PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2558

หน่วยงานที่เข้าถึงสถานที่เกิดเหตุ 9/11 ในสหรัฐฯต่างก็เป็นโรคมะเร็งเกือบ 4,000 คน

หน่วยงานที่เข้าถึงสถานที่เกิดเหตุ 9/11 ในสหรัฐฯต่างก็เป็นโรคมะเร็งเกือบ 4,000 คน
-----------
เอาแล้วไงความจริงค่อยๆถูกเปิดเผยออกมาเรื่อยๆแล้ว วันนี้ (12 ส.ค.58) สำนักข่าว Sputnik news อ้างรายงานข่าวจาก New York Post ของสหรัฐฯว่าเจ้าหน้าที่ที่เข้าถึงสถานที่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2001 ซึ่ง (รัฐบาลสหรัฐฯอ้างว่า) เกิดจากการก่อการร้ายที่ตึก World Trade Center ในนคร New York City ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งถึง 3,700 คน (มันจะเป็นไปได้อย่างไร? เครื่องบินของผู้ก่อการร้ายตาลีบันที่นำโดยบินลาเดน บรรทุกระเบิดนิวเคลียร์หรือวัตถุที่มีกัมภาพรังสีสามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็งไปด้วยหรือไง? นั่นสิ แต่รัฐบาลจักรวรรดิเฮเก้ไม่ได้บอกว่าบนเครื่องบินลำนั้นมีวัตถุลักษณะนั้นอยู่ด้วยนะ)

รายงานข่าวบอกว่าบรรดาผู้ที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็งได้รับการรับรองจากรัฐบาลกลางของสหรัฐฯว่ารวมอยู่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกของกรมดับเพลิงนิวยอร์ก (New York Fire Department) (จำนวน 1,100 คน) เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เข้าตรวจสอบสถานที่ Ground Zero (จุดศูนย์กลางของการระเบิดที่ร้ายแรง เช่นจุดศูนย์กลางการระเบิดนิวเคลียร์) (จำนวน 2,134) ผู้ลอดชีวิตเช่นคนงานในเขตเมืองและผู้อยู่อาศัย (จำนวน 467 คน)

Dr. David Prezant หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ของ FDNY กล่าวว่าเจ้าหน้าที่ดับเพลิงและหน่วยกู้ภัยมากกว่า 2,100 คนได้ลาออกจากงาน เหตุขาดความสามารถ (disability) เนื่องจากความเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับ World Trade Center

Dr. David Prezant กล่าวในแถลงการณ์กับหนังสือพิมพ์ New York Post ว่า "สืบเนื่องจากลักษณะทางกายภาพในงานของพวกเขา ความป่วยไข้เหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อสมาชิกของพวกเราและครอบครัวของพวกเขาเป็นอย่างมาก"

รายงานข่าวบอกอีกว่า "ซึ่งรวมถึงบุคคลที่ดูแลรับผิดชอบจาก FDNY จำนวน 109 คนซึ่งเสียชีวิตจากความเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับจุด Ground Zero ด้วย ในจำนวนนั้นมี 44 คนเป็นโรคมะเร็ง"

โฆษกของ FDNY กล่าวว่า "การวิจัยได้ตรวจพบมะเร็งในไทรอยด์ ลำไส้ ต่อมลูกหมาก ในเม็ดเลือดแพร่หลายอยู่ในกลุ่มสมาชิกของ FDNY ซึ่งเข้าไปทำงานอยู่ ณ จุด Ground Zero มากกว่าคนที่ไม่ได้เข้าไปอยู่ ณ จุดนั้น" (กรรม!)

Thomas Riley รองหัวหน้าของ FDNY อายุ 58 ปีได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (non-Hodgkin's lymphoma) และมะเร็งเม็ดเลือด (blood cancer) มีเนื้องอกปรากฎขึ้นด้านหลังตาขวาของเขาด้วย เขาบอกกับหนังสือพิมพ์ฯว่า "นั่นมันช็อกเข้าไส้เลยหละ" (That was a shock to the gut)

ในเหตุการณ์ 9/11 ครั้งนั้น Thomas Riley รีบเร่งออกจากบ้านของเขาบนเกาะ Long Island ไปที่สถานีดับเพลิง Jackson Heights และให้เพื่อนๆนักผจญเพลิงของเขาเข้าไปยังจุด Ground Zero ณ ที่ตรงนั้นบรรดานักดับเพลิงต่างก็พากันขุดหาผู้รอดชีวิตจนกระทั่งถึงตีสาม และกลับเข้าไปอีกทุกๆเช้าตลอดสัปดาห์
Thomas Riley ผู้ซึ่งใช้เวลาหลายเดือนในการค้นหาสิ่งที่หลงเหลือในซากปรักหักพังกล่าวว่า "มันเป็นวันที่ยาวนานทุกวัน คุณมีเศษซากเครื่องบินลอยอยู่ในสายตาคุณ คุณต้องล้างตาคุณอย่างต่อเนื่อง" (เขาถูกส่งเข้าไป โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังเผชิญอยู่กับอะไร)

แน่นอนว่าเป็นธรรมดาของสื่อฯสหรัฐฯและตะวันตกอยู่แล้ว หากมีใครออกมาเรียกร้องหรือทำให้รัฐบาลกลางเสียหน้าเขาจะตบท้ายข่าวในทางดิสเครดิตหรือทำลายความน่าเชื่อถือของบุคคลนั้น หรือทำให้สังคมคิดว่ามีบางอย่างอยู่เบื้องหลังของการเคลื่อนไหวของบุคคลบางคนในครั้งนี้

และแล้ว New York Post ก็ตบท้่ายว่า Thomas Riley ได้ล็อบบี้สภาคองเกรสให้ขยายกองทุนชดเชยเหยื่อในเหตุการณ์ 9/11 ออกไปอีก ซึ่งเสนอให้มีการรักษาทางการแพทย์ สำหรับผู้ที่เข้าอยู่ ณ จุด Ground Zero กองทุนดังกล่าวจะหมดอายุลงในเดือนตุลาคมปี 2016

จบเลย การนำเสนอข่าวแบบนี้บอกได้ว่าเป็นการชี้นำเพื่อให้สังคมมองว่าคำพูดและการเรียกร้องของ Thomas Riley หรือคนอื่นๆ ไม่น่าเชื่อถือ เพราะเขากำลังเรียกร้องเพื่อผลประโยชน์ของเขาเอง แม้ว่าสมัยก่อนคนเหล่านี้จะได้รับการยกย่องว่าเป็นฮีโร่ของชาวอเมริกัน ถึงกับมีการสร้างหนังฮอลลีวูดออกมาหลายเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ 9/11 แต่เมื่อเวลาผ่านไป ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้รับการเหลียวแลอีกซะแล้ว ก็คงจะใกล้สมัยเลือกตั้งครั้งต่อไป หรือใกล้วันครบรอบเหตุการณ์ 9/11 ที่จะถึงในเดือนหน้านี้แหละถึงจะมีการพูดถึงเรื่องนี้กันอีกครั้ง แทนที่สังคมจะตั้งคำถามกับ Ground Zero และนิวเคลียร์หรือสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งในเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย สื่อฯสหรัฐฯกับทำให้สังคมตั้งคำถามกับเหยื่อว่าต้องการอะไรอีก? ซะงั้น

ไม่มีความคิดเห็น: