PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

'กกต. สมชัย' ชี้ชุมนุมเกิน 5 คน แม้ไม่ผิด กม.ประชามติ ก็ผิด กม.ความมั่นคง

'กกต. สมชัย' ชี้ชุมนุมเกิน 5 คน แม้ไม่ผิด กม.ประชามติ ก็ผิด กม.ความมั่นคง

บีบีซีไทย สัมภาษณ์ สมชัย ศรีสุทธิยากร ยันรณรงค์ไม่หยาบไม่บิดเบือน ไม่ปลุกระดม ทำได้ ไม่ละเมิด พ.ร.บ. ประชามติ แต่ถ้าชุมนุมเกิน 5 คน ผิดกฏหมายทางด้านความมั่นคง ยินดีให้องค์กรต่างประเทศเข้ามา แต่ไม่มีนโยบายเชิญให้เข้ามาสังเกตการณ์เพราะไม่มีงบประมาณ
30 มิ.ย.2559 เมื่อเวลา 13.30 น. บีบีซีไทย - BBC Thai ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ สมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อจะสร้างความชัดเจนว่า มีอะไรทำได้และอะไรทำไม่ได้ ถึงกรณีความสับสนของหลายฝ่ายที่ต้องการรณรงค์ในเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ 
สมชัย บอกว่า การรณรงค์ใด ๆ หากตั้งอยู่ในกรอบข้อบังคับ คือ ไม่ใช้คำหยาบคาย บิดเบือนข้อเท็จจริง หรือปลุกระดม สามารถกระทำได้และไม่ถือว่าเป็นการละเมิด พ.ร.บ. ประชามติ แต่การฟ้องร้องโดยใช้ข้อกฏหมายดังกล่าวถือเป็นดุลพินิจของเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้อยู่ในเหตุการณ์ซึ่งมีสิทธิฟ้องร้องได้ ส่วนกกต.มีหน้าที่ชี้แจงว่าสิ่งไหนควรทำหรือไม่ควรทำ แต่การดำเนินการทางกฏหมายขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารว่าจะปฏิบัติตามหรือไม่ 
"แต่เนื่องจากว่าภายใต้สิ่งซึ่งเป็นการเมืองการปกครองของไทยในปัจจุบันนั้น ทางฝ่ายทหารเองก็จะมีกฏหมายความมั่นคงที่ถืออยู่ ดังนั้นการชุมนุมกันในที่สาธารณะเกินกว่า 5 คนขึ้นไปนั้น แม้ไม่ผิดกฏหมายประชามติ ก็ไปผิดกฏหมายทางด้านความมั่นคง" สมชัย กล่าว

สมชัย ยืนยันว่า ที่ผ่านมากกต.ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นกลางแล้ว แต่ที่หลายคนมองว่าได้มีการตอบโต้กลุ่มผู้คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญเพียงกลุ่มเดียว อาจเป็นเพราะกิจกรรมของกลุ่มดังกล่าวมีความล่อแหลมกว่ากลุ่มผู้สนับสนุน จึงได้รับคำเตือนมากกว่า

ในส่วนของการจัดตั้งศูนย์ต้านโกงของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และข้อเสนอให้เชิญองค์กรต่างประเทศเข้ามาสังเกตการณ์การทำประชามติ สมชัย ระบุว่ายินดีให้ความร่วมมือหากมีองค์กรต่างประเทศติดต่อเข้ามา แต่ไม่มีนโยบายเชิญให้เข้ามาสังเกตการณ์เพราะไม่มีงบประมาณ ส่วนประชาชนทั่วไปสามารถไปสังเกตการณ์การลงประชามติได้นอกคูหาลงคะแนน

บีบีซีไทย ระบุด้วยว่านอกเหนือจากบทสัมภาษณ์ในคลิปนี้แล้ว สมชัย เสริมด้วยว่า ที่ผ่านมาตนได้ใช้โลกออนไลน์โพสตอบโต้ในเรื่องประชามติกับกลุ่มผู้คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ เพราะว่าเป็นสิทธิที่พึงกระทำได้ ถ้าอีกฝ่ายมีท่าทีสุภาพ ตนก็จะตอบด้วยความสุภาพ แต่ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งแสดงท่าที่หมิ่นประมาท ตนก็ขอใช้สิทธิปกป้องตัวเองเช่นกัน

บิ๊กป้อม เผย ทร.เสนอซื้อเรือดำน้ำ ยัน ลำละ 1.2 หมื่นล้าน "ไม่มาก"



บิ๊กป้อม เผย ทร.เสนอซื้อเรือดำน้ำ ยัน ลำละ 1.2 หมื่นล้าน "ไม่มาก" ทะยอยซื้อทีละลำ เริ่มลำแรก ใช้งบปี 60 ยันไม่ได้ใช้งบฯแบบเศรษฐี ยันซื้อเรือจีน ยันมันดีแล้ว ใช้ได้แน่นอน แล้วเป็นเทคโนโลยีใหม่ ปัด ดำอ่าวไทยไม่ได้. ขนาดพม่า ยังมี10ลำ
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และกลาโหมให้สัมภาษณ์ถึงแผนการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีนจำนวน 3 ลำ ที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาก ว่า แผนจัดซื้อเรือดำน้ำจำนวน 3 ลำ มูลค่าลำละ 1.2 หมื่นล้านบาทนั้น ถือว่าไม่มากเนื่องจากสามารถผ่อนชำระเป็นเวลาร่วม 10 ปี
อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้ยาวนาน ส่วนเรื่องเทคโนโลยีของจีนที่หลายฝ่ายยังมีข้อกังขาว่าสู้ชาติอื่นไม่ได้นั้น ผมรับรองว่ามันดีแล้ว ใช้ได้แน่นอน แล้วเป็นเทคโนโลยีใหม่
เมื่อถามว่า กองทัพเรือเคยมีกองเรือดำน้ำ แต่ถูกยุบไป เนื่องจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์ชายฝั่งทะเลไทยมีความลึกไม่มาก แต่ทำไมถึงยังมีแผนจัดซื้ออีกในยุคนี้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่าทรัพยากร ธรรมชาติฝั่งอันดามันของเรามีจำนวนมาก อีกทั้ง ประเทศเพื่อนบ้านเราก็ล้วนแต่มีเรือดำน้ำทั้งหมด เมียนมายังมีตั้ง 10 ลำ ซึ่งไม่ได้ซื้อเรือเก่าเลย
เมื่อถามว่าแสดงว่าสังคมก็มั่นใจได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “สื่อก็ต้องช่วยกัน กองทัพเรือเป็นเจ้าของเรื่องก็ต้องไปดู ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นทำความตกลงร่วมกัน อยู่ในขั้นดำเนินการ แต่ชั้นนี้กองทัพเรือได้ไปพิจารณารายละเอียดไว้หมดแล้ว แต่ยังต้องใช้ระยะเวลาอีกนาน
กองทัพเรือกำหนดแล้วว่าจะซื้อ เบื้องต้นจะใช้ประมาณปี 2560 จัดซื้อเรือดำน้ำลำแรกก่อน ต้องค่อยๆทำ ไม่ใช่ใช้งบประมาณแบบเศรษฐี เสียเมื่อไหร่ ต้องใช้แบบคนยากคนจน ซึ่งเป็นแผนงานของกองทัพเรือตั้งแต่ปี 2551-2552 แต่ตอนนั้น ผมขอให้ระงับไว้ก่อน”

นายกฯ ไม่สนใจ "ทูตสหรัฐฯ"ติงไทย แก้ค้ามนุษย์ ต่ำกว่ามาตรฐาน

นายกฯ ไม่สนใจ "ทูตสหรัฐฯ"ติงไทย แก้ค้ามนุษย์ ต่ำกว่ามาตรฐาน ยันไม่สนใจคนๆเดียว เพราะได้Tier2 แต่ยัน ไม่ได้ทำตามใครสั่ง หรือต้องบังคับ
จากกรณี กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ ออกแถลงการณ์รายงานการค้ามนุษย์ โดยประเทศไทยขยับขึ้นมาTier2 watch list แต่ทางทูตสหรัฐ Glyn Davies ระบุว่าการทำงานของไทยยังไม่ถึงมาตรฐานขั้นต่ำ นั้น
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวว่า แล้วอันดับเราปรับมาอยู่ Tier 2หรือเปล่า
"ความเห็นของคนๆเดียวจะสนใจอะไร เราก็ต้องทำต่อ ผมบอกแล้วว่า ไม่ได้ทำเพื่อใคร หรือเขาต้องมาบังคับให้ทำ แต่เป็นหน้าที่ที่ต้องทำอยู่แล้วในเรื่องที่มีปัญหา ทำไมจะต้องทำตามโน่นนี่
เราต้องเอาหลักการ มาดูว่ามีความบกพร่องตกไหน แล้วเราก็แก้ตรงนั้น ทำไมต้องให้ใครมาบังคับ ไม่บังคับเราก็ทำ นี่คือสิ่งที่ทุกรัฐบาลต้องทำแบบนี้ เอาปัญหามาคลี่หาวิธีแก้ บริหารจัดการงบประมาณให้ถูกต้อง จัดระบบให้เกิดการบูรณาการข้ามกระทรวงในกิจกรรมเดียวกันให้สอดคล้องเสร็จเป็นเป้าหมายผลสัมฤทธิ์ตามที่กำหนดไว้
" เราต้องสร้างเส้นเลือดใหญ่แล้วก็เพิ่มเส้นเลือดรอง เส้นเลือดฝอยต่อกัน นี่คือสิ่งที่รัฐบาลทำที่เรียกว่าการปฏิรูปอย่างยิ่งใหญ่ เพราะที่ผ่านมา ก็ทำแบบนี้มาหลายปีแล้วไม่สำเร็จ ผมทำให้เต็มที่
อย่าไปฟังทุกคนที่พูด อย่าไปเชื่อทุกอย่างที่ได้ยิน แล้วอย่าไปพูดตามในสิ่งที่ทุกคนพูดถ้าอย่างนี้เราก็ไม่ทะเลาะกันอยู่แล้ว"
ส่วนการปรับอันดับขึ้นมาอยู่Tier2 นั้นจะส่งสัญญาณไปถึงการแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมาย ด้วยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตรงนี้ตอบไม่ได้ เพราะเป็นส่วนของ IUU
เพราะนี่คือค้ามนุษย์ ซึ่งเกี่ยวข้องกัน แต่IUU นั้นมีหลายเรื่องที่ต้องแก้กว่า 30 เรื่อง เราก็แก้มาตลอด ทั้งกฎหมาย การลงโทษ กระทำความผิด วิธีบริหารจัดการ เจ้าหน้าที่ รวมถึงการติดGPS เรือทุกล ำนับหมื่นลำ มันง่ายนักหรือไง แล้วมันผิดกฎหมายมาเป็นเวลานาน
แต่วันนี้ติดตั้งได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ควบคุมได้เกือบทั้งหมด จะเห็นว่าการลงโทษก็มี ผมก็ลงโทษไปแล้ว ซึ่งต้องสอบสวน
ฉะนั้นขอให้เข้าใจว่าที่ทำไปนั้นตนไม่มีอะไรกับใครทั้งสิ้น ซึ่งน่าจะเป็นห่วงผมมากกว่า ในการให้ทำนี่ทำโน่น แล้วเคยห่วงบ้างไหม ผมต้องทำทุกอย่าง แม้หลายคนอาจจะไม่ชอบ แต่ผมจำเป็นต้องทำ นั่นคือความแตกต่างเพราะไม่ได้ทำเพื่อใคร ทำเพื่อประชาชนทั้งสิ้น

คสช.จับตา “วัฒนา” หลัง บินพบ"ทักษิณ"




คสช.จับตา “วัฒนา” หลัง บินพบ"ทักษิณ" เผยมีคนที่คสช.อนุญาตให้ไปตปท. เป็นร้อยคน แต่ไม่มีใคร มีพฤติกรรมเหมือน "วัฒนา"โยน กกต. ดู ใส่เสื้อไม่รับร่างรธน./ เตือน "สุดารัตน์"คุยนักการเมือง แค่สร้างกระแส. เตือนอย่าเกิน5 คน/ ยันจับตา ทุกกลุ่มเหมือนกัน เปล่า เข้าข้าง"สุเทพ"
พันเอก ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคสช. กล่าวถึงกรณีที่นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย เดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ประเทศสิงคโปร์ว่า การที่นายวัฒนาเดินทางไปต่างประเทศ สืบเนื่องจากการที่คสช.มีคำสั่งยกเลิกการห้ามนักการเมืองเดินทางออกนอกประเทศ เพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนปรน
แต่ในส่วนของคนที่มีคดีความต้องไปขออำนาจศาล แต่ถ้าไปเคลื่อนไหวทางการเมืองคสช.ก็ติดตามเฝ้าดูอยู่
ส่วนจะละเมิดข้อกฎหมายใดเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องดูแล ซึ่งขณะนี้บรรยากาศบ้านเมืองยังคงสงบ และคสช.ให้ความสำคัญเรื่องนี้
ส่วนการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่าง ๆ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย เพราะเป็นช่วงใกล้ถึงวันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ แต่ฝ่ายกฎหมายก็ติดตามอยู่ การเคลื่อนไหวต่างๆ ต้องไม่นำไปสู่การยุยงปลุกปั่น หรือนำไปสู่ความรุนแรง ในส่วนของคสช.ต้องประเมินสถานการณ์ตามช่วงเวลา
ส่วนกรณีของนายวัฒนาที่สวมเสื้อไม่รับร่างรัฐธรรมนูญไปพบนายทักษิณถือเป็นพฤติกรรมส่วนบุคคล เพราะยังมีอีกหลายร้อยคนที่คสช.อนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศได้ แต่ก็ไม่ได้แสดงพฤติกรรมดังกล่าว ซึ่งก็ต้องติดตามพฤติกรรมของนายวัฒนาต่อไป
ถามถึงการที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย นัดอดีตนักการเมืองมาหารือกัน พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวว่า ทางฝ่ายกฎหมายติดตามอยู่ แต่การปฏิบัติยังไม่เกิด เป็นเพียงแนวความคิดว่าจะทำแบบนั้น
ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม ได้เตือนผ่านสื่อมวลชน ไปแล้ว ระบุว่าอะไรก็ตามถ้าผิดกฎหมายก็อย่าทำ
แต่เชื่อว่าคุณหญิงสุดารัตน์และนักการเมืองต่างๆ เป็นผู้คร่ำหวอดในวงการการเมืองจะไม่ทำผิดคำสั่งคสช.กรณีชุมนุมเกิน 5 คนขึ้นไป
"มองว่าบางทีก็สร้างกระแสมากกว่า คสช.จับตาดูงานด้านความมั่นคง เวลานี้ไม่สมควรเคลื่อนไหวสร้างความสับสนให้ประชาชน ควรสร้างการรับรู้และเชิญชวนประชาชนออกไปใช้สิทธิ์ กระแสบิดเบือนความขัดแย้งไม่ควรเกิดขึ้น คสช.ต้องใช้มาตรการเตือนลงไป เพราะบรรยากาศบ้านเมืองตอนนี้สงบ รัฐบาลแก้ไขทุกปัญหาไม่ได้เฉพาะด้านการเมือง "
พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าการรวมตัวกันของกลุ่มที่เคยขัดแย้งกันมาก่อนในอดีตเพื่อมาหาทางออกให้ประเทศถือมีนัยยะสำคัญที่คสช.จะต้องติดตามต่อไป แต่คสช.ยังระบุไม่ได้ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยต่อการเคลื่อนไหวดังกล่าว แต่สิ่งใดก็ตามที่ประเทศสงบและประชาชนมีความสุข คสช.ไม่ขัดข้อง
“คสช.ยืนยันจะไม่ใช้มาตรการรุนแรงดำเนินการกับผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหว เมื่อเกิดกระแส เราจะวิเคราะห์สถานการณ์และคลี่คลายเหตุการณ์ต่างๆให้เป็นไปตามความเหมาะสม โดยยึดกรอบของกฎหมายและไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือนำไปสู่ความรุนแรง ดังนั้นไม่ต้องกังวล เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นไปตามวงรอบเพื่อจุดกระแส แหย่ด้วยการบิดเบือน แชเชือนไม่เคารพกฎหมาย ขยายกระแสด้วยแถลงการณ์ ชวนเพื่อนบ้านมาสาวไส้ จบลงด้วยการเช็คเรตติ้ง สรุปทุกสิ่งเพื่อผลประโยชน์กลุ่มตน
ถามว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าคสช.ไฟเขียวให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยนั้น พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวว่า คสช.ติดตามการเคลื่อนไหวของทุกฝ่าย พร้อมประเมินพฤติกรรม โดยนำพฤติกรรมในอดีตมาเปรียบเทียบว่าเขาหวังผลต่อสิ่งใด
"ยืนยันคสช.ไม่เข้าข้างหรือยืนข้างใดข้างหนึ่ง แต่คสช.ยืนอยู่ข้างประชาชนเท่านั้น "
ส่วนกรณีที่มีการร้องเรียนว่าคสช.ละเมิดสิทธิ์นักศึกษา 7 คนนั้น ในเวลานี้ทั้ง 7 คนถูกควบคุมตัวภายใต้กฎหมาย ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งการดำเนินการอยู่ที่ศาล
ส่วนที่มองว่าจะไปละเมิดสิทธิ์นั้นเป็นเรื่องที่คิดและพูดกันไป ซึ่งเชื่อว่าจะไม่สามารถจุดกระแสนักศึกษากลุ่มอื่นลุกขึ้นมาร่วมต่อต้านได้ เพราะเชื่อว่าคสช.ทำงานตามกรอบกฎหมายและยึดความเป็นธรรม ไม่ใช่ความรุนแรง ปฏิบัติกับประชาชนทุกกลุ่มตามความเหมาะสมของสถานการณ์ หากมีหน่วยงานหรือองค์กรใดมีข้อสงสัย คสช.สามารถชี้แจงได้

บิ๊กป้อม เตือน "คุณหญิงสุดารัตน์" นัดคุย นักการเมือง หาทางออกประเทศ อย่าทำผิดก็แล้วกัน



บิ๊กป้อม เตือน "คุณหญิงสุดารัตน์" นัดคุย นักการเมือง หาทางออกประเทศ อย่าทำผิดก็แล้วกัน ไม่รู้เจตนา แต่เชื่อหวังดี ขอมั่นใจ มีประชามติ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึง การที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย นัดนักการเมืองพูดคุยเพื่อแก้ไขปัญหาบ้านเมืองในสัปดาห์หน้าว่า ว่า “จะคุยก็คุยไป แต่อย่ามาคุยกันหลายคนก็แล้วกัน เพราะเรามีกฎหมายอยู่ ก็คุยไป ก็คุยกันได้
ผมเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะรู้ว่าทุกคนหวังดีต่อประเทศทั้งนั้น แต่ว่าอย่าให้ผิดกฎหมายก็แล้วกัน เพราะหากผิดกฎหมายก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย ไม่น่าเป็นห่วงอะไร”
เมื่อถามว่า ดูแนวโน้มแล้ววางใจได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ทำได้ แต่อย่าให้เกิดความขัดแย้ง อย่าทำให้เกิดความไม่สงบ ขัดแย้งไม่ได้ ผิดกฎหมายไม่ได้ และจะพูดเรื่องอะไรก็พูดไป อย่าพูดเกินเลย และอย่าไปชักจูง หรือแนะนำในสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของตน อย่าไปโฆษณาชวนเชื่อ
เมื่อถามว่า แปลกใจกับการเคลื่อนไหวของคุณหญิงสุดารัตน์ครั้งนี้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนไม่ทราบเจตนาที่แท้จริง ต้องไปถามเจ้าตัว ถามตนไม่ได้ ตนไม่ใช่คนคิด
เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าเหตุการณ์จะเรียบร้อยก่อนถึงวันประชามติ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ถ้าผมทำแล้วผมไม่มั่นใจ แล้วใครจะมั่นใจ ถามว่าพวกคุณมั่นใจหรือไม่ พวกคุณก็ไม่รู้ แต่เป็นคนทำผมก็ต้องมั่นใจสิครับ เพราะผมปรารถนาดีต่อบ้านเมืองและประชาชนทุกคน ไม่ใช่ทำไปแบบสักแต่ว่าทำ มันไม่ใช่ เราต้องการให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าให้ได้ นายกฯเองก็เหนื่อยแบบนี้ทุกวันก็เพื่อบ้านเมืองทั้งนั้น”

อาจารย์-นักเขียนผู้มีรายชื่อในโควตา มาเยี่ยมกลุ่ม NDM "ผมต้องมา แม้ไม่รู้จักกัน"


เดชรัต สุขกำเนิด อาจารย์ ม.เกษตร เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์จุฬาฯ สุชาติ สวัสดิ์ศรี นักเขียน บารมี ชัยรัตน์ ผู้ประสานงานสมัชชาคนจน เป็นผู้มีรายชื่อเยี่ยมหนึ่งในสมาชิกกลุ่ม NDM ที่ถูกขังเดินทางมาเยี่ยมที่เรือนจำ
ทั้งนี้กฎของเรือนจำที่เพิ่งบังคับใช้เข้มงวดหลังรัฐประหารได้กำหนดให้ผู้ต้องขังแต่ละคนสามารถมีญาติ/เพื่อนเยี่ยมได้ไม่เกิน 10 คนและต้องระบุรายชื่อให้ชัดเจน นอกเหนือจากรายชื่อดังกล่าวจะไม่สามารถเยี่ยมได้
"ผมรู้สึกแปลใจที่เขาใส่ชื่อผมเพราะเราไม่รู้จักกันมาก่อน หรืออาจเคยเจอแต่ก็จำกันไม่ได้ พอทราบข่าวว่ามีชื่อผมผมเลยต้องรีบมาเพื่อมาให้กำลังใจพวกเขา" บารมีกล่าว
ทั้งนี้ก่อนหน้าการเข้าเยี่ยมกลุ่มนักเขียนไปร่วมกันปล่อยลูกโป่งหน้าเรือนจำเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพที่ขาดหายไปจากสังคมนี้ และร่วมบริจาคหนังสือเข้าห้องสมุด
เดชรัตกล่าวภายหลังเข้าเยี่ยมว่า หลายคนมีสภาพอ่อนเพลียอาจเพราะสภาพอากาศและการนอนหลับที่ไม่ค่อยดี ส่วนของฝากจำพวกของกินของใช้ที่ฝากกันก่อนหน้านี้บางส่วนยังไม่ได้รับ พวกเขากระหายจะทราบข้อมูลข่าวสารภายนอกมากเพราะไม่ได้รับทราบข่าวสารเลยในเรือนจำ เพื่อนๆ ต้องเล่าสถานการณ์ต่างๆ ให้ฟังและพวกเขายังหวังอยากให้การณรงค์เกิดขึ้นได้อย่างปกติ ส่วนกรณีของปอ กรกช แสงเย็นพันธ์ ศิษย์เก่า ม.เกษตร แสดงความเป็นห่วงน้องๆ กลุ่มเสรีเกษตรว่าจะโดนทางมหาวิทยาลัยลงโทษทางวินัยหรือไม่ ซึ่งตนเองได้แจ้งให้ปอทราบว่า ตนได้แจ้งทางอธิการบดีไปแล้วว่าน้องๆ ไม่มีความผิดและตอนนี้ไม่มีการลงโทษจากมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด

เปิดปูม‘หญิงไก่’อดีตพยานคดีเครื่องราชฯปี29 ชี้มัด‘กิมเอ็ง’คุณหญิงเก๊ ก่อนโผล่แจ้งจับคนใช้


 จากกรณีน.ส.ประภาวรรณ ใจกล้า หรือน้องก้อย อายุ 19 ปี ชาวจ.นครพนม นิสิตปีที่ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เข้าร้องทุกข์กับตำรวจกองปราบปราม เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบหลังถูกนางไก่ หรือหญิงไก่ อดีตนายจ้าง แจ้งความดำเนินคดีกับตน พร้อมบิดาและมารดาที่สน.ประชาชื่น ในข้อหาลักทรัพย์ โดยอ้างมีทรัพย์สินสูญหายไป 11 รายการ ทั้งทองแท่งหนัก 40 บาท ทองรูปพรรณ และสร้อยเพชร รวมมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท โดยน้องก้อยเผยด้วยว่านางไก่ชอบอ้างตัวเป็นคุณหญิง และมีสามีเป็นนายตำรวจยศพ.ต.ท. ขณะที่ช่วยทำงานอยู่ที่ห้องพักของหญิงไก่ ย่านประชานิเวศน์ 1 หากหญิงไก่อยู่ห้องพัก ทุกคนต้องหมอบคลานตลอดเวลา จากนั้นหญิงไก่ได้ชักชวนให้ไปทำงานที่ฮ่องกง โดยระบุเคยส่งไปแล้วหลายคน ทุกคนได้รับค่าตอบแทนสูง แต่แม่ของตนได้ปฏิเสธ ก่อนถูกหญิงไก่รบเร้าอย่างต่อเนื่อง จนทนไม่ไหวเลยชวนพากันหนีออกมา กระทั่งมาทราบถูกหญิงไก่แจ้งจับฐานลักทรัพย์ 10 ล้านบาท แล้วถูกตำรวจตามจับกุม เมื่อสอบถามพบตำรวจมีหลักฐานเพียงภาพจากกล้องวงจรปิดที่ตนหิ้วกระเป๋าเดินทางออกมาจากห้องพักของหญิงไก่เท่านั้น ก่อนถูกส่งไปสถานพินิจฯนาน 2 เดือนแล้วปล่อยตัวออกมา ซึ่งครอบครัวลำบากมาก ก่อนตัดสินใจเข้าร้องขอความเป็นธรรม

 ต่อมาในวันที่ 28 มิ.ย. น.ส.วณิชยา หรือมีน บุ้นสุนเฮง อายุ 21 ปี ชาวจ.สมุทรปราการ เข้าร้องทุกข์กับตำรวจกองปราบปรามเช่นกัน เพื่อให้ดำเนินคดีกับหญิงไก่ ในข้อหาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ กลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษทางอาญา โดยระบุว่าเมื่อปี 2558 แม่ของตนทำงานเป็นแม่บ้านให้หญิงไก่ ก่อนถูกชักชวนให้ไปทำงานต่างประเทศ แต่แม่ได้ปฏิเสธและขอลาออก จากนั้นถูกหญิงไก่ได้แจ้งความที่สน.ประชาชื่น ฐานลักทรัพย์ ทั้งแหวนเพชรและนาฬิกาข้อมือ มูลค่า 3.26 ล้านบาท โดยแม่ของตนยืนยันว่านำเพียงถุงใส่เหรียญไปและคืนให้หญิงไก่แล้ว ก่อนถูกตำรวจตามจับกุมและส่งฝากขังคุมตัวไว้ที่เรือนจำคลองเปรม เพราะไม่มีหลักทรัพย์ยื่นประกันตัวตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.2558  

 จากนั้นหญิงไก่พร้อมทนายความได้ออกมาแถลงข่าวตอบโต้ถึงเรื่องราวทั้งหมด โดยหญิงไก่ระบุไม่ได้กลั่นแกล้งผู้เสียหาย โดยเด็กสาวคนดังกล่าวเข้ามาทำงานในฐานะเด็กรับใช้พร้อมกับพ่อแม่ แต่เมื่อทำงานเพียง 10 วันก็เกิดปัญหา เนื่องจากทรัพย์สินส่วนตัวหายไป จึงแจ้งความที่สน.ประชาชื่น เมื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดมีหลักฐานเป็นภาพเด็กสาวขโมยทรัพย์สินไป พร้อมปฏิเสธกรณีมีคนรับใช้ถูกแจ้งความฐานลักทรัพย์แล้วหลายคน แต่มีถูกดำเนินคดีแค่ 5 คนเท่านั้น เพราะมีความผิดชัดเจน

 สำหรับความคืบหน้า เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่กองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รองผบก.ป. เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 ก.ค. พนักงานสอบสวนประสานให้พ่อแม่ของน้องก้อยเดินทางเข้ามาร้องทุกข์กล่าวโทษอดีตนายจ้าง นอกจากนี้ จะประสานไปยังตำรวจสน.ประชาชื่น เพื่อนำตัวพ่อแม่ของน้องก้อยไปมอบตัว ในกรณีถูกอดีตนายจ้างแจ้งความดำเนินคดีก่อนหน้านี้ โดยจะมอบหลักฐานสำคัญที่เชื่อว่าพ่อแม่ของน้องก้อยไม่ได้กระทำความผิดให้กับพนักงานสอบสวนพิจารณาปล่อยตัว โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ด้วย

 พ.ต.อ.ชาคริตกล่าวต่อว่า ส่วนคดีของนางสุกัญญา ศิริม่วง แม่ของน.ส.วณิชยา ซึ่งขณะนี้เป็นผู้ต้องหาถูกขังอยู่ในเรือนจำ เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. พนักงานสอบสวน บก.ป. เดินทางไปสอบปากคำนางสุกัญญาในเรือนจำแล้ว โดยจากการสอบปากคำและรวบรวมพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าคดีมีมูล ส่วนรายละเอียดอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน จึงไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะต้องรอความชัดเจนแล้วความจริงจะปรากฏ โดยคดีนี้พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. กำชับให้เร่งดำเนินการโดยเร็ว เพราะยังมีผู้เสียหายอีกหลายรายที่ต้องการความช่วยเหลือ

 รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบประวัติของหญิงไก่ พบเดิมชื่อนางวันทนีย์ หยกวิริยะกุล ต่อมาในปี 2548 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นนางสุชาดา หยกวิริยะกุล กระทั่งล่าสุดเปลี่ยนชื่อและนามสกุลอีกครั้งเป็นนางมณตา หยกรัตนกาญ

 นอกจากนี้มีรายงานอีกว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบถึงความแน่ชัดของทรัพย์สินที่หญิงไก่อ้างว่าถูกขโมยไปมูลค่ากว่า 10 ล้านบาทตามที่แจ้งความไว้ว่ามีอะไรบ้าง นอกจากนี้เมื่อตรวจสอบย้อนหลังยังพบข้อมูลด้วยว่าเคยแจ้งความเอาผิดคนใช้มาแล้ว 4 คดี แต่ที่ถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลมีเพียง 1 คดี ส่วนที่เหลือไม่ติดใจเอาความ โดยทราบว่าหญิงไก่ขอเวลาอีก 3 วันจะออกมาแถลงข่าว ทั้งในเรื่องส่วนตัวและเรื่องคดีความด้วย

 สำหรับ ‘หญิงไก่’ หรือชื่อเดิมคือนางวันทนีย์ หยกวิริยะกุล เคยตกเป็นข่าวโด่งดังเมื่อปี 2529-2530 คดีแก๊งตุ๋นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยหญิงไก่เป็นพยานปากสำคัญในคดีนี้ ที่สำคัญยังเป็นน้องสาวของนางดวงฤทัย จารุจินดา หรือกิมเอ็ง แซ่เตีย ผู้ต้องหาคนสำคัญ ซึ่งทำหน้าที่เป็นนายหน้าตุ๋นคนดังในสังคมขณะนั้น เพื่อแลกกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อย่างไรก็ตามทางตระกูลจารุจินดาเคยออกมาชี้แจงว่าไม่พบนางดวงฤทัย จารุจินดา อยู่ในสารบบของตระกูล

 โดยจุดเริ่มต้นของคดีนี้มาจากสำนักเลขาธิการครม.เมื่อปี 2529 ตรวจสอบพบรายการขอรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปี 2529 ในส่วนของผู้ทำคุณประโยชน์แก่ทางราชการกว่า 750 รายการ ที่ระบุบริจาคเงินและสิ่งของให้วัดและโรงเรียนต่างๆ โดยมีใบอนุโมทนาบัตรระบุจำนวนเงิน 1,400 ล้านบาท ส่อเค้าไม่ถูกต้อง เนื่องจากพอสุ่มตรวจสอบไปยังแหล่งที่มาต่างระบุไม่ได้รับการบริจาคตามที่อ้างไว้ ทำให้ทุกหน่วยงานมีการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวทั้งหมด

 จากการสอบสวนของกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ทราบว่าคดีนี้มีพระภิกษุสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยจากพยานหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงพระราชปัญญาโกศล หรือเจ้าคุณอุดม รองเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสในขณะนั้น ก่อนถูกสึกจากการเป็นพระและดำเนินคดีตามกฎหมาย จากนั้นเจ้าหน้าที่ยังขยายผลถึงนางดวงฤทัย หรือกิมเอ็ง จากการตรวจค้นบ้านพักพบบัญชีรายชื่อและรูปถ่ายแต่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์จำนวนมาก แต่เมื่อตำรวจตรวจสอบย้อนหลังกลับไม่ปรากฏชื่อนางกิมเอ็งในราชกิจจานุเษกษา แถมยังมีหลักฐานเชื่อมโยงกันระหว่างเจ้าคุณอุดมและนางกิมเอ็งด้วย

 เมื่อเจ้าหน้าที่สอบสวนพบนางกิมเอ็ง ทำหน้าที่เป็นนายหน้าหาคนดังในสังคมมาให้เจ้าคุณอุดม ซึ่งในส่วนนี้ตำรวจชุดสืบสวนได้พยานปากสำคัญคือ ‘นางไก่’ หรือนางวันทนีย์ น้องสาวของนางกิมเอ็ง เนื่องจากนางไก่จะรู้ถึงอุปนิสัยและพฤติกรรมในการหลอกลวงของพี่สาวอย่างดี รวมถึงการแต่งกายของนางกิมเอ็งที่มักชอบนำสายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์มาสวมใส่แอบอ้างหลอกลวง นอกจากนี้นางไก่ยังเป็นโจทก์แจ้งความเอาผิดกับนางกิมเอ็ง ฐานฉ้อโกงด้วย ในระหว่างนั้นนางไก่ยังพยายามกินยาฆ่าตัวตาย โดยอ้างว่าน้อยใจผู้ใหญ่ในบ้านเมืองตอนนั้นเคยรับปากจะให้ความคุ้มครอง แต่สุดท้ายกลับปฏิเสธ ทำให้เสียใจและกินยาหวังฆ่าตัวตายในห้องพัก แต่เจ้าหน้าที่ช่วยนำตัวส่งโรงพยาบาลได้ทัน จนกระทั่งคดีนี้สิ้นสุดลง ก่อนนางไก่หรือหญิงไก่จะมาปรากฏเป็นข่าวอีกครั้งในคดีแจ้งจับคนใช้ถึง 4 คน ในข้อหาลักทรัพย์ทั้งหมด

""หญิงไก่" งานเข้า! ตร.ตั้งข้อหาแจ้งความเท็จ สอบประวัติเป็น"คุณหญิง"จริงหรือไม่

""หญิงไก่" งานเข้า! ตร.ตั้งข้อหาแจ้งความเท็จ สอบประวัติเป็น"คุณหญิง"จริงหรือไม่เรื่อง

โดย Nation TV | ภาพโดย กุลพันธ์ ศิริพิมพ์อัมพร, NationPhoto
1 กรกฎาคม 2559 12:21 น.

รองโฆษก ตร. ลั่น ต้องมีคนรับผิดชอบ "คดีหญิงไก่" หากพนักสอบสวนบกพร่อง เหยื่อสามารถฟ้องร้องได้ เบื้องต้นตร.ตั้งข้อหา"หญิงไก่"แจ้งความเท็จ พร้อมสอบประวัติเป็น"คุณหญิง"จริงหรือไม่

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) - เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่1 กรกฎาคม 2559 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. กล่าวถึงกรณี น.ส.ประภาวรรณ ใจกล้า หรือน้องก้อย อายุ 19 ปี นิสิตชั้นปีที่1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงหลักถูกนายจ้าง ชื่อ หญิงไก่ แจ้งความดำเนินคดีกับบิดาและมารดาของน้องก้อย ในข้อหาลักทรัพย์ โดยอ้างว่ามีทรัพย์หายไปกว่า 11 รายการ มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท ว่า คดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจสอบอยู่ว่า นายจ้างรายดังกล่าวมีชนชั้นบรรดาศักดิ์ถึงระดับคุณหญิงจริงหรือไม่ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนตั้งข้อหา แจ้งความอันเป็นเท็จไว้ก่อน ส่วนข้อหาอื่นๆ ต้องรอรวบรวมพยานหลักฐาน พร้อมทั้งมีการตรวจสอบประวัติของนายจ้างรายดังกล่าวด้วยผู้สื่อข่าวถามว่า ตำรวจเอาหลักฐานอะไร ไปกล่าวหาถึงทำให้ผู้บริสุทธิ์ถูกจำคุก และกรณีแบบนี้ถือว่าเป็นความบกพร่องของพนักงานสอบสวนหรือไม่

พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า คงต้องไปดูรายละเอียดว่า พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาบนพื้นฐานอะไร และอะไรเป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนสั่งฟ้องผู้ต้องหา ถ้าพนักงานสอบสวนมีความบกพร่อง ต้องดูว่าสำนวนมีความบกพร่องตรงจุดไหนอย่างไร หากรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็มีสิทธิ์ฟ้องกลับได้อยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีกฎหมายที่เยียวยาผู้เสียหายด้วย ไม่ต้องห่วง เพราะถ้ามีความบกพร่องต้องมีคนรับผิดชอบพ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวอีกว่า กระบวนการสอบสวนของไทยเป็นระบบกล่าวหา ซึ่งการกล่าวหาผู้หนึ่งผู้ใด เจ้าหน้าที่จะต้องรวบรวมพยานหลักฐาน บางครั้งผู้ที่มาแจ้งความร้องทุกข์อาจจะไม่พูดเรื่องจริงทั้งหมด ทำให้เป็นอุปสรรคในสอบสวน ซึ่งคดีลักษณะนี้เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ในการรวบรวมหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหานั้น เป็นดุลยพินิจของพนักงานสอบสวน ว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้องก็ได้ บางครั้งสั่งฟ้องแล้วพนักงานอัยการเห็นว่า พยานหลักฐานไม่มีน้ำหนัก ก็สั่งให้มีการสอบเพิ่มก็มี ซึ่งตรงนี้เป็นอำนาจที่ถ่วงดุลกันอยู่แล้วโดยส่วนตัวคดีนี้ไม่อยากให้มองว่า เป็นความผิดพลาดของพนักงานสอบสวน ถ้าเหยื่อรายอื่นๆ รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการดำเนินคดีให้มาแจ้งข้อความกับพนักงานสอบสวนได้ ซึ่งเรื่องดังกล่าว พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ไม่ได้นิ่งนอนใจอยู่แล้ว"
อ่านต่อที่: http://www.nationtv.tv/main/content/crime/378507490/

โอบามาเตือนอังกฤษแยกตัวจากอียูกระทบเศรษฐกิจโลก


นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงความกังวลกรณีสหราชอาณาจักรลงประชามติหนุนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (อียู) อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยนายโอบามาได้แสดงความเห็นดังกล่าวนอกรอบการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอเมริกาเหนือซึ่งรัฐบาลแคนาดาเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นที่กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา เมื่อวานนี้ (29 มิ.ย.)
นายโอบามาระบุว่าธนาคารกลางและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของแต่ละประเทศมีความพร้อมที่จะรับมือกับระบบเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดเสถียรภาพได้ในระยะสั้น แต่หากมองในระยะยาว การแยกตัวออกจากอียูของอังกฤษอาจทำให้แนวโน้มด้านการลงทุนทั้งในอังกฤษและประเทศสมาชิกอียูอื่นๆ หยุดชะงักได้ และไม่ช่วยอะไรในเวลาที่การเติบโตของตลาดโลกอยู่ในภาวะอ่อนแออยู่แล้ว
นอกจากนี้ นายโอบามาย้ำด้วยว่าการค้าเสรีและความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (TPP) จะต้องดำเนินต่อไป สอดคล้องกับแถลงการณ์ของ 27 ประเทศสมาชิกอียู ซึ่งจัดประชุมหารือกันที่กรุงบรัสเซลส์ของเบลเยียมเมื่อวานนี้ ซึ่งยืนยันว่าหากอังกฤษยังต้องการเข้าร่วมระบบตลาดเดี่ยวต่อไป จะต้องดำเนินนโยบาย 4 เสรี ได้แก่ การเปิดเสรีในการโยกย้ายสินค้า แรงงาน การบริการ และเงินทุน
นายโอบามาระบุด้วยว่าในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มีกระแสต่อต้านผู้อพยพเกิดขึ้นหลายครั้ง และมีผู้ฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากกระแสดังกล่าวอยู่เสมอ แต่ข้อเท็จจริงคือผู้อพยพยังคงเดินทางเข้าประเทศอยู่อย่างต่อเนื่อง และตนได้คุยกับนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ซึ่งคาดหวังว่าการแยกตัวของอังกฤษออกจากอียูจะเป็นนโยบายที่ได้ผล ไม่ใช่แค่ความต้องการตอบโต้สภาพที่เป็นอยู่

เดิมพันใหญ่ “ระบอบแม้ว” “นายใหญ่ - นายหญิง” ขยับ สัญญาณสู้มาแรง แผนแรกคว่ำรธน.

เดิมพันใหญ่ “ระบอบแม้ว” “นายใหญ่ - นายหญิง” ขยับ สัญญาณสู้มาแรง แผนแรกคว่ำรธน.
ทักษิณ ชินวัตร
        ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“ทักษิณ” คือ “ทักษิณ” ธุรกิจคือ ส่วนหนึ่งของชีวิต ที่ต้องทำเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ แม้กระทั่งช่วงหลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ ก็ยังพัวพันอยู่กับวงการไอทีที่ตัวเองถนัด ล่าสุดถูกเปิดเผยออกมาว่า ดอดไปลงทุนใน บริษัท เซนทริกส์ อินฟอร์เมชั่น ซีเคียวริตี เทคโนโลยีส์ ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพเกี่ยวกับความปลอดภัยบนอินเตอร์เน็ต สัญชาติอังกฤษ
       
       แล้วไม่ใช่แค่ผู้ถือหุ้นธรรมดา เพราะมีรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2558 “นายใหญ่” แห่งพรรคเพื่อไทย ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการไปเรียบร้อยแล้ว โดยถือสัญชาติไทย และมีถิ่นพำนักที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ฐานที่มั่นสำคัญในช่วงหนีคดี
       
       นอกจากการกลับมาเป็น “ซีอีโอ” แล้ว ขึ้นชื่อว่า “ทักษิณ” ไม่จบแค่เรื่องของการทำธุรกิจ แต่หมายถึงการต่อยอดไปถึงเรื่องผลประโยชน์อื่นๆ
       
       ดูอย่างครั้งนี้ “บริษัทนอมินี” ล่าสุดของเขาเตรียมจะทำการใหญ่ โดยเร่งระดมทุนที่จะทำให้มูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดตัวโครงสร้างพื้นฐานใหม่เป็นครั้งแรก โดยได้ลงนามเพื่อทำการค้าเป็นครั้งแรกกับบริษัทผู้ประกอบการรายใหญ่ในสิงคโปร์ ในส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ดิจิตอลของรัฐบาลที่มีชื่อว่า “สมาร์ท เนชั่น”
       
        เรื่องนี้ไม่บังเอิญแน่ๆ ที่อยู่ๆ “ทักษิณ” เข้ามาเกี่ยวข้องกับประเทศสิงคโปร์อีกครั้ง เพราะมีความสัมพันธ์ที่ดีตั้งแต่ขายหุ้นให้กับ “เทมาเส็ก” กองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ในอดีต
       
       และยิ่งไม่ต้องสงสัยอะไรให้เมื่อยตุ้ม เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องผลประโยชน์ล้วนๆ เมื่อปรากฏว่า “เทมาเส็ก” ก็ได้ลงทุนอยู่ในบริษัทแห่งนี้เช่นกัน
       
       อีกทั้งเรื่องนี้ยังทำให้หลายคนที่เคยคาใจว่า เหตุใดระยะหลัง “ทักษิณ” จึงบินมาที่สิงคโปร์บ่อยเหลือเกิน ในขณะที่เจ้าบ้านก็ต้อนรับขับสู้ เลี้ยงดูปูเสื่อเยี่ยง “แขกวีไอพี”
       
       ถ้ามองให้ลึกลงไปเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่เรื่องธุรกิจอย่างเดียว แต่เหมือนว่า “นักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่น” กำลังจะดำเนินการอะไรบางอย่างอยู่ และมีอาจเกี่ยวข้องกับประเทศไทย
       
       นอกจากเรื่องการถือหุ้นในบริษัทสัญชาติอังกฤษ ความเคลื่อนไหวต่างๆ ในประเทศที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ก็ดูจะเกี่ยวพันกับ “นายใหญ่” ของพรรคเพื่อไทยไปเสียหมด โดยเฉพาะการซื้อขายครั้งสำคัญ หลัง “เดอะโจ” ธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ และครอบครัว ตกลงขายหุ้น บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นไทยแอร์เอเชียในสัดส่วน 55% ในจำนวน 1,892 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 39% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ให้กับ “เจ้าสัวจิ้งจอก” วิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ ในราคาหุ้นละ 4.20 บาท รวมมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 7,945 ล้านบาท
       
       เรื่องนี้ดูภายนอกอาจเหมือนเป็นการขยายธุรกิจของ “เสี่ยวิชัย” ที่กำลังเป็นที่โด่งดังหลังพาสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่มีกระแสว่า “ดีล” นี้ อาจมีมากกว่าเรื่องธุรกิจ
       
       เป็นที่ทราบกันดีว่า “ธรรศพลฐ์” คือ เด็กในบ้านจันทร์ส่องหล้า เป็นมือไม้ของ “หญิงอ้อ” พจมาน ณ ป้อมเพ็ชร อดีตภรรยา “ทักษิณ” การทำธุรกิจกันครั้งนี้ อาจเป็นการกระชับคอนเนกชั่นที่มีอยู่แล้วให้แน่นขึ้น
       
       อย่าลืมว่า แม้วันนี้ภาพของ “เสี่ยวิชัย” จะถูกมองว่า มีความสนิทชิดเชื้อกับค่ายสีน้ำเงินของ “ยี๊ห้อยร้อยยี่สิบ” เนวิน ชิดชอบ พ่อใหญ่พรรคภูมิใจไทย และ“เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แต่ในอดีต “เจ้าพ่อดิวตี้ฟรี” รายนี้ก็คุ้นเคยกับ “คุณหญิงอ้อ” เป็นอย่างดี ได้ดิบได้ดีขึ้นมาก็สมัยที่ประเทศไทยมีนายกฯชื่อ “ทักษิณ”
       
       ดีลแอร์เอเชียเป็นธุรกิจที่แสดงให้เห็นว่า วันนี้แม้ค่ายสีน้ำเงินดูจะอี๋อ๋อกับเหล่าท็อปบูต จนถูกจับตาว่าจะมีบทบาทในรัฐบาลชุดหน้า แต่ในความเป็นจริงค่ายสีน้ำเงินและค่ายสีแดงยังมีช่องให้ต่อกันติด โดยเฉพาะเมื่อต่างฝ่ายต่างเป็นนักธุรกิจทั้งคู่
       
       และก็ที่รับรู้ว่า “เสี่ยวิชัย” เข้าได้ทุกสาย อยู่ได้กับทุกรัฐบาล
       
       ท่าทีของ “นายใหญ่” หวือหวาในหลายมิติ ไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงนี้ที่ว่ากันว่า “คุณหญิงกระบังลม” ลงบัญชาการเอง หลังพบว่า ในระยะหลังมานี้เดินทางเข้าพรรคเพื่อนั่งร่วมประชุมทีมยุทธศาสตร์ของพรรคเองทุกครั้ง และมีการเปิดสไกป์จากคนแดนไกลเพื่อวางกลเกม
       
       งานนี้ “นายใหญ่” สั่งอดีตส.ส.พรรคทุกคน เร่งทำพื้นที่เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมกับการเลือกตั้งครั้งหน้าซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร ตั้งเป้าเอาไว้สูงลิ่วโกยให้ได้มากที่สุด แต่ทำเอาหลายคนอึดอัด เป็นยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก ว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิต เพราะของอย่างนี้เงินไม่มา เดินลำบาก “ท่อน้ำเลี้ยง” ก็ไม่ไหล ทำไปก็มีแต่จะเข้าตัว แต่ถ้าไม่ทำงวดหน้าก็มีโอกาสปิ๋วไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง
       
       เจอเล่นไม้นี้ถึงกับกุมขมับ เพราะ “นายใหญ่” เองก็ฉลาด เนื่องจากอีกทางหนึ่งก็เปิดโอกาสให้ผู้ที่ประสงค์จะลงสมัครรับเลือกตั้งคราวหน้าโชว์ผลงาน ใครควัก ใครช่วยงานของพรรค ใครช่วยงานของเสื้อแดง ก็มีภาษีถูกส่งลงเหมือนกัน หากอดีต ส.ส.เก่า เอ้อระเหย
       
       แล้วไม่ได้แค่เข้าร่วมประชุมทีมยุทธศาสตร์ ช่วงนี้ไม่รู้ไปจูนกันได้ตอนไหน “หญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่วังทองหลาง มาร่วมกับ “หญิงอ้อ” เสียอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มีข่าวไม่คงลงรูปลงรอยกันเท่าไร
       
       แถมช่วงหลังๆ มานี้ “หญิงหน่อย” เอง ก็ถูกมองว่า มาแนบชิดกับสาย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จนเหมือนจะย้ายขั้ว แต่ไปๆ มาๆ ออกลูก “เหยียบเรือสองแคม” เสียอย่างนั้น
       
       ลือกันทั้งบาง กรณีที่ “ก๊วน กทม.” ของ “เจ๊หน่อย” นำโดย วิชาญ มีนชัยนันท์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย เตรียมจะจัดกิจกรรม รณรงค์ประชาสัมพันธ์การออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดที่จะหมดเขตในวันที่ 30 มิ.ย. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อวันก่อน แต่สุดท้ายถูกยกเลิกนั้น ก็เป็น “ใบสั่ง” ให้มาจัดอีเวนต์
       
       ทว่า “วิชาญ” เกิดอาการป๊อดกะทันหัน กลัวทหารลากเข้าค่ายเลยยกเลิก แล้วหันไปยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นการแก้เกี้ยวแทน แต่สุดท้ายมิรอด สายตรงจาก “เจ๊” โทรมาวีนจน “หูชา”
       
       อีกจุดที่ทำให้เห็นว่า “เจ๊หน่อย” เข้ามาแจมกับพรรคเพื่อไทยในเกมป่วนชัดๆ ก็กรณีที่ “เดอะป๊อป” น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ สายตรงบ้านวังทองหลาง เป็น 1 ใน 17 แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่โพสต์เฟซบุ๊กไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เด็กๆ ของเจ๊นิ่งในที่ตั้ง ไม่กล้าแขวะทหารเท่าไร
       
       แต่ละปีกของ “นายใหญ่” ขยับกันถ้วนทั่ว ศูนย์ปราบโกงประชามติของ แนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็เช่นกัน ต่อหน้าว่าเป็นอิสระ ไม่ขึ้นตรงต่อพรรค แต่อย่างไรก็แยกกันไม่ออก ลำพังกำลังของ “แกนนำเสื้อแดง” เองไม่มีปัญญาขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ อะไรได้เต็มที่ เพราะทุกเรื่องต้องใช้ “เงิน” ทั้งนั้น
       
       ยิ่งโครงการใหญ่ถึงขนาดเปิด 17 ศูนย์ในภาคเหนือ ในทางปฏิบัติต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล ถ้าไม่ได้ท่อน้ำเลี้ยงอย่างไรก็ไปไม่รอด เอาเฉพาะที่ส่วนกลางควักกระเป๋าให้ศูนย์ละ 3 หมื่นบาท บวกกับบางแห่งมีอดีต ส.ส.ในพื้นที่สนับสนุนให้ แต่ก็ไม่เพียงพออยู่ดี แค่ค่าอุปกรณ์ก็หมด ในขณะที่บุคลากรของศูนย์แต่ละแห่งต้องใช้อย่างน้อย 5 คนอย่างต่ำ
       
       ต่อให้ คสช. ยินยอมให้เปิด แต่ถ้า “ท่อน้ำเลี้ยง” ไม่ไหลก็ได้เท่านี้ เพราะ “นายใหญ่” ยังนิ่ง ไม่เสี่ยงเอาเงินมาให้ละลายกันเล่นๆ เก็บงำกระสุนไว้รอเลือกตั้งทีเดียว
       
       แต่ถึงอย่างไร การที่ปีกทุกปีกของ “นายใหญ่” กลับมาเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญกันในครั้งนี้ นั่นบ่งบอกได้อย่างหนึ่งว่า เกมประชามติครั้งนี้ฝั่งตรงข้ามคสช.ยังสู้เต็มพิกัด งัดทุกกลเม็ด โดยเฉพาะกับเรื่องใกล้ๆ นี้อย่างบันไดขั้นแรกคือ การคว่ำร่างรัฐธรรมนูญให้แท้งเสียก่อน แล้วค่อยพัฒนาไปสู้ก้าวต่อไป
       
       นับจากนี้ถึงช่วงโค้งสุดท้าย สารพัดแคมเปญ สารพัดกลเม็ด วิชาโจร วิชามาร การครองพื้นที่สื่อ จะถูกงัดมาใช้เพื่อให้ตัวเองชิงความได้เปรียบในสังเวียนประชามติ
       
       เพราะผลของการที่ร่างรัฐธรรมนูญถูกคว่ำมันเป็นเหมือนการปูทางให้แผนการขั้นต่อไปง่ายขึ้น.

ตะลึง! ค่าที่ปรึกษา"ไฮสปีดไทย-จีน" 6พันล้าน


Prev
1 of 1
Next
คลิกภาพเพื่อขยาย
updated: 30 มิ.ย. 2559 เวลา 21:30:02 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
บีบค่าก่อสร้างไฮสปีดไทย-จีน ปรับลดค่าจ้างที่ปรึกษาจาก 6 พันล้าน เหลือ 1 พันล้าน ค่าเวนคืนพุ่งแตะ 1.3 หมื่นล้าน รื้อท่อก๊าซ ปตท. 80 กม. คาดใช้เงินลงทุน กม.ละ 500 ล้าน ดีเดย์ ก.ค.ชง ครม.อนุมัติโปรเจ็กต์ ปักหมุดช่วงแรก 3.5 กม. สถานีกลางดง-ปางอโศก จุดคิกออฟโครงการ เปิดประมูล ส.ค. ลงเข็ม ก.ย. ลั่นปีหน้าสร้างครบ 253 กม.
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมาได้รายงานผลการประชุมครั้งที่ 11 โครงการความร่วมมือรถไฟไทย-จีน หรือไฮสปีดเทรน กรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 253 กม. ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบ โดยจะแบ่งการก่อสร้าง 4 ตอน ได้แก่ ช่วงที่ 1 ระยะทาง 3.5 กม. จากสถานีกลางดง-ปางอโศก ช่วงที่ 2

ระยะทาง 10 กม. ช่วงที่ 3 ระยะทาง 120.5 กม. และช่วงที่ 4 ระยะทาง 119 กม. ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงจะเริ่มสร้างช่วงที่ 1 เป็นลำดับแรก เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ไม่มีทางยกระดับ ทางฝ่ายจีนจะออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างส่งมอบให้ฝ่ายไทยภายใน 1 เดือนนี้ จากนั้นจะถอดแบบและประมาณการค่าก่อสร้าง ตั้งเป้าจะประกวดราคาและเริ่มสร้างเดือน ก.ย.นี้ ส่วนช่วงที่ 2-4 ฝ่ายจีนจะทยอยออกแบบรายละเอียดและส่งมอบให้ฝ่ายไทยได้ภายใน 8 เดือน คาดว่าเดือน ก.พ. 2560 จะก่อสร้างได้ครบทั้งโครงการ

"ขอให้จีนจัดคณะทำงานออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างทั้ง 4 ตอนไปพร้อม ๆ กัน ไม่ต้องรอให้ตอนใดตอนหนึ่งเสร็จก่อน สาเหตุที่เลือกสร้าง 3.5 กม.ก่อน เพราะเป็นพื้นที่พร้อมที่สุด เป็นเขตทางรถไฟ ไม่ผ่านภูเขาหรือสะพาน หากมีการก่อสร้างระยะทางที่ยาวกว่านี้จะทำให้การออกแบบรายละเอียดนาน และไม่สามารถเริ่มสร้างได้ทันกำหนดเวลาปีนี้" นายอาคมกล่าวและว่า

อีกทั้งเร่งให้คณะทำงานยกร่างกรอบความร่วมมือรูปแบบการก่อสร้างโครงการ จะดำเนินการรูปแบบ EPC ใน 2 ส่วน เพื่อเสนอ ครม.อนุมัติภายในเดือน ก.ค.นี้ คือ งานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ฝ่ายไทยจะเป็นผู้ดำเนินการเอง โดยคัดเลือกผู้รับเหมาก่อสร้างของไทยเข้าร่วมก่อสร้างโครงการ และเพื่อให้สามารถดำเนินการก่อสร้างได้เร็วที่สุด

และงานระบบรางและรถไฟความเร็วสูง รวมทั้งระบบอาณัติสัญญาณ ฝ่ายจีนจะคัดเลือกรัฐวิสาหกิจของจีนมีผลงานด้านรถไฟความเร็วสูงที่มีคุณภาพ ต้องได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายไทยเป็นผู้ดำเนินการ อีกทั้งเร่งสรุปกรอบวงเงินลงทุนทั้งก่อสร้างและงานระบบที่กำลังต่อรองกับฝ่ายจีนเสนอราคาอยู่ที่ 189,981 ล้านบาท จะให้ไม่เกิน 1.8 แสนล้านบาท

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมกล่าวเพิ่มเติมว่า ฝ่ายไทยจะขอจีนให้ปรับลดเงินลงทุนโครงการอยู่ที่กว่า 179,300 ล้านบาท โดยจะปรับลดค่าจ้างที่ปรึกษาออกแบบโครงการ จากเดิมคิดอยู่ที่ 3.5-4.5% ของมูลค่าโครงการ หรือประมาณ 6,000 ล้านบาท จะขอให้คิดที่ 1.25% หรืออยู่ที่กว่า 1,000 ล้านบาท

ส่วนค่าก่อสร้างและค่าเวนคืนที่ดินยังเท่าเดิม ซึ่งค่าก่อสร้างประเมินไว้อยู่ที่ประมาณ 160,000 ล้านบาท ส่วนค่าเวนคืนที่ดินและค่ารื้อย้ายระบบสาธารณูปโภคอยู่ที่กว่า 13,000 ล้านบาท สูงขึ้นจากเดิมเนื่องจากต้องรื้อย้ายท่อก๊าซของ ปตท.ที่กีดขวางแนวเส้นทางอยู่ประมาณ 80 กม. ช่วงจากกรุงเทพฯ-ภาชี และมีเวนคืนที่ดินเพื่อสร้างสถานีสระบุรีจะไม่สร้างในตำแหน่งเดิม ขณะที่สถานีตลอดเส้นทางมี 5 สถานี ได้แก่ กรุงเทพฯ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี ปากช่อง และโคราช

ด้านการก่อสร้างแบ่งเป็น 4 ตอน ช่วงแรก 3.5 กม. จากสถานีกลางดง-ปางอโศก ช่วงที่ 2 ระยะทาง 10 กม. จากปากช่อง-คลองขนานจิตร ช่วงที่ 3 ระยะทาง 100 กม. จากแก่งคอย-โคราช (เว้นพื้นที่ช่วงแรก) ช่วงที่ 4 ระยะทาง 119 กม. จากกรุงเทพฯ-แก่งคอย โดยค่าก่อสร้างเฉลี่ยอยู่ที่ 500 ล้านบาท/กม.