านั่ง ฮ. ใช้เวลาราชการไปร่วมวงสัมมนาพรรคพลังประชารัฐ แถมจัดในรีสอร์ตติดคดีรุกที่ดิน ส.ป.ก.

พ่วงคิวของรัฐมนตรีสาย กปปส.เอาเวลาหลวงไปออกรอบตีกอล์ฟระหว่างสัมมนา

ทีม “พลังประชารัฐ” โดนคนของ “นายใหญ่” ดูไบ ดาหน้าถล่ม จากคิว “พี่ใหญ่” ไปปรากฏกายร่วมแจม

ในอารมณ์ที่เจ้าตัว “บิ๊กป้อม” หน้าตาขึงขัง ปฏิเสธเสียงแข็งไม่ได้นั่ง ฮ. ไปวังน้ำเขียวแต่อย่างใด แต่นั่งรถยนต์ส่วนตัวออกจากบ้านที่กรุงเทพฯตั้งแต่ตีห้า ไปกลับนั่งรถ 6 ชั่วโมง

เรื่องของเรื่อง ประเด็นมันอยู่ตรง “พี่ใหญ่” โดนล็อกเป้า ตกเป็น “เป้าล่อ” ของฝ่ายตรงข้าม ตามกัดติดทุกย่างก้าว

นี่แค่จังหวะสืบเท้าเข้าไปหยั่งๆการเมืองในพรรคพลังประชารัฐ ยังโดนจัดหนักขนาดนี้ แล้วถ้าถึงคิวที่ “พี่ใหญ่” ปักหลักเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ “เต็มตัว” เมื่อไหร่

คงแทบขยับไม่ได้ แค่หายใจยังโดนจับผิดก็แล้วกัน

มันเป็นอะไรที่ต้องคิดหนัก โดยเฉพาะกับ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในห้วง “ดึงเช็ง” หยั่งสถานการณ์เข้าร่วมทีมพลังประชารัฐ

เห็น “พี่ใหญ่” เจอตุ้บตั้บๆ “น้องเล็ก” คงถอยตั้งหลัก หายใจลึกๆก่อน

เพราะตอนนี้ “นายกฯลุงตู่” ไม่จำเป็นต้องรีบหาเรื่องใส่ตัว “โหลดน้ำหนัก” การเมืองในพรรคไปทำไม

ในสถานการณ์ที่มีกุนซือระดับ “โคตรเซียนการเมือง” อยู่ข้างกาย ไม่แปลกถ้า พล.อ.ประยุทธ์จะใช้วิชาตัวเบาแบบ “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ

หลบมวยเกรดต่ำยั่วตบะ โต้กลับแรงๆ เฉพาะมวยชั้นเดียวกัน

เน้น “แก่นสาร” สาระสำคัญว่าด้วยการบริหาร มุ่งไปที่การใส่ใจปัญหา “ปากท้อง” ชาวบ้าน

เสริม “ภูมิต้านทาน” ที่แข็งแรงกว่าเสียง ส.ส.

อารมณ์แบบที่พรรคร่วมรัฐบาล ทั้งประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย “ปล่อยของ” ชิงตีกินแต้มกันสนุก

โดยเฉพาะคิวของยี่ห้อภูมิใจไทยที่เดินกระแสกวาดพื้นที่ข่าวเอาใจ “สายควัน” ลุยถั่วปลดล็อกกัญชาเสรี แถมด้วยโปรโมชันลดแลกแจกแถม ออกหมัดทำคะแนนตั้งแต่ยัง

ไม่เริ่มบริหาร ยิงมาตรการฮือฮาๆแบบที่ “เดอะโอ๋” นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ตีปี๊บนโยบาย “รถไฟฟ้า 15 บาทตลอดสาย”

เรียกเสียงเชียร์ดังอื้ออึง แต่นั่นก็สวนทางกับข้อเสนอของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่ยืนยันตัวเลขดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลต้องเสียงบประมาณชดเชยกันอ่วมอรทัย เสนอราคาที่เหมาะสมตามสภาพความเป็นจริงคือ 30 บาทตลอดสาย

สรุป ณ เบื้องนี้ยังเป็นอะไรที่ “ฟุ้งกระจาย” ต่างคนต่างตีปี๊บ “ขายฝัน”

แต่ถ้าทำไม่ได้ในทางปฏิบัติ มันจะโดนด่าเหมารวมทั้งรัฐบาล

นั่นน่าจะเป็นที่มา กับการที่นายสมคิด ซึ่งย้ำสถานะตัวเองไม่ใช่รองนายกฯด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากพรรคร่วมรัฐบาลมีรองนายกฯหลายคนช่วยดูแลงาน ตามสถานการณ์ไฟต์บังคับต้องแบ่งกระทรวงเศรษฐกิจสำคัญอย่างกระทรวงคมนาคม พาณิชย์ เกษตรฯ การท่องเที่ยวฯให้พรรคร่วมคุมโควตา

โดยเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ฟื้นยุทธศาสตร์ “ครม.เศรษฐกิจ” ที่เคยได้ผลสมัยรัฐบาล “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี หรือแม้แต่ยุคอดีตรัฐบาลไทยรักไทย

เพื่อให้งานบริหารเศรษฐกิจเดินหน้าขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ

กระทรวงสำคัญทั้ง กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน กระทรวงการท่องเที่ยวฯ กระทรวงดีอี บริหารร่วมกันอยู่ในร่องในรอย

ภายใต้ยุทธศาสตร์เดียวกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างแจว “เรือเหล็ก”

เสี่ยง “ประสานงา” มากกว่า “ประสานงาน”

ที่สำคัญมันคือการต่อสายตรงให้อำนาจนายกรัฐมนตรีเป็นประธานใหญ่ สั่งการกลางวงที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ หากมีคิวต้องทุบโต๊ะตัดสินใจอนุมัติโครงการสำคัญที่มีผลผูกพันต่อสุขภาพของรัฐบาล

เป็นการป้องกันเชื้อบาดทะยัก สกัดปมทุจริตคอร์รัปชัน

มาตรฐานที่รัฐบาล “ประยุทธ์ ภาคแรก” รักษาต้นทุนความโปร่งใสมาตลอด 4-5 ปี

“นายกฯลุงตู่” กับ “สมคิด” จะได้คุมเกมในฟลอร์ ช่วยกันสแกนวาระร้อนๆ ไม่ให้หลุดรอดสายตา

คอย “ตีมือ” พวกจ้อง “สอดไส้”.

ทีมข่าวการเมือง