PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เดิมพันใหญ่ “ระบอบแม้ว” “นายใหญ่ - นายหญิง” ขยับ สัญญาณสู้มาแรง แผนแรกคว่ำรธน.

เดิมพันใหญ่ “ระบอบแม้ว” “นายใหญ่ - นายหญิง” ขยับ สัญญาณสู้มาแรง แผนแรกคว่ำรธน.
ทักษิณ ชินวัตร
        ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“ทักษิณ” คือ “ทักษิณ” ธุรกิจคือ ส่วนหนึ่งของชีวิต ที่ต้องทำเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ แม้กระทั่งช่วงหลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ ก็ยังพัวพันอยู่กับวงการไอทีที่ตัวเองถนัด ล่าสุดถูกเปิดเผยออกมาว่า ดอดไปลงทุนใน บริษัท เซนทริกส์ อินฟอร์เมชั่น ซีเคียวริตี เทคโนโลยีส์ ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพเกี่ยวกับความปลอดภัยบนอินเตอร์เน็ต สัญชาติอังกฤษ
       
       แล้วไม่ใช่แค่ผู้ถือหุ้นธรรมดา เพราะมีรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2558 “นายใหญ่” แห่งพรรคเพื่อไทย ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการไปเรียบร้อยแล้ว โดยถือสัญชาติไทย และมีถิ่นพำนักที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ฐานที่มั่นสำคัญในช่วงหนีคดี
       
       นอกจากการกลับมาเป็น “ซีอีโอ” แล้ว ขึ้นชื่อว่า “ทักษิณ” ไม่จบแค่เรื่องของการทำธุรกิจ แต่หมายถึงการต่อยอดไปถึงเรื่องผลประโยชน์อื่นๆ
       
       ดูอย่างครั้งนี้ “บริษัทนอมินี” ล่าสุดของเขาเตรียมจะทำการใหญ่ โดยเร่งระดมทุนที่จะทำให้มูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดตัวโครงสร้างพื้นฐานใหม่เป็นครั้งแรก โดยได้ลงนามเพื่อทำการค้าเป็นครั้งแรกกับบริษัทผู้ประกอบการรายใหญ่ในสิงคโปร์ ในส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ดิจิตอลของรัฐบาลที่มีชื่อว่า “สมาร์ท เนชั่น”
       
        เรื่องนี้ไม่บังเอิญแน่ๆ ที่อยู่ๆ “ทักษิณ” เข้ามาเกี่ยวข้องกับประเทศสิงคโปร์อีกครั้ง เพราะมีความสัมพันธ์ที่ดีตั้งแต่ขายหุ้นให้กับ “เทมาเส็ก” กองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ในอดีต
       
       และยิ่งไม่ต้องสงสัยอะไรให้เมื่อยตุ้ม เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องผลประโยชน์ล้วนๆ เมื่อปรากฏว่า “เทมาเส็ก” ก็ได้ลงทุนอยู่ในบริษัทแห่งนี้เช่นกัน
       
       อีกทั้งเรื่องนี้ยังทำให้หลายคนที่เคยคาใจว่า เหตุใดระยะหลัง “ทักษิณ” จึงบินมาที่สิงคโปร์บ่อยเหลือเกิน ในขณะที่เจ้าบ้านก็ต้อนรับขับสู้ เลี้ยงดูปูเสื่อเยี่ยง “แขกวีไอพี”
       
       ถ้ามองให้ลึกลงไปเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่เรื่องธุรกิจอย่างเดียว แต่เหมือนว่า “นักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่น” กำลังจะดำเนินการอะไรบางอย่างอยู่ และมีอาจเกี่ยวข้องกับประเทศไทย
       
       นอกจากเรื่องการถือหุ้นในบริษัทสัญชาติอังกฤษ ความเคลื่อนไหวต่างๆ ในประเทศที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ก็ดูจะเกี่ยวพันกับ “นายใหญ่” ของพรรคเพื่อไทยไปเสียหมด โดยเฉพาะการซื้อขายครั้งสำคัญ หลัง “เดอะโจ” ธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ และครอบครัว ตกลงขายหุ้น บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นไทยแอร์เอเชียในสัดส่วน 55% ในจำนวน 1,892 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 39% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ให้กับ “เจ้าสัวจิ้งจอก” วิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ ในราคาหุ้นละ 4.20 บาท รวมมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 7,945 ล้านบาท
       
       เรื่องนี้ดูภายนอกอาจเหมือนเป็นการขยายธุรกิจของ “เสี่ยวิชัย” ที่กำลังเป็นที่โด่งดังหลังพาสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่มีกระแสว่า “ดีล” นี้ อาจมีมากกว่าเรื่องธุรกิจ
       
       เป็นที่ทราบกันดีว่า “ธรรศพลฐ์” คือ เด็กในบ้านจันทร์ส่องหล้า เป็นมือไม้ของ “หญิงอ้อ” พจมาน ณ ป้อมเพ็ชร อดีตภรรยา “ทักษิณ” การทำธุรกิจกันครั้งนี้ อาจเป็นการกระชับคอนเนกชั่นที่มีอยู่แล้วให้แน่นขึ้น
       
       อย่าลืมว่า แม้วันนี้ภาพของ “เสี่ยวิชัย” จะถูกมองว่า มีความสนิทชิดเชื้อกับค่ายสีน้ำเงินของ “ยี๊ห้อยร้อยยี่สิบ” เนวิน ชิดชอบ พ่อใหญ่พรรคภูมิใจไทย และ“เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แต่ในอดีต “เจ้าพ่อดิวตี้ฟรี” รายนี้ก็คุ้นเคยกับ “คุณหญิงอ้อ” เป็นอย่างดี ได้ดิบได้ดีขึ้นมาก็สมัยที่ประเทศไทยมีนายกฯชื่อ “ทักษิณ”
       
       ดีลแอร์เอเชียเป็นธุรกิจที่แสดงให้เห็นว่า วันนี้แม้ค่ายสีน้ำเงินดูจะอี๋อ๋อกับเหล่าท็อปบูต จนถูกจับตาว่าจะมีบทบาทในรัฐบาลชุดหน้า แต่ในความเป็นจริงค่ายสีน้ำเงินและค่ายสีแดงยังมีช่องให้ต่อกันติด โดยเฉพาะเมื่อต่างฝ่ายต่างเป็นนักธุรกิจทั้งคู่
       
       และก็ที่รับรู้ว่า “เสี่ยวิชัย” เข้าได้ทุกสาย อยู่ได้กับทุกรัฐบาล
       
       ท่าทีของ “นายใหญ่” หวือหวาในหลายมิติ ไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงนี้ที่ว่ากันว่า “คุณหญิงกระบังลม” ลงบัญชาการเอง หลังพบว่า ในระยะหลังมานี้เดินทางเข้าพรรคเพื่อนั่งร่วมประชุมทีมยุทธศาสตร์ของพรรคเองทุกครั้ง และมีการเปิดสไกป์จากคนแดนไกลเพื่อวางกลเกม
       
       งานนี้ “นายใหญ่” สั่งอดีตส.ส.พรรคทุกคน เร่งทำพื้นที่เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมกับการเลือกตั้งครั้งหน้าซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร ตั้งเป้าเอาไว้สูงลิ่วโกยให้ได้มากที่สุด แต่ทำเอาหลายคนอึดอัด เป็นยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก ว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิต เพราะของอย่างนี้เงินไม่มา เดินลำบาก “ท่อน้ำเลี้ยง” ก็ไม่ไหล ทำไปก็มีแต่จะเข้าตัว แต่ถ้าไม่ทำงวดหน้าก็มีโอกาสปิ๋วไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง
       
       เจอเล่นไม้นี้ถึงกับกุมขมับ เพราะ “นายใหญ่” เองก็ฉลาด เนื่องจากอีกทางหนึ่งก็เปิดโอกาสให้ผู้ที่ประสงค์จะลงสมัครรับเลือกตั้งคราวหน้าโชว์ผลงาน ใครควัก ใครช่วยงานของพรรค ใครช่วยงานของเสื้อแดง ก็มีภาษีถูกส่งลงเหมือนกัน หากอดีต ส.ส.เก่า เอ้อระเหย
       
       แล้วไม่ได้แค่เข้าร่วมประชุมทีมยุทธศาสตร์ ช่วงนี้ไม่รู้ไปจูนกันได้ตอนไหน “หญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่วังทองหลาง มาร่วมกับ “หญิงอ้อ” เสียอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มีข่าวไม่คงลงรูปลงรอยกันเท่าไร
       
       แถมช่วงหลังๆ มานี้ “หญิงหน่อย” เอง ก็ถูกมองว่า มาแนบชิดกับสาย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จนเหมือนจะย้ายขั้ว แต่ไปๆ มาๆ ออกลูก “เหยียบเรือสองแคม” เสียอย่างนั้น
       
       ลือกันทั้งบาง กรณีที่ “ก๊วน กทม.” ของ “เจ๊หน่อย” นำโดย วิชาญ มีนชัยนันท์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย เตรียมจะจัดกิจกรรม รณรงค์ประชาสัมพันธ์การออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดที่จะหมดเขตในวันที่ 30 มิ.ย. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อวันก่อน แต่สุดท้ายถูกยกเลิกนั้น ก็เป็น “ใบสั่ง” ให้มาจัดอีเวนต์
       
       ทว่า “วิชาญ” เกิดอาการป๊อดกะทันหัน กลัวทหารลากเข้าค่ายเลยยกเลิก แล้วหันไปยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นการแก้เกี้ยวแทน แต่สุดท้ายมิรอด สายตรงจาก “เจ๊” โทรมาวีนจน “หูชา”
       
       อีกจุดที่ทำให้เห็นว่า “เจ๊หน่อย” เข้ามาแจมกับพรรคเพื่อไทยในเกมป่วนชัดๆ ก็กรณีที่ “เดอะป๊อป” น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ สายตรงบ้านวังทองหลาง เป็น 1 ใน 17 แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่โพสต์เฟซบุ๊กไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เด็กๆ ของเจ๊นิ่งในที่ตั้ง ไม่กล้าแขวะทหารเท่าไร
       
       แต่ละปีกของ “นายใหญ่” ขยับกันถ้วนทั่ว ศูนย์ปราบโกงประชามติของ แนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็เช่นกัน ต่อหน้าว่าเป็นอิสระ ไม่ขึ้นตรงต่อพรรค แต่อย่างไรก็แยกกันไม่ออก ลำพังกำลังของ “แกนนำเสื้อแดง” เองไม่มีปัญญาขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ อะไรได้เต็มที่ เพราะทุกเรื่องต้องใช้ “เงิน” ทั้งนั้น
       
       ยิ่งโครงการใหญ่ถึงขนาดเปิด 17 ศูนย์ในภาคเหนือ ในทางปฏิบัติต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล ถ้าไม่ได้ท่อน้ำเลี้ยงอย่างไรก็ไปไม่รอด เอาเฉพาะที่ส่วนกลางควักกระเป๋าให้ศูนย์ละ 3 หมื่นบาท บวกกับบางแห่งมีอดีต ส.ส.ในพื้นที่สนับสนุนให้ แต่ก็ไม่เพียงพออยู่ดี แค่ค่าอุปกรณ์ก็หมด ในขณะที่บุคลากรของศูนย์แต่ละแห่งต้องใช้อย่างน้อย 5 คนอย่างต่ำ
       
       ต่อให้ คสช. ยินยอมให้เปิด แต่ถ้า “ท่อน้ำเลี้ยง” ไม่ไหลก็ได้เท่านี้ เพราะ “นายใหญ่” ยังนิ่ง ไม่เสี่ยงเอาเงินมาให้ละลายกันเล่นๆ เก็บงำกระสุนไว้รอเลือกตั้งทีเดียว
       
       แต่ถึงอย่างไร การที่ปีกทุกปีกของ “นายใหญ่” กลับมาเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญกันในครั้งนี้ นั่นบ่งบอกได้อย่างหนึ่งว่า เกมประชามติครั้งนี้ฝั่งตรงข้ามคสช.ยังสู้เต็มพิกัด งัดทุกกลเม็ด โดยเฉพาะกับเรื่องใกล้ๆ นี้อย่างบันไดขั้นแรกคือ การคว่ำร่างรัฐธรรมนูญให้แท้งเสียก่อน แล้วค่อยพัฒนาไปสู้ก้าวต่อไป
       
       นับจากนี้ถึงช่วงโค้งสุดท้าย สารพัดแคมเปญ สารพัดกลเม็ด วิชาโจร วิชามาร การครองพื้นที่สื่อ จะถูกงัดมาใช้เพื่อให้ตัวเองชิงความได้เปรียบในสังเวียนประชามติ
       
       เพราะผลของการที่ร่างรัฐธรรมนูญถูกคว่ำมันเป็นเหมือนการปูทางให้แผนการขั้นต่อไปง่ายขึ้น.

ไม่มีความคิดเห็น: