PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2558

บทวิเคราะห์ "ดิโพลแมต" ถ้าไทยยื้อเลือกตั้งอีก สหรัฐคงจะตอบโต้หนักกว่าเดิม

วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 08:45:00 น

วันที่ 11 ส.ค. เดอะดิโพลแมต เว็บไซต์ข่าววิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศ เผยแพร่บทความวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา โดยนายชอว์น ดับเบิลยู. คริสพิน ว่า ภายหลังมีสัญญาณว่าการเลือกตั้งของไทยมีแนวโน้มจะเลื่อนจากปี 2559 ไปเป็นปี 2560 อาจทำให้สหรัฐอเมริกาตอบโต้ไทยหนักกว่าการคว่ำบาตรความร่วมมือและความช่วยเหลือด้านการทหาร รวมถึงการทูต จากกรณีก่อการรัฐประหาร

ดิโพลแมตตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากวุฒิสภาสหรัฐเพิ่งลงมติรับรองการแต่งตั้งนายเกล็น เดวีส์ อดีตผู้แทนพิเศษด้านนโยบายเกาหลีเหนือ เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทยคนล่าสุดเมื่อสัปดาห์ก่อน มีความเป็นไปได้ว่า การส่งทูตมาไทยไม่ใช่การลดความตึงเครียด แต่จะเพิ่มแรงกดดันให้รัฐบาลไทยเร่งคืนอำนาจแก่ประชาชน
 
ท่าทีนี้จะไม่เหมือนในยุคที่นายราล์ฟบอยซ์เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย และมีสัมพันธ์อันดีกับกองทัพและกลุ่มชนชั้นสูง ที่ไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านการรัฐประหารในปี 2549

สำหรับยุคของนางคริสตี เคนนีย์ เอกอัครราชทูตหญิงสหรัฐ เห็นได้ชัดถึงการยึดแบบแผนตามระบอบประชาธิปไตย ประกอบกับความชื่นชมที่มีต่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาการเลือกตั้ง จึงไม่แปลกที่นางเคนนีย์ปฏิเสธการเข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาในช่วงแรก แม้ต่อมาจะเข้าหารือกับบุคคลอื่นในรัฐบาล แต่เป็นไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ที่มีกับไทยมากกว่า ในฐานะที่ไทยเป็นพันธมิตรหลักของนโยบายต่อสู้กับการก่อการร้าย

นายเมอร์เรย์ ฮีเบิร์ต ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และนานาชาติ (ซีเอสไอเอส) เสนอแนะต่อคณะอนุกรรมาธิการสภาผู้แทนสหรัฐเมื่อเดือนมิ.ย. ว่า หากการเลือกตั้งของไทยเลื่อนออกไปจากเดือนก.ย.2560 รัฐบาลควรย้ายจุดศูนย์กลางที่ตั้งของหน่วยงานการพัฒนาระหว่างประเทศ หน่วยสอบสวนกลาง และศูนย์บัญชาการปฏิบัติการต่อต้านการค้ายาเสพติด ออกจากกรุงเทพฯ ไปยังชาติอื่นในอาเซียน รวมถึงแต่งตั้งทูตพิเศษว่าด้วยกิจการในไทย แยกกับตำแหน่งเอกอัครราชทูต เพื่อหารือและเป็นตัวกลางเจรจากับรัฐบาลทหารไทยโดยตรง ซึ่งนายราล์ฟ บอยซ์อาจเหมาะสมกับหน้าที่นี้ที่สุด

นายเดสมอนต์ วอลเตอร์ ผู้แทนอาวุโสกระทรวงกลาโหมสหรัฐระหว่างปี 2555-2558 ระบุว่า เพนตากอนต้องการใช้การทูตเพื่อยุติความขัดแย้งกับกองทัพไทยเช่นกัน หลังจากความพยายามกดดันให้รัฐบาลทหารคืนอำนาจแก่ประชาชน ส่งผลกระทบอย่างมากต่อกระบวนการทางความมั่นคงของทั้งสองประเทศ เมื่อไทยหันไปสานสัมพันธ์ทางทหารกับจีน

กรณีที่รัฐบาลไทยจะซื้อเรือดำน้ำมูลค่า 36,000 ล้านบาทจากจีนนั้น นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า การให้บริการหลังการขายและการซ่อมบำรุงเรือดำน้ำจะเป็นช่องทางให้จีนพัฒนายุทธศาสตร์เข้าถึงฐานทัพเรือสัตหีบและอ่าวไทยมากขึ้นขณะที่คำสั่งระงับซื้อเรือดำน้ำชั่วคราวของพล.อ.ประยุทธ์อาจเกิดจากการเล็งเห็นความกังวลของสหรัฐในจุดนี้แต่ถ้าถูกคว่ำบาตรอีกอาจผลักดันให้รัฐบาลทหารยิ่งถลำลึกไปตามกลยุทธ์ของจีน

ที่มา ข่าวสดออนไลน์

สาเหตุน้ำมันขึ้นรอบที่สองในเดือนนี้



สาเหตุน้ำมันขึ้นรอบที่สองในเดือนนี้
----------
วันก่อนพึ่งจะลุ้นให้ราคาน้ำมันดิ่งลงใกล้จะแตะ 42 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลแล้วเชียว พอแวะเข้าไปดูกราฟราคาน้ำดิบทั่วโลก กลับพบว่าชี้โด่งขึ้นมาอีกครั้งแล้ว เกิดอะไรขึ้น? ขนาดสหรัฐฯประกาศเพิ่มแซงชั่นบริษัทน้ำมันและแก๊สของรัสเซียเมื่อสัปดาห์ก่อนก็ยังไม่ขึ้นเลย สงครามในเยเมนมีความตึงเครียดมากขึ้น ก็ยังไม่ขึ้น สหรัฐฯเปิดฉากโจมตีทางอากาศถล่มไอซิสและตุรกีถล่มชาวเคิร์ดตั้งหลายรอบก็ไม่ขึ้น ก็เลยลองค้นหาข่าวเพิ่มเติมจากสื่อฯหลายสำนัก โป๊ะเชะ! ไปเจอคำตอบจากสื่อฯจีนวันนี้นี่เอง จีนบอกว่าที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นในครั้งนี้ก็เพราะจีนนี่แหละ จริงดิ? (อ๊ะๆ! อ่านให้จบก่อนนะครับ)
วันนี้ (11 ส.ค.58) สำนักข่าว People's Daily Online ของจีนอ้างสำนักข่าว Xinhua โดยพาดหัวข่าวว่า "Global oil prices rise on back of record high import by China" (ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นมีสาเหตุมาจากจีนเพิ่มปริมาณนำเข้ามากขึ้น) ส่วน Xinhua พาดหัวข่าวว่า "Oil prices rise amid more China imports" (ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นระหว่างจีนนำเข้ามากขึ้น) อ้อ… อย่างนี้นี่เอง คราวนี้มาอ่านเนื้อข่าวบ้างนะ
รายงานข่าวบอกว่าจีนนำเข้าน้ำมันดิบในปริมาณ 30.71 ล้านตันเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 29 เปอร์เซ็นต์ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่สูงที่สุดในรอบปีนี้ จากการเปิดเผยข้อมูลเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาโดยศุลกากรของจีน ข้อมูลเกี่ยวกับการนำเข้าของจีนพบว่า มีการนำเข้าน้ำมันสูงกว่าสินค้าอย่างอื่น ซึ่งได้หนุนให้ตลาดน้ำมันดิบให้ดีขึ้น
ราคาน้ำมันดิบได้รับการสนับสนุนจากตลาดทุน หุ้นของสหรัฐฯมีการซื้อขายในระดับสูงเมื่อวันจันทร์นี้ ซึ่งฟื้นตัวจากการซบเซาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
เงินดอลล่าสหรัฐฯอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆในวันจันทร์หลังจากที่ปรับตัวสูงขึ้นถึง 4 เดือนในช่วงก่อนหน้านี้ รายงานข่าวบอกว่า การที่เงินดอนล่าร์อ่อนค่าลงทำให้ราคาน้ำมันดิบที่อิงดอลล่าร์ถูกลงตามไปด้วย และยิ่งดึงดูดผู้ซื้อให้หันไปถือสกุลเงินอื่นๆแทนเพิ่มมากขึ้น (ก็เงินหยวนไงครับ)
(เมื่อเช้านี้ธนาคารกลางของจีนประกาศปรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนเทียบกับดอลล่าสหรัฐฯครั้งใหม่ เป็น USD 1/ RMB 6.2298 จากวันจันทร์อยู่ที่ USD 1/ RMB 6.1162 รายงานข่าวบอกว่าส่งผลให้ค่าเงินหยวนของจีนตกลงไป 1.4% มาอยู่ที่ 6.2980 ต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ณ เวลา 11:12 am ตามเวลาเซี่ยงไฮ้)
ส่วนอีกข่าวหนึ่งเกี่ยวกับกระแสความนิยมในเงินหยวนของจีนในปัจจุบันนี้ก็คือที่แอฟริกาใต้ สำนักข่าว People's Daily Online ของจีนรายงานว่า การใช้สกุลเงิน RMB ของจีนในแอฟริกาใต้เพิ่มขึ้น 33% เมื่อปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นเป็น 191% ในสองปีที่ผ่านมาก รายงานจาก Worldwide Interbank Financial Telecommunications (SWIFT)
เมื่อเดือนมิถุนายน 2015 หนึ่งในสามของการชำระเงินระหว่างแอฟริกาใต้กับจีนแผ่นดินใหญ่ แอฟริกาใต้กับฮ่องกง ใช้สกุลเงินหยวนของจีน นอกจากนี้แล้วธนาคารกลางของเคนย่าพึ่งจะเปิดสาขาใหม่ซึ่งจะใช้เป็นศูนย์เคลียริ่งเงินหยวนของจีนในเมือง Nairobi เมื่อวันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา ในเดือนเดียวกันนี้ธนาคารกลางของจีนก็ได้กำหนดให้สาขาของธนาคารกลางในเมือง Johannesburg เป็นธนาคารเคลียริ่งเงินหยวนขึ้นมาเป็นแห่งแรกในแอฟริกาด้วย
นาย Munir Ahmed CEO ของธนาคารแห่งขาติของแคนยากล่าวว่าขณะนี้เงินหยวน (RMB) ของจีนได้กลายเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่มีเสถียรภาพมากที่สุดในโลก รัฐบาลและธนาคารแห่งชาติบางประเทศในแอฟริกาได้ซื้อพันธบัตร RMB ไว้เป็นทุนสำรองแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ จาก 24 ประเทศที่ประกาศว่าได้ถือเงินหยวนของจีนไว้ มี 6 ประเทศจากแอฟริกาคือ Nigeria, South Africa, Kenya, Ghana, Angola, and Tanzania (หยวนไปโลดหละงานนี้ ดอลล่าร์สหรัฐฯก็แก่ชราไปตามกาลเวลา)

หน่วยงานที่เข้าถึงสถานที่เกิดเหตุ 9/11 ในสหรัฐฯต่างก็เป็นโรคมะเร็งเกือบ 4,000 คน

หน่วยงานที่เข้าถึงสถานที่เกิดเหตุ 9/11 ในสหรัฐฯต่างก็เป็นโรคมะเร็งเกือบ 4,000 คน
-----------
เอาแล้วไงความจริงค่อยๆถูกเปิดเผยออกมาเรื่อยๆแล้ว วันนี้ (12 ส.ค.58) สำนักข่าว Sputnik news อ้างรายงานข่าวจาก New York Post ของสหรัฐฯว่าเจ้าหน้าที่ที่เข้าถึงสถานที่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2001 ซึ่ง (รัฐบาลสหรัฐฯอ้างว่า) เกิดจากการก่อการร้ายที่ตึก World Trade Center ในนคร New York City ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งถึง 3,700 คน (มันจะเป็นไปได้อย่างไร? เครื่องบินของผู้ก่อการร้ายตาลีบันที่นำโดยบินลาเดน บรรทุกระเบิดนิวเคลียร์หรือวัตถุที่มีกัมภาพรังสีสามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็งไปด้วยหรือไง? นั่นสิ แต่รัฐบาลจักรวรรดิเฮเก้ไม่ได้บอกว่าบนเครื่องบินลำนั้นมีวัตถุลักษณะนั้นอยู่ด้วยนะ)

รายงานข่าวบอกว่าบรรดาผู้ที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็งได้รับการรับรองจากรัฐบาลกลางของสหรัฐฯว่ารวมอยู่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกของกรมดับเพลิงนิวยอร์ก (New York Fire Department) (จำนวน 1,100 คน) เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เข้าตรวจสอบสถานที่ Ground Zero (จุดศูนย์กลางของการระเบิดที่ร้ายแรง เช่นจุดศูนย์กลางการระเบิดนิวเคลียร์) (จำนวน 2,134) ผู้ลอดชีวิตเช่นคนงานในเขตเมืองและผู้อยู่อาศัย (จำนวน 467 คน)

Dr. David Prezant หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ของ FDNY กล่าวว่าเจ้าหน้าที่ดับเพลิงและหน่วยกู้ภัยมากกว่า 2,100 คนได้ลาออกจากงาน เหตุขาดความสามารถ (disability) เนื่องจากความเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับ World Trade Center

Dr. David Prezant กล่าวในแถลงการณ์กับหนังสือพิมพ์ New York Post ว่า "สืบเนื่องจากลักษณะทางกายภาพในงานของพวกเขา ความป่วยไข้เหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อสมาชิกของพวกเราและครอบครัวของพวกเขาเป็นอย่างมาก"

รายงานข่าวบอกอีกว่า "ซึ่งรวมถึงบุคคลที่ดูแลรับผิดชอบจาก FDNY จำนวน 109 คนซึ่งเสียชีวิตจากความเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับจุด Ground Zero ด้วย ในจำนวนนั้นมี 44 คนเป็นโรคมะเร็ง"

โฆษกของ FDNY กล่าวว่า "การวิจัยได้ตรวจพบมะเร็งในไทรอยด์ ลำไส้ ต่อมลูกหมาก ในเม็ดเลือดแพร่หลายอยู่ในกลุ่มสมาชิกของ FDNY ซึ่งเข้าไปทำงานอยู่ ณ จุด Ground Zero มากกว่าคนที่ไม่ได้เข้าไปอยู่ ณ จุดนั้น" (กรรม!)

Thomas Riley รองหัวหน้าของ FDNY อายุ 58 ปีได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (non-Hodgkin's lymphoma) และมะเร็งเม็ดเลือด (blood cancer) มีเนื้องอกปรากฎขึ้นด้านหลังตาขวาของเขาด้วย เขาบอกกับหนังสือพิมพ์ฯว่า "นั่นมันช็อกเข้าไส้เลยหละ" (That was a shock to the gut)

ในเหตุการณ์ 9/11 ครั้งนั้น Thomas Riley รีบเร่งออกจากบ้านของเขาบนเกาะ Long Island ไปที่สถานีดับเพลิง Jackson Heights และให้เพื่อนๆนักผจญเพลิงของเขาเข้าไปยังจุด Ground Zero ณ ที่ตรงนั้นบรรดานักดับเพลิงต่างก็พากันขุดหาผู้รอดชีวิตจนกระทั่งถึงตีสาม และกลับเข้าไปอีกทุกๆเช้าตลอดสัปดาห์
Thomas Riley ผู้ซึ่งใช้เวลาหลายเดือนในการค้นหาสิ่งที่หลงเหลือในซากปรักหักพังกล่าวว่า "มันเป็นวันที่ยาวนานทุกวัน คุณมีเศษซากเครื่องบินลอยอยู่ในสายตาคุณ คุณต้องล้างตาคุณอย่างต่อเนื่อง" (เขาถูกส่งเข้าไป โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังเผชิญอยู่กับอะไร)

แน่นอนว่าเป็นธรรมดาของสื่อฯสหรัฐฯและตะวันตกอยู่แล้ว หากมีใครออกมาเรียกร้องหรือทำให้รัฐบาลกลางเสียหน้าเขาจะตบท้ายข่าวในทางดิสเครดิตหรือทำลายความน่าเชื่อถือของบุคคลนั้น หรือทำให้สังคมคิดว่ามีบางอย่างอยู่เบื้องหลังของการเคลื่อนไหวของบุคคลบางคนในครั้งนี้

และแล้ว New York Post ก็ตบท้่ายว่า Thomas Riley ได้ล็อบบี้สภาคองเกรสให้ขยายกองทุนชดเชยเหยื่อในเหตุการณ์ 9/11 ออกไปอีก ซึ่งเสนอให้มีการรักษาทางการแพทย์ สำหรับผู้ที่เข้าอยู่ ณ จุด Ground Zero กองทุนดังกล่าวจะหมดอายุลงในเดือนตุลาคมปี 2016

จบเลย การนำเสนอข่าวแบบนี้บอกได้ว่าเป็นการชี้นำเพื่อให้สังคมมองว่าคำพูดและการเรียกร้องของ Thomas Riley หรือคนอื่นๆ ไม่น่าเชื่อถือ เพราะเขากำลังเรียกร้องเพื่อผลประโยชน์ของเขาเอง แม้ว่าสมัยก่อนคนเหล่านี้จะได้รับการยกย่องว่าเป็นฮีโร่ของชาวอเมริกัน ถึงกับมีการสร้างหนังฮอลลีวูดออกมาหลายเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ 9/11 แต่เมื่อเวลาผ่านไป ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้รับการเหลียวแลอีกซะแล้ว ก็คงจะใกล้สมัยเลือกตั้งครั้งต่อไป หรือใกล้วันครบรอบเหตุการณ์ 9/11 ที่จะถึงในเดือนหน้านี้แหละถึงจะมีการพูดถึงเรื่องนี้กันอีกครั้ง แทนที่สังคมจะตั้งคำถามกับ Ground Zero และนิวเคลียร์หรือสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งในเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย สื่อฯสหรัฐฯกับทำให้สังคมตั้งคำถามกับเหยื่อว่าต้องการอะไรอีก? ซะงั้น

ศาลอินโดฯสั่งครอบครัว'ซูฮาร์โต'คืนเงินหลวง1.1หมื่นล้าน



ศาลอินโดฯสั่งครอบครัว'ซูฮาร์โต'คืนเงินหลวง1.1หมื่นล้าน
Cr:ผู้จัดการ
เอเอฟพี - ศาลอินโดนีเซียสั่งให้กองทุนแห่งหนึ่งซึ่งก่อตั้งโดยนายซูฮาร์โต อดีตประธานาธิบดีจอมเผด็จการของอินโดนีเซีย จ่ายเงินคืนจำนวน 325 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(ราว11,000ล้านบาท) ที่ฉ้อโกงกองทุนรัฐไป เจ้าหน้าที่เปิดเผยในวันอังคาร(11ส.ค.)

ซูฮาดี โฆษกของศาลระบุว่าศาลฎีกาพิพากษาว่ากองทุนด้านการศึกษาแห่งหนึ่งซึ่งดูแลโดยครอบครัวของนายซูฮาร์โต ต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวกลับเข้ารัฐ
นายพลซูฮาร์โต ปกครองอินโดนีเซีย ด้วยระบบเผด็จการเบ็ดเสร็จยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ จนกระทั่งเขาถูกโค่นล้มจากการประท้วงของประชาชนในปี 1998
องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ซึ่งเฝ้าระวังด้านคอรัปชัน ตราหน้าว่านายซูฮาร์โต เป็นผู้นำทุจริตที่สุดตลอดกาล โดยอ้างว่าเขาปล้นเงินประเทศระหว่างที่เขายังเรืองอำนาจราว 1,500 ล้านดอลลาร์(ราว52,000ล้านบาท) ถึง 3,500 ล้านดอลลาร์(ราว 122,425ล้านบาท)
โฆษกของศาลเผยต่อว่าคำพิพากษาของศาลซึ่งมีคำตัดสินตั้งแต่เดือนที่แล้ว แต่เพิ่งเปิดเผยต่อสาธารณชนในสัปดาห์นี้ เกี่ยวข้องกับกองทุนซูเปอร์เซมา โดยกองทุนแห่งนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อมอบทุนการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยแก่เด็กที่มาจากครอบครัวยากจน แต่ในคำฟ้องทางแพ่งที่ยื่นโดยอัยการสูงสุดกล่าวหาว่าครอบครัวของนายซูฮาร์โต ใช้กองทุนดังกล่าวยักยอกเงินรัฐ
รายงานของหนังสือพิมพ์จาการ์ตา โกลบ ระบุว่าคำพิพากษาล่าสุดนี้ถือเป็นการกลับคำตัดสินเมื่อปี 2010 ที่ศาลเคยมีคำสั่งให้กองเงินจ่ายเงินคืนแก่รัฐเพียงเล็กน้อย แค่ 320,000 ดอลลาร์(ราว 11 ล้านบาท)
ฮวน เฟลิกซ์ ทัมบูโพโลน ทนายความครอบครัวซูฮาร์โต บอกว่าทีมกฎหมายยังไม่ได้รับคำพิพากษาของศาลฎีกาอย่างเป็นทางการ และจะตัดสินใจอีกทีว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปหลังจากได้เห็นเอกสารคำตัดสินแล้ว
ซูฮาร์โต เสียชีวิตด้วยสาเหตุทางธรรมชาติในปี 2008 แต่ยังคงมีความโกรธแค้นสุมอยู่ในอกของชาวอินโดนีเซีย ต่อการปกครองของเขาในช่วงท้ายและครอบครัวของอดีตผู้นำจอมเผด็จการรายนี้ โดยลูกๆของเขา 6 คนต่างถูกกล่าวหากอบโกยความมั่งคั่ง จากการได้สิทธิพิเศษในการเข้าถึงธุรกิจที่มีผลกำไร ในช่วง 3 ทศวรรษที่เขาปกครองประเทศ ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของการคอรัปชั่นอย่างมโหฬาร