PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เผชิญหน้า 23/10/58 : เจาะชีวิตพิสดาร "หยอง-เอี๊ยด-อาร์ท"

เผชิญหน้า 23/10/58 : เจาะชีวิตพิสดาร "หยอง-เอี๊ยด-อาร์ท"

ประยุทธ์สั่งศธ. ส่องครูอาจารย์สอนเชิงต่อต้าน



ประยุทธ์สั่งศธ. ส่องครูอาจารย์สอนเชิงต่อต้าน ถามไม่ทราบว่าท่านคิดด้วยอะไร

เมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงเรื่องสถาบันการศึกษา ว่า ตนได้สั่งการกระทรวงศึกษาธิการให้ไปทบทวนการเรียนการสอน ที่สอนให้คนมีความรู้ มีความคิดเป็นอิสระ แต่ต้องไม่ไปสร้างความขัดแย้ง ฉะนั้น ถ้าครู หรืออาจารย์บางคน ยังไม่ช่วยตรงนี้ ตนว่าสังคมก็ไปไม่ได้ คือ ต้องสอนให้เคารพกติกาในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นธรรม ชอบธรรม ไม่ใช่ฝืนไปทุกเรื่อง อันนี้เขาเรียกว่าสอนให้คนขัดแย้ง ซึ่งไม่น่าจะถูก อิสระได้ คิดได้ อะไรที่ดีงามก็ต้องเห็นด้วย ทำงานร่วมกันให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งหมด หากเขาคิดซ้าย แต่อีกคนคิดขวาทุกเรื่อง มันก็ไม่ได้ คนร้อยคนไปซ้ายหมด คิดขวาอยู่คนเดียว บอกความเห็นต่าง ความคิดเป็นอิสระ ประชาธิปไตยต้องเป็นแบบนี้ มันถูกไหม ก็ไปคิดกันเอาเอง ฝากไปดูด้วยแล้วกัน เพราะในระดับอุดมศึกษายังมีครู อาจารย์ ที่ยังเป็นอย่างนี้อยู่ ตนไม่ได้ไปว่าใคร เพียงแต่ว่าท่านก็รู้อยู่แล้ว พวกที่ชอบสอนแล้วพูดในเชิงต่อต้านทุกเรื่อง ตนก็ไม่ทราบว่าท่านคิดด้วยอะไร
“เขาคิดซ้าย กูขวาทุกเรื่อง มันได้ไหมเล่า เออ คน 100 คน ไปซ้ายหมด คิดขวาอยู่คนเดียว บอกความเห็นต่าง ความคิดเป็นอิสระ ประชาธิปไตยต้องเป็นแบบนี้ มันถูกไหม ก็คิดเอาเองสิทธิเสรีภาพ นะ ฝากดูด้วยแล้วกัน อุดมศึกษาครูอาจารย์บางคนก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ส่วนเรื่องของซูเปอร์บอร์ดการศึกษามีความคืบหน้าไปมาก ทั้งในการเรื่องการลดเวลาในช่วงบ่าย ก็มีความก้าวหน้า ซึ่งมีการทดลองแล้วประมาณ 3 - 4 พันโรงเรียน

ปปช.ฟันเงียบอดีต บิ๊ก ทศท.เอื้อเอไอเอส.

ป.ป.ช. ฟันเงียบ "อดีตบิ๊กทศท.-พวก" แก้สัญญามือถือเอื้อ "เอไอเอส" 2 คดีรวด

ป.ป.ช. ฟัน "อดีตบิ๊กทศท." แก้ไขสัญญามือถือเอื้อประโยชน์ "เอไอเอส" เผย"สุธรรม มลิลา" เจอ 2 คดีรวด "โรมมิ่ง-ส่วนแบ่งรายบัตรจ่ายเงินล่วงหน้า" รับโทษหนักทั้งวินัย-อาญา จี้ "ทีโอที" สั่งเอกชนจ่ายเงินตามสัญญาหลัก  
poreswqaaassdddd
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติชี้มูลความผิด นายสุธรรม มลิลา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ปัจจุบัน คือ  บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)) และ นายโอฬาร เพียรธรรม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฯ   กรณีถูกกล่าวหาแก้ไขสัญญาอนุญาตให้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อใช้เครือข่ายร่วม (Roaming) กับผู้ให้บริการรายอื่น และอนุญาตให้หัก ค่าใช้จ่ายจากการใช้เครือข่ายร่วม ก่อนนำมา คำนวณส่วนแบ่งรายได้ 
โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า นายสุธรรม มลิลา มีมูลความผิดทางวินัย อย่างร้ายแรง ตามข้อบังคับองค์การโทรศัพท์ แห่งประเทศไทยว่าด้วยการพนักงาน พ.ศ.2536 ข้อ 30 และข้อ 44 ประกอบคำสั่ง บริษัท ทศท. คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ 1/2545 เรื่องหลักเกณฑ์เพื่อรองรับ การดำเนินงานของบริษัท ทศท. คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2545 และสัญญาจ้างเป็นผู้บริหารในตำแหน่ง ผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์ แห่งประเทศไทย ลงวันที่ 8 มกราคม 2544 และมีมูลความผิด ทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดของพนักงานในองค์การหรือ หน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 8 และมาตรา 11
ส่วนนายโอฬาร เพียรธรรม มีมูลความผิด ทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามข้อบังคับ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยว่าด้วย การพนักงาน พ.ศ.2536 ข้อ 30 และข้อ 44 ประกอบคำสั่งบริษัท ทศท. คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ 1/2545 เรื่องหลักเกณฑ์ เพื่อรองรับการดำเนินงานของบริษัท ทศท. คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2545 และมีมูลความผิด ทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดของพนักงานในองค์การหรือ หน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 และฐานเป็นผู้สนับสนุนนายสุธรรม มลิลา กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดของพนักงานในองค์การหรือ หน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 8 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
เบื้องต้น อยู่ระหว่างนำเสนอประธานกรรมการ ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช. ลงนามในสำนวนการไต่ส่วนข้อเท็จจริง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกเหนือจากกรณีถูกกล่าวหาแก้ไขสัญญาอนุญาตให้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อใช้เครือข่ายร่วม (Roaming) กับผู้ให้บริการรายอื่น และอนุญาตให้หัก ค่าใช้จ่ายจากการใช้เครือข่ายร่วม ก่อนนำมา คำนวณส่วนแบ่งรายได้ แล้ว 
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังได้ชี้มูลความผิด นายสุธรรม มลิลา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์ แห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กรณีถูกกล่าวหาแก้ไขสัญญาสัมปทาน (ครั้งที่ 6) เพื่อลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (Prepaid Card) ให้บริษัท แอด วานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด โดยมิชอบ ด้วย 
โดย ป.ป.ช. ระบุว่า นายสุธรรม มลิลา มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามข้อบังคับองค์การโทรศัพท์ แห่งประเทศไทยว่าด้วยการพนักงาน พ.ศ.2536 ข้อ 30 ข้อ 33 ข้อ 36 และข้อ 44 และสัญญาจ้างเป็นผู้บริหาร ในตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์ แห่งประเทศไทย ลงวันที่ 8 มกราคม 2544 และ มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบพระราชบัญญัติองค์การโทรศัพท์ แห่งประเทศไทย พ.ศ.2497 มาตรา 17 
เบื้องต้น ป.ป.ช. ได้แจ้งบริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน) ดำเนินการให้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS) จ่ายส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการ โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงิน ล่วงหน้า (Prepaid Card) ให้เป็นไป ตามสัญญาหลัก ตามความเห็นของ คณะกรรมการประสานงาน ตาม มาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วย การให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการ ในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 และ ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขดำที่ อม.14/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2553 ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ตามที่เสนอด้วย
พร้อมส่งสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงไปยัง ผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษทางวินัย และอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญาแล้ว

สูตรพิศดารของ"มีชัย"






คมชัดลึกเลือกรูปได้ดีนะครับ 555

 


ส. ส. สอบตกเมื่อเอาไปคำนวณจากปี 48

ปชป. ได้ส. ส. ปาร์ตี้ลิสต์เพิ่มจาก 26 เป็น 37
คนไทยรักไทยได้ส. ส. ปาร์ตี้ลิสต์ลดจาก 67 เหลือ 20
คนชาติไทยเพิ่มจาก 7 เป็น 21
พรรคมหาชนของไอ้หนุ่มซินตึ๊งจาก 0 เป็น 19

Atukkit Sawangsuk


เครดิต 
Wanchalearm Satsaksit

....

ที่มา คมชัดลึก

27ต.ค.58 รายงานข่าวแจ้งว่า ระบบการเลือกตั้งรูปแบบใหม่ตามแนวคิดของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) นั้น เบื้องต้นยังคงจะให้มีส.ส. 500 คนแต่เป็นส.ส.เขต 400 คน ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ซึ่งรูปแบบการเลือกตั้งส.ส.ในประเทศจะให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกส.ส.เขตเพียงอย่างเดียว ขณะที่คนไทยในต่างประเทศ ที่ลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งจะมีสิทธิลงคะแนนเลือกพรรคเท่านั้น ไม่ได้เลือกส.ส.เขต ซึ่งในการคำนวนจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคจะได้ ก็จะเป็นการนำคะแนนของผู้สมัคร ส.ส.เขตที่ไม่ได้รับเลือกตั้งของทั้งประเทศ มารวมกับคะแนนพรรคที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในต่างประเทศได้ลงคะแนนไว้ แล้วคิดคำนวนออกมา

และจากข้อมูลที่ กรธ.ได้รับจากสำนักงานกกต. ที่เสนอตารางเปรียบเทียบการคำนวนจำนวนส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ จากคะแนนแบบแบ่งเขตเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 48 ที่กฎหมายเวลานั้น กำหนดให้มีส.ส.เขต 400 คน และส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน โดยที่มีการตัดคะแนนผู้ที่ได้รับเลือกตั้งออกแล้ว พบว่า จะทำให้จำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่ได้คะแนนมาเป็นที่หนึ่งในระบบการคิดคำนวนบัญชีรายชื่อแบบเดิม ได้ส.ส. ลดลงเกินครึ่ง กล่าวคือ ผลคะแนนรวมที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกพรรคเพื่อนำมาคำนวนคะแนนส.ส.บัญชีรายชื่อแบบเดิม 25 พรรคในปี 48 มีคะแนนทั้งสิ้น 31,048,223 คะแนน ขณะที่ผลคะแนนรวมของผู้สมัครที่ไม่ได้รับเลือกตั้งในทุกเขตเลือกตั้งของทั้งประเทศเมื่อปี 48 มีทั้งสิ้น 25 พรรค รวม 11,081,047 คะแนน แล เมื่อนำมาคำนวนกับจำนวนส.ส.บัญชีฯที่เพิ่งมี 100 คน ส.ส.บัญชีฯ 1 คน จะต้องมีคะแนนเฉลี่ย 100,810 คน ผลคะแนนแบ่งเขตที่ไม่รวมผู้ได้รับเลือกตั้ง

พรรคประชาธิปัตย์ ได้คะแนน 4,065,059 คะแนน จะได้ส.ส. 37 คน เพิ่มขึ้นจากการคิดคำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อแบบเดิม ที่ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้กับพรรค ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนน 7,210,742 คะแนน ได้ส.ส.เพียง 26 คน พรรคชาติไทย ได้คะแนน 2,326,043 คะแนน จะได้ส.ส. 21 คน เพิ่มขึ้นจากการคิดคำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อแบบเดิม ที่ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้กับพรรค ซึ่งพรรคชาติไทยได้คะแนน 2,061,559 คน ได้ส.ส.เพียง 7 คน พรรคไทยรักไทย หรือพรรคเพื่อไทยปัจจุบัน ได้คะแนน 2,151,634 คะแนน จะได้ส.ส. 20 คน เป็นพรรคเดียวที่จำนวนส.ส.ที่จะได้ลดลงเมื่อเทียบกับการคิดคำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อแบบเดิม ที่ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้กับพรรค ซึ่งพรรคไทยรักไทย ได้ 18,993,073 คะแนน ได้ส.ส. 67 คน เท่ากับลดลงถึง 47 คน และพรรคมหาชน ได้คะแนน 2,148,442 คะแนน จะได้ส.ส. 19 คน จากที่การคิดคำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อแบบเดิม ที่ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้กับพรรค พรรคมหาชนไม่มีส.ส.บัญชีรายชื่อเลย เช่นเดียวกับ พรรคคนขอปลดหนี้ผลคะแนนแบ่งเขตได้ 166,651 คะแนน จะได้ส.ส. 2 คน พรรคความหวังใหม่ ผลคะแนนแบ่งเขตได้คะแนน 133,935คะแนน จะได้ส.ส. 1 คน จากที่การคิดคำนวณแบบเดิมไม่เคยได้ส.ส.บัญชีรายชื่อเลย

วิษณุหนุนไอเดียกรธ.หนุนคะแนนโหวตโน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้พิจารณาระบบเลือกตั้งในประเด็นที่ระบุว่า บุคคลที่จะได้เลือกตั้งเป็น ส.ส. ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่าคะแนนโหวตโนว่า ตนเห็นจากหนังสือพิมพ์ เรื่องนี้มีความคิดกันมานาน ตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 ก็เคยพูดถึงว่า เรายอมให้มีคนไปโหวตโนคือไม่เลือกใครก็ได้ ดังนั้นจึงมีคำถามมาตลอดการที่ไม่เลือกพรรคใดเลยมีความหมายอะไร ซึ่งคำตอบในครั้งนั้นคือ ไม่เอาใคร แต่ถามต่อว่า หากคะแนนเหล่านี้มีจำนวนมากในบางเขตเลือกตั้งจนชนะคะแนนผู้ได้รับเลือกเสียอีก เช่น มีพรรคหนึ่งได้คะแนน 200 อีกพรรคได้คะแนน 100 ซึ่งผู้ได้คะแนนสูงสุดคือผู้ชนะ แต่ถ้ามีเสียงโหวตโนถึง 300 แล้วจะเกิดอะไรขึ้น คำตอบในอดีตคือไม่เกิดอะไร แต่จะทำอย่างไรถึงจะเคารพเสียงของประชาชนที่โหวตโน วันนี้เกิดจะมีการคิดออก ในเรื่องนี้ว่า คนที่ชนะหรือแพ้ไม่สำคัญ แต่ต้องชนะคะแนนโหวตโน ไม่เช่นนั้นก็ต้องเลือกตั้งใหม่ อย่างนั้นอาจจะเป็นธรรม เพราะเป็นการเคารพเสียงของประชาชน ซึ่งต้องถือว่า มีความสำคัญ แล้วทีนี้จะทำอย่างไรที่จะเป็นการเคารพเสียงคนอื่น ปัญหานี้ถกเถียงกันทั่วโลก

“ฝรั่งถึงคิดกันว่า จะทำอย่างไรให้พรรคที่ได้คะแนนเสียงน้อยสามารถมีเสียงหรือที่นั่งในสภาฯ เพื่อไม่ให้คะแนนเหล่านั้นถูกทิ้งไป เช่นเดียวกับในไทยจะทำอย่างไรให้คะแนนโหวตโน ที่หากเกิดขึ้นเยอะแล้วต้องมีความหมาย แม้ในหลายประเทศจะไม่ได้มีเรื่องโหวตโน แต่ถ้าประเทศไทยยอมรับให้มีเรื่องโหวตโน คนก็ไม่ต้องเข้าใจอะไร คุณชอบอะไรก็กาไป แล้วจะมีกรรมการมานับคะแนน” นายวิษณุ กล่าว

เมื่อถามว่า ส่วนตัวเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีเรื่องโหวตโนเพื่อให้คะแนนส่วนนี้มีความหมาย นายวิษณุ กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับการให้คะแนนโหวตมีความหมาย แต่ยังคิดไม่ออกว่า ความหมายนั้นจะนำมาใช้ประโยชน์อะไร แต่ในไทยไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะที่ผ่านมายังเคยเจอคะแนนโหวตโนที่มากกว่าผู้ชนะได้รับเลือก

นายวิษณุ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่จะไปตัดสิทธิเลือกตั้งครั้งต่อไปสำหรับผู้ที่ได้คะแนนน้อยกว่าโหวตโนนั้น ตนยังนึกไม่ออก คิดว่า ไม่มีและยังคิดไม่ออกว่า จะนำมาคิดอย่างไรถือเป็นสูตรพิสดาร แต่จะทำอย่างไรให้มีการเคารพเสียงโหวตโน เรื่องนี้ตนเห็นด้วย อย่างไรก็ตามการที่บางฝ่ายเสนอว่า ให้ตัดสิทธิผู้ที่แพ้คะแนนโหวตโนไม่ให้ลงเลือกตั้งไปตลอดชีวิตแบบนั้นคงทำไม่ได้ หากเป็นแบบนี้ ตนก็ไม่เห็นด้วย เพราะการที่เขาเขาพลาดหนนี้ก็ไม่ได้แปลว่า ชั่วร้ายอะไร


โดน 13 คดี! หมอหยอง-พวก อ้างคนใกล้ชิด หาผลประโยชน์

วันพุธ ที่ 28 ตุลาคม 2558 เวลา 16:35 น.ไทยรัฐ

ผบ.ตร.แถลงจับกลุ่มบุคคลแอบอ้างเบื้องสูง 'หมอหยอง-พวก' โดน 13 คดี! ปรากฏชื่อ 'ศุกร์โข' ผู้ต้องหาคนที่ 4 จ่อหมายจับอีก คาดสำนวนเสร็จใน 3 เดือน ยัน 'ประวุฒิ' ยังรับราชการอยู่ ไปต่างประเทศเป็นการลาตามสิทธิ์

วันที่ 28 ตุลาคม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงผลการดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลที่แอบอ้างสถาบันเบื้องสูง ระบุ เบื้องต้นได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาแล้ว 3 คน ประกอบด้วย นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ หมอหยอง, นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ และ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา อดีตสารวัตรกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วเมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา

โดยล่าสุด ผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ถูกแจ้งข้อหารวมกัน 13 คดี ส่วนใหญ่เป็นการเอาผิดกับ พ.ต.ต.ปรากรม ในข้อหาแอบอ้างเบื้องสูง เพื่อเรียกรับผลประโยชน์, ครอบครองอาวุธปืนและวิทยุโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยวันนี้ได้ปรากฏชื่อ นายศุกร์โข ตามเสรี ซึ่งถือว่าผู้ต้องหาคนที่ 4 ที่ถูกออกหมายจับในคดีนี้

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ระบุด้วยว่า คาดมีผู้ต้องหาเพิ่มเติม แต่จะเป็นข้าราชการหน่วยไหน หากพบว่ากระทำความผิด ก็ต้องรับโทษ เบื้องต้นต้องสอบ เพื่อให้เกิดความชัดเจนก่อน ทั้งนี้ กองทัพเป็นผู้ร้องทุกข์ทั้งหมด โดยเป็นเอกสารลับ ไม่สามารถเปิดเผยอะไรได้ ส่วนบุคคลที่เป็นเอกชนนั้น เกี่ยวข้องตามที่ได้มีการแจ้งความ ทั้งนี้คาดว่าจะมีการรวบรวมหลักฐาน เสร็จสิ้นภายใน 3 เดือน

เมื่อถามว่า ตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เนื่องจากสวัสดิการน้อย จะมีการแก้ไขอย่างไร ผบ.ตร.ระบุ เรื่องนี้ก็ต้องเข้มงวดมากขึ้น ถ้าพบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้อง ก็ต้องให้ออก ซึ่งตรงนี้ ก็พยายามที่จะหาสวัสดิการให้ แต่ก็ต้องปรับทัศนคติให้เดินในแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงด้วย

ต่อกรณีของ พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา (สบ 10) นั้น ผบ.ตร. ยืนยันว่า ยังไม่ได้รับใบลาออก ไม่มีการนำกำลังเข้าตรวจบ้านพักตามที่เป็นกระแสข่าว และยังไม่พบว่ามีความเกี่ยวข้อง ส่วนที่ลาไปต่างประเทศนั้น ถือเป็นสิทธิ์ ที่ลาได้ ซึ่งอาจจะลาในสมัยไหนก็ได้ ส่วนการปรับเปลี่ยนตำแหน่งโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นการสับเปลี่ยนตำแหน่งตามการบริหารภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

29 ต.ค.'ยิ่งลักษณ์'พร้อมไปศาลคดีจำนำข้าว

ทนายระบุพรุ่งนี้"อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์" พร้อมขึ้นศาลฎีกานักการเมือง ตรวจหลักฐานกำหนดวันไต่สวนพยานคดีจำนำ ขณะที่อัยการ-ทนาย มีพยานกว่า100ปาก

นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยคดีรับจำนำข้าว กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ ( 29 ต.ค.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกฯ จะเดินทางไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามที่ศาลกำหนดนัดตรวจพยานหลักฐาน ในเวลา 09.30 น. เพื่อสรุปจำนวนพยานบุคคลและพยานเอกสารของฝ่ายอัยการโจทก์และฝ่ายจำเลย ที่จะนำเข้าไต่สวนว่าแต่ละฝ่ายจะนำสืบเท่าใด ประเด็นอะไรบ้างและกำหนดวันนัดไต่สวนพยานแต่ละฝ่าย โดยก่อนหน้านี้ศาลก็ให้อัยการโจทก์และทนายความได้ร่วมกันตรวจดูพยานบุคคลและพยานเอกสารกันเองให้เรียบร้อยก่อนที่แต่ละฝ่ายจะนำเสนอให้ศาลพิจารณาในวันพรุ่งนี้

นายนรวิชญ์ ทนายความอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ กล่าวอีกว่า ในการตรวจบัญชีจัดพยานบุคคลที่ผ่านมาทั้งฝ่ายอัยการโจทก์และฝ่ายจำเลย มีพยานรวมกันกว่า 100 ปาก ส่วนพยานเอกสารมีจำนวนมากโดยทั้งสองฝ่ายได้จัดทำบัญชีลงหมายเลขเอกสารของแต่ละฝ่ายไว้แล้ว โดยพรุ่งนี้ต้องรอให้ศาลพิจารณาอีกครั้งเพื่อจะสรุปว่าให้อัยการโจทก์ และฝ่ายจำเลย นำพยานบุคคลและเอกสาร เข้าไต่สวนฝ่ายละเท่าใด โดยเราพร้อมไปศาลเข้าสู่กระบวนพิจารณาคดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีจำนำข้าวนั้น อัยการสูงสุด ในสมัยที่นายตระกูล วินิจนัยภาค ดำรงตำแหน่ง ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ต่อศาลฎีกาฯ ตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 19 ก.พ.58 ซึ่งศาลฎีกาฯ ประทับรับฟ้องเป็นหมายเลขดำ อม.22/2558 ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และเป็นเจ้าหน้าที่รัฐปฎิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯตามความผิดพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 และ 123/1 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ส่งผลให้รัฐได้รับความเสียหายกว่า 5 แสนล้าน



เปิดตัว'บ.แมค บารา-พี.ไนน์ตี้ทู'ก่อน ผจก.ฝ่ายขายถูกโยงคดี'หมอหยอง'



เปิดตัว บริษัท "แมคบารา -. พีไนน์ตี้ทู" ก่อน "ทิพยวรรณ" ผู้จัดการฝ่ายขายถูกโยงคดี "หมอหยอง - พวก" สตช พบเป็นตัวกลางดีลทำเข็มกลัดจักรยานสำหรับแม่
PIC yongyong 28 10 58 1
(สตช.) นำโดยพล. ต. อ. จักรทิพย์ชัยจินดาผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร. ) และพล. ต. ท. ศรีวราห์รังสิพราหมณ์กุลรักษาราชการแทนรองผบ. ต ร กรณีความคืบหน้าในคดีของที่คุณนายสุริยันสุจริตพลวงศ์หรือ "หมอหยอง" นักดูดวงชื่อดังพร้อมด้วยนายจิรวงศ์วัฒนเทวาศิลป์เลขานุการหมองหยองและพ. ต. ต. ปรากรมวารุณประภาหรือ "สารวัตรเอี๊ยด" อดีตสารวัตร กำกับการ 1 บก. ปอท (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) 112 นั้น 
มีการโชว์ของกลางจำนวนมากที่ยึดมาได้จากผู้ต้องหาทั้ง 3 รายเช่นปืนของทางราชการวิทยุสื่อสารกีตาร์ไฟฟ้ารวมไปถึงพฤติการณ์กระทำผิด และเส้นทางการเงินในคดีนี้ไว้อย่างละเอียด
น่าสนใจที่คือในเส้นทางการเงินปรากฏชื่อของน. ส. วรรณอัศวทิพยก้องเกียรติผู้จัดการฝ่ายขาย"บริษัท แมคบารา จำกัด " เข้าไปพัวพันในกรณีนี้ด้วย  
น. ส. ทิพยวรรณและ บริษัท แมคบาราฯ มาเกี่ยวข้องด้วยได้อย่างไร? สำนักข่าวหุ้นไทยอิศราwww.isranews.org  มีคำตอบดังนี้  
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้นายสุริยันสั่งทำเข็มกลัดจำนวน 3 แสนชิ้นเพื่อนำไปใช้ในงานจักรยานสำหรับแม่โดยเมื่อการธนาคารวันที่18 มิ.ย. 2558 นายสุริยันและนายจิรวงศ์นัดพบน. ส. ทิพวรรณที่ร้านสเวนเซ่นสาขาเมเจอร์รัชโยธิน
น. ส. ทิพวรรณเสนอราคาเข็มกลัดอันละ 3.70 บาท 5.70 บาท และนายจิรวงศ์
22 มิ.ย. 2558 น. ส. ทิพวรรณ (CP) โดยแบ่งเสนอราคาเป็น 5 บริษัท รวมราคา 3,049,500 บาทวันเดียวกัน บริษัท ซีพีในเครือจ่ายค่ามัดจำ 50% จำนวน 1,482,000 บาทให้กับ บริษัท แมคบาราฯ
23 มิ.ย. 2558 น. ส. ทิพวรรณถอนเงินออกจากบัญชี บริษัท จำนวน 1.2 ล้านบาทวันเดียวกันน. ส. ทิพยวรรณนำเงินจำนวน 1 ล้านบาทเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยชื่อบัญชีน. ส. สุรีวรรณชาญยุทธิ์สาขาวัชรพล ส่วนอีก 2 แสนบาทนำเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์สาขาโลตัสฟอร์จูนชื่อบัญชีนายจิรวงศ์วัฒนเทวาศิลป์
2 ก.ค. 2558 นายสุริยันให้นางจีราภา (น้องสาว) (กาด) ชื่อนายสุริยันสุจริตพลวงศ์
23 มิ.ย. -11 ก.ค. นายจิรวงศ์ทยอยถอนเงิน 2 แสนบาทมาใช้จนหมด
นี่คือข้อมูลบางส่วนที่สตช "หมอหยอง - พวก"
ส่วน บริษัท แมคบาราฯ  กระทรวงพาณิชย์พบว่าจดทะเบียนเมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2557 ทุน 1 ล้านบาทประกอบธุรกิจขนาดเล็กนำเข้าและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์เครื่องไฟฟ้าอุปกรณ์ไฟฟ้าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เครื่องมือแพทย์นำเข้าและจำหน่ายสินค้าพรีเมี่ยมกิ๊ฟช็อปของขวัญของชำร่วยเป็นต้น 
ตั้งอยู่ที่ 431/269 ถ. เฉลิมพระเกียรติร. 9 แขวงประเวศเขตประเวศกทม ชื่อของปรากฏที่คุณนายฉัตรชัยพิชญาภคกุลและที่คุณนายพรชัยพิชญาภคกุลเป็นกรรมการผู้มีอำนาจ 
จากการตรวจสอบพบอีกว่านายฉัตรชัยและนายพรชัย บริษัท พี. ไนน์ตี้ทู จำกัด อีกแห่ง
บริษัท พี. ไนน์ตี้ทูฯ จดทะเบียนเมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2552 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาทประกอบธุรกิจขนาดเล็กโดยให้บริการทางสถาปัตยกรรมตั้งอยู่ที่ 431/269 ถ. เฉลิมพระเกียรติร. 9 แขวงประเวศเขตประเวศกทม (ที่อยู่เดียวกับ บริษัท แมคบาราฯ ) มีนายพรชัยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจ
มีนายพรชัยถือหุ้นใหญ่ 9,998 หุ้น (หุ้นละ 100 บาท) นายฉัตรชัยพิชญาภคกุลและนางมยุรีแซ่ลิ้มถือคนละ 1 หุ้น
จากการตรวจสอบงบการเงิน บริษัท พี. ไนน์ตี้ทูฯ ช่วงปี 2557 พบว่ามีรายได้ทั้งหมด 7,339,913 บาทมีรายจ่ายทั้งหมด 7.034,650 บาทมีกำไร 32,946 บาท (หักต้นทุนทางการเงิน 265,941 บาท)
ทั้งหมดคือตัวละครและบริษัทเอกชนที่เข้ามาพัวพันเกี่ยวข้องในคดีนี้
ส่วนจะมีใครเกี่ยวอีกบ้างต้องรอการสืบสวนจา​​กสตช ต่อไป!

มีแม่น้ำประชาธิปไตยขัดแย้งขวาง! “บิ๊กตู่”ลั่นต้องพาข้าม-ถามนับถือคนหนีคดีได้หรือ


“บิ๊กตู่” เปรียบประเทศมีแม่น้ำประชาธิปไตยแบบขัดแย้งขวางอยู่ ต้องพาทุกคนข้ามให้ได้ บางคนดันทุรังว่ายน้ำก็ตายไป ซัดพวกหนีคดีให้กลับมาพิสูจน์ความยุติธรรมในไทย ไม่ใช่เอาแต่ประจาน ถามนักการเมืองยังนับถือคนเหล่านี้ได้หรือ ซัดพวก ‘กเฬวราก’ ชอบอ้างประชาธิปไตย ทำไมไม่พูดว่าไม่ทำผิดกฎหมายบ้าง
PIC bigtu 28 10 58 1
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2558 ที่รัฐสภา มีการประชุมของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฏิรูปประเทศ (สปท.) และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) หรือ “แม่น้ำ 5 สาย” เพื่อหารือเรื่องโร้ดแม็พการปฏิรูปประเทศ ซึ่งเป็นครั้งแรก ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ปรับคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ 3 พร้อมกับแต่งตั้ง สปท. กับ กรธ. ขึ้นมาแทนสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญที่สิ้นสุดไป 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า การเมืองต้องเดินหน้าสู่อนาคต ไม่ใช่เพื่อคนใดคนหนึ่ง ประเทศต้องใช้วิธีการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่จะทำอย่างไรให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ทุกคนต้องยอมรับ ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องมีวันนี้ เพราะฉะนั้นอย่าบิดเบือน ต้องก้าวให้พ้นกับดักประชาธิปไตยด้วย นี่เป็นโอกาสเดียวที่จะเดินหน้าประเทศได้ อยากขอร้องบรรดานักการเมืองไม่ว่าพรรคไหน คิดว่าจะทำอย่างไรให้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ปลอดภัย และมั่นคง ทำให้ประชาชนมีความสุข ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจลดอย่างไร ขาดความเชื่อมั่นอย่างไร ไม่ใช่ตน แต่เพราะทุกคนทำทั้งสิ้น ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน มันส่งผลถึงอนาคต ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีความขัดแย้งตลอด และไม่เคยแก้ไขปัญหาได้ ถ้าย้อนกลับมาแก้ไขได้ ใครก็ตามที่อยู่ตรงนั้น กลับมาสู้กระบวนการยุติธรรม ถ้าว่าไม่เป็นธรรมให้กลับเข้ามา ไม่ใช่ต่อสู้ข้างนอก ถามหน่อยว่ายังนับถือคนเหล่านี้อีกหรือ ตนไปที่ไหนก็อาย มีคนระดับใครก็ไม่รู้ หนีไปต่างประเทศ แล้วประจานประเทศไทย นักการเมืองยอมรับหรือ ก็รู้อยู่ว่าเป็นอย่างไร ไม่บอกว่าผิดหรือถูก แต่ต้องกลับมาพิสูจน์ทราบด้วยตัวเอง อย่าอ้างนู่นอ้างนี่ 
“วันนี้ต้องเลิกแล้ว การปลุกปั่นบิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างความเกลียดชัง ไม่อย่างนั้นก็อยู่เหมือนเดิม ย้อนกลับไปที่เก่า ลองเปรียบสถานการณ์บ้านเมืองว่า ประเทศเรามีแม่น้ำเส้นหนึ่งขวางอยู่ แม่น้ำประชาธิปไตยของท่านนี่แหละ และทุกคนกำลังข้ามแม่น้ำอยู่ พวกเราก็เป็นสะพานข้ามแม่น้ำนี้ ข้ามแม่น้ำประชาธิปไตยที่ขัดแย้งไปไม่ให้ได้ บางคนก็พร้อมข้าม บางคนชอบจะลุยน้ำ บางคนก็ว่ายน้ำ ว่ายไม่เป็นก็ว่ายไป ก็ตายข้างล่าง เราต้องเอาทุกคนขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำประชาธิปไตยให้ได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้อยู่ในระยะที่ 2 ของโร้ดแม็พ คาดว่าคงถึงปีหน้า ต้องขอบคุณคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ แม้จะบาดเจ็บ บาดแผลเต็มตัว ก็ขอขอบคุณ และให้กำลังใจพวกท่าน ไม่เคยตำหนิ เพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนั้น ประเทศไทยไม่เคยชินกับการเปลี่ยนแปลง ถ้าทำแล้วเหมือนเดิมอย่างเข้ามา เป็นผู้นำต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น มีอนาคตมากขึ้น ไม่ใช่เข้ามาแล้วกลับไปที่เก่า ทำยังไงให้ประชาชนรักรัฐบาล ร่วมมือกับรัฐบาล
ส่วนสูตร 6-4-6-4 ในโร้ดแม็พการร่างรัฐธรรมนูญนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะสนใจอะไร ถ้าผ่านก็ไม่ใช้สูตรนี้ แต่ถ้าไม่ผ่านก็ต้องยอมรับ ตนจะอยากอยู่ไปทำไม อยากจะถามนักการเมืองเหมือนกันว่าทำไมอยากอยู่ ตอบได้หรือไม่ ถ้าถามตน ตอบได้ว่าจะอยู่เท่าที่จำเป็น 
“แต่พวกกเฬวรากข้างนอกชอบพูดแบบกลับไปกลับมา เคยพูดชัดเจนหรือไม่ ต่อไปนี้ไม่ทำผิดกฎหมาย ดีแต่ประชาธิปไตยอยู่นั่นแหละ อ้างว่าผมจะสืบทอดอำนาจ ทั้งรองนายก ทั้งผมโดนหมดว่าอยากมีอำนาจ อยากเป็นนายกฯ จะเป็นไปทำอะไร ถ้าเข้ามาทำงาน จะรู้ว่าตำแหน่งตรงนี้ไม่ใช่สบาย เพราะแบกคน 70 ล้านคน ทำยังไงเขาจะมีความสุข ต้องเผื่อแผ่แบ่งปันมากน้อยกันไป แล้วแต่ความเข้มแข็งของเขา ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็เป็นอยู่แบบนี้” นายกรัฐมนตรี กล่าว 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับคดีที่ถูกมาตรา 44 (ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557) ก็รัฐประกาศแล้วว่าห้ามทำอย่างนี้แล้วทำทำไม พอทำแล้วก็บอกว่ารังแก ไม่งั้นก็ปฏิเสธให้ทุกกฎหมายสิ ตนพยายามทำให้บ้านเมืองปกติ ก็ต้องใช้อำนาจพิเศษ แต่วันนี้เริ่มไม่กลัวกันอีกแล้ว ก็ระวังตัวไว้แล้วกัน พวกชอบมาแถลง ตัวเองก็มีคดีติดเยอะแยะไปหมด ไม่เคยกลัวอะไรเลย มีการประกันตัวเยอะแยะไปหมด แต่ก็ออกมาพูดกันอยู่ได้ ศาลถอนประกันก็หาว่ารังแก คุณรังแกตัวเองทั้งสิ้น จะอะไรกันนักหนา จะเรียกประชาธิปไตยวันนี้ แต่ตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์อยู่ จะมาเรียกอะไร ไว้ไปเรียกวันเลือกตั้งนู่น
@เตือนอย่านำ ‘สถาบันฯ’ มาเกี่ยวข้องกับการเมือง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มีบางฝ่ายว่าท่าน จะว่าสถาบันฯทำไม ทำไมต้องเอาท่านลงมาเกี่ยวข้อง ท่านพระราชทานอำนาจมาอยู่ตรงนี้แล้ว 3 อำนาจ นิติบัญญัติ ตุลาการ บริหาร ท่านทำอะไร ท่านอยู่เหนือความขัดแย้ง อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ท่านลงพระปรมาภิไธยในกฎหมาย ท่านมอบมาแล้ว อย่าหาว่าท่านสั่งนู่นสั่งนี่ ท่านครองราชย์มาหลายสิบปี พระองค์ท่านทรงทราบ แต่กลับเอาท่านมาสู้กันอีก ก็เป็นอยู่แบบนี้ ขออย่าเอาท่านลงมา พวกตนยอมไม่ได้ 
“มีบางคนได้รับนิรโทษแล้ว ก็มาทำใหม่อีก พวกนี้ไม่ตายดี เจ็บป่วยเรื่อย ๆ เดี๋ยวคอยดูเถอะ ไม่มีใครอยู่ดีทั้งหมด วันนี้ถล่มกันจนเละ บอกว่าผมไม่ดูแล ผมสั่งปิดเว็บไซต์ ปิดไหวหรือไม่ ปิดนี่ ก็มีเปิดใหม่ นี่คือเสรีภาพในการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย ทุกคนมีสิทธิมนุษยชนที่จะด่าใครก็ได้หรือไม่ ไปคิดกันมา ต่างประเทศเขามีกฎหมายแบบเราหรือเปล่า ประเทศอื่นเขาไม่มี เขานึกไม่ถึงทุกเรื่อง เขามองมุมองแบบตะวันตก เราเหมือนเขาหรือไม่ เราจะเหมือนเขาทุกอย่างได้หรือ ให้ไปหาวิธีการปฏิรูปมา” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ไม่ใช่เมืองขึ้นมะกัน

นายกฯ ลั่นไม่ใช่เมืองขึ้นมะกันแจงหลักปกติท​​ูตมะกันพบรมต. ก่อนนัดพบนายกฯ ไม่ได้จำพบกันพฤหัสนี้บ่นแคร์ไรหนักหนาเป็นเมืองขึ้นหรือไม่ห่วงสถานการณ์ทะเลจีนใต้อย่าดึงไทยเอี่ยวย้อนปีก่อนประสาน ถึงไม่ขัดแย้งชี้จะเอาอะไรไปช่วยเรือรบก็ไม่มี
พล. อ. ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. กล่าวถึงการที่นายกลีน เข้าพบนายวิษณุเครืองามรองนายกรัฐมนตรีว่า รัฐมนตรีอีกหลายคนเป็นหลักปฏิบัติปกติเขาคุณต้องไปพบคนอื่นก่อนค่อยนัดเข้าพบนายกรัฐมนตรีไม่อยากพบก็อย่าพบก่อนหน้านี้ที่คุณนายเดวี่ส์ก็ขอเข้าพบเพียง แต่เวลาว่างไม่ตรงกันจึงไปเข้าพบรองนายกรัฐมนตรี ก่อนก็ถือว่าดีจะได้ช่วยกันอธิบายตนพูดคนเดียวอาจจะไม่ฟังก็ได้ทูตเขามาก็เป็นตัวแทนของประเทศเขาก็ให้เกียรติกัน
"ทำไมหรือจะพบไม่พบมันจะสำคัญอะไรนักหนาทำไมเป็นเมืองขึ้นเขาหรืออย่างไรปัดโธ่ให้ความสำคัญทุกประเทศทำไมต้องไปแคร์นักหนาทำไมคุณไม่ให้เกียรติผมบ้างละ ไม่เห็นพูดเลย "พล. อ. ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามว่าเห็นในหมายงานว่าเป็นวันที่ 29 ตุลาคมในช่วงบ่ายใช่หรือไม่นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า "ไม่รู้ละผมไม่เคยจำวันหนึ่งผมยังไม่รู้เลยทำอะไรบ้างต้องคอยถามวันนี้มีอะไรบ้างจำไม่ได้จะ จำทำไมไม่อย่างนั้นจะตั้งคนมาทำไมเยอะแยะเลขาก็มีทส. ก็มีรปภ. ก็มี ส่วนใหญ่ถามไปตอบไม่ได้กันอยู่แล้ว”
พล. อ. ประยุทธ์กล่าวว่าไม่ห่วง เราต้องวางตัวให้ถูกเราไม่ใช่ศัตรูใครทั้งสิ้น แต่เราต้องสนับสนุนเขา วันนี้ส่งให้สิงคโปร์ไปทำอยู่ เกิดความร่วมมือในทะเลจีนใต้จึงไม่เกิดความรุนแรงนี่แหละผลงานที่เราทำปีที่แล้ว จะไปยุ่งอะไรกับเขาเล่าจะเอาเรือรบไปช่วยเขาหรืออย่างไรเรือเราก็ไม่มีเขามีทั้งเรือดำน้ำเรือบรรทุกเครื่องบิน

Talk show



นายกฯ บิ๊กตู่ทำลายสถิติทอล์คโชว์พูดนาน 2 ชม. 10 นาทีก่อนจบมีแฉบางคนฟังฝรั่งพูดไม่รู้เริ่องเขาถามแล้วตอบไม่ได้ แต่สั่งให้ล่ามแปลพูดเองไปเลยตัวเองก็พูดภาษาไทยไปเรื่อย ๆ อย่าให้ผมแฉนะว่าใคร .... เผยที่ผ่านมาผมเมตตาไปเยอะแค่เรียกมาปรับทัศนคติก็หาว่าละเมิดสิทธิ์ต่อไปไม่เรียก แต่ให้ติดคุกเลยหรือปล่อยเป็นคอก.. ออกตัวขอโทษสภาใช้ คำแรงหลุด .. "ห่า" .. ขึ้น "วะเวอะ" ตลอดจนต้องเอ่ยขอโทษสภาอันทรงเกียรติตลอดบ่นประตูเดียวไม่คิดดักฟังเบื่อจะตาย .... บ่นเปิดโซเชี่ยลฯ มีคนเขียนประวัติใหม่ ให้ตลอดไม่มีดีเลยมาอยู่ตรงนี้ไม่มีใครจะอยากมาต้องแบกคนทั้ง 70 ล้าน

"เครื่องมันร้อน เลยพูดเร็ว"

ทอล์คโชว์ .....
พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาสวมหมวกนายกฯ / หน. คสช. ประชุมแม่น้ำ 5 สายออกตัวจะพูดช้าลงเผยร่างประเด็นที่จะพูดมาเองเล่มหนาตึ๊บ
.... แม้ ออกตัวไว้ว่าวันนี้จะพูดช้าลง แต่พอพูด ๆ ไปก็พูดเร็วอีก ... "เครื่องมันร้อนเลยพูดเร็ว" ย้อนพูดไปถึงปี 2553 จนถึงก่อนวันที่ 22 พค แจงสาเหตุปฏิวัติถ้าไม่ทำประเทศล่มไปแล้ว แต่ผมไม่ได้เป็นคนเริ่มต้นปัญหาย้อนเหตุปฏิวัติเพราะประเทศจะล่มสลายอยากแก้ปัญหาประเทศการเมืองทหารจะได้ไม่ต้องออกมาอีกไม่ใช่ถึงเวลามีทหารมาปฏิวัติให้ยันไม่มี ทหารคนไหนอยากเข้ามาผมก็ไม่อยาก ..... เปรียบ ข้ามความขัดแย้ง ถึงนักการเมืองทำไมอยากอยู่ในอำนาจให้นานที่สุดตอบมา แต่ผมอยากอยู่เท่าที่จำเป็นไม่ได้อยากอยู่ด่าเป็นพวกกะเลวกะราดเปรยผมจะอยากอยู่ต่อไปทำอะไรวะมาอยู่ครงนี้ต้องแบกคน 70 ล้าน คนไม่ใช่แค่ 10-12 ล้านคน

นายกฯบิ๊กตู่ งอนสื่อ วิจารณ์การมอบนโยบายให้แม่น้ำ5สาย



นายกฯ บิ๊กตู่งอนสื่อวิจารณ์การมอบนโยบายให้แม่น้ำ 5 สาย

นายกฯ บิ๊กตู่งอนสื่อวิจารณ์การมอบนโยบายให้แม่น้ำ 5 สายวันนี้พูดคนเดียวไม่เปิดให้สมาชิกถามหริอเปิดแถลงข่าว ..... แจงต้องอธิบายซ้ำเพราะสปท. -. กร ธ มาใหม่หวัง สร้างความเข้าใจเพื่อให้ทำงานในแนวทางเดียวกันจึงต้องเริ่มตั้งแต่ก่อนวันที่ 22 พค จนมาถึงโรดแมพแต่ละระยะเพื้อหวังให้ส่งต่อให้รัฐบาลต่อไป ... แจงเจตนารมย์นายกฯ มอบนโยบายแม่น้ำ 5 สาย แนะแม่น้ำทุกสายต้องหารือต่อเนื่องอย่าต่างคนต่างทำ ... แหม !! ก็อุตส่าห์ตั้งใจเตรียมตัวเตรียมร่างจนทำเป็นเล่มหนา 80 หน้าแถมเวลามีน้อย แต่มาถูกวิจารณ์ก็เลยงอลลลลล ....

มีรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่าการที่พล. อ. ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีให้นโยบายในการประชุมแม่น้ำ 5 สายนั้นเพื่อให้ทั้งหมดรู้โจทย์ (คสช.) และรัฐบาลในห่วงที่ผ่านมาว่าได้ทำอะไรไปบ้างและปัญหาอยู่ที่ตรงไหน และอยากให้แม่น้ำทั้ง 5 สายหารือกันอย่างต่อเนื่องไม่ใช่ต่างคนต่างทำโดยที่ผ่านมารัฐบาลและคสช. เริ่มปฏิรูปในระยะที่ 1 ไว้แล้วในเรื่องเร่งด่วนและต้องทำให้จบภายใน 1 ปีก่อนเดือนกรกฏา คมปี 2560 หน้าดำเนินการต่อไปทั้งนี้ วิธีการซึ่งต้องกำหนดด้วยว่า ลำดับงานความเร่งด่วน 1,2,3 เพื่อเสนอให้สนช. ออกกฎหมายมีผลบังคับใช้ได้เดือนก. ค ปี 2560 เรื่องไหนที่ไม่สำเร็จหรือต้องดำเนินการต่อเนื่องในระยะ 2,3 คสช. และนายกรัฐมนตรี แบบมั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืนโดยต้องมีวิธีการที่กำหนดให้รัฐบาลหน้าต้องนำไปปฏิบัติอย่างไร ซึ่งบางเรื่องอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการต่อเนื่องหลายรัฐบาล ทั้งหมดคือเจตนารมย์ของนายกรัฐมนตรี ที่วันนี้ทำหน้าที่ในบทบาททั้งหัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการนำพาประเทศไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ แบบมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน