PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

อีก 34 วันเลือกตั้ง ยังไม่เลิกลือเลอะเทอะไม่มีเลือกตั้ง...

cr:พี่เป๊บซี่

อีก 34 วันเลือกตั้ง ยังไม่เลิกลือเลอะเทอะไม่มีเลือกตั้ง...
เจอนักการเมืองจากหลายค่ายตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คำถามที่ได้ยินตลอด จะมีเลือกตั้งตามกรอบเวลาไหม นักการเมืองที่ต้องหาเสียงเลือกตั้งยังไม่มั่นใจ ชาวบ้านทั่วไปยิ่งสับสนจะมีเลือกตั้งตามกำหนดเวลาวันที่24มีนาหรือไม่
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแดงสายล้มเจ้า 112 ที่รับเสบียงจากนักโทษหนีคดีเป่าปี่ตีฉาบโหมประสานเสียงจากนอกประเทศ กระพือขัดแย้งหนักรัฐบาลกองทัพ บอกลุงตู่ยืนขาลอย พร้อมปลุกระดมหวังป่วนเลื่อนยาวเลือกตั้ง เข้าทางนักโทษหนีคดี ที่ไม่ต้องการให้มีเลือกตั้งเหมือนกัล หวังใช้กลยุทธ์แตกแบ๊งค์พัน พลิกสถานการณ์ กลับทรุดหนัก หลังมีพระราชโองการออกมา เจอข้อหาดึงสถาบันกี่ยวข้องการเมือง ราคาต่อรองต่อไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี ยุบแน่นอน มีแต่ต่อยาวโล๊ดดดดไม่มีรอง
หลังยุบพรรคทษช.จะกล้าป่วนเลอะเทอะอย่างที่มีการปลุกระดมไหม ต้องวัดใจคนป่วน ของจริงหรือของหลอก ฝ่ายความมั่นคงเตรียมต้อนรับเต็มเหนี่ยว กระแสปลุกระดมพระราชโองการปลอมตอนนี้แผ่วสนิท ใครกล้าชูธงนำเจอจัดเต็มหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่เชื่อต้องลอง
เอกภาพคสช. รัฐบาล กองทัพ ยังแนบแน่น พี่ใหญ่ ลุงป้อม ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่กลาง น้าป๊อก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่ร่วมยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณปลายปี 49 และน้องเล็ก ตู่ ประยุทธ์ ในบูรพาพยัคฆ์ยังแน่นปึกเป็นหนึ่งเดียว ข่าวลือปฏิวัติ ต้องบอกว่าสุดเลอะเทอะ
นาทีนี้คนที่จะทำปว.ได้มีผบ.ทบ บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ คนเดียว ส่วนแม่ทัพหนึ่ง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการยึดอำนาจทุกครั้ง คือพล.ท. ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ บิ๊กบี้ เตรียมทหาร 22 น้องบิ๊กแดงสองรุ่น คือหัวแถวทหารสายวงศ์เทวัญของพระราชา มือขวาของบิ๊กแดง เติบโตมาจากกรมทหารราบที่ 11เช่นเดียวกัน
หลังปี63 บิ๊กบี้ น่าจะต่อไลน์เข้าแถวเป็นผู้นำกองทัพบก เช่นเดียวกับบิ๊กแดง ที่ถูกนายกประยุทธ์ จับวางตัวเป็แม่ทัพภาค 1 ปลายปี56 รับงานใหญ่ 22 พ.ค.57 ก่อนมาเป็นผบ.ทบ.ปลายปี 61
สัมพันธ์แนบแน่นแจ่มจันทร์ขนาดนี้ยังกล้าลือเลอะเทอะ บิ๊กแดงจะล้มรัฐบาลลุงตู่ เอาสมองส่วนไหนคิด
อีกเรื่องที่น่าจะยืนยันนอนยันเดินหน้าเลือกตั้งตามกำหนด คือพระราชกฤษฏีกาของในหลวงรัชกาลที่ 10 ให้มีการเลือกตั้งตามกรอบเวลา ....
ได้โปรดเลิกลือกระพือเลอะเทอะ หากกล้าป่วนล้มเลือกตั้งเรียนเชิญ หลังเลือกตั้งตอกตะปูปิดฝาโลงเอาเข้าเตาเผาเลย

'บิ๊กตู่'สวนกลับ! แจงยิบ'ทหาร'สำคัญ ปัดไม่ได้ฟังเพลงฮิต​'หนักแผ่นดิน'

'บิ๊กตู่'สวนกลับ! แจงยิบ'ทหาร'สำคัญ ปัดไม่ได้ฟังเพลงฮิต​'หนักแผ่นดิน'


"บิ๊กตู่"โต้พรรคการเมือง แจงยิบทหารสำคัญ ทั้งในยามสงคราม-สนับสนุนปท. ชี้งบประมาณยังจำเป็น เหตุยุทโธปกรณ์ชำรุด ลั่นหากตัดงบฯของพังช่วยเหลือปชช.ไม่ได้ใครรับผิดชอบ โอดสื่อถามเดือดขึ้นทุกวัน ปัดไม่ได้ฟังเพลงฮิต"หนักแผ่นดิน"

18 ก.พ.62 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวกับผู้สื่อข่าวก่อนให้สัมภาษณ์ ว่า "แหม เดี๋ยวนี้คำถามดุเดือดทุกวันเลย" ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความเห็นอย่างไรที่หลายพรรคการเมืองชูนโยบายหาเสียงยกเลิกการเกณฑ์ทหาร และลดงบกระทรวงกลาโหม ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องไปดู และทุกคนต้องเข้าใจว่า หน้าที่ในการป้องกันประเทศไม่ใช่ทหารอย่างเดียว แต่เป็นหน้าที่ของชายไทยทุกคนในประเทศนี้ที่ต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน
ส่วนการเกณฑ์ทหาร หรือการเป็นทหารนั้น ถือเป็นหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่คนไทยต้องเป็นทหารแต่ไม่ได้เป็นทั้งหมด โดยใช้หลักการพอเพียง อาทิ ในยามสงครามถ้ามีการสู้รบกันจริงๆ แต่หลายคนอาจจะบอกว่าวันนี้ไม่มีสงคราม แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่มี มันอาจจะเริ่มมาจากความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ จากนั้นก็จะมีการใช้อาวุธต่อกัน ในอดีตก็เคยเกิดขึ้นอย่างนี้
"เรื่องนี้ผมไม่ได้ไปแก้ตัวให้ใคร แต่พูดในหลักการของรัฐบาล เพราะเรามีหน้าที่ในการป้องกันประเทศ ป้องกันชายแดน น่านน้ำ และน่านฟ้า รวมทั้งภารกิจที่ไม่ใช่สงคราม เช่น ปัญหายาเสพติด แรงงานต่างด้าว การลักลอบเข้ามาในประเทศ รวมทั้งการลักลอบค้าขายสินค้าจากต่างประเทศ ทั้งหมดก็ต้องผ่านการดูแลของทหาร 7 กองกำลัง ซึ่งดูแลตามแนวชายแดนของประเทศกว่า 5,000 กิโลเมตร
สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ทหารทำก็คือ การช่วยพัฒนาประเทศ มีหน่วยงานต่างๆ ทั้งกองบัญชาการทหารสูงสุด หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ทั้งหมดที่ตั้งขึ้นมาก็เพื่อสนองต่อหน้าที่ทั้งหมด ขณะเดียวกันก็มีหน้าที่ในการเสริมกำลังพลให้กับหน่วยงานต่างๆ เช่น ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งก็มีบุคลากรจำกัด ทหารก็ต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือที่มีอยู่ไปช่วย" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในส่วนของพลทหารนั้นทุกคนต้องเข้าใจว่า หน่วยงานของทหารนั้นมีองค์ประกอบหลายส่วน ทั้งในส่วนของนายทหาร นายสิบ พลทหาร ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญ เช่น หมู่ปืนเล็ก หมู่หนึ่งจะมีผู้บังคับหมู่ 1 คน รองผู้บังคับหมู่ 1 คน ที่เหลือเป็นพลทหาร และมีหัวหน้าฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ต้องมีการประกอบกำลัง ไม่เช่นนั้นก็รบไม่ได้ในยามสงคราม ซึ่งทุกประเทศก็เป็นแบบนี้ ส่วนใหญ่เราก็นำแนวทางมาจากตะวันตกตั้งแต่โบราณมา เราต้องมีการเตรียมความพร้อม ถ้าหากต้องใช้กำลังก็ต้องมียุทธวิธี จึงต้องเตรียมการไว้ให้พร้อม ไม่ใช่ถึงเวลาแล้วไปเกณฑ์คนเข้ามา แล้วจะใช้อาวุธกันเป็นหรือ สิ่งสำคัญเราไม่ได้มองในแง่สงครามเพียงอย่างเดียว ถ้าไม่เกิดได้ก็เป็นเรื่องดี แต่ผลกระทบตามแนวชายแดนเกิดขึ้นได้ตลอดถ้าเราไม่เข้มแข็งเพียงพอ ไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหมาะสม ไม่มีเทคโนโลยีเข้าไปเสริม จะใช้คนอย่างเดียวก็ลำบาก จึงขอให้ทุกคนเข้าใจด้วย เพราะตามหลักการแล้วทุกคนต้องเป็น แต่เมื่อเรากำหนดกรอบว่าเราต้องการเท่าไหร่ เราก็ต้องคัดเลือกเอาที่จำเป็นไว้ก่อน แต่ถ้าเกิดสงครามขึ้นจริงก็ต้องเกณฑ์คนเพิ่ม
"เราต้องเตรียมการและเตรียมความพร้อมไว้เพื่อการช่วยเหลือหน่วยงานอื่น ไม่ใช่ว่าจะเตรียมการไว้เพื่ออย่างนั้นอย่างนี้ หรือเพื่อไปต่อต้านการเมืองมันไม่ใช่ หน้าที่ของทหารและกระทรวงกลาโหม ต้องปฏิบัติตามคำสั่งหัวหน้ารัฐบาลอยู่แล้ว ในการสั่งการที่ถูกต้องจะต้องรู้กติกาเหล่านี้ ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่องก็ไปกันไม่ได้ เราต้องรู้ว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในส่วนของการเสนอให้ลดงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ก็ต้องไปดูว่า แต่ละกระทรวงมีงบประมาณเท่าไหร่ โดยเฉพาะกระทรวงกลาโหม แต่ละหน่วยมีงบประมาณอย่างไร แล้วทำไมจึงต้องมีการเพิ่ม ส่วนหนึ่งก็ต้องไปจัดซื้อของใหม่ๆ เข้ามา เพราะของเก่าชำรุด เราใช้มาตั้งนานแล้ว 20 - 30 ปี บางอย่างหมดอายุ ซ่อมมาจนไม่รู้จะซ่อมอย่างไรแล้ว ก็ต้องจัดหายุทโธปกรณ์ขนาดหนัก เราต้องมี ไม่อย่างนั้นจะเทียบเคียงประเทศอื่นไม่ได้ มีปัญหาในการฝึกร่วมกับต่างประเทศ รวมถึงการลาดตระเวนชายฝั่งชายทะเล หรือเมื่อภูมิภาคมีปัญหา ขอให้คิดตรงนี้ ขณะที่หลายกระทรวงก็มีการเพิ่มงบประมาณทุกปีตามสัดส่วน ซึ่งมีหลักการอยู่แล้ว ขอให้เข้าใจด้วย ไม่ใช่ไปลดคนนั้นให้คนนี้ ให้คนนั้นคนนี้ แต่จะต้องพิจารณาในรูปแบบคณะกรรมการ
"การหาเสียงจะเอาแต่สนุกปาก พูดอะไรก็ได้ไม่ต้องนึกถึงประเทศชาติและความเป็นจริง วันหน้าท่านก็รับผิดชอบนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ต้องรับผิดชอบทั้งหมด ในเรื่องของการช่วยเหลือภัยพิบัติ เรื่องน้ำท่วมอะไรต่างๆ ที่มีแต่ทหารที่จะออกมาทำงานได้ ยุทโธปกรณ์ทางทหารกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ จะเห็นว่านำมาใช้ดูแลประชาชนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นยานพาหนะ ไม่ใช่เก็บไว้ใช้ทางทหารอย่างเดียวซะเมื่อไหร่ รถดับเพลิงรถน้ำก็ไปแจกชาวบ้านตลอดเวลา ถ้าไปตัดงบทั้งหมดแล้วสิ่งเหล่านี้จะหายไป มันพังจะทำอย่างไร มันก็มีอายุการใช้งานทั้งสิ้น" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงท้ายผู้สื่อข่าวถามนายกฯ ว่า ได้ฟังเพลงฮิต (เพลงหนักแผ่นดิน ที่ ผบ.ทบ.พูด) ในช่วงนี้แล้วหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์ ตอบสวนกลับมาทันที ว่า "ไม่รู้ ไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง"

อย่าโยงการเมือง! 'บิ๊กตู่'ยันลงพื้นที่คนละเรื่องหาเสียง โวทั่วโลกหนุนนั่ง'นายกฯ'

อย่าโยงการเมือง! 'บิ๊กตู่'ยันลงพื้นที่คนละเรื่องหาเสียง โวทั่วโลกหนุนนั่ง'นายกฯ'

"บิ๊กตู่"ยันลงพื้นที่คนละเรื่องหาเสียง"พปชร." วอนอย่าโยงการเมือง ท้าพวกพังป้ายหาเสียง เก่งจริงทำให้เห็นจะจับให้ดู โวทั่วโลกหนุนนั่ง"นายกฯ" ผลอยู่ที่ปชช. โอด ทุกพรรครุมด่า

18 ก.พ.62 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการลงพื้นที่ตรวจราชการซึ่งมีประชาชนมาให้กำลังใจมอบดอกไม้ เกรงจะถูกมองว่าช่วยพรรคพลังประชารัฐหาเสียงทางอ้อมหรือไม่ ว่า การลงพื้นที่ตรวจราชการ มีประชาชน กองเชียร์มามอบดอกไม้ ถ่ายรูป ชูป้าย ในความคิดของตนไม่เห็นเกี่ยวข้องกับการเมืองตรงไหน เพราะเขามาให้กำลังใจนายกฯ ไม่เกี่ยวกับใคร พวกหาเสียงก็ไปหาเสียงของเขาไป มันคนละเรื่อง อย่าเอามาพันกัน
"การจะพูดให้เสียหายพูดได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว ตอนนี้ผมยังทำงานอยู่ การที่ลงพื้นที่แล้วประชาชนตอบรับการทำงานก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร อย่าไปโยงเป็นการเมืองทั้งหมด ผมทำงานมา 4 - 5 ปีแล้ว มันก็ต้องมีทั้งคนรัก คนชัง คนรักก็เชียร์ คนชังก็ด่าก็แช่ง มันมีทั้งสองฝ่าย ทำไมไม่มองตรงนั้นบ้าง ที่ผ่านมาก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้น และกฎหมายก็ให้ทำได้" นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่า มีความเห็นอย่างไรกรณีที่หลายฝ่ายยื่นเรื่องให้ยุบพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เนื่องจากเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ซึ่งถูกมองว่าอำนาจทับซ้อน เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย นายกฯ กล่าวว่า ข้อเสนอยุบพรรคเป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ สิ่งที่ทำวันนี้ ตนก็สอบถามแล้วว่าทำได้หรือไม่ ซึ่งเขาก็สอบถาม กกต.มาแล้ว กฎหมายทำได้ ก็ทำไป
เมื่อถามถึงมีการทำลายป้ายหาเสียงของผู้สมัคร ส.ส.ในหลายพื้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนถือว่าคนที่ทำแบบนี้เป็นคนที่คิดไม่ดี ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปใช้ความรุนแรงแสดงออกมาแบบนั้นเลย ถ้าเก่งจริงก็ออกมาแสดงให้เห็นเลย เจ้าหน้าที่เขาจะได้ดำเนินการจับกุม ซึ่งการใช้อาวุธอะไรต่างๆ เหล่านี้ ยิงป้าย ดึงรูป ฉีกรูป คนเหล่านี้หรือที่จะทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ถ้าคุณยังเชื่อคนแบบนี้ เขาไม่มาสนใจอะไรทั้งสิ้น ตนดูแล้ว
เมื่อถามว่า มีความหวังกับอนาคตทางการเมืองไทย รวมถึงนิยามคำว่าเสถียรภาพทางการเมืองอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า คำว่าเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศไทยทุกคนน่าจะรู้ อนาคตการเมืองไทย วันนี้ต้องยอมรับว่า สิ่งที่รัฐบาลทำมา 4 - 5 ปี ได้รับการตอบรับจากสหภาพยุโรป , อเมริกา , จีน ประเทศสังคมนิยมต่างๆ ตอบรับหมด โดยเฉพาะภาคเศรษฐกิจ ธุรกิจ การลงทุนต่างๆ
"วันนี้ผมรู้สึกว่าเราต้องทำต่อหรือเปล่า ในเมื่อมีคนสนับสนุนให้ผมได้ทำต่อ ก็ต้องขอบคุณเขา อะไรที่ผมจะทำให้ได้ ช่วยได้เพื่อประเทศของผม ของพวกเรา ผมก็ทำไป ถ้ามันเป็นไปได้ อยู่ที่ว่าประชาชนจะเลือกเท่าไหร่อย่างไร เป็นเรื่องของประชาชน ผมคาดหวังแต่เพียงว่าก่อนการเลือกตั้งบ้านเมืองต้องสงบเรียบร้อย วันนี้ยังไม่ใกล้เลือกตั้งเลย ก็มีการหาเสียงรุมด่ารัฐบาล ด่าผม เล่นงานผมกันเกือบทุกพรรคเลย ผมถามว่ามันใช่ไหมเนี่ย ผมต้องการให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย เดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง แสดงว่าคนเหล่านี้ไม่ต้องการให้สงบหรืออย่างไร ผมไม่รู้ และหลังการเลือกตั้งจะเกิดอะไรขึ้นอีก ก็ต้องคาดการณ์ตรงโน้น ถ้าเราทำวันนี้ให้ปลอดภัยสงบเรียบร้อยไม่ได้ วันหน้ามันก็เกิดขึ้นอีก มันก็เกิดขึ้นอย่างที่เคยเกิดมา นักข่าว สื่อทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว วันนี้หลายอย่างที่ออกมาพูดจากัน ก็คนบางคนได้ทำความเสียหายให้กับประเทศนี้เยอะมาก
ขณะเดียวกันก็ยังฟังเขาอยู่ ผมไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น คนเราต้องรู้จักเรียนรู้ว่าจะทำอย่างไรให้ปลอดภัย ดังนั้น อยู่ที่มือประชาชนทั้งสิ้น ก่อนเลือกตั้ง หลังเลือกตั้ง ความมีเสถียรภาพของรัฐบาลอย่างที่บอก ต่างประเทศเขายอมรับ แต่เขามองว่าผมมาอย่างนี้ เขาก็มีความรู้สึกว่าผมมาอีกทางตามรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ ผ่านการเลือกตั้ง ตามกฎหมาย ผมก็มาตามนั้น ถ้ามันได้ก็คือได้ ไม่ได้ก็คือจบแค่นั้น
ผมคาดหวังว่าคนไทยจะรักกัน ไม่มีความขัดแย้ง เสถียรภาพในวันข้างหน้าเชื่อว่าทุกคนก็มุ่งหวังอย่างเดียวกับผม ทุกคนทุกอย่างที่ทำในวันนี้ เราหวังจะให้ประเทศไทยไปในทิศทางใด ทำออกไปอย่างไหน ก็ได้อย่างนั้นกลับมา ทำดีก็ได้สิ่งดี ถ้าทำไม่ดีสิ่งไม่ดีก็กลับมา อันนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องยอมรับ และช่วยกันอย่างไรให้บ้านเมืองของเราไปสู่เสถียรภาพไม่เกิดปัญหาอย่างเดิมๆ หลายอย่างค้างคาในกระบวนการยุติธรรม วันนี้มาพูดจาเอาดีเอาเด่นกันได้ทั้งหมด ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน" นายกฯ ระบุ

'จตุพร'ผวา!สัญญาณหนักแผ่นดินทำเดินไปไม่ถึงเลือกตั้ง 24 มี.ค.

'จตุพร'ผวา!สัญญาณหนักแผ่นดินทำเดินไปไม่ถึงเลือกตั้ง 24 มี.ค.

18 ก.พ.62-ที่ห้องแถลงข่าวห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว นายจตุพร พรหมพันธุ์ ในฐานะประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศว่า การติดตามการขับเคลื่อนทางการเมืองของแต่ละฝ่าย พบว่าบรรยากาศขณะนี้คล้ายช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516, 6 ตุลาฯ 2519 และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ซึ่งเพลงหนักแผ่นดินถูกนำมาใช้ก่อนเกิดเหตุการณ์ การที่พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้หยิบยกเพลงหนักแผ่นดินสื่อสารไปยังพรรคการเมืองที่เสนอตัดงบกองทัพ เป็นการส่งสัญญาณว่าบรรยากาศของบ้านเมืองจะจบลงเหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ หรือไม่ 
นายจตุพร กล่าวว่า นึกย้อนกลับไปก่อนยึดอำนาจวันที่ 22 พ.ค. 2557 มีการยกวาทกรรมเรื่องเผาบ้านเผาเมือง มาขยายความอย่างต่อเนื่อง ตนในฐานะประธาน นปช. ถ้าปล่อยให้ผ่านเลยไปคิดว่าจะมีปัญหาในอนาคตได้ ตนเข้าใจว่าเจตนาการพูดเรื่องดังกล่าวเพื่อนำไปสู่การล้มกระดานไม่ให้มีการเลือกตั้ง เป็นวาทกรรมที่ถูกนำมาใช้ทั้งการเลือกตั้งปี 2554 นำพาไปสู่การยึดอำนาจ 22 พ.ค. 2557 ซึ่งจะนำไปสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดความขัดแย้งรอบใหม่
“ผมแปลกใจว่าบรรยากาศการหาเสียงก็อึมครึมอยู่แล้ว เพราะไม่แน่ใจว่าจะเกิดรัฐประหารซ้อนหรือไม่ ไม่มีใครการันตีได้ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก และบรรยากาศปราศรัยเมื่อคืนของพรรคการเมืองฝั่ง คสช. ต้องการให้เกิดเรื่อง ให้ล้มกระดานการเลือกตั้ง และท่วงทำนองของ ผบ.ทบ.ที่หนักหน่วง ผมอยากให้ประชาชนได้ติดตาม เชื่อว่าเราจะเดินไปวันที่ 24 มี.ค.ได้ยากเต็มที ผมขอเตือนอะไรที่เป็นเงื่อนไขให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นไม่ได้ ทุกคนต้องเสียสละ” นายจตุพร กล่าว   

ประธาน นปช. กล่าวด้วยว่า จากการประเมินพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. จะไม่มีวันชนะในสนามการเลือกตั้ง แม้ว่าจะตั้งส.ว. 250 คนเข้ามา แต่สำหรับประชาชนในสนามการเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีวันชนะในสนามของประชาชน สนามเดียวที่พล.อ.ประยุทธ์ จะชนะคือสนามแห่งการยึดอำนาจ

ทบ.งดเปิด3เพลงปลุกใจผ่านวิทยุ เน้นเฉพาะเสียงตามสายในหน่วย

ทบ.งดเปิด3เพลงปลุกใจผ่านวิทยุ เน้นเฉพาะเสียงตามสายในหน่วย

18 ก.พ.62 - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวลา16.00น. ทางกรมกิจการพลเรือนทหารบก (กร.ทบ.) ได้แจ้งให้ผู้จัดรายการของสถานีวิทยุในเครือ ทบ.งดเปิดเพลง หนักแผ่นดิน มาร์ชกองทัพบก และความฝันอันสูงสุด ในรายการวิทยุของ ทบ.ทั้งหมด เพราะเกรงว่าจะทำให้สังคมนำไปตีความในทางที่ผิด เพราะแนวทางของ ผบ.ทบ.ต้องการให้กำลังพลตระหนักในหน้าที่ และสำนึกรับผิดชอบต่อบ้านเมือง โดยให้เปิดเพลงผ่านเสียงตามสายในกองบัญชาการกองทัพบก 3 เวลา 7.20 น. 12.20 น. และ 16.20 น.โดยให้หน่วยทหารทั่วประเทศเปิดเพลงดังกล่าวด้วย

สำหรับบรรยากาศ ที่กองบัญชาการกองทัพบก เมื่อเวลา 16.30 น. มีการเปิดเพลงทั้ง 3 เพลงผ่านเสียงตามสายจริง ซึ่งเป็นเวลาที่กำลังพลกำลังเลิกงาน และกำลังทยอยกลับบ้าน.

'บิ๊กแดง'สั่งเปิดเพลง'หนักแผ่นดิน-มาร์ช ทบ.'ส่งเสียงตามสายกระหึ่มกองทัพบก

'บิ๊กแดง'สั่งเปิดเพลง'หนักแผ่นดิน-มาร์ช ทบ.'ส่งเสียงตามสายกระหึ่มกองทัพบก

18 ก.พ. 62 - ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ถ.ราชดำเนิน พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้สั่งการให้กรมกิจการพลเรือนทหารบก นำเพลงแนวปลุกใจทหาร  เช่น เพลงมาร์ชกองทัพบก เพลงหนักแผ่นดิน เพลงความฝันอันสูงสุด เป็นต้น ไปเปิดในสถานีวิทยุกองทัพบกที่มีกว่า 126 สถานีทั่วประเทศทุกวัน ยกเว้นวันหยุดราชการ ตั้งแต่เวลา 07.00 น. ในรายการ “ทบ.เพื่อประชาชน” และเวลา 12.00 น. ในรายการ รู้รักสามัคคีทำความดีเพื่อแผ่นดิน พร้อมทั้งเชื่อมต่อกับเสียงตามสายภายในกองทัพบกด้วย โดยเฉพาะในช่วงเวลา 12.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังพลอยู่ระหว่างพักกลางวัน จุดประสงค์เพื่อให้ทหารทุกคนตระหนักในการทำหน้าที่ของตัวเอง สำนึกต่อความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง เพราะที่ผ่านมามีบางฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์แล้วนำข้อมูลที่บิดเบือนมาโจมตี เพื่อสร้างความเข้าใจผิดกับการปฏิบัติงานของรัฐบาล และกองทัพ ดังนั้นหน่วยงานต้องชี้แจงผ่านสื่อในสังกัด และหน่วยงานของตนเองอย่างรวดเร็ว.

จรัญ พงษ์จีน : สำรวจ แคนดิเดตนายกฯ 45 พรรคการเมือง “ใครมีแวว-มีลุ้น”



เหลืออีก 30 วันนิดๆ “ประชาชนเจ้าของประเทศ” จะได้ใช้สิทธิเสรีภาพตามกรอบรัฐธรรมนูญเพื่อเลือกตั้งกันในวันที่ 24 มีนาคม 2562 ใช้วิจารณญาณเลือก ส.ส.ไปทำหน้าที่แทนตนในรัฐสภา

ในส่วนของ “นายกรัฐมนตรี” ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ “กกต.” ได้ประกาศรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองเสนอให้รัฐสภาพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี จำนวน 45 พรรคการเมือง รวม 69 รายชื่อด้วยกัน

ดังนั้น หลังวันที่ 24 มีนาคม เมื่อมีการประกาศผลเลือกตั้งแล้ว บุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี “ตามช่องทางที่ 1” หากไม่มีเหตุขัดข้องทางเทคนิค จะมาจากรายนามที่พรรคการเมืองเสนอเท่านั้น โดยเรียงตามตัวอักษร ประกอบด้วย

1.พรรคกรีน “นายพงศา ชูแนบ” 2.พรรคกลาง “นายชุมพล ครุฑแก้ว” 3.พรรคกสิกรไทย “นายทรรศชล พงษ์ภัควัต” 4.พรรคคนงานไทย “นายธีระ เจียบุญหยก” 5.พรรคคนธรรมดาแห่งประเทศไทย “นายธนพร ศรียากุล” 6.พรรคครูไทยเพื่อประชาชน “นายปรีดา บุญเพลิง” 7.พรรคคลองไทย “นายสายัณห์ อินทรภักดิ์”

8.พรรคความหวังใหม่ “นายชิงชัย มงคลธรรม” 9.พรรคชาติไทยพัฒนา “น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา” 10.พรรคชาติพัฒนา “นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ-นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล-นายเทวัญ ลิปตพัลลภ” 11.พรรคชาติพันธุ์ไทย “นายโกวิทย์ จิรชนานนท์-นายพลศุภรักษ์ ศิริจันทรานนท์-นายภราดร พรอำนวย” 12.พรรคฐานรากไทย “นายบวร ยสินทร-ว่าที่ ร.ต.ญาณวุฒิ พรหมเดชากุล” 13.พรรคทางเลือกใหม่ “นายราเชน ตระกูลเวียง”14.พรรคไทยธรรม “นายอโณทัย ดวงดารา-นายภูษิต ภุปภัสศิริ-นายกิติกร วิชัยเรืองธรรม”

15.พรรคไทยศรีวิไลย์ “นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์-นายณัชพล สุพัฒนะ-น.ส.ภคอร จันทรคณา” 16.พรรคประชากรไทย “นายสุมิตร สุนทรเวช-นายคณิศร สมมะลวน”17.พรรคประชาชาติ “นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา-พ.ต.ท.ทวี สอดส่อง-น.ส.ณหทัย ทิวไผ่งาม” 18.พรรคประชาธรรมไทย “นายพิเชษฐ สถิรชวาล-นายชัยวุฑ ตรึกตรอง” 19.พรรคประชาธิปไตยใหม่ “นายสุรทิน พิจารณ์” 20.พรรคประชาธิปัตย์ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”

21.พรรคประชานิยม “พ.ต.อ.รวมนคร ทับทิพธงไชย-พล.ต.อ.ยงยุทธ เทพจำนงค์-นายปฐมฤกษ์ มณีเนตร” 22.พรรคประชาภิวัฒน์ “นายสมเกียรติ ศรลัมพ์-นางนันทนา สงฆ์ประชา-ศ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ” 23.พรรคแผ่นดินธรรม “ศ.พิเศษ บรรจบ บรรณรุจิ-นายกรณ์ มีดี” 24.พรรคพลเมืองไทย “นายเอกพร รักความสุข” 25.พรรคพลังชาติไทย“พล.ต.ทรงกลด ทิพย์รัตน์” 26.พรรคพลังท้องถิ่นไทย “นายชัชวาลย์ คงอุดม-ศ.โกวิทย์ พวงงาม” 27.พรรคพลังไทยดี “นายสาธุ อนุโมทามิ” 28.พรรคพลังไทยรักไทย “พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา-นายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล”

29.พรรคพลังประชาธิปไตย “นายพูลพิพัฒน์ นิลรังสี” 30.พรรคพลังประชารัฐ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” 31.พรรคพลังสังคม “นายวิฑูรย์ ชลายนนาวิน” 32.พรรคพัฒนาประเทศไทย “นายศิลปิน หาญผดุงธรรมะ” 33.พรรคเพื่อคนไทย “นายวิทยา อินาลา” 34.พรรคเพื่อไทย “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์-นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์-นายชัยเกษม นิติสิริ” 36.พรรคเพื่อธรรม “นางนลินี ทวีสิน”

37.พรรคภราดรภาพ “ม.ร.ว.ดำรงดิศ ดิศกุล” 38.พรรคภาคีเครือข่ายไทย “น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์” 39.พรรคภูมิใจไทย “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” 40.พรรคมหาชน “นายอภิรัต ศิรินาวิน-นายพาลินี งามพริ้ง-นายสุปกิจ คชเสนี” 41.พรรคเศรษฐีใหม่ “นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” 42.พรรคสยามพัฒนา “นายเอนก พันธุรัตน์”

43.พรรคสังคมประชาธิปไตยไทย “นายสมศักดิ์ โกศัยสุข” 44.พรรคเสรีรวมไทย “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส” 45.พรรคอนาคตใหม่ “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ”

หลังเลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม การเมืองจะไหลเข้าสู่หมวด “สภาผู้แทนราษฎร” ทันที เมื่อ ส.ส.ได้รับเลือกตั้งถึงร้อยละ 95 ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดแล้ว

ให้เรียกดำเนินการประชุมรัฐสภาได้ โดยให้ถือว่า “สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่มีอยู่ เพื่อเลือกประธานรัฐสภา”

จากนั้นประธานสภาผู้แทนราษฎรจะเรียกประชุมเพื่อลงมติ “เห็นชอบเลือกนายกรัฐมนตรี”โดยผู้ที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปต้องมาจากบุคคลที่พรรคการเมืองต่างๆ เสนอชื่อมาเป็นแคนดิเดตเท่านั้น

หยิบรายชื่อจากทั้งหมด 69 คน ที่ 45 พรรคการเมืองนำเสนอเข้าชิงชัยตำแหน่งนายกรัฐมนตรี วัดหน่วยก้าน อ่านหมากทุกองคาพยพ เหลือตัวเต็งที่จะเข้าป้ายอยู่ไม่กี่ราย

“เต็งหนึ่ง” โค้งนี้ ต้องยกเครดิตให้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่ตัดสินใจเปิดหน้าชก“ถอดรองเท้าคอมแบต” ลงสู้ศึก มาในนามแคนดิเดตของ “พรรคพลังประชารัฐ” ที่ตามเดิมจะส่งชื่อเข้าชิงถึง 3 พระหน่อไว้กันเหนียว แต่ท้ายที่สุด “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” กับ “อุตตม สาวนายน” ประกาศถอนตัว ดัน “บิ๊กตู่” ฉายเดี่ยว

“เต็งสอง” ยังเป็น 3 แคนดิเดตจาก “พรรคเพื่อไทย” หวยจะออกที่ใคร เป็นไปได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะ “คุณหญิงสุดารัตน์-นายชัชชาติ-นายชัยเกษม”

“เพื่อไทย” เสียวตาปลาอยู่พอประมาณ ผลต่อเนื่องมาจากการยุบ “พรรคไทยรักษาชาติ”ซึ่งไม่รู้ลูกจะวิ่งชนเหลี่ยมไหนมากระทบชิ่งเล่นงานเอา “เพื่อไทย” บ้างหรือเปล่า

“เต็งสาม” เป็นพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่ง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” มั่นใจสูงว่าจะเป็นขั้วทางเลือกที่สาม พลิกเกมชนะเลือกตั้ง สามารถกลับมาเป็นนายกฯ ภาค 2 ได้

“เต็งสี่” ยกให้ภูมิใจไทย ของ “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” หากการเมืองเกิดรายการ “หมูหก” กรณีที่ “พลังประชารัฐ หรือเพื่อไทย” เสียงออกมาก้ำกึ่งสูสีฟอร์มรัฐบาลไม่ได้ ต้องหันมาใช้บริการ “ภูมิใจไทย” ที่ยังแทงกั๊กเข้าได้กับทุกฝ่าย

“ม้ามืด” น่าจับตา “พรรคอนาคตใหม่” ของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ถ้าเด็กวัยรุ่น อายุระหว่าง 18-22 ปีที่จะได้เลือกตั้งครั้งแรกเทคะแนนเสียงให้จริง ก็ย่อมประมาทไม่ได้ “ปาฏิหาริย์มีจริง” ก็เกิดขึ้นได้


การเมืองถึงทางตันหมดหวังเลือกตั้ง : วางไข่รัฐบาลเฉพาะกิจ

เน้นจุดยืนเป็นพรรคเกาะกลาง ไม่สร้างความขัดแย้งให้ประเทศ เป็นสโลแกนของพรรคเพื่อชาติ ใช้ตระเวนหาเสียงในพื้นที่ต่างๆ หลังเกิดเหตุการณ์ 8 ก.พ.62 ตารางหาเสียงของพรรคถูกเก็บพับชั่วคราว

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อชาติ อธิบายถึงเหตุผลดังกล่าวว่า ที่ผ่านมาต้องยอมรับความจริงแต่ละฝ่ายพยายามจะหาจุดร่วมเดินไปสู่การเลือกตั้ง

แต่ในวันดังกล่าวช่วงค่ำ ผมขึ้นเวทีปราศรัยที่ จ.ขอนแก่น ประชาชนแห่มาฟังมากที่สุดตั้งแต่เดินสายหาเสียง ปรากฏว่าขึ้นเวทีได้แค่ 10 นาที ฟีลมันไม่ให้ ดูไม่มีชีวิตชีวา

สถานการณ์นั้นมันสร้างบาดแผลใหญ่ให้ลุกลามอย่างมีพลานุภาพ ทำให้สิ่งที่สงบนิ่งกลับเข้ามาเป็นปัญหาใหม่อีกครั้ง โดยไม่รู้ว่าจะยุติเมื่อไหร่

คนในแวดวงการเมืองรู้ดี เพียงแต่จะพูดหรือไม่ว่า บรรยากาศไม่เหมือนจะมีการเลือกตั้ง เชื่อว่ามันกำลังเดินไปสู่จุดนั้น และทุกฝ่ายต่างมีความวิตก เพียงแต่จะแสดงความคิดเห็นออกมาหรือไม่

ฉะนั้นบรรดานักการเมืองแต่ละพรรคควรตั้งหลักพูดคุยกันหน่อยดีไหม เพราะขณะนี้ไม่มีใครที่คิดว่าทุกอย่างเดินได้สะดวก แม้จะเดินไปถึงการเลือกตั้งก็ตาม

บรรยากาศเหมือนก่อนการรัฐประหารกำลังก่อตัวขึ้นมาใหม่

รู้สึกว่าการเลือกตั้งยิ่งจะห่างไกล

แม้มีการเลือกตั้งปลายทางก็จะเกิดวิกฤติอีกแบบ

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดูการรณรงค์หาเสียงของแต่ละพรรคเหมือนฝืนๆ ไม่รู้ว่าที่กำลังเดินอยู่คืออะไร


วันนี้ฝ่ายการเมืองของแต่ละพรรคต้องคิดมากกว่าการเลือกตั้ง แต่ละฝ่ายควรกลับไปคิดใหม่ว่าเราจะทำอะไร ขอให้ยอมรับความจริงว่าเราอยู่ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่ไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่อยู่ในท่ามกลางบรรยากาศของโลกสวยทางการเมือง ซึ่งมันไม่มีอยู่จริง

ขอย้ำอีกครั้งว่าการเดินไปสู่การเลือกตั้งยากมาก เริ่มไกลขึ้นตามลำดับ

ทีมข่าวการเมือง ถามว่า รูปแบบการนัดพูดคุยระหว่างนักการเมืองด้วยกันควรเป็นอย่างไร นายจตุพร กล่าวว่า เราพยายามเรียกร้องมานานว่าควรพูดคุยเพื่อตกลงกัน แต่สถานการณ์ก็เลยเถิด เพราะไม่เคยคิดจะพูดคุยกัน

พอมาถึงจุดนี้และสถานการณ์การเมืองยังตกอยู่ในสภาพนี้ ดูบรรยากาศการเมืองแล้วน่าจะจบภายในไม่กี่วันนี้

การจับเข่าพูดคุยไม่มีคำว่าสาย แต่จะเริ่มต้นอย่างไรเพื่อให้เกิดกระบวนการดังกล่าว

นายจตุพร บอกว่า ควรจะมีใครเป็นตัวตั้งตัวตี แต่ทุกคนก็เคยฝันร้ายเมื่อวันที่ 22 พ.ค.57 บรรดานักการเมืองพูดคุยกันแล้วถูกรวบทีเดียว

ถึงบอกว่าประเทศไทยมีบาดแผลมากเหลือเกิน แตะตรงไหนก็มีบาดแผล ฉะนั้นต้องช่วยกันคิดว่าจะเดินต่อไปอย่างไร เป็นเรื่องใหญ่มาก

การสร้างความปรองดองควรมองข้ามบาดแผลเก่าๆ และมองไปในอนาคตว่าจะไปอย่างไร นายจตุพร บอกว่า แต่ละบาดแผลยังไม่จบ มันก็ลุกลามไปเรื่อยๆ จะทำให้การเลือกตั้งมันเดินต่อไปไม่ได้

วันนี้ทุกฝ่ายควรมองไปข้างหน้าและช่วยกันคิด ขณะนี้ยังคิดไม่ได้ว่าสูตรสำเร็จแก้ปัญหาการเมืองคืออะไร

คิดยากมาก เป็นกระดานการเมืองที่เดินลำบาก เป็นกระดานการเมืองที่เดินมาถึงทางตันอย่างรวดเร็ว

ยิ่งถ้าทุกฝ่ายยังไม่ละเรื่องส่วนตัว ประเทศก็ไปไม่รอดอยู่ดี


ประเทศไทยไม่เคยเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อน นายจตุพร บอกว่า เป็นครั้งแรกของประเทศไทย ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้ บ้านเมืองก็เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง สู้กันระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการสืบทอดอำนาจ

แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น เป็นหนังคนละม้วนเลย ทั้งกระดานการเมืองเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก ทุกฝ่ายอยู่ท่ามกลางความมึนงง สับสนกันหมด อย่างน้อยจะต้องขอตั้งหลักดูก่อน

ตอนนี้ก็เริ่มเห็นปรากฏการณ์ของพรรคไทยรักษาชาติ (ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์รับคำร้องที่ กกต.ยื่นขอให้วินิจฉัย เพื่อมีคำสั่งยุบพรรคไทยรักษาชาติ โดยศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาครั้งต่อไปวันที่ 27 ก.พ. เวลา 13.30 น.)

พอพ้นปฏิทินการเมืองในสัปดาห์ที่ผ่านมาก็พอจะตั้งหลักกันได้ เราไม่ต้องไปเสียดายเวลาว่าจะมีการรณรงค์หาเสียงกี่วัน เพราะขณะนี้กำลังสู้ว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่ และเท่าที่เดินลงพื้นที่จังหวัดต่างๆ พบว่า ประชาชนตัดสินใจพอสมควรแล้วจะเลือกใคร การหาเสียงเป็นเพียงแค่เพิ่มความมั่นใจเท่านั้น

เมื่อถามว่าพ้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ทุกพรรคการเมืองจะกำหนดยุทธศาสตร์เริ่มนับ 1 ใหม่ นายจตุพร บอกว่า ฝ่ายประชาธิปไตยหลายคนคิดง่ายๆว่า ถ้าพรรคไทยรักษาชาติโดน พรรคเพื่อไทยโดน อีกไม่นานพรรคเพื่อชาติจะได้ประโยชน์

แต่ผมไม่คิดเช่นนั้น เพราะเวลาฝ่ายเผด็จการคิดต้องคิดทั้งกระดานการเมือง ฝ่ายประชาธิปไตยไม่เคยทบทวนตัวเอง ฝ่ายล้าหลังคือประชาธิปไตย ต่างคนต่างทำ มีดาวละดวง ไปคนละทิศละทาง

ฝ่ายเผด็จการมีการปรับกระบวนท่าและกระบวนทัศน์อยู่ตลอดเวลา คิดเป็นระบบ จังหวะจะโคนแต่ละก้าวเขาคิดทุกขั้นตอน

เหมือนท่วงทำนองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. น่าศึกษา เพราะรู้จักคนไทย ทำอะไรผิดหูผิดตา ประชาชนไม่เอาด้วย ก็ถอยและออกมาขอโทษทันที

เมื่อคนขอโทษแล้ว คนไทยถ้ายังไม่ให้อภัยก็จะกลายเป็นคนผิดทันที มีที่ไหนทฤษฎีที่ผู้นำเผด็จการจะทำอย่างนี้ เป็นผู้นำมาจากการรัฐประหารที่ใช้คำว่าขอโทษมากที่สุดตั้งแต่ประเทศไทยเคยมีมา

เผด็จการที่ไหนอยู่ได้บ้างถ้าไม่ปรับขบวนทัศน์

ตามสถานการณ์พรรคไทยรักษาชาติ พรรคเพื่อไทย เห็นอนาคตในทางลบก็จะไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น นายจตุพร บอกว่า หากพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบตามที่คนคาดการณ์ และต่อไปถึงคิวพรรคเพื่อไทย

ถ้าคนในพรรคเพื่อชาติคิดว่าส้มจะหล่นที่เท้าตัวเอง เป็นการอ่านการเมืองที่โง่เขลามาก เขาจะให้จบแบบนี้หรือ การคิดในมิตินักเลือกตั้งก็จะรอส้มหล่น แต่มันจะกลายเป็นทุเรียนหล่น

ความจริงเมื่อการเมือง 2 พรรคเดินไม่ได้ แม้มีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้ง หลังการเลือกตั้งก็ไม่ได้หมายความว่าจบแล้ว

ทุกเรื่องยังไม่มีวันจบจนกว่าจะได้รัฐบาลชุดใหม่

จากนี้ไปจนถึงการเลือกตั้งมันไม่ใช่คำตอบ

เพราะมีโอกาสกลายเป็นโมฆะ ตามด้วยรัฐประหารทุกครั้ง

และถ้าปล่อยให้เดินไปถึงการเลือกตั้ง ถึงอย่างไรพรรคพลังประชารัฐก็พ่ายแพ้ย่อยยับ ไม่มีทางที่จะสู้ฝ่ายประชาธิปไตยได้

ถึงวันนั้นอารมณ์ของประชาชนก็สุกงอมอีก จะกลายเป็นอีกปัญหาหนึ่ง


ทีมข่าวการเมือง ถามว่า “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ตอกย้ำเสนอรัฐบาลเฉพาะกาล จะเป็นทางออกของประเทศไทยได้อย่างไร นายจตุพร บอกว่า “บิ๊กจิ๋ว” ผ่านโลกมาเยอะ เดินตามวิถีประชาธิปไตยมาตลอด จนได้เป็นนายกรัฐมนตรี

ภายใต้สถานการณ์บ้านเมืองเช่นนี้ คนอื่นอาจจะมองแค่เฉพาะตอนต้น แต่ พล.อ.ชวลิตมองทั้งกระดานการเมืองถึงตอนจบ รู้ว่าปลายทางคืออะไร แต่สังคมก็ยังไม่เข้าใจและไม่เห็นด้วย เพราะระหว่างทางนี้ประเทศไทยยังอยู่ที่ต้นทางกับกลางทาง ยังไม่ถึงปลายทาง

แต่วันนี้มีกระแสข่าวว่าเริ่มเปิดไฟเขียวให้เริ่มเดินหน้ารัฐบาลเฉพาะกาลแล้ว นายจตุพร บอกว่า ข้อเสนอของ พล.อ.ชวลิตสังคมยังไม่เข้าใจ เพราะอาจจะยังไม่ลึกซึ้งพอ ทุกคนจึงมองปรากฏการณ์การเลือกตั้งยังดำรงอยู่

ทั้งที่สถานการณ์ของประเทศคงใกล้ปิดฉากแล้ว

ถ้าจะมีการเลือกตั้งจริงมันไม่ใช่บรรยากาศอึมครึมแบบนี้

จากประสบการณ์การเมืองมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะมีจุดลงเอยอย่างไร นายจตุพร บอกว่า...

...แม้มีฝ่ายที่เชื่อว่าจะมีการเลือกตั้งอยู่บ้าง แต่วันนี้ขอฟันธงจะไม่มีการเลือกตั้ง

แต่การจะเดินหน้าประเทศไปอย่างไร ต้องอยู่ภายใต้หลักการไม่ให้มีการสูญเสียเกิดขึ้น

และต้องเลือกวิธีการที่ทำให้บ้านเมืองเสียหายน้อยที่สุด.

ทีมการเมือง

ยิ้มสยาม

www.thaipost.net ไทยโพสต์ "อิสรภาพแห่งความคิด" Line ID:@thaipost บันทึกในวันที่เดินไปทางไหน นั่งในสภากาแฟที่ใด ก็จะมีคำถามว่า ...เลือกพรรคไหนดีอ่ะ?!? ... 0 คำตอบง่ายๆ ไม่ซับซ้อน..อย่าไปเลือก!! คนด่าแผ่นดิน คนหมิ่นชาติชน คนชอบก่นบรรพบุรุษ คนย่ำศาสนา คนฉุดวัฒนธรรม คนสาปแช่งวีรชน คนดูถูกคนไทย ...0 ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วมี 77 พรรคการเมือง และว่าที่นายกรัฐมนตรีจำนวน 68 คน ให้เลือกตัดสินใจ ก็ค่อยๆ เก็บข้อมูลกันไป ก่อนที่จะเดินเข้าคูหากาบัตรเลือกตั้งนะจ๊ะ ...0 กวาดสายตามองดูแคนดิเดตเก้าอี้นายกฯ คงต้องพิเคราะห์กันหลายๆ มุม ถ้าเฮฮามาแรงในโลกโซเชียลก็ต้องยกให้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แม้จะถูกลงแขกยำเละจัดหนักว่าด้วยวาทกรรม "ยิ้มสยาม" แต่นายกฯ ในโลกโซเชียลหรือจะสู้นายกฯ ในโลกแห่งความเป็นจริงที่กำลังขับเคี่ยวกันอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แห่งพรรคเพื่อไทย และคู่กัดเจ้าเก่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนนายกฯ ในโลกของสำนักโพลอย่าง "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเส้นทางการเมืองภายใต้การเลือกตั้งจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะแค่ไอค่อกไอแค่กก็เป็นเรื่องแล้ว ...0 ถึงบอกว่าต้องดูกันยาวๆ ไปถึงวันที่ 24 มีนาคมโน่นเลยทีเดียว ...นี่มิใช่แค่บันทึกอวดวาทกรรม เพราะท่ามกลางกระแสเห่อคนรุ่นใหม่บนถนนการเมืองนั้น ก็มีการแฉที่มาที่ไปแบบไม่เกรงใจเครือข่ายคนต้านเผด็จการ ก็ลองคลิกไปอ่าน คำถามคาใจกับการก่อตั้งพรรคคนรุ่นใหม่ของปิยบุตรกับธนาธร โดยใจ อึ๊งภากรณ์ ก็จะตาสว่างว่า คนรักประชาธิปไตยแต่ปากนั้น หน้าตาเป็นยังไง??? ...0 น่าสนใจอย่างมากกับถ้อยแถลงของ มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (พีเน็ต) ที่ระบุว่า ได้ติดตามการทำงานของ กกต. พบว่า กกต.ไม่ได้มุ่งทำงานบูรณาการเพื่อผสานพลังกับภาคส่วนต่างๆ ให้มีส่วนร่วมช่วยทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม แต่วางนโยบายการทำงานแบบแยกส่วนซึ่งย่อมอาจมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน อาจส่งผลทำให้การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นเพียงการเลือกตั้งตามรูปแบบแต่ขาดจิตวิญญาณของประชาธิปไตยอันเป็นเจตนารมณ์ที่สำคัญของรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปการเมือง ...0 อิทธิพร บุญประคองประธาน กกต...ทราบแล้วเปลี่ยน!! เพราะแม้แต่งบประมาณเพื่อประชาสัมพันธ์งานเลือกตั้งก็ไปกระจุกกันอยู่พวกท่านพวกเธอเพื่อนฝูงพี่น้องนะจ๊ะ ...0 บันทึกบรรทัดระหว่างกระแสการเมืองชุลมุน 20 ก.พ.นี้ต้องจับตาการประชุมบอร์ด ทอท. ว่าด้วย 2 โครงการยักษ์ที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เตรียมชงเข้าไป ทั้งประมูลดิวตี้ฟรี และสร้างเทอร์มินอล 2 ...0 ว่ากันว่าไม่มีไฟย่อมไม่มีควัน ขนาด องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ออกแถลงการณ์หวั่นเกรงว่าจะมีการฉวยโอกาสช่วงใกล้เลือกตั้งเร่งรัดอนุมัติก่อนมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง งานนี้มูลค่ามหาศาลเฉพาะโครงการขยายอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 สนามบินสุวรรณภูมิ มูลค่า 6.6 พันล้านบาท ถูกทักท้วงอย่างต่อเนื่องจากสภาวิชาชีพทั้งด้านวิศวกรและสถาปนิก แม้แต่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยังกระตุกชายเสื้อสูททัดทาน ประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลังที่เลือกอยากจะนั่งเก้าอี้ประธานบอร์ด ทอท.เท่านั้น คงต้องคิดให้ถ้วนถี่ อย่าปล่อยให้เสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับความรักเพื่อนสนิทมิตรสหาย "มากกว่า" รักษาผลประโยชน์ส่วนรวม..กลายเป็นเรื่องที่ถูกตั้งคำถามซ้ำซากนะจ๊ะ ...0

ระวังผู้ร้ายหน้าใหม่


    เพื่อไทยไล่บี้ "บิ๊กตู่" ใช้อำนาจช่วยหาเสียงให้ พปชร. “สุดารัตน์” ควงคู่ “เหลิม” ขึ้นเวทีบางบอน ลั่นเป็นรอบตัดเชือก ต้องเลือกสกุลเพื่อและพันธมิตรให้เกิน 250 เสียง โอ่เข้าสภาเมื่อใดอภิปราย “บิ๊กตู่” นัดแรกอยู่ไม่ได้แน่ “ปชป.” ชูอภิสิทธิ์สกัดฝ่าย “ทุจริต-สืบทอดอำนาจ” พรรคกำนันปราศรัยเดือด “เอนก” ลากไส้ผู้ร้ายตัวใหม่ เป็นราชสีห์หุ้มหนังแกะ  ไม่ต่างจากตัวร้ายเก่าที่หลอกคนซื่อ-วัยใสที่ปรารถนาดี ชี้เลือกตั้งครั้งนี้ซับซ้อนมากกว่าแค่ประชาธิปไตย
    เมื่อวันอาทิตย์ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย (พท.)   ให้สัมภาษณ์ขณะลงพื้นที่หาเสียงย่านสยามสแควร์วัน   ถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ลงพื้นที่พบปะประชาชน เปรียบเป็นการช่วยพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หาเสียง ว่าก็แนบแน่นเป็นเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว การทำโรดแมปที่บอกว่า 4 ปี จะนำไปสู่การเลือกตั้ง วันนี้ก็เห็นชัดแล้วเป็นโรดแมปที่จะทำให้ผู้มีอำนาจกลับเข้ามามีอำนาจอีกครั้ง ดังนั้นไม่ว่าจะกติกาที่เอารัดเอาเปรียบ หรือการเอารัดเอาเปรียบระหว่างนี้ โดยการลงพื้นที่หาเสียง หรือการใช้งบประมาณและอำนาจรัฐเอื้ออำนวย และสอดคล้องกัน
"ฝากถามนายกฯ ในฐานะที่เป็นหัวหน้า คสช. และเป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรคการเมืองหนึ่งว่าการกระทำโดยใช้อำนาจ คสช. หรือนายกฯ ก็ดี ส่อไปในทางเอื้อประโยชน์หรือทำให้เกิดผลดีต่อบางพรรคการเมืองถูกต้องตามกฎหมายและสมควรหรือไม่ ขอถาม  กกต. จะปล่อยให้มีเหตุการณ์อย่างนี้จนถึงวันลงคะแนนเลือกตั้งเลยหรือไม่" 
    ถามว่า 27 ปีที่ทำการเมืองมาเคยเจอแบบนี้หรือไม่ คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า ไม่เคยเจอ ครั้งนี้ถือเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกในหลายๆ อย่าง 1.ปกติรัฐบาลที่อยู่ในการเลือกตั้งจะต้องเป็นรัฐบาลรักษาการที่ไม่มีอำนาจใดๆ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นายกฯ และ ครม.มีอำนาจเต็ม 100% แถมยังมีมาตรา 44 อีก 2.จากการลงพื้นที่ได้รับเสียงสะท้อนจากผู้สมัคร ส.ส. ถูกข่มขู่จากอำนาจรัฐ ทั้งเรื่องเก็บบัตรประชาชน บางเขตมีการเก็บบัตรทหารเกณฑ์ ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ชื่อพรรคกับโครงการต่างๆ ของรัฐบาลในการแจกเงินแจกทองของรัฐบาลก็ชื่อเดียวกัน ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าทำแบบนี้ 
    นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 นครพนม พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คุณหญิงสุดารัตน์และ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งสองฝ่ายล้วนมีสถานะที่อยู่ในบัญชีเสนอชื่อเป็นนายกฯ แต่ข้อแตกต่างคือ คุณหญิงสุดารัตน์สู้ด้วยกติกาสากล ไม่มีตัวช่วย ไม่มีแต้มต่อ ส่วน พล.อ.ประยุทธ์กอดกติกาประชาธิปไตยครึ่งใบไว้แน่น แต่ไม่แน่ใจว่าลืมมารยาทไว้ที่บ้านหรือไม่ เพราะมี 250 ส.ว. และมาตรา 44 อยู่ในมือ เป็นทั้งกรรมการและเป็นผู้เล่นไปในตัว 
    "เชื่อว่าในช่วงโค้งสุดท้ายซึ่งจะเป็นทางตรงเข้าสู่เส้นชัย คุณหญิงสุดารัตน์จะได้ใจประชาชน จะเป็นนารีขี่ม้าขาวเบียดเข้าเส้นชัยด้วยนโยบายกอบกู้เศรษฐกิจด้วยทีมบริหารมืออาชีพ” นายชวลิตกล่าว
    ช่วงเย็น ที่ซอยเอกชัย 126 ย่านบางบอน แกนนำพรรคเพื่อไทย อาทิ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แคนดิเดตนายกฯ, ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หัวหน้าทีมปราศรัยหาเสียง และคณะ เดินทางมาช่วยปราศรัยหาเสียงให้นายวัน อยู่บำรุง ผู้สมัคร ส.ส.เขต 26 กทม. โดยมีประชาชนที่สนใจติดตามมาฟังการปราศรัยเป็นจำนวนมาก   
    ร.ต.อ.เฉลิมให้สัมภาษณ์กรณี พล.อ.ประยุทธ์ลงพื้นที่พบประชาชน ทำให้ถูกมองว่าอาจเข้าข่ายช่วยพรรค พปชร.หาเสียงว่า เมื่อมีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ การไปลงพื้นที่เป็นเรื่องปกติ แต่ที่เสียคือพวกพลังประชารัฐที่ไม่มีปัญญาทำเอง เพราะไปพูดที่ไหนเขาก็ไม่ฟัง แน่จริงก็จัดปราศรัย ส่วนจะได้เปรียบเสียเปรียบกันหรือไม่ เชื่อว่าประชาชนวินิจฉัยได้ ส่วนกรณีนิด้าโพลเปิดเผยผลสำรวจ พล.อ.ประยุทธ์เหมาะเป็นนายกฯ แล้วถามว่าคนจะเลือกพรรคไหน บอกพรรคเพื่อไทย ก็ถ้าคนเลือกพรรคเพื่อไทย แล้วจะให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ได้อย่างไร ถ้าอาจารย์ที่ทำโพลกล้าๆ กลัวๆ ไม่ต้องทำโพลสิ นี่มันโพลเอาใจ 
“เหลิม-หน่อย”ขึ้นเวที
    ต่อมานายชัชชาติกล่าวปราศรัยว่า วันที่ 24 มี.ค.มีความสำคัญ เพราะเราไม่ได้แข่งเพียงกับ ส.ส. 500 คน แต่ยังมี ส.ว.แต่งตั้งอีก 250 คน ดังนั้นฝั่งประชาธิปไตยต้องมีอย่างน้อย 376 เสียง ถ้าจะตั้งรัฐบาลได้ การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อย่าประมาทคิดว่าเราจะชนะแน่ เราต้องรวมใจกันเลือกเพื่อไทยให้ถล่มทลาย 
    ขณะที่นายวันปราศรัยว่า ขอเสียงปรบมือให้ว่าที่นายกฯ ชัชชาติด้วย เลือกตั้งเมื่อปี 2554 แพ้ไปเพียง 1,000 คะแนน ครั้งนี้ขอความเมตตาจากพี่น้องประชาชนให้เข้าไปทำงานในสภา ในอดีตเคยทำงานร่วมกับนายชัชชาติสมัยอยู่กระทรวงคมนาคม หวังใจว่าท่านชัชชาติจะเป็นนายกฯ วัน อยู่บำรุง จะไปเป็นองครักษ์พิทักษ์ชัชชาติให้  
    ต่อมาเวลา 18.40 น. ร.ต.อ.เฉลิมขึ้นกล่าวปราศรัยอีกครั้งว่า พล.อ.ประยุทธ์ก็บอกนายอภิสิทธิ์ดีแต่พูด นายอภิสิทธิ์ก็บอก พล.อ.ประยุทธ์พูดไม่รู้เรื่อง สรุปไม่ฟังทั้งคู่ ตนเองเคยเป็น รมว.มหาดไทยมาแล้ว ถ้าปรากฏหลักฐานว่าผู้ว่าฯ หรือเจ้าหน้าที่รัฐไม่เป็นกลาง จะย้ายให้หมด คนบอกพูดแบบนี้ระวังจะเสียคะแนน ถามว่าจะเสียอย่างไร ในเมื่อเขาไม่เอาเราอยู่แล้ว ทั้งนี้วันนี้เราต้องชนะให้ขาด รัฐบาลต้องเจรจากับต่างประเทศได้ ซึ่งนายชัชชาติและคุณหญิงสุดารัตน์พูดได้ 
    “รอบนี้รอบตัดเชือก เขากะอยู่ 8 ปี ด้วย ส.ว.อายุ 5 ปี แต่ถ้าท่านเลือกพรรค พท.และพรรคแนวร่วมให้ได้เกิน 250 รัฐบาลเสียงข้างน้อยอยู่ไม่ได้ และ พล.อ.ประยุทธ์ได้ยินแล้วอย่าบอกว่าผมขู่นะ ผมเอาจริง เพราะถ้าท่านเจอดาวสภาอย่างผม แค่อภิปรายนัดแรกท่านก็อยู่ไม่ได้แล้ว พรรค พท.หัวใจคือประชาชน เศรษฐกิจแย่ คนแก้ต้องพรรค พท. เพราะ ปชป.ไม่มีมือเศรษฐกิจ แต่ พท.มีชัชชาติ มีคุณหญิงสุดารัตน์ ถ้าเรื่องกฎหมายที่ตรงไปตรงมาไม่แพ้ใคร แต่ที่มีปัญหาเพราะฝั่งหนึ่งทำอะไรก็ไม่ผิดกฎหมาย ขอให้พี่น้องประชาชนไปใช้สิทธิให้มาก เพื่อล้มการต่อท่อสืบอำนาจของทหาร” 
    เวลาประมาณ 19.40 น. คุณหญิงสุดารัตน์เดินทางมาถึงเวทีปราศรัย โดยก่อนปราศรัยได้ชูมือถ่ายภาพร่วมกับ ร.ต.อ.เฉลิม จากนั้นคุณหญิงสุดารัตน์ ปราศรัยว่า ปีนี้ปีหมู ขอให้เราเลือกตั้งได้แบบหมูๆ ขอให้พี่น้องรักตัวเอง คิดถึงอนาคตของตัวเองและลูกหลาน คิดให้ดีๆ ว่าพี่น้องจะให้ใครมาดูแลชีวิตของตัวเองและลูกหลาน ถ้าพี่น้องเห็นว่าทุกข์ทางเดียวที่พี่น้องจะออกจากความทุกข์ได้ คือต้องจับมือกับเพื่อไทย
     นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.และสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ให้สัมภาษณ์กรณี กกต.มีคำร้องยุบพรรค ทษช. ว่าจากแนวทางที่ กกต.นำมาพิจารณา ทำให้เห็นว่าหากพิจารณาตามหลักเกณฑ์และเหตุผลของ กกต. ก็จะทำให้พรรค พปชร.ต้องโดนร้องยุบไปด้วย เพราะมีอย่างน้อย 3 กรณี คือ 1.กรณีนายอุตตม สาวนายน เป็นหัวหน้าพรรคก่อนเป็นสมาชิกพรรค 2.กรณีพรรค พปชร.จัดงานระดมทุนโดยขายโต๊ะจีนราคาโต๊ะละ 3 ล้านบาท และ 3.กรณีพรรค พปชร. เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ขณะที่ยังเป็นหัวหน้า คสช.
    “วันที่ 18 ก.พ. เวลา 11.00 น. ผมจะไปยื่นหนังสือให้ กกต.ดำเนินการยุบพรรค พปชร." นายเรืองไกรกล่าว
  แจง"บิ๊กตู่"ไม่ร่วมดีเบต
    ที่สวนจตุจักร นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ กรรมการบริหารพรรค พปชร. กล่าวว่า พรรค พปชร.ไม่ได้ลงพื้นที่ตามหลัง พล.อ.ประยุทธ์ แต่เป็นความบังเอิญที่การลงพื้นที่แต่ละครั้งถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่อยากให้นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นว่าเราใช้ความได้เปรียบเสียเปรียบ กับชื่อคนที่เราเสนอเป็นนายกฯ โดยเราได้เตรียมตัวและระมัดระวังอย่างดี เชื่อว่าความนิยมในตัว พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราชนะเลือกตั้ง
    เมื่อถามว่า ถ้าพรรค ทษช.ถูกยุบ จะทำให้พรรคพลัง พปชร.มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า เราไม่ได้มองเรื่องนั้น เพราะคิดว่าพรรค ทษช.ก็เป็นอีกพรรคการเมืองหนึ่งที่อาสาตัวเข้ามา  เราก็ทำหน้าที่ของเรา พรรคเราไม่มีนโยบายไปซ้ำเติมพรรคหรือใช้โอกาสนี้สร้างความได้เปรียบหรือเสียเปรียบทางการเมือง ส่วนการเรียกร้องให้ตรวจสอบคุณสมบัติของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น ตามระบอบประชาธิปไตย การตรวจสอบเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อเข้าสู่การตรวจสอบแล้ว เราจะต้องเชื่อถือในการตรวจสอบนั้น ไม่ใช่ว่าตรวจสอบแล้วออกมาไม่เป็นดั่งใจ ก็ดำเนินการอื่นๆ อีกแบบไม่จบ 
    นายพุทธิพงษ์กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์จะร่วมดีเบตกับแคนดิเดตพรรคการเมืองอื่นได้หรือไม่นั้น ว่าเราตรวจสอบแล้วพบว่าไม่สามารถขึ้นเวทีปราศรัยและเดินหาเสียงกับผู้สมัครได้ อะไรที่เราเห็นว่าจะขัดต่อกฎหมาย เราต้องละเว้น ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ยังวางตัวเป็นกลาง ไม่เคยมาช่วยพรรคหาเสียง เพียงแต่ขึ้นรูปคู่กับผู้สมัครเท่านั้น ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์ลงพื้นที่ค่อนข้างบ่อยในช่วงนี้ ไม่เห็นว่าเป็นการให้คุณให้โทษแต่อย่างใด เพราะถือเป็นการตรวจราชการ พรรคไม่เคยได้รับประโยชน์ใดๆ จากการลงพื้นที่ เราควรแยกให้ชัด
    นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรค พปชร.กล่าวถึงรังสิตโพล ที่ผลสำรวจล่าสุดพบว่าพรรคการเมืองที่จะได้คะแนนสูงสุดคือ พปชร. 21.5% ว่าเป็นครั้งแรกที่ พปชร.เป็นเบอร์ 1 ในโพล ซึ่งเกิดจากความขยันของผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคที่ลงพื้นที่เป็นประจำ ทำให้เข้าถึงประชาชน ได้รับความเชื่อใจและเชื่อมั่น ตลอดจนแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของพรรค ยืนยันว่าพรรคจะทำต่อไป เพราะยังมีเวลา 35 วันที่ต้องต่อสู้มากกว่านี้ เพื่อให้ชนะใจประชาชน 
 “ทุกครั้งที่มีโพล จะเห็นได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังเป็นหนึ่งในดวงใจของทุกคน ส่วน กกต.จะเห็นว่าพล.อ.ประยุทธ์ช่วยหาเสียงได้แค่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับ กกต. และพรรคพร้อมรับฟัง ซึ่งแม้ พล.อ.ประยุทธ์จะลงมาช่วยหาเสียงไม่ได้ แต่ก็ยังมีกำลังใจสู้เต็มที่”นายกอบศักดิ์กล่าว    
    ทางด้านนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ และคณะ ลงพื้นที่บริเวณตลาดในหมู่บ้านเอื้ออาทร เขตบึงกุ่ม เพื่อช่วยหาเสียงให้นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 14 (บึงกุ่ม-คันนายาว) หมายเลข 6 มีประชาชนในพื้นที่ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก โดยนายชวนปราศรัยว่า บ้านเมืองเรามีวิกฤติหลายครั้ง แต่ไม่ใช่วิกฤติจากรัฐธรรมนูญ แต่เป็นพฤติกรรมของบุคคล ถ้าเป็นคนดี บ้านเมืองเราก็ดี แต่ถ้าไม่ดี บ้านเมืองเราก็มีปัญหา อย่างในสมัยรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นเพราะคนไม่ปฏิบัติตาม การยึดอำนาจที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ซึ่งวันเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าช่วงใดที่มีการโกงบ้านโกงเมืองจะมีปัญหา ช่วงที่มีคนดีบ้านเมืองจะดีขึ้น แต่ไม่มีทางที่ปัญหาจะหมดไปโดยไม่มีการแก้ไข
ปลุกชูอภิสิทธิ์ดับวิกฤติ
    "ตลอดช่วงเวลา 70 ปีของพรรค ได้พัฒนาบ้านเมืองมาด้วยความสุจริต ซึ่งในการทางเมืองเราต้องการพรรคที่มีหลักการ ไม่ใช่พรรคที่ตั้งแล้วยุบพรรค ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ไม่เคยเปลี่ยนชื่อ และเป็นพรรคเดียวที่ไม่ถูกยุบ เพราะถือหลักพูดความจริง ไม่เคยทำอะไรเสื่อมเสียให้ถูกยุบพรรค” นายชวน กล่าว
    ที่ห้องประชุมโรงแรมเก็นติ้ง อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ และคณะ ได้ลงพื้นที่เพื่อพบปะหัวคะแนนชี้ว่า พื้นที่ภาคใต้หากพรรคไม่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โอกาสที่อื่นที่เราจะชนะก็น้อย เราก็ต้องสู้กันต่อไปอีก เราต้องเอานายอภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯ เพราะถ้านายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ แปลว่าทั้ง 2 ฝ่ายที่ถูกปฏิเสธ คือทางฝ่ายที่ทุจริตและทางฝ่ายที่จะสืบทอดอำนาจ จะไปยืนอยู่ตรงไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง การเมืองก็จะพ้นวิกฤติไปได้
    เวลา 17.30 น. ที่ลานอเนกประสงค์ข้างตลาดปัฐวิกรณ์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) จัดเวทีปราศรัยครั้งแรกของพรรค โดยนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรค ปราศรัยว่า เราต้องเข้าใจว่าจะเลือกตั้งเพื่ออะไร การเลือกตั้งที่จะถึงนี้ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับเผด็จการอย่างที่หลายพรรคพยายามปลุกกระแสให้ประชาชนหลงผิด แต่เป็นการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของประเทศ ไม่ใช่เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น  
    “เราต่อสู้อย่างหนักครั้งนี้ เพื่อไม่ให้ตัวร้ายตัวเก่ากลับมาบริหารประเทศได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งพวกนี้เคยสร้างความเสียหายให้บ้านเมืองมากมายเหลือคณานับ โดยเฉพาะเรื่องทุจริต แล้วยังหลบหนีคดีนอกประเทศ ปล่อยให้ลูกน้องติดคุกหลายคน ขณะที่เจ้าตัวยังเย้ยหยันหลักนิติธรรมอยู่นอกประเทศ ล่าสุด ทษช. ซึ่งเป็นพรรคแบงก์ร้อย พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้อำนาจ แม้จะเป็นเรื่องที่หมิ่นเหม่กับระบบประชาธิปไตยที่สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด อำนาจเป็นสิ่งหอมหวานที่หลายคนต้องการ บางคนอยู่มาเป็นสิบปี ทำให้ประเทศเสียหาย ท่านต้องอย่านับว่าการเมืองเริ่มตั้งแต่ปี 2557 แต่มันเริ่มตั้งแต่ปี 2549 แล้ว ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง คนพวกนี้ก็จะพยายามกลับมาสู่อำนาจให้ได้ ซึ่งเรื่อง ทษช.นั้น ผมไม่ได้กล่าวหา แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนประจักษ์ แล้ว ซึ่งเป็นการกระทำที่ร้ายแรงมาก แต่ผมจะไม่สรุปว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ขอให้ท่านทั้งหลายติดตามอย่างใกล้ชิด” นายเอนกกล่าว
นายเอนกกล่าวอีกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดถึง และแสดงให้เห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่การเลือกตั้งธรรมดา และไม่ได้มีแค่ตัวร้ายตัวเดิม แต่มีตัวใหม่ด้วยปรากฏด้วย คือหัวหน้าพรรคที่อายุประมาณ 40 ปี ที่ดูแล้วเหมือนคนรุ่นใหม่ แต่ไม่ได้คิดว่าเป็นแบบนั้น ทั้งคำพูดและการกระทำของเขา ดูผิวเผินไม่ได้ดูจากคลิปแล้ว เขาอยู่กับฝ่ายสีแดง และมีประวัติที่เคยทำเรื่องร้ายแรง เคยสนับสนุนวารสารฟ้าเดียวกัน ซึ่งเป็นวารสารที่ทั้งบรรณาธิการและผู้เขียนเฝ้าแต่จะวิพากษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ แม้มีวิชาการนำหน้า แต่ในใจของเขาน่าสงสัย ซึ่งในวันนี้เขามาตั้งพรรคการเมือง ขณะที่ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค เสนอให้ยกเลิกมาตรา 112 
    “ผมพูดไม่ได้พูดเพื่อโต้แย้ง แต่จะชี้ชวนให้พวกเราได้เห็นเนื้อแท้ของเขา อย่าดูแต่ปรากฏการณ์ เพราะมันผิวเผินมาก อาจเป็นราชสีห์ที่ห่อหุ้มตัวเองด้วยหนังแกะ แม้เขายืนยันว่าเขาจงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แต่ถ้าเขาเป็นแบบนั้นจริง ขอให้เขาตั้งโต๊ะแถลงข่าวเลย ในสังคมเวลานี้ พรรคนี้กำลังปลุกคนรุ่นใหม่ ขึ้นมาเป็นปรปักษ์กับคนรุ่นเก่า เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา ที่ตนเองเขียนลงเฟซบุ๊ก เป็นการเขียนแบบสุภาพ และใช้เหตุผล แต่พอเขียนได้ไม่กี่ชั่วโมง ปรากฏว่าบรรดานักรบไซเบอร์ต่างกรูเข้ามาในเฟซบุ๊กผม ใช้คำหยาบคายโจมตีโดยไม่ใช้เหตุผลทั้งสิ้น ขอให้ได้ด่า และด่าเหมือนผมไม่ใช่คน หลายคนใช้คำว่าลุงหรือปู่ ซึ่งจะสื่อว่าผมโง่ ซึ่งผมก็ไม่ได้ตอบโต้ใดๆ” นายเอนกล่าว
    นายเอนกกล่าวว่า พรรคนี้ไม่ใช่พรรคเสรีนิยมหรือพรรคก้าวหน้า เนื้อหาเป็นพรรคหยาบคาย และเทิดทูนหัวหน้าพรรคประดุจเทพ ซึ่งไม่ใช่พรรคประชาธิปไตย แต่เป็นพรรคบูชาบุคคล โดยเนื้อหาแล้วไม่ต่างจากตัวร้ายตัวเก่า หลอกประชาชนคนซื่อ วัยใสที่ปรารถนาดีต่อบ้านเมือง ซึ่งได้แต่หวังว่าคนจะเห็นมากขึ้นว่าพรรคนี้ธาตุแท้เป็นอย่างไร การเลือกตั้งในครั้งนี้ เราต้องทำเพื่อไม่ให้ตัวร้ายตัวเก่าและตัวใหม่ขึ้นมามีอำนาจเพื่อทำอะไรร้ายแรง การเมืองครั้งนี้ค่อนข้างซับซ้อน ต้องวิเคราะห์ให้ดี ซึ่งมีความจำเป็นอย่างมากที่มีพรรค รปช.เกิดขึ้น 
    เขากล่าวด้วยว่า ขณะที่อีกพรรคเป็นเจ้าของพื้นที่ กทม.มานาน พักหลังพูดแต่เรื่องต่อต้านเผด็จการ แต่ไม่ได้พูดถึงการต่อต้านตัวร้ายตัวเก่า และยังมีข่าวออกมาเรื่อยๆ ว่าพรรคนี้กำลังทำอะไรอยู่ ดูเหมือนสงวนท่าที ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ และพวกเขาคิดอะไรอยู่ก็ไม่ทราบ
    จากนั้น เวลา 20.12 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมจัดตั้งพรรค รปช. ขึ้นเวทีปราศรัยตอนหนึ่งว่า  เราจะไม่ใช้กิเลสของประชาชนมาเป็นตัวเรียกคะแนนเสียง เช่นเดียวกับนโยบายประชานิยม ซึ่งเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นการหลอกล่อประชาชนให้หันมาลงคะแนนให้  การเมืองที่ดีต้องไม่ทำแบบนี้ นโยบายของเราเป้าหมายใหญ่คือประชาชนคนไทยต้องมีรายได้เพียงพอที่จะเลี้ยงครอบครัวตัวเองได้อย่างมีศักดิ์ศรี ขณะเดียวกันต้องลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนลงทุกครอบครัว หลักการของเรามีเท่านี้ ซึ่งนโยบายของพรรคมาจากการชี้นำโดยประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศที่ออกไปเดินคารวะแผ่นดิน โดยหนึ่งในอุดมการณ์สำคัญคือการใช้ศาสตร์พระราชา หลักเศรษฐกิจพอเพียง มาแก้ปัญหาเศรษฐกิจของชาวบ้าน เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่วาทกรรม อย่างที่หัวหน้าพรรคที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมบางคนพูดเอาไว้ แต่นี่คือศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ 
    “สิ่งที่คนโจมตีพรรคเราไม่ได้ เพราะเราไม่มีความผิดอะไรมาก่อน เป็นพรรคใหม่ ไม่เคยทำความเสียหายให้ประเทศ แต่เขาพุ่งเป้ามาที่ผม เพื่อทำลายเครดิตของพรรค เริ่มจากผมตระบัดสัตย์ ซึ่งผมขอเรียนว่า วันที่ลาออกจาก ส.ส.และ ปชป. เพื่อมาต่อสู้ร่วมกับพี่น้องประชาชน ผมได้ประกาศชัดเจนว่า การต่อสู้คราวนั้นไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อประเทศไทย ผมจึงบอกว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง และไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งแล้ว วันนี้ผมยังรักษาคำพูด หรือต้องมัดมือมัดเท้าผมให้ไม่ต้องทำอะไรเลย” นายสุเทพกล่าว และว่า พรรคจะต้องมี ส.ส.ไปนั่งสภาไม่น้อยกว่า 50 ที่นั่ง และมีการใช้สิทธิ์เลือกตั้งไม่น้อยกว่า 3.5 ล้านเสียง
    ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีการเสวนา “วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองไทย ทางออกจากวิกฤติ ประชาธิปไตยที่มืดมน” จัดโดยคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวว่า อย่าเพิ่งพูดถึงทางออกเลย แต่เรากำลังเดินทางเข้าสู่ความมืดมนมากกว่า เราต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ รวมถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เขียนมาเพื่อการเอาเปรียบและการสืบทอดอำนาจ
    “กกต.จัดการยุบพรรคกับพรรคหนึ่งอย่างรวดเร็ว แต่กับอีกพรรคการเมืองหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ พล.อ.ประยุทธ์ กลับดำเนินการอย่างเชื่องช้า ปัญหานี้จะนำพาประเทศเข้าสู่วิกฤติอีกครั้ง ต่างคนต่างทราบดีว่าไม่ใช่บรรยากาศของการเลือกตั้ง เงียบสงบเกินธรรมดา ก่อนที่หนทางข้างหน้าจะมีสึนามิทางการเมืองรออยู่  ณ ตอนนี้ หาอนาคตไม่เจอ เดินหาทางมืดมนง่ายกว่าเดินหาทางสว่าง” นายจตุพรกล่าว 
    ด้านนายไทกร พลสุวรรณ อดีตแกนนำอีสานกู้ชาติ กล่าวว่า เราได้พิสูจน์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์แล้วว่า การรัฐประหาร ไม่ใช่วิถีทางแก้ปัญหาของประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นความล้มเหลวของการรัฐประหารในทุกๆ ด้าน และพิสูจน์แล้วว่าที่ผ่านได้ทำทุกวิถีทางเพื่อสืบทอดอำนาจ เป็นการซ้ำเติมให้เกิดวิกฤติของชาติมากขึ้นไปอีก ขยายความแตกแยกแบ่งฝักฝ่าย ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขให้ประชาธิปไตยสะดุด สูญเสียประชาธิปไตยยาวนานไปอีก เพราะตำแหน่งหัวหน้า คสช. เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ขัดคุณสมบัติเสนอชื่อเป็นนายกฯ ซึ่งอาจจะเป็นชนวนให้เกิดวิกฤติในอนาคต ดั้งนั้นถ้าการเลือกตั้งไม่น่าเชื่อถือ เราจะพบวิกฤตการณ์ที่ใหญ่มาก ที่อาจจะไม่คาดคิดมาก่อนก็เป็นไปได้.