PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ศาลอุทธรณ์ชี้ นปช.เผาเซ็นเตอร์วัน ไม่ใช่จลาจลแต่เข้าข่ายก่อการร้าย


โดย ทีมข่าวอาชญากรรม23 ธันวาคม 2556 19:41 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ศาลอุทธรณ์ชี้ นปช.เผาเซ็นเตอร์วัน ไม่ใช่จลาจลแต่เข้าข่ายก่อการร้าย

ศาลอุทธรณ์ชี้ นปช.เผาเซ็นเตอร์วัน ไม่ใช่จลาจลแต่เข้าข่ายก่อการร้าย

ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีความแพ่ง ให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าเสียหายให้ห้างเซ็นเตอร์วันกว่า 122,790,000 บาท ตามคำพิพากษาชั้นต้น จากเหตุการณ์ นปช.บุกขโมยทรัพย์สินและวางเพลิงเผาทรัพย์ แต่แก้อุทธรณ์จากพฤติการณ์ของนปช.แค่จลาจล ถือเป็นการก่อการร้าย"
      
       วันนี้ (23 ธ.ค.) ศาลอุทธรณ์ ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีความแพ่ง ที่บริษัทพีเพิล พลาซ่า หรือห้างสรรพสินค้าเซ็นเตอร์วัน เป็นโจทก์ฟ้อง บริษัทแอกซ่า ประกันภัย จำกัด ให้จ่ายค่าเสียหาย 122,790,000 บาท กรณีถูกวางเพลิงเผาทรัพย์และขโมยทรัพย์สินระหว่างการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง หรือ นปช.เมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 โดยสรุปคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ได้พิจารณาพยานและหลักฐาน พบว่า เนื่องจาก
      
       - หลังเกิดเพลิงไหม้แล้วได้มีรถดับเพลิงเข้าไปดับเพลิงแต่ได้ถูกขัดขวางจากผู้ชุมนุม
       -พบลูกธนูที่พันด้วยผ้าตกอยู่บริเวณชั้นล่างของอาคารศูนย์การค้า
       -พบร่องรอยกระสุนปืนเป็นรูอยู่หลายรูบริเวณเสาด้านหน้าอาคาร
      
       ดังนั้นศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่าการวางเพลิงเกิดจากกลุ่มมวัยรุ่นคึกคะนอง รถจักรยานยนต์รับจ้างและคนขับรถซาเล้งซื้อของเก่าที่มีเจตนาลักทรัพย์และพิจารณาโดยสรุปจากพยานหลักฐานเกี่ยวกับการวางเพลิงแล้ว พบว่า การวางเพลิงเกิดจากการกระทำของกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. บางส่วนที่ต้องการใช้ความรุนแรง และ/หรือ ข่มขู่ เพื่อผลทางการเมือง เพื่อต้องการส่งผลให้รัฐบาลและประชาชนหวาดกลัว การกระทำของกลุ่ม นปช. ที่วางเพลิงนั้น เข้านิยาม "การกระทำการก่อการร้าย"
      
       ก่อนหน้านี้ นายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ได้เคยกล่าวถึงกรณีที่ศาลแพ่ง ได้เคยมีคำพิพากษาให้บริษัท เทเวศประกันภัย ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกว่า 3 พันล้านบาท ให้กลับกลุ่มเซ็นทรัลฯ จากกรณีที่เกิดเหตุไฟไหม้ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ระหว่างการกระชับพื้นที่เมื่อ 19 พ.ค. 53 ของ ศอฉ.เช่นกัน โดยระบุว่าไม่ใช่ก่อการร้ายแต่เป็นเพียงการจลาจลจึงอยู่ในเงื่อนไขกรมธรรม์ที่คุ้มครอง เนื่องจากคดีแพ่งที่ศาลแพ่งตัดสินไปนั้น เป็นกรณีที่เซ็นทรัลฯ ยื่นฟ้องบริษัทเทเวศประกันภัยแต่เพียงผู้เดียว ไม่ได้ยื่นฟ้องบุคคลที่ถูกฟ้องในคดีอาญา
      
       โดยที่ศาลอาญามีอยู่ 2 คดี คือคดีก่อการร้าย ซึ่งมีจำเลย 24 คน และมีแกนนำ นปช. อยู่ด้วย ส่วนอีกคดีเป็นจำเลยในคดีเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์สินผู้อื่น ดังนั้นตามหลักกฎหมายเมื่อจำเลยในคดีแพ่งและจำเลยในคดีอาญาเป็นคนละคนกัน จึงไม่มีผลผูกพันจำเลยในคดีอาญา อีกทั้งคำพิพากษาของศาลแพ่งก็ไม่ได้มีการกล่าวถึงจำเลยที่ถูกฟ้องในคดีอาญาเลย สรุปแล้วไม่มีผลต่อคำพิพากษาในคดีอาญาทั้ง 2 คดี

7 องค์กรเอกชน แนะปฏิรูปประเทศทันที ลดดีกรีความขัดแย้ง


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สำนักข่าวอิศรา 

          7 องค์กรเอกชน ออกแถลงการณ์แนะปฏิรูปทันที เพราะหากมีเลือกตั้งความขัดแย้งก็ไม่ลด ชี้ จะช้าจะเร็วก็ต้องมีการปฏิรูปอยู่แล้ว ดังนั้นควรทำให้เร็วที่สุด 

          วันนี้ (23 ธันวาคม 2556) มีการประชุมเวทีร่วมเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย ครั้งที่ 2 จัดโดย 7 องค์กรเอกชน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สมาคมธนาคารไทย, สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สภาธุรกิจตลาดทุนไทย, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย หลังจากที่ทางกลุ่มได้หารือกับ กปปส. และ นปช. เพื่อหาทางออกให้แก่ประเทศ

          โดย นายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ขณะนี้เราเห็นว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะกันขึ้น แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งก็ตาม และก็มีแนวโน้มความขัดแย้งที่รุนแรงมากขึ้นด้วย ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มเห็นความขัดแย้งบ้างเล็กน้อย ทั้งนี้ ทางเอกชนมองว่า เห็นด้วยที่จะมีการเลือกตั้ง แต่ว่าก่อนการเลือกตั้งควรจะมีการจัดการอะไรกันใหม่เสียก่อน
          ต่อมา นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ทางองค์กรเน้นในเรื่องการปฏิรูปมากกว่า โดยในส่วนพรรคการเมืองก็ควรจะทำสัตยาบรรณร่วมกันที่จะปฏิรูปการเมืองและปฏิรูปประเทศ โดยมองข้ามการเลือกตั้งไปแล้วว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ ส่วนสถานการณ์ในขณะนี้หากยังยืดเยื้อต่อไปอาจจะส่งผลต่อการลงทุนจากต่างชาติ เช่น การย้ายฐานการลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น อย่างไรก็ดี การปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้งจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากกว่า เป็นการแสดงออกว่าพยายามคลี่คลายปัญหาการเมืองของทุกฝ่าย เพื่อทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้

          ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ถ้าหากไม่ทำอะไรเลย ความขัดแย้งก็ไม่ลด ฉะนั้นการปฏิรูปจึงเป็นสิ่งที่รอไม่ได้ ต้องทำในทันที เพราะกว่าจะตกผลึกก็ใช้เวลาค่อนข้างนาน

          ขณะที่นายธวัชชัย ยกกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า รัฐบาลรักษาการสามารถออกกฎหมายตั้งองค์การปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้งได้ทันที แต่การเลือกตั้งจะมีเมื่อไหร่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะถ้าเลือกตั้งก่อนปฏิรูป หน้าที่ของรัฐบาลก็คือดูแลการปฏิรูป สุดท้ายก็ต้องมีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้งอยู่ดี โดยที่กระบวนการต่าง ๆ ไม่ควรเกิน 1 ปี และสิ่งที่สำคัญคือการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน


สำหรับแถลงการณ์ 7 องค์กรภาคเอกชน เรื่อง การปฏิรูปประเทศไทย มีรายละเอียดทั้งหมดดังนี้ 


          1. ตามที่ได้เกิดความขัดแย้งรุนแรงอย่างต่อเนื่องในสังคมไทยปัจจุบัน และมีแนวโน้มว่า ความขัดแย้งนี้จะลุกลามไปอย่างไม่สิ้นสุด จนบัดนี้ได้สร้างความแตกแยกในบ้านเมืองอย่างร้าวลึก 7 องค์กรภาคเอกชน เห็นว่า มีความจำเป็นต้องแสวงหาทางออกอย่างเร่งด่วน จึงได้ร่วมกันจัดเวทีกลางเพื่อรับฟังความเห็นและแนวทางแก้ไขจากกลุ่มต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่เป็นคู่ขัดแย้ง กลุ่มประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทูตานุทูต และภาคธุรกิจต่างประเทศมาโดยตลอด ทุกฝ่ายเห็นร่วมกันว่า จำเป็นต้องมีการปฏิรูปอย่างเร่งด่วนเพื่อความผาสุกอย่างยั่งยืนของประเทศเป็นสำคัญ

          2. 7 องค์กรภาคเอกชน ได้รับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนอย่างครอบคลุมแล้ว ต่างมีความเห็นว่า ไม่อยากให้ประเทศเข้าสู่สภาวะสิ้นหวัง และมองเห็นสถานการณ์เป็นโอกาสและเป็นหน้าต่างแห่งทางเลือก ซึ่งบัดนี้เป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่งว่า สถานการณ์ได้มีการพัฒนาไปในทางที่ไม่ใช้ความรุนแรงมาโดยลำดับ จึงใคร่ขอบคุณทุกฝ่ายที่ใช้ความอดกลั้นและขันติธรรมมาโดยตลอด

          3. อย่างไรก็ตาม 7 องค์กรภาคเอกชนเห็นว่า แม้การพัฒนาได้เป็นไปในทางที่ไม่ใช้ความรุนแรง แต่ก็ยังไม่สามารถหาทางออกให้กับประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ การยุติความขัดแย้งจึงจำเป็นที่จะต้องฟังเสียงเครือข่ายปฏิรูปที่มีความหลากหลาย และได้เชิญองค์กรและบุคคลหลายฝ่ายมาร่วมสะท้อนความเห็น จนได้ข้อสรุปว่า มีความจำเป็นต้องเดินหน้าสู่การปฏิรูปทันที โดยมีกระบวนการปฏิรูปดังนี้

                    3.1. จัดตั้งองค์กร ที่ทำหน้าที่ปฏิรูปในทันทีก่อนการเลือกตั้ง โดยความเห็นชอบของพรรคการเมืองและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย และมีการรับรองตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นแก่ทุกฝ่าย เช่น อาจออกเป็นพระราชกำหนด

                    3.2. องค์กรนี้เป็นองค์กรที่ปลอดจากอิทธิพลทางการเมือง

                    3.3. วาระการทำงานขององค์กร เป็นวาระแห่งชาติเพื่อทำการปฏิรูปโดยเฉพาะ

          4. กรอบประเด็นสำคัญของการปฏิรูป มีดังต่อไปนี้

                    4.1. กติกาการเข้าสู่อำนาจรัฐที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ร่วมกัน เช่นระบบการเลือกตั้งที่ปราศจากการซื้อเสียงและใช้อิทธิพลใดๆ และความโปร่งใสของกระบวนการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต่าง ๆ

                    4.2. การตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อำนาจรัฐของผู้แทนประชาชน องค์กรอิสระ และสถาบันทางการเมืองต่าง ๆ เช่น เรื่องการแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการ

                    4.3. การขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ ภาคเอกชน ตลอดจนในภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคม

                    4.4. โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่เอื้อต่อการสร้างความเป็นธรรมในการจัดสรรและเข้าถึงทรัพยากรในสังคม และลดความเหลื่อมล้ำโดยมีการส่งเสริมการเพิ่มผลิตภาพของประชาชน ให้พึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน

                    4.5. โครงการที่จะมีผลกระทบต่อประชาชน ระบบเศรษฐกิจ และวินัยการคลัง ควรต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยถือผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก

                    4.6. กระบวนการยุติธรรมที่สร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนว่าจะได้รับความเป็นธรรมอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน

          7 องค์กรภาคเอกชน มีความเห็นว่าการปฏิรูปมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด และต้องทำทันที ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อใด จึงใคร่ขอเชิญชวน ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งนี้ 7 องค์กรภาคเอกชนใคร่ขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายใช้ความสุขุมรอบคอบและวิจารณญาณที่จะช่วยแก้ไขปัญหาชาติ โดยขอเรียกร้องดังนี้

                    1. ให้นักการเมืองและคู่ขัดแย้งทางการเมืองทุกฝ่ายได้ตระหนักถึงผลเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติ และหันมาเจรจาหาทางออกจากวิกฤตการทางการเมืองนี้ร่วมกันบนพื้นฐานของผลประโยชน์ของชาติ ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

                    2. ให้ทุกฝ่ายแสดงความจริงใจต่อการแก้ปัญหาของประเทศ โดยเข้าร่วมกระบวนการปฏิรูป

                    3. รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีภารกิจหลักในการสนับสนุนการปฏิรูปตามข้อเสนอแนะขององค์กรเพื่อการปฏิรูป และในเวลาเดียวกันให้บริหารประเทศและเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เกิดการสะดุดและชะงักงันต่อการพัฒนาประเทศ และควรทำภารกิจข้างต้นให้เสร็จสิ้นอย่างเร็วที่สุดแต่ไม่ควรเกิน 1 ปี

เบื้องหลัง"จุตินันท์"ให้"ตั๊น"เปลี่ยนนามสกุล


● เปิดเบื้องลึก"จุตินันท์"ให้ตั๊นเปลี่ยนนามสกุล เผยสาเหตุการออกจดหมายเปิดผนึกของ "จุตินันท์" ให้ "จิตภัสร์" เปลี่ยนนามสกุล เหตุพระยาภิรมย์ภักดีสั่งลูกหลานอย่าเล่นการเมืองหากตัดสินใจทำธุรกิจ แหล่งข่าวจากบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ เปิดเผยว่า การออกจดหมายเปิดผนึกของนายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี เป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจากที่ น.ส.จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และแนวร่วมกลุ่ม กปปส. อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความคิดเห็นผ่านทางหนังสือพิมพ์ต่างประเทศฉบับหนึ่ง และถูกแปลผ่านสื่อต่างๆ ว่า "คนชนบทไม่มีความรู้ ความเข้าใจประชาธิปไตย" จนสร้างความไม่พอใจให้กับคนจำนวนมาก จึงมีการพูดคุยกันในครอบครัวและตัดสินใจให้น.ส.จิตภัสร์ เปลี่ยนนามสกุล เมื่อยืนยันว่าจะทำงานการเมืองต่อไป ทั้งนี้ที่สำคัญคือ มีคำสั่งจากเจ้าพระยาภิรมย์ภักดีที่บอกกล่าวไว้ให้ลูกหลานในตระกูลภิรมย์ภักดีว่าไม่อยากให้ลูกหลานเข้าสู่แวดวงทางการเมืองหากตัดสินใจทำธุรกิจ เพราะเห็นว่าธุรกิจไม่ควรเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งโดยวัฒนธรรมของตระกูลภิรมย์ภักดี จะเชื่อฟังและทำตามคำสั่งของผู้ใหญ่ และ น.ส.จิตภัสร์ ถือว่าเป็นคนแรกของตระกูลภิรมย์ภักดีที่เข้าสู่แวดวงการเมือง ดังนั้น นายจุตินันท์ ในฐานะที่เป็นพ่อ จึงต้องคุยกับลูกสาว เพื่อหาคำตอบให้กับคนในตระกูลภิรมย์ภักดี และหาทางออกให้ น.ส.จิตภัสร์ ที่ยืนยันว่าจะเดินบนเส้นทางการเมืองต่อไป ซึ่งทางออกที่ดีที่สุดขณะนี้คือ การเปลี่ยนนามสกุลของ น.ส.จิตภัสร์ เพื่อแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ตระกูลภิรมย์ภักดีไม่ข้องเกี่ยวกับการเมือง ก่อนหน้านี้ นายสันติ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ ได้ส่งจดหมายภายในถึงนายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี โดยตักเตือนถึงการทำงานทางการเมืองของ น.ส.จิตภัสร์ ว่าอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจและภาพลักษณ์ขององค์กร เพราะถูกนำไปโยงเรื่องการเมือง และที่ผ่านมาได้พูดคุยตักเตือนหลายครั้ง จนกระทั่งออกเป็นจดหมายตักเตือนอย่างเป็นทางการและนำไปสู่การแก้ปัญหาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวยืนยันว่า ณ ขณะนี้ ยอดขายเบียร์สิงห์และลีโอของบริษัทยังคงเป็นปกติ และยังคงทำงานตามปกติ รวมทั้งจะไม่มีการดำเนินการอะไรออกมาจากบริษัท เนื่องจาก นายสันติ เชื่อว่า ในขณะที่สถานการณ์การเมืองรุนแรง ทุกอย่างจะถูกหยิบยกมากล่าวอ้างเพื่อให้ประโยชน์ทางการเมือง ส่วนลูกหลานของตระกูลภิรมย์ภักดีสามารถเล่นการเมืองได้เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ไม่เกี่ยวกับตระกูลและธุรกิจ "สิ่งที่คุณสันติกังวลไม่ใช่ยอดขาย แต่กังวลถึงความรู้สึกของทุกคนมากกว่า เพราะบุญรอดมองว่าทุกคนเป็นลูกค้าเรา ไม่เคยแบ่งว่าเป็นเสื้อสีใด เพราะเราทำธุรกิจไม่ได้เล่นการเมือง และเลือกจะนิ่งเชื่อว่าทุกคนจะรู้ว่าบุญรอดไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง" ‪#‎โพสต์ทูเดย์‬

ปลัดยุติธรรมโพสต์เฟซบุ๊กกระบวนการปฏิรูปต้องเกิดขึ้นทันที

วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18:45:21 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะอดีตกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ได้เขียนบทความเรื่องการปฏิรูปประเทศต้องเริ่มทันที ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว และเสนอ 5 ข้อ โดยมีเนื้อหาระบุว่า

1.ขณะนี้น่าจะพอสรุปสถานการณ์ได้ว่าจุดร่วมที่ทุกฝ่ายในความขัดแย้งเห็นตรงกันคือการปฏิรูปประเทศต้องเกิดขึ้น ประเด็นที่ยังไม่ลงรอยกันและยังถกเถียงกันอยู่คือ “เลือกตั้งแล้วปฏิรูป” หรือ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ในความเห็นของตน แนวทางทั้ง 2 น่าจะไม่ใช่แนวทางที่นำไปสู่สัมฤทธิผลของการปฏิรูป หากจะทำให้การปฏิรูปประสบผลสำเร็จและเปลี่ยนพลังความขัดแย้งเป็นพลังสร้างสรรค์ “กระบวนการปฏิรูปต้องเกิดขึ้นทันที” และหากทุกฝ่ายจริงใจกับการปฏิรูปดังที่กล่าวอ้างอยู่ และจริงใจต่อประเทศก็ต้องรีบดำเนินการทุกอย่างเพื่ออำนวยความสะดวกให้กระบวนการปฏิรูปได้เริ่มต้นได้จริง

2.ในกระแสความขัดแย้งเป็นธรรมดาว่าข้อคิดเห็นต่างๆ แม้จะดีสักเพียงใดย่อมไม่สามารถได้รับการยอมรับจากคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งหากเสนอโดยคู่ขัดแย้ง ดังนั้นหากทุกฝ่ายจริงใจต่อการปฏิรูปขอเรียกร้องให้คู่ขัดแย้งยอมที่จะมาคุยกันใน “เวทีกลาง” คำว่า “เวทีกลาง” นี้ต่างจาก “คนกลาง” คือไม่เน้นที่การหา “คนกลาง” ในฐานะ “ปัจเจก” ที่ทุกฝ่ายยอมรับ ซึ่งนับวันคงหายากขึ้นทุกที แต่หมายถึงเวทีที่ประกอบด้วยบุคคลกลุ่มหนึ่ง คนกลุ่มนี้แต่ละคนอาจมีมุมมองที่ถูกมองว่าเอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่งบ้าง แต่เมื่อมอง “โดยรวม” แล้วต้องมีสภาพของความเป็นกลางเพียงพอที่คู่ขัดแย้งไว้วางใจ

3.เวทีกลางมีหน้าที่ในการเสนอ “หลักประกัน” ที่ทำให้ทุกฝ่ายที่อยู่ในความขัดแย้งเห็นได้ว่าการปฏิรูปจะเกิดขึ้นแน่นอน และจะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประเทศ ไม่ใช่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “หลักประกัน” ที่จะเป็นรูปธรรมคือการแสดงให้เห็น “เส้นทางสู่การปฏิรูป” (Roadmap for Reform) ที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม และที่สำคัญสามารถทำได้ในกระแสความขัดแย้ง

4."เส้นทางสู่การปฏิรูป" นั้นหากนำมาหารือกันใน “เวทีกลาง” ด้วยความไว้วางใจ ไม่ชิงไหวชิงพริบกัน อะไรที่บอกว่าไม่ได้ก็อาจจะทำได้ แต่อย่างน้อยผมคิดว่าน่าจะหารือกันในประเด็นเหล่านี้ให้ตกผลึก เช่น รูปแบบองค์กรขับเคลื่อนการปฏิรูป ซึ่งน่าจะมีคุณสมบัติเบื้องต้นดังนี้ ตั้งขึ้นก่อนการเลือกตั้ง มีสถานภาพทางกฎหมายที่สามารถให้อิสระ มีความต่อเนื่องในการทำงาน และมีงบประมาณที่เพียงพอ เช่นอาจทำโดยพระราชกำหนดโดยการให้ความเห็นชอบโดยพรรคการเมืองและคู่ขัดแย้ง เป็นต้น มีองค์ประกอบของบุคคลจากหลากหลายภาคส่วนที่เป็นที่ยอมรับ โดยไม่เป็นองค์กรที่นำโดยนักการเมือง (เนื่องจากต้องพูดถึงประเด็นการปฏิรูปการเมืองเป็นประเด็นหลักด้วย) มีกระบวนการที่ทำงานร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชนที่ทำงานด้านปฏิรูปอย่างใกล้ชิด มีกระบวนการทางกฎหมายที่ออกแบบให้ข้อเสนอมีผลผูกพันภายหลังการเลือกตั้ง เช่น การกำหนดให้มีการทำประชามติในจังหวะเวลาที่เหมาะสมและจำเป็น ฯลฯ

นายกิตติพงษ์ยังระบุอีกว่า ความชัดเจนของการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งครั้งหน้า อาทิ ต้องเป็นรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรที่มีวาระการปฏิรูปประเทศเป็นวาระสำคัญที่สุด จึงต้องคุยกันถึงรูปแบบการทำงานที่ชัดเจน เช่น การกำหนดวาระให้ไม่อยู่ครบเทอม เช่นไม่เกิน 1 ปี หรือเมื่อเสร็จภารกิจหลักเช่นการปฏิรูปในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง และการปฏิรูปการเมืองแล้วก็ควรยุบสภาให้มีการเลือกตั้งตามกติกาใหม่โดยเร็วที่สุด เป็นต้น

ปลัดยุติธรรมยังเสนอด้วยว่า สำหรับกรอบประเด็นในการปฏิรูป เช่น กติกาการเข้าสู่อำนาจรัฐ เช่น การปรับปรุงระบบพรรคการเมืองและการเลือกตั้ง, การตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อำนาจรัฐโดยฝ่ายต่างๆ ทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ และองค์กรอิสระต่างๆ, การขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ การเมือง ภาคธุรกิจ และภาคส่วนต่างๆ, การสร้างระบบราชการบนพื้นฐานของจริยธรรมและคุณธรรม, การลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม, การสร้างระบบยุติธรรมที่เที่ยงธรรมและสามารถเข้าถึงโดยง่าย เป็นต้น

นายกิตติพงษ์กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการและแนวทางที่จะทำให้การปฏิรูปเกิดขึ้นได้จริงทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง ประเด็นที่ต้องมีความชัดเจน ได้แก่ มาตรการทางกฎหมายที่นำไปสู่การมีผลของการปฏิรูปที่เป็นข้อสรุปขององค์กรเพื่อการปฏิรูป เช่น การให้สัตยาบัน หรือสัญญาประชาคมโดยพรรคการเมืองและกลุ่มต่างๆในความขัดแย้ง หรือ การลงประชามติในบางประเด็น เป็นต้น บทบาทภาคประชาสังคมในการติดตามตรวจสอบและผลักดันอย่างต่อเนื่องให้การปฏิรูปเกิดจริง มาตรการในการสลายขั้วความขัดแย้งจากมวลชนทุกฝ่ายที่กำลังจะพัฒนาไปสู่ความรุนแรง โดยโน้มน้าวทุกฝ่ายให้เห็นความสำคัญกับการปฏิรูปซึ่งเป็นจุดร่วมที่ทุกฝ่ายต้องการเหมือนกัน

5.ประเด็นสำคัญที่เราต้องไม่ลืมก็คือ เรากำลังพยายามปฏิรูปประเทศในกระแสความขัดแย้ง การปฏิรูปจึงต้องอยู่ในหลักการที่ทุกฝ่ายรับได้ หรือ “รับไม่ได้น้อยที่สุด” ด้วยเหตุนี้ “กระบวนการ” ในสถานการณ์เช่นนี้จึงสำคัญไม่น้อยกว่า “เป้าหมาย” การปฏิรูปที่ได้มาโดยกระบวนการที่คนจำนวนมากไม่ยอมรับคงไม่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จได้ ดังนั้น ทางออกใดๆ ที่จะทำให้ประเทศหลุดพ้นจากความขัดแย้งจึงต้องอยู่บนหลักการของระบอบประชาธิปไตย และการหารือร่วมกันโดยฟังเสียงสะท้อนจากคู่ขัดแย้งทุกฝ่ายและประชาชนอย่างแท้จริงเท่านั้น

"ผมจึงขอเรียกร้องให้พรรคการเมืองทุกพรรคและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้งแสดงความจริงใจต่อการปฏิรูปประเทศไทย โดยประกาศเจตนารมณ์ที่จะยินยอมเข้าสู่กระบวนการในหารือผ่าน “เวทีกลาง” ในประเด็นที่ได้กล่าวมาข้างต้น เพื่อให้เกิด “หลักประกัน” ให้แก่ประชาชน อันเป็นสัญญาณให้เห็นว่าการปฏิรูปประเทศเกิดขึ้นแล้ว และสามารถร่วมกันผลักดันให้ประสบผลสำเร็จในทิศทางที่เป็นประโยชน์สูงสุดกับบ้านเมืองได้จริงหลังการเลือกตั้ง ก่อนที่จะสายเกินไป" ปลัดกระทรวงยุติธรรมระบุ

จับ 2 ผู้ต้องหายิงพลทหารธนะสิทธิ์ เวียงคำ

(ทีมงานอ.ธิดา)
23 ธันวาคม 56

ด้านคุณจตุพร พรหมพันธุ์แกนนำนปช.กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกินขึ้น ที่ม.รามและราชมังคลา ในช่วงวันที่ 30 พ.ย. ถึง 1 ธ.ค.ซึ่งมีพี่น้องเสื้อแดงเสียชีวิติ3ศพและน้องนักศึกษารามเสียชีวิต 1 ศพ รวมน้องอาชีวะที่ขึ้นไปบนถึงและลงไม่ได้อีก 1 ศพ มีการปุกระดมโดย กปปส.นำโดยนายสุเทพ นายถาวร เสเนียม 1 เสียที่ตายว่าถูกคนเสื้อแดง หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นผู้ดำเนินการ และไม่มีการพูดถึง 3 ศพคนเสื้อแดง บัดนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้จับกุมผู้ต้องหา ในคดีฆ่าพลทหารธนะสิทธิ์ เวียงคำ อายุ 22 ปี วันที่ 30 พ.ย. โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ จับกุมผู้ต้องหาได้ 2 คนเป็นนักศึกษาม.รามคำแหงชั้นปีที่ 1 คณะรัฐศาสตร์ และได้ให้การสารภาพพร้อมของกลาง อาวุธปืนขนาด จุด38 โดยคนที่ลั่นกระสุนปืน ชื่อนายธีรภัทร ทองฤทธิ์ เป็นนักศึกษา ม.รามคำแหง เป็นอาวุธปืน จุด38 จำนวน 6 นัด สถานที่ยิงคือหอพักศรีจันดา 3 ซึ่งอยู่ในซอย โดยยิงจากบนหอพักลงมา เจ้าของปืน คือ นายนภดล แก้วมีจีน ซึ่งอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ เป็นเจ้าของอาวุธปืน และคนที่รับผิดต่อต่อความตายของพลทหารธนะสิทธิ์

พลฯ ธนะสิทธิ์ เวียงคำ อายุ 22 ปี เกิดเหตุวันที่ 30 พ.ย. 56 เวลาประมาณ 21.00-22.00 น. ถูกยิงที่กลางศรีษะ กระสุนทะลุผ่านหมวกกันน็อค เสียชีวิตเช้าวันที่ 1 ธ.ค. 56

นายธีรภัทร ทองฤทธิ์ เป็นนักศึกษา ม.รามคำแหง
เป็นคนที่ลั่นอาวุธปืนขนาดจุด38 ใส่พลทหารธนะสิทธิ์ เวียงคำ ส่วนนายนพดล แก้วมีจีน เป็นเจ้าของปืนขนาดจุด38

ตนขอถามไปยังนายสุเทพ นายถาวรเสเนียม นายวุฒิศักดิ์ อธิการบดี ม.รามคำแหง จะรับผิดชอบต่อคนเสื้อแดงที่ตายอย่างไร และ กปปส. อธิการบดีม.รามคำแหง จะตอบคำถามต่อสังคมอย่างไร ว่าแท้ที่จริงที่ตนพยายามกล่าวหาคนอื่น เปิดประตูให้บุคคลอื่นมาใช้สถานที่ นำพาไปสู่ความสูญเสีย และผู้ต้องหา2คนนี้ที่ต้องมาเสียอนาคต ในคดีฆ่าคนตาย ซึ่งเขารับสารภาพแล้ว และเจ้าหน้าที่บันทึกคำสารภาพไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นที่มีการปลุกระดมนักศึกษาราม มาปะทะกับคนเสื้อแดง ถูกกปลุกระดมสร้างความชิงชังระหว่างกัน ซึ่งคนที่ควรรับผิดชอบเป็นคนแรกคืออธิการบดี ตนขอเรียกร้องให้ลาออกได้แล้ว

รายงานข่าวจากตำรวจระดับสูงใน บก.น.4 แจ้งว่า สำหรับการจับกุมนายธีรภัทรและนายนภดล สืบเนื่องจากหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบโดยรอบจุดที่พลทหารธนะสิทธิ์ถูกยิง โดยตรวจเช็กวิถีกระสุน ก่อนพบมาจากห้องพักของนายนภดล เจ้าหน้าที่จึงเชิญมาสอบสวน ซึ่งนายนภดลให้การว่าปืนที่ใช้ก่อเหตุเป็นของตัวเองจริง แต่อ้างว่าผู้ที่ก่อเหตุยิงคือนายธีรภัทร ซึ่งเป็นเพื่อนที่มาขอพักในวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่เลยควบคุมนายธีรภัทรมาสอบสวน พบเป็นนักศึกษาม.รามคำแหง ชั้นปี 1 คณะรัฐศาสตร์ แผนการเมืองการปกครอง แต่นายธีรภัทรขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น

2 องค์กรสื่อเข้าพบแกนนำ กปปส. ถกมาตราการดูแลความปลอดภัยสื่อ

Mon, 2013-12-23 14:34

 
เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ที่เวทีการชุมนุมของกลุ่มประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน ซึ่งหลังจากที่วานนี้ (22 ธ.ค.) เกิดเหตุการณ์ผู้สื่อข่าวถูกการ์ดผู้ชุมนุมร่วมถึงผู้ชุมนุมบางส่วนเข้าไปล้อม จนมีการกระกระทั่งกันในขณะรายงานสดสถานะการณ์การชุมนุมนั้น วันนี้ตัวแทนจาก 2 องค์กรสื่อมวลชน นายเสด็จ บุนนาค อุปนายกฯ ฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย  นางสาวกรรวี ธัญญะตุลย์ เลขาธิการสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ พร้อมด้วยตัวแทนสื่อภาคสนาม เข้าหารือกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. เพื่อหารือถึงเรื่องดังกล่าว
 
ซึ่งผลการหารือ ทั้ง 2 ฝ่าย เห็นตรงกันที่จะให้มีผู้ประสานงานกับสื่อโดยตรงเมื่อเกิดเหตุ และมีอำนาจในการตัดสินใจแก้ปัญหาได้ทันที พร้อมกันนี้ จะจัดพื้นที่สำหรับจอดรถถ่ายทอดสด ให้อยู่รวมกัน เพื่อตัดปัญหาการคุกคามสื่อ นอกจากนี้ ยังขอความร่วมมือสื่อมวลชนภาคสนามทุกสำนักข่าว ให้ติดปลอกแขนสื่อสีเขียวอ่อน ที่ออกโดย 2 สมาคมนักข่าวฯ ดังกล่าว และบัตรแสดงตนว่าเป็นผู้สื่อข่าวจากต้นสังกัด ในการเข้าพื้นที่ชุมนุมด้วย
 
ด้านนายสุเทพ กล่าวว่า ตนรู้สึกไม่สบายใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยอมรับว่าการ์ดมีหลายส่วน ซึ่งอาจยากในการดูแลและควบคุม แต่จะทำความเข้าใจกับการ์ดให้มากขึ้น โดยในช่วยบ่ายวันนี้จะมีการหารือกับแกนนำที่รับผิดชอบการ์ดเพื่อทำความเข้าใจในการทำงานกับสื่อมวลชนให้มากขึ้น รวมทั้งจัดโซนนิ่งในการทำงานให้สื่อภายในเย็นวันนี้

สุเทพสั่งแสดงพลังไม่เห็นด้วยเลือกตั้ง-นอนขวางสถานที่รับสมัครทั่วประเทศ

Sun, 2013-12-22 20:37

สุเทพลั่นถ้ารัฐบาลไม่ออก ขรก.ไม่เปลี่ยนใจ จะลองปิด กทม.วันทำงาน จะต่อสู้ถึงขั้นปฏิวัติประชาชนชิงอำนาจคืน ถ้ารัฐบาล-กกต. ดึงดันการเลือกตั้งเท่ากับท้าทายคนทั้งประเทศ-จะได้เห็นดีกัน และอย่ากล่าวหา กปปส. ต่อต้านเลือกตั้ง เพราะ กปปส. ต้องการปฏิรูป - มีการเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรม
22 ธ.ค. 2556 - หลังจากที่วันนี้ (22 ธ.ค.) คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. นัดหมายตั้งแต่เวลา 13.00 น. ชุมนุมใหญ่ 15 แยกทั่ว กทม. แบ่งเป็นเวทีใหญ่ 5 เวที ได้แก่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แยกปทุมวัน แยกราชประสงค์ สีลม และแยกอโศก และเวทีย่อย 10 จุด ได้แก่ แยกอุรุพงษ์ แยกราชเทวี ประตูน้ำ แยกราชปรารภ แยกเจริญผล แยกหัวลำโพง แยกบางรัก แยกคลองเตย แยกเพลินจิต และแยกทองหล่อนั้น
ล่าสุดเมื่อเวลา 19.00 น. สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ได้กล่าวปราศรัย กล่าวขอบคุณประชาชนที่มาร่วมชุมนุม ตอนหนึ่งกล่าวว่า ที่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ให้ตัวเลขแก่รัฐบาลและรายงานสื่อต่างชาติว่ามีผู้ชุมนุม 150,000 คนก็ตามใจ หลอกฝรั่งตาน้ำข้าวได้ แต่ภาพที่ปรากฎวันนี้ หลอกคนไทยทั้งประเทศไม่ได้อีกแล้ว และจะรอดูว่าสื่อไทยจะรายงานอย่างไรวันพรุ่งนี้ จะดูใจสื่อไทยว่าใจเป็นทาสหรือเป็นไทย
สุเทพปราศรับว่า "ถ้ารัฐบาล และ กกต. ดึงดันให้มีการเลือกตั้ง เท่ากับท้าทายคนไทยทั้งประเทศ จะต้องเห็นดีกัน แล้วไม่ต้องมากล่าวหา ว่าเราต่อต้านการเลือกตั้ง เราไม่ได้ต่อต้านการเลือกตั้ง แต่เราต้องการเลือกตั้งบริสุทธิ์ ยุติธรรม ไม่มีการซื้อเสียง ไม่ต้องการให้พวกอัปรีย์เข้ามาเป็นใหญ่ในบ้านเมืองต่อไป"
"พี่น้องทั้งหลายเพราะเราต้องการปฏิรูปประเทศไทยเสียก่อน ต้องการให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ต้องทำให้เสร็จเรียบร้อยก่อนเลือกตั้ง ถ้าพวกมันบังอาจไม่ทำตามความต้องการของเสียงส่วนใหญ่ พวกมึงก็พวกระบอบทักษิณ อย่าออกมาเดินถนนพบประชาชนอีกเลย พี่น้องทั้งหลาย เพราะว่ายิ่งลักษณ์ มันหน้าด้าน มันไม่ยอมออกดีๆ ทั้งที่มันไม่มีความชอบธรรมทางกฎหมาย และทางการเมืองแล้ว แต่มันยังมาอ้างโน่นนี่ ไม่ยอมออกจากตำแหน่ง วันนี้ก็ดีดดิ้นออกมาพูดอีก บอกว่าพวกเราไม่มีเหตุผล มึงนั่นแหละไม่มีเหตุผล ยิ่งลักษณ์หน้าด้าน ออกมาพูดบอกว่า พวกเรา ทำอย่างนี้ เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย เฮ้ย กูจะบอกให้ มึงนั่นแหละทำลายประชาธิปไตย"
"ระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยมันสมบูรณ์บ้าง บกพร่องบ้าง แต่ที่เลวร้ายจริงๆ ก็วันที่ทักษิณ ชินวัตรมายึดครองอำนาจในประเทศนี้ และคนในประเทศมัน ตระกูลมันเป็นนายกรัฐมนตรีต่อเนื่องมาสามคน มีตัวแทนมันอีกหนึ่งคน ทำให้ประเทศชิบหาย โกงเลือกตั้งจนถูกยุบพรรค ก็กลับมาสู้กันอีก เขายุบพรรคมึงอีก กลายเป็นพรรคเพื่อไทย พวกทำลายระบอบประชาธิปไตย พวกมึงทำลายประชาธิปไตย ถ้าไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ มึงก็ต้องถูกยุบพรรคอีก แล้วมึงก็ว่าศาลอีก ว่าศาลไม่ยุติธรรม พวกมึงมันพวกนอกคอกทั้งชีวิต"
"ไม่ต้องว่าคนอื่นยิ่งลักษณ์ ไปดูกำพืดคนในตระกูลตัวเองเสียก่อน ไปดูว่าพวกคุณไปทำอะไรเพื่อคนไทย เขาอดทนมาตลอด แต่ลุกขึ้นมาครั้งนี้เพราะทนความระยำของคนในตระกูลมึงไม่ไหวแล้ว แล้วถ้ายังแด๊ะๆ มาพูดอย่างนี้อีก กูจะด่ามึงทุกวัน จนกว่ามึงจะมุดโถส้วมตายไปเอง"
"เพราะพวกมึงมีพฤติกรรมทำลายระบอบประชาธิปไตย มือถือสากปากถือศีล ปีศาจคาบคัมภีร์ คำสองคำก็ด่าประชาชน ว่าไม่เคารพกฎหมาย แล้วทีพวกมึงทั้งพรรค ส.ส. รัฐมนตรี ประธานสภา ลุกขึ้นมาแถลงว่าไม่ยอมรับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ นั่นพ่อแม่มึงไม่สอนให้เคารพกฎหมายหรืออย่างไร ที่พูดนี่กูโกรธนะเว้ย โกรธแทนประชาชนคนดีๆ ถ้าพวกมึงเป็นคนดี ผู้วิเศษ มึงออกมาสอนประชาชน ประชาชนอย่างพวกกูพร้อมจะยอมรับ แต่มึงมันคนชั่ว โกงทั้งโคตร โคตรโกงจึงไม่มีสิทธิมาสอน"
"ไม่ต้องอ้าง ว่าไม่มีกฎหมาย ไม่ต้องอ้าง ที่เราทำวันนี้ไม่ถูกด้วยกฎหมาย ก็พวกมึงไม่เคารพกฎหมาย เป็นรัฐบาลทรราชย์ ประชาชนพลเมืองดีอย่างกู จึงมีสิทธิลุกขึ้นมาจัดการรัฐบาลทรราชย์เว้ย เพราะมึงด่าประชาชนวันนี้ ดังนั้นมึงจำใส่กะลาหัวไว้ มึงกับประชาชน ไม่มีข้อต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น ให้มันรู้ไปคนโคตรโกง โกงทั้งโคตร ทำลายระบอบประชาธิปไตย ไม่เคารพรัฐธรรมนูญ อยู่เหนือหัวประชาชน มึงจะอยู่ได้ต่อไป ให้มันรู้ไป"
สุเทพได้ชื่นชมการชุมนุมวันนี้ว่า "พี่น้องทั้งหลาย วันนี้ พี่น้องได้ทำหน้าที่ประชาชนพลเมืองดีชั้นยอดของประเทศ ผมชื่นชม ยกย่องหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของพี่น้องทั้งหลาย และขอเรียนพี่น้องว่าในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยศาสตร์ธรรมะ ชนะ อธรรมเสมอ ทุกชาติ ทุกประเทศในโลกนี้"
"ขอให้ยืนยันต่อสู้ต่อไป โปรดอย่าถามว่าจะจบเมื่อไหร่ จบเมื่อพวกมันทั้งหลายหมดอำนาจ และเราสามารถปฏิรูปได้ เราไม่ต้องการไปเลือกตั้งภายใต้กฎหมายเลือกตั้งเดิม พรรคการเมืองเดิม กกต.แบบเดิม แล้วได้คนชั่วเข้าสภาแบบเดิม ได้รัฐบาลชั่วเหมือนเดิม พอกันทีไม่เอาแล้วเว้ย"
"วันนี้ 22 ธ.ค. เป็นวันอาทิตย์ มวลมหาประชาชนออกมาแสดงมติของมวลมหาประชาชนหลายล้านคน มากกว่าวันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา ถ้ามันยังไม่ออก วันนี้เราปิดกรุงเทพฯ ครึ่งวัน คราวหน้าเรามาอีก จะปิดกรุงเทพฯ ทั้งวัน และเอาวันทำงาน ไม่ใช่เสาร์อาทิตย์ ถ้ายังไม่ออก เราจะปิดกรุงเทพฯ เจ็ดวัน พี่น้องทั้งหลาย เราเป็นพลเมืองดีทั้งนั้น เราไม่อยากทำอะไรให้บ้านเมืองเสียหายเลย ไม่ต้องการให้ใครเดือดร้อน ขนาดวันนี้เรายังนัดวันอาทิตย์ แล้วชุมนุมครึ่งวันเท่านั้น นึกว่าผู้คนในบ้านเมืองนี้จะมีสติกันบ้าง จะเพิ่มแรงกดดันรัฐบาล โดยเฉพาะพี่น้องข้าราชการ ไม่ว่าท่านจะเป็นพลเรือน ตำรวจ ทหาร ท่านไม่ชะโงกหน้ามาดูบ้างหรือครับว่าพี่น้องเขามาชุมนุมกี่ล้านคน ไม่เห็นใจประชาชนบ้างหรืออย่างไร ผมจะบอกให้พี่น้องข้าราชการทั้งหลาย ท่านมีครอบครัว ลูกเมีย ลูกๆ ของท่านจะต้องไปโรงเรียนลูกประชาชน ถ้าลูกประชาชนถามลูกข้าราชการถามว่าวันที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายกู ลุกขึ้นไปต่อสู้เพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน พ่อแม่มึงอยู่ไหนวะ ลูกข้าราชการจะตอบอย่างไร"
นอกจากนี้สุเทพ ได้ปราศรัยให้ข้าราชการเปลี่ยนมาสนับสนุน กปปส. ด้วย โดยกล่าวว่า "พี่น้องข้าราชการกลัวอะไรอยู่ กลัวระบอบทักษิณหรือ ไม่กลัวลูกอายเพื่อนบ้างหรืออย่างไร ไม่รักลูกตัวเองบ้างหรืออย่างไร วันนี้มวลมหาประชาชนทั้งประเทศ วางหัวใจเคียงข้างกันแล้ว เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ต่อสู้เพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน อยากถามว่าหัวใจข้าราชการอยู่ตรงไหน และถ้าท่านยังดึงดัน อยากรับใช้ระบอบทักษิณต่อไป ผมจะนัดหมายประชาชนคนไทย เจอข้าราชการไม่ต้องยกมือไหว้ เป่านกหวีดใส่เหมือนกัน พวกคุณนอนอยู่ที่บ้าน กินอาหารดี ประชาชนมาสู้เพื่อแผ่นดิน ลูกคุณก็จะได้ประโยชน์ ประชาชนเขาต่อสู้นอนกลางดิน หนาวโว้ย เหนื่อยโว้ย ร้อนโว้ย แต่เขาทำ คุณทำอะไรอยู่"
"และข้อเรียกร้องประชาชนเข้มข้นขึ้น ถ้าในเวลาที่จำกัด ข้าราชการยังจงรักภักดีกับระบอบทักษิณ ผมจะนำประชาชนมาปฏิวัติประชาชนอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นไงเป็นกัน อย่างมากกูเป็นกบฎติดคุก พวกมึงก็เป็นขี้ข้าทักษิณตลอดชาตินี้ชาติหน้า ขอประกาศเป็นสัจจะวาจาว่าประชาชนหลายล้านคนสู้ครั้งนี้ จะไม่ยอมถอย แม้แต่ก้าวเดียว สู้ให้ตายทั้งประเทศดีกว่าอยู่เป็นขี้ข้าเขา"
"ผมเรียนแล้ว เราจะให้เวลาข้าราชการ ระยะหนึ่ง เราทำทุกอย่างแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนใจเขาได้ อ้างโน่นอ้างนี่ สมัครใจรับใช้ระบอบทักษิณต่อไป พี่น้องทั้งหลายลุกขึ้นทำปฏิวัติด้วยอำนาจของประชาชน ด้วยมือของประชาชน อาศัยรัฐธรรมนูญมาตรา 3 อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน มึงไม่ให้ดีๆ กูชิงคืน และจะได้เห็นกันในเวลาไม่ช้านี้ เพราะผมเห็นพี่น้องเหนื่อยมากแล้ว ทุกข์ยากมากแล้ว คนอื่นยังเสพสุขสบาย วันเสาร์อาทิตย์ยังตีกอล์ฟ พาลูกเมียไปปิคนิค เรามาทนตากแดดตากฝน สู้เพื่อชาติ สู้เพื่อลูกมันด้วย พี่น้องทั้งหลายวันนี้ได้แสดงหัวใจของพี่น้อง ขอผมกราบพี่น้องสักทีเถิดครับ แล้วเราจะสู้ร่วมกันต่อไป"
ทั้งนี้สุเทพได้ก้มกราบบนเวที และท้ายที่สุดได้กล่าวว่า คืนนี้เป็นต้นไปเราจะไปแสดงพลัง แสดงออกไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง เราจะไปนอนขวางแสดงพลังไม่เห็นด้วยที่สถานที่รับสมัครเลือกตั้ง เปิดที่ไหนเราจะไปที่นั่น แต่เราจะไม่เข้าไปภายใน แต่ใครจะเข้าไปสมัครต้องผ่านประชาชนไปก่อน หากล่วงเลยไปถึง 2 ก.พ. ยังยึดประเทศไม่ได้ วันที่ 2 ก.พ. จะเป็นวันปิดหมดทั่วประเทศ ไม่มีการเลือกตั้ง ปิดทั้งเมือง ปิดทุกจังหวัด เราจะยึดประเทศไทย ไล่ระบอบทักษิณ

ประมวลข่าว: สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อวันแรกวุ่น กปปส. ปิดล้อมทางเข้า

Mon, 2013-12-23 09:50

แกนนำ กปปส. พาผู้ชุมนุมค้างคืนหน้าสนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ขวางสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่มี 8 พรรคเข้าไปได้ตั้งแต่ไก่โห่ อีกหลายพรรคเข้าไม่ได้ต้องไปแจ้งความเป็นหลักฐาน 'ชูวิทย์' ให้สัมภาษณ์สรยุทธ อัดสุเทพ-อภิสิทธิ์ทำตามอำเภอใจ ลั่นไม่ได้อยากลง ส.ส. จนตัวสั่น แต่เห็นคนไม่อยากลงเลือกตั้งจนตัวสั่น และเมื่อเข้าไปไม่ได้ ก็ขอกลับบ้าน จะสมัครวันหลัง
บรรยากาศหน้าสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง เมื่อเวลา 00.50 น. ของวันที่ 23 ธ.ค. 56 ที่มีผู้ชุมนุมจาก กปปส. มาปักหลัก เผชิญหน้ากับแนวป้องกันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยผู้ที่กำลังปราศรัยบนรถติดเครื่องขยายเสียงคือ ชุมพล จุลใส อดีต ส.ส. ชุมพร แกนนำ กปปส. ทั้งนี้สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ถูกกำหนดให้ให้เป็นสถานที่รับสมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ระหว่างวันที่ 23 - 27 ธ.ค. 56 (ที่มาของภาพ: ประชาไท)

23 ธ.ค. 2556 - ตามที่เมื่อวานนี้ สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ปราศรัยให้ผู้ชุมนุมไปแสดงพลัง แสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งนั้น (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) โดยหลังการปราศรัยของสุเทพ มีรายงานว่า ตั้งแต่เวลา 21.50 น. ที่เวทีย่อยของ กปปส. อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อิสระ สมชัย และแกนนำ กปปส. คนอื่นๆ ได้นำผู้ชุมนุมเคลื่อนมาปักหลักค้างคืนที่ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) หรือ สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง สถานที่รับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจตรึงกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยตลอดทั้งคืนมีผู้ชุมนุม กปปส. มาสมทบเป็นระยะ
ทั้งนี้ตามกำหนดการจะมีการรับสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อระหว่างวันที่ 23 - 27 ธ.ค. นี้ โดยใช้สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดงเป็นสถานที่รับสมัคร โดยจะเริ่มรับสมัครตั้งแต่ เวลา 8.30 น. ของวันที่ 23 ธ.ค.
ต่อมาเมื่อเวลา 07.49 น. จากข้อมูลของสำนักข่าวไทย อสมท. ตั้งแต่เช้ามืดที่ผ่านมามีตัวแทนพรรคการเมืองอย่างน้อย 8 พรรคการเมือง สามารถเข้าไปในสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง และได้ยื่นใบสมัครก่อนเวลาเปิดรับสมัครคือเวลา 08.30 น. ได้แก่ (1) พรรคประชาธิปไตยใหม่ ยื่นเวลา 03.00 น. (2) พรรคชาติพัฒนา ยื่นเวลา 03.30 น. (3) พรรคเพื่อไทย ยื่นเวลา 04.00 น. (4) พรรคดำรงไทย ยื่นเวลา 04.55 น. (5) พรรคกสิกรไทย ยื่นเวลา 05.05 น. (6) พรรคถิ่นกาขาว ยื่นเวลา 05.31 (7) พรรคชาติประชาธิปไตยก้าวหน้า ยื่นเวลา 05.25 น. และ (8) พรรคชาติไทยพัฒนา ยื่นเวลา 05.30 น.
โดยพรรคการเมืองที่ไม่สามารถเข้ามาในสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ซึ่งเป็นสถานที่รับสมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ สามารถไปแจ้งความได้ที่กองปราบ และ สน.ดินแดง
ทั้งนี้มีอย่างน้อย 24 พรรคการเมืองที่ไม่สามารถเข้ามาในสถานทีรับสมัครได้ในวันแรกของการรับสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และได้ไปแจ้งความแล้วได้แก่ (1) พรรคพลังประเทศไทย (2) พรรคเสรีนิยม (3) พรรครักไทย (4) พรรคไทยมหารัฐพัฒนา (5) พรรคชาติสามัคคี (6) พรรคเสียงประชาชน (7) พรรครักสันติ (8) พรรคภราดรภาพ (9) พรรคพลังสหกรณ์ (10) พรรคทวงคืนพื้นป่าประเทศไทย (11) พรรคแทนคุณแผ่นดิน (12) พรรคพลังประชาธิปไตย (13) พรรคเมืองไทยของเรา (14) พรรคประชาสันติ (15) พรรคพรรคพลังไทยเครือข่าย (16) พรรคไทยรักธรรม (17) พรรคยางพาราไทย (18) พรรคพรรคเครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย (19) พรรคครูไทยเพื่อประชาขน (20) พรรคคนขอปลดหนี้ (21) พรรคชาติประชาธิปไตยก้าวหน้า (22) พรรคประชาสามัคคี (23) พรรคเพื่อสันติ (24) พรรคภูมิใจไทย
08.00 น. ในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีแกนนำ กปปส. ได้แก่ อิสระ สมชัย และ สมศักดิ์ โกศัยสุข เป็นผู้รับผิดชอบประตูทางเข้าสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดงทุกด้าน และได้ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่าจะชุมนุมให้ได้ 5 วันตลอดวันที่มีการรับสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และจะมาชุมนุมอย่างสันติ ชุมนุมเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น
08.40 น. ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับ สรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ช่อง 3 ว่าเนื่องจากมีการปิดล้อมโดยผู้ชุมนุม ทำให้เขาไม่สามารถเข้าไปสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อในสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดงได้ "สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการทำตามอำเภอใจ ไม่ฟังคนอื่น แล้วประชาชนจะไว้ใจได้หรือ" ชูวิทย์กล่าว ทั้งนี้ชูวิทย์ระบุว่าจะไม่ทำอะไร "ผมแสดงตัวของผม ผมแสดงตัวว่าจะไป คุณปิด ผมก็กลับบ้าน ขอถามสุเทพ และอภิสิทธิ์ว่าจะใช้กฎกติกาอะไรวัด ในเมื่อบ้านเมืองเรามีกฎกติกาอยู่แล้วว่าให้ฟังเสียงประชาชน"
"ผมก็ไม่ได้อยากสมัครจนตัวสั่น แต่มีคนไม่อยากให้ลงเลือกตั้งจนตัวสั่น เมื่อไม่ได้เข้า ผมก็กลับบ้าน วันไหนมีสมัครใหม่ ผมก็มาสมัครใหม่ ผมเป็นนักสู้บนเวที ไม่ได้เป็นนักสู้ข้างถนน"
โดยก่อนหน้านี้ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ประกาศทางเฟซบุ๊คของเขาว่าจะนำพรรครักประเทศไทยลงสมัครเลือกตั้ง เพื่อรักษากติกาบ้านเมือง (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
09.00 น.ประแสง มงคลศิริ หัวหน้าพรรคพลังประชาธิปไตย แจ้งว่าไม่สามารถนำรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อไปสมัครที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดงได้เนื่องจากมีการปิดล้อมสนามกีฬา จึงไปแจ้งความที่ สน.ดินแดง อย่างไรก็ตามเมื่อไปถึง สน.ดินแดง ก็ไม่สามารถออกมาได้ เพราะที่ สน.ดินแดง ก็มีผู้ชุมนุม กปปส. ปิดล้อมอยู่เช่นกัน
โดยก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 08.30 น. พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ แกนนำ กปปส. นำกำลังผู้ชุมนุมไปปิดล้อม สน.ดินแดง เนื่องจากเข้าใจว่าข้างใน สน.ดินแดง มีจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. อยู่ภายใน และยังเรียกร้องให้ผู้สมัครจากพรรคการเมือง 2 รายที่ออกมาท้าทายผู้ชุมนุมให้ออกมาขอโทษ ไม่อย่างนั้นจะปิดล้อม สน.ดินแดงไปตลอด
09.49 น. ขณะที่มีรายงานอยู่นี้ เลขาธิการ กกต. ไม่สามารถเข้าไปในสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดงได้ เนื่องจากผู้ชุมนุมไม่ยอม และอาจมีการหารือของ กกต. เพื่อเปลี่ยนสถานที่จับสลากหมายเลขลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองต่างๆ โดยขณะนี้มีอย่างน้อย 34 พรรคการเมือง ที่มีสิทธิจับสลากหมายเลขพรรค
10.15 น. วอยซ์ทีวี โพสต์ภาพผู้ชุมนุม กปปส. ที่ชุมนุมอยู่ด้านหน้า สน.ดินแดง

อสมท.ชี้แจงหลังเหตุทำร้ายผู้สื่อข่าว ยืนยันทำหน้าที่ตรงไปตรงมา-ไม่มีอคติ

Mon, 2013-12-23 03:04

สำนักข่าวไทยชี้แจง หลังเกิดเหตุทำร้ายผู้สื่อข่าวและขัดขวางการรายงานสดบริเวณชุมนุม ถ.ราชดำเนิน ยืนยันรายงานข่าวตรงไปตรงมา และไม่เคยระบุจำนวนผู้ชุมนุมอย่างที่มีผู้กล่าวหา ด้านช่อง 3 ถูกล้อม-เป่านกหวีดไล่เช่นกัน ขณะที่หลังเกิดเหตุแกนนำ กปปส. ได้ห้ามปรามไม่ให้กระทำดังกล่าว
ตามที่เมื่อเวลา 16.00 น. ระหว่างที่ เพ็ญพรรณ แหลมหลวง ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย กำลังปฏิบัติหน้าที่รายงานสดสถานการณ์การชุมนุม อยู่บนรถถ่ายทอดสดของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท. ที่จอดอยู่หน้ากองสลากเก่า และเกิดเหตุผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งตะโกนด่าทอพร้อมเป่านกหวีดใส่ขณะออกอากาศ (ชมคลิป MCOTASTV) และเมื่อลงมาจากรถคันดังกล่าวก็ถูกต่อว่าและพยายามทำร้ายร่างกาย โดยมีรายงานว่ามีชายคนหนึ่งตะโกนว่า "ขี้ข้าทักษิณ รายงานได้อย่างไรมีผู้ชุมนุม 5 พันคน" มีผู้ชุมนุมสาดน้ำเข้าที่หน้า ชกเข้าที่แขนซ้าย และมีรายงานว่ามีการผลักผู้ช่วยช่างภาพจนล้มและจะกระทืบแต่มีการห้ามปรามทัน และขณะที่ทีมข่าวนำรถออกนอกพื้นที่ได้ถูกขว้างขวดน้ำ และทุบรถนั้น
ล่าสุดสำนักข่าวไทย ช่วงข่าวภาคค่ำได้รายงานข่าวดังกล่าว และชี้แจงสถานการณ์ดังกล่าว โดยระบุว่า
"ทีมข่าวสำนักข่าวไทย อสมท ซึ่งปักหลักรายงานข่าวการชุมนุมบริเวณเวทีราชดำเนิน ถูกกลุ่มคนที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว เดินเข้ามาต่อว่า และทำร้าย โดยอ้างว่ารายงานตัวเลขคนมาชุมนุมเพียง 5 พันคน แต่จากการตรวจสอบการรายงานข่าว ไม่พบการเสนอข่าวจำนวนผู้มาชุมนุม  เราจะกลับไปย้อนดูการเสนอข่าวที่มีปัญหาอีกครั้ง"
"ที่เห็นทั้งหมดคือ การรายงานข่าวของคุณเพ็ญพรรณ แหลมหลวง  ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย ในช่วงข่าวต้นชั่วโมง เวลา 16.00 น. และถูกกลุ่มคนที่อยู่บริเวณถนนราชดำเนิน ระบุว่า เสนอข่าวไม่เป็นกลาง รายงานจำนวนผู้เข้าชุมนุมเพียง  5 พันคนเท่านั้น หลังการเสนอข่าว ปรากฎว่า ทั้งผู้ประกาศ และทีมรายงานสด ถูกกลุ่มคนดังกล่าวเข้ามาต่อว่า  เป่านกหวีดไล่ และทำร้ายร่างกาย  นอกจากนี้ ล่าสุดทีมข่าวไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ดุสิต แต่ตำรวจแนะนำให้ไปแจ้งความที่ สน.ชนะสงคราม ซึ่งเป็นท้องที่เกิดเหตุ"
"ทั้งนี้ คุณเพ็ญพรรณ ยืนยันว่าได้รายงานข่าวอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีอคติและไม่เคยระบุจำนวนผู้ที่เข้ามาร่วมชุมนุม อย่างที่ถูกกล่าวหา และถูกทำร้าย"
"ด้านนางสาวกรรวี ธัญญะตุลย์ เลขาธิการสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย  กล่าวว่า ได้หารือกันในสมาคมแล้ว ว่า สมาคมไม่เห็นด้วยกับการทำร้ายสื่อ เพราะเท่ากับเป็นการคุกคามสื่อ ทั้งนี้ ได้ตรวจสอบแล้ว สื่อได้รายงานสภาพความเป็นจริง ไม่ได้บิดเบือน โดยทางสมาคมกำลังติดต่อเพื่อขอพูดคุยกับแกนนำกลุ่ม กปปส. เรื่องการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุม ไม่ให้กระทบการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน"

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ในช่วงเช้า ระหว่างที่ทีมข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 โดย วารุณี ซื่อสัตย์สกุลชัย กำลังรายงานสถานการณ์การชุมนุม บริเวณหน้าศาลาว่าการ กทม. มีผู้ชุมนุมกลุ่มหนึ่งตะโกนต่อว่าพร้อมเป่านกหวีดขับไล่ และเมื่อรายงานข่าวเสร็จได้ถูกผู้ชุมนุมเดินเข้าหาและพยายามทำร้ายร่างกาย แต่ทีมงานช่อง 3 เข้าช่วยป้องกันไว้
ขณะที่บนเวทีปราศรัย หลังเกิดเหตุทีมข่าวช่อง 9 ถูกทำร้าย แกนนำได้ขึ้นเวทีประกาศห้ามปรามไม่ให้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนทุกสำนักข่าว โดยระบุว่าเป็นหน้าที่ต้องเสนอข่าวการเคลื่อนไหวของการชุมนุม

ทุกครั้งที่คุณไปชุมนุมกับ กปปส.คุณกำลังเหยียบหัวผมและอีกหลายๆ ล้านคนโดยไม่รู้ตัว?

Sun, 2013-12-22 00:42

"เพื่อนรู้ไหมว่าทุกครั้งที่คุณไปชุมนุมกับ กปปส. คุณกำลังเหยียบหัวของผมและอีกหลายๆ ล้านคนโดยไม่รู้ตัว?"
มีเพื่อนเสนอว่า "ช่วยทำให้ fb ให้มีชีวิตชีวาและไม่ unfriendly" ผมก็ต้องยอมรับว่าช่วงนี้ใจผมไม่ค่อยจะเบิกบานนักจึงยังไม่มีอารมณ์โพสต์เรื่องราวที่สวยงามหรือมีชีวิตชีวา ไม่มีอารมณ์เป่านกหวีดหรือโบกธงอย่างสนุกสนาน ทำไมหรือ? เพราะผมรู้สึกว่าสิทธิทางการเมืองของผมกำลังถูกละเมิดอย่างรุนแรง
มีขบวนการทางการเมืองที่ถือว่าพวกตนคือมวลมหาประชาชนไทยทั้งประเทศหรือ กปปส. กำลังผลักดันกดดันทุกวิถีทางที่จะตัดสิทธิในการเลือกตั้งของผมเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งปี สถาปนานายกรัฐมนตรีชั่วคราวที่ผมไม่มีส่วนเลือก และตั้งสภาของพวกเขาเองที่เรียกว่า “สภาประชาชน” เพื่อแก้ไขกฎกติกาต่างๆ ที่จะมีผลกระทบต่อผมโดยตรง
นี่เป็นความพยายามเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศที่ไม่อยู่ในกติการัฐธรรมนูญปัจจุบันโดยจะไม่มีการปรึกษาหารือผมหรือประชาชนอีกหลายๆล้านคนที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอและการผลักดันกดดันของพวกเขา พวกผมมีสิทธิเพียงที่จะเห็นด้วย (“Like”) เท่านั้น แต่ไม่มีสิทธิที่จะไม่เห็นด้วย (“Dislike”) วิธีเดียวที่พวกผมจะแสดงออกถึงพลังการคัดค้านได้อย่างเท่าเทียมกับพลังของพวกเขาเห็นจะต้องรวมพลังกันออกสู่ท้องถนนเช่นเดียวกับพวกเขา และผลที่จะน่าจะต้องตามมาคือการปะทะกันและการนองเลือดเริ่มจากเฉพาะบางพื้นที่และขยายตัวไปเรื่อยๆจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง ถึงเวลานั้นตำรวจทหารก็คุมสถานการณ์ไม่อยู่
เมื่อผมลงข้อความในไลน์กลุ่ม เสนอต่อเพื่อนๆ ในกลุ่มส่วนหนึ่งที่ยังไปร่วมชุมนุมกับ กปปส. หลังจากที่รัฐบาลได้ยุบสภาแล้ว ว่าเขาอาจกำลังสนับสนุนขบวนการเผด็จการฟาซิสต์โดยไม่รู้ตัว ผมก็ถูกวิจารณ์ว่าไม่เคารพต่อความคิดเห็นที่ต่างกันของเพื่อน
เพื่อนบางคนโต้ผมว่าที่พวกเขาไปร่วมชุมนุมกับ กปปส. ไม่ได้หมายความว่าเขาเห็นด้วยกับข้อเสนอต่างๆ ของแกนนำ กปปส. แต่เป็นเพราะเขาทนพฤติกรรมของรัฐบาลปัจจุบันไม่ได้เลย และต้องการให้เกิดการปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจัง
ผมก็ถามย้อนกลับว่าหากมีขบวนการทางการเมืองที่ชูนโยบายเรื่องรัฐสวัสดิการ (พวกเราเป็นกลุ่มสนับสนุนรัฐสวัสดิการ) แต่ในขณะเดียวกันมีนโยบายขับไล่ผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วประเทศไปอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง แล้วผมไปร่วมชุมนุมกับขบวนการนี้โดยอธิบายว่าเป็นเพราะผมเห็นด้วยกับการมีรัฐสวัสดิการ แต่เรื่องการขับไล่ผู้ติดเชื้อไปอยู่บนเกาะเป็นเรื่องที่อาจเห็นต่างกันได้ เขาจะว่าอย่างไร?
ผมไม่คิดแม้แต่นิดว่าเพื่อนผมเหล่านี้นิยมเผด็จการหรือการละเมิดสิทธิของผู้อื่น แต่กระแสวาทกรรมนั้นแรงมาก สามารถตอบสนองความไม่พอใจต่อรัฐบาลและลักษณะการปกครองประเทศในปัจจุบัน ประกอบกับความรู้สึกถึงความเป็นพลังอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อขจัดสิ่งชั่วร้าย นี่คืออารมณ์ร่วมของประชาชนจำนวนมหาศาลที่เป็นคลื่นสึนะมิซัดลงมาบนแผ่นดิน โดยเรื่องของการคิดวิเคราะห์ไตร่ตรองเพื่อทำความเข้าใจกับขบวนการนี้เกิดขึ้นไม่ทัน 

นิธิ เอียวศรีวงศ์: มวลมหาประชาชน

Tue, 2013-12-17 13:58


(แฟ้มภาพ: ประชาไท 9 ธ.ค.2557)

ผมได้เตือนทั้งในข้อเขียนและรายการทีวีว่า เมืองไทยปัจจุบันได้เกิดมวล (มหาประชา) ชนขึ้นแล้ว และการเมืองของมวลชนนั้นเป็นได้ทั้งสองทาง คือ ขยายกลไกและการมีส่วนร่วมเชิงประชาธิปไตยไปกว้างขวางขึ้น หากกลไกและสถาบันอื่นๆ ที่มีอยู่พร้อมจะปรับเปลี่ยนไปทางนั้น หรือทางที่สองคือ เกิดการเมืองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จขึ้น เพราะเผด็จการเบ็ดเสร็จเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีมวล (มหาประชา) ชน
ที่พูดนี้ไม่ต้องการจะบอกว่า ผมปราดเปรื่องล้ำลึกกว่าคนอื่น เพราะผมก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่า การเมืองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จจะมาเร็วอย่างนี้
บทความเกี่ยวกับเผด็จการเบ็ดเสร็จที่เขียนครั้งแรก ได้ความคิดจาก Hannah Arendt ความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นในระยะสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ผมต้องกลับไปอ่านงานของเธออีกครั้งหนึ่ง ความงุนงงสงสัยหลายอย่างเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของ "มวลมหาประชาชน" ของคุณสุเทพจึงคลี่คลายลง ปัญหาที่ผมสนใจไม่ได้อยู่ที่ว่า คุณสุเทพมีใครหนุนหลังอยู่บ้าง แต่อยู่ที่ว่า เหตุใดคนจำนวนมาก (แม้ตัดพวกที่ขนมาจากภาคใต้ออกไปแล้ว ก็ยังถือว่ามากอยู่ดี) จึงเข้าร่วมชุมนุมประท้วงรัฐบาล
เผด็จการเบ็ดเสร็จนั้นอาจเกิดกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองก็ได้ หรือเกิดกับรัฐคือ กลายเป็นรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จก็ได้ แต่รัฐขนาดเล็กและมีประชากรน้อยอย่างไทยนั้น ในทรรศนะของ Arendt ไม่มีทางเป็นรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จได้ อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองในแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จจะเกิดในรัฐเล็กๆ แบบไทยไม่ได้
และดังที่กล่าวแล้วว่า ฐานพลังของเผด็จการเบ็ดเสร็จคือ มวลชน คำนี้ไม่ได้หมายถึงประชาชนทั่วไปเท่านั้น แต่หมายถึงประชาชนทั่วไปที่หลุดพ้นไปจากพันธะทั้งหลายที่เคยมีมา เช่น เครือญาติ, ชุมชน, ท้องถิ่น, ศาสนา, พรรคการเมือง, และแม้แต่ชนชั้น (ก็แม้แต่ชาวสลัมยังชื่นชมคุณชายและท่านชายราชตระกูลจุฑาเทพได้) กลายเป็นปัจเจกโดดๆ อาจารย์เกษียร เตชะพีระ เคยท้วงผมว่า ปัจเจกบุคคลยังคิดเองได้ ที่ถูกควรพูดว่าถูกแยกออกเป็นอณูต่างหาก ครับใช่เลย เป็นอณูที่ไม่ได้คิดอะไรนอกจากแข่งขันกันในตลาด เพื่อเอาชีวิตรอด มีตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล และด้วยเหตุดังนั้นจึงเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวในส่วนลึกของจิตใจ เพราะหาความหมายของชีวิตไม่เจอ
สังคมไทยกำลังแปรเปลี่ยนไปสู่สังคมอณู และด้วยเหตุดังนั้น ผมจึงคิดว่าพันธะเดียวที่ยังเหลืออยู่ในชีวิตของอณูเหล่านี้ในสังคมไทยคือ สถาบันพระมหากษัตริย์ ความจงรักภักดีที่เรียกกันว่า "ล้นเกิน" ต่อสถาบันนี้ โดยเฉพาะในหมู่คนชั้นกลาง ซึ่งกลายเป็นอณูมากกว่าใคร จึงเป็นปรากฏการณ์ที่พบได้อยู่เสมอ
ทั้งยังทำให้คาดได้ว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองเชิงเผด็จการเบ็ดเสร็จของคุณสุเทพมีศูนย์กลางอยู่ในกรุงเทพฯ
"มวลมหาประชาชน" ของคุณสุเทพ ประกอบด้วยอณู เพราะหากไม่เป็นอณูคนจะกลายเป็น "มนุษย์มวลชน" (ตามคำของ Arendt) ไม่ได้ และเพราะเป็นอณูจึงหลอมรวมเป็น "มวลมหาประชาชน" ได้ ไม่ใช่ถูกคุณสุเทพหลอมรวมนะครับ แต่เขาหลอมรวมกันเอง และหลอมรวมคุณสุเทพเข้าไปด้วย ทั้งหมดได้ค้นพบเป้าหมายแห่งชีวิตที่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวคือ การเป็นส่วนหนึ่งของ "มวลมหาประชาชน" ซึ่งมีชีวิตจิตใจของมันเอง คุณสุเทพคือตัวเขาเองที่พูดออกมา และ "มวลมหาประชาชน" ก็พูดแทนประชาชนทั้งหมด
จึงเป็นเรื่องผิดฝาผิดตัวที่ไปถามว่า "มวลมหาประชาชน" ของคุณมีจำนวนเท่าไร ห่างไกลจากตัวเลข 65 ล้านคน อันเป็นประชากรไทย การเมืองของเผด็จการเบ็ดเสร็จไม่ได้อยู่ที่จำนวน แต่อยู่ที่คุณเป็นเสียงของใคร มีระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จที่ไหน เริ่มต้นจากเสียงข้างมาก แม้แต่นาซีซึ่งได้เสียงข้างมากในสภา ก็เริ่มจากแก๊งอันธพาลข้างถนน รวบรวมกลุ่มคนที่ล้มเหลวในชีวิตทุกด้านไว้ด้วยกัน มุสโสลินียึดรัฐได้ด้วยเสียงข้างน้อยในสภา บอลเชวิคก็เป็นเสียงข้างน้อย แต่เป็นตัวแทนของ "มวลมหาประชาชน" การกล่าวว่าม็อบคุณสุเทพคือ เผด็จการของเสียงข้างน้อย ถูกเป๊ะตรงเป้าเลย และน่าจะถูกใจม็อบด้วย ก็เคลื่อนไหวทั้งหมดมาก็เพราะต้องการเป็นเผด็จการของเสียงข้างน้อย เหมือนเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ เผด็จการของอารยันบริสุทธิ์ เผด็จการของคนดี
เผด็จการเบ็ดเสร็จที่ไหนๆ ก็ทำลายหลักการเสียงข้างมากของประชาธิปไตยทั้งนั้น เสียงข้างมากที่ถือว่าทุกคนเท่าเทียมกันทางการเมืองนั่นแหละคือ ตัวปัญหา เพราะทุกคนไม่ควรเท่าเทียมกันทางการเมือง ในเมื่อมีการศึกษาต่างกัน ถือหุ้นในประเทศไม่เท่ากัน และเห็นแก่ส่วนรวมไม่เท่ากัน คนที่ยอมกลืนตัวให้หายไปใน "มวลมหาประชาชน" จะเท่าเทียมกับคนอื่นซึ่งมัวแต่ห่วงใยกับประโยชน์ของตนเองและลูกเมียได้อย่างไร
ด้วยเหตุดังนั้น อย่าถามถึงจำนวนเลย "มวลมหาประชาชน" ฟังไม่รู้เรื่อง
เมื่อทำลายหลักการของเสียงข้างมาก ก็ทำให้ความชอบธรรมทั้งหมดของสถาบันที่อยู่กับเสียงข้างมากสูญสลายไปด้วย รัฐบาลที่มาจากการรับรองของเสียงข้างมากในสภาจึงเป็นโมฆะ แม้แต่สภาหรือรัฐสภาที่ให้การรับรองก็เป็นโมฆะ หน่วยงานราชการที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของคนโมฆะ ก็ย่อมโมฆะ
ทุกอย่างโมฆะหมด หรือทุกอย่างถูกแผ้วถางออกไปหมด เพื่อทำให้ "มวลมหาประชาชน" สร้างสิ่งใหม่ขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นสภาประชาชน หรือนายกรัฐมนตรีคนดีที่มาจากการเลือกสรรของคนดี ทูลเกล้าฯ ให้ได้รับการแต่งตั้ง
การคัดค้านว่าทั้งหมดนี้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เป็นการค้านที่ผิดฝาผิดตัว เพราะ "มวลมหาประชาชน" อันอ้างเป็นเสียงของประชาชนทั้งมวลนั้น ไม่ได้ตั้งใจให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งเปิดโอกาสให้คนชั่วมีอำนาจอยู่แล้ว ที่ยังไม่ประกาศให้รู้ชัดๆ ไปเลยก็เพราะยังไม่ถึงเวลา
ทำไมจึงไม่ประกาศให้ชัดเจนว่า แผนการทางการเมืองของ "มวลมหาประชาชน" คืออะไร คำอธิบายของ Arendt นั้นลึกซึ้งมาก โครงการหรือแผนการใดๆ ทำให้อณูกลายเป็นปัจเจก เพราะต้องมีหลักที่แน่นอนอย่างใดอย่างหนึ่งให้ยึดถือ ถ้าอณูเริ่มยึดถือหลัก เขาก็หมดความเป็นอณู เพราะต้องคิดสนับสนุนหรือต่อสู้กับการคัดค้าน เมื่อนั้นมวล (มหาประชา) ชนก็สลายตัว กลายเป็นแค่ม็อบ ที่ทุกคนต่างมีความประสงค์ที่แตกต่างกัน การหลวมรวมตัวเข้าไปใน "มวลมหาประชาชน" จึงเกิดขึ้นไม่ได้
นี่คือเหตุผลที่ความเคลื่อนไหวของ "มวลมหาประชาชน" มีแผนได้แทบจะเฉพาะชั่วโมงต่อชั่วโมง และต้องคอยยกระดับกันทุกวัน เพราะเป้าหมายหรือแผนคือ การทำลายตนเองของ "มวลมหาประชาชน" อย่าลืมว่า เมื่อไรที่มีแผน เมื่อนั้นก็จะประสบความสำเร็จหรือความล้มเหลวได้ แล้วหลังจากนั้นล่ะ? นโยบายพรรคภายใต้สตาลินและเหมาเปลี่ยนได้ทุกปี เพื่อให้ "มวลมหาประชาชน" ต้องเข้มแข็ง เตรียมพร้อม และสู้รบตลอดไป
ต้องหาอะไรให้ม็อบทำ อย่าชุมนุมเฉยๆ เป็นคำอธิบายเชิงยุทธวิธี แต่ในเชิงยุทธศาสตร์ มีอะไรที่ลึกกว่านั้นไปอีก
"มวลมหาประชาชน" ของคุณสุเทพถูกโจมตีว่าทำผิดกฎหมายถึงขั้นกบฏ และบางครั้งก็อาจถูกโจมตีว่าทำผิดศีลธรรมด้วย ที่ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง บางคนขุดคุ้ยประวัติของคุณสุเทพขึ้นมา "แฉ" ทั้งหมดนี้เพื่อลดความชอบธรรมของ "มวลมหาประชาชน"
น่าประหลาดมากที่ Arendt ชี้ให้เห็นว่า การละเมิดกฎหมายและศีลธรรมนั้นเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง ที่ทำให้มวล (มหาประชา) ชนเข้ามาหลอมรวมตัวกับผู้นำ ผู้นำของการเคลื่อนไหวเชิงเผด็จการเบ็ดเสร็จหลายคนจะเล่าถึงประวัติอาชญากรรมของตนอย่างภาคภูมิใจ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล รับบนเวทีว่า ตนเคย "เหี้ย" (คำของเขา) มาอย่างไร และบัดนี้หันมาปฏิบัติธรรมจนห่างพระองคุลิมาลไม่ถึงคืบหนึ่งดี คำอธิบายง่ายๆ ของผมต่อปรากฏการณ์นี้ก็คือ มวล (มหาประชา) ชนเกลียดสังคมที่ทำให้ตนไม่รู้สึกสุขสงบ สังคมเช่นนั้นดำรงอยู่บนระบบกฎหมายและศีลธรรมชนิดที่ควรละเมิดนั่นแหละ จึงทำให้เขาลุกขึ้นมาร่วมเป็นมวล (มหาประชา) ชน การละเมิดกฎหมายและศีลธรรมยิ่งทำให้น่าวางใจว่า ขบวนการจะเดินไปสู่อะไรที่ใหม่และดีกว่าเก่า
จำนวนมากของผู้ที่ร่วมใน "มวลมหาประชาชน" ของคุณสุเทพ (ตัดม็อบว่าจ้างและคนที่ถูกขนมาจากเขตเลือกตั้งของตนแล้ว) ไม่ได้เข้าร่วมเพราะวาทศิลป์ของคุณสุเทพ ไม่ได้เข้าร่วมเพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่จะพูดว่ามีอุดมการณ์เดียวกับคุณสุเทพไม่ได้ เพราะอุดมการณ์เกิดขึ้นจากการคิดไตร่ตรอง ผ่านการถูกโต้แย้งและการตอบโต้มามาก หากร่วมเพราะเป็นความเชื่อมั่น (conviction) ทางอารมณ์และความรู้สึก นั่นคือเป็นการตอบสนองต่อสภาวะอันไม่น่าพอใจที่ตนได้ประสบมาในชีวิตของสังคมอณูที่ไร้ความผูกพันใดๆ ซ้ำเป็นสภาวะที่ตนมองไม่เห็นทางออกอีกด้วย คุณยิ่งลักษณ์, พรรคเพื่อไทย หรือคุณทักษิณ เป็นเหยื่อรูปธรรมของความเชื่อมั่นทางอารมณ์และความรู้สึกนั้น สักวันหนึ่งข้างหน้า เหยื่อรูปธรรมจะเปลี่ยนเป็นคนอื่นได้หรือไม่ ผมมั่นใจว่าเปลี่ยนได้ อาจเป็นกองทัพ, สถาบันต่างๆ เช่น ตุลาการ, หรือศาสนา หรืออะไรอื่นได้อีกหลายอย่าง
เพราะการเมืองมวลชนเชิงเผด็จการเบ็ดเสร็จย่อมต้องสร้างศัตรูขึ้นเป็นเป้าแห่งความเกลียดชังเสมอ
ผมคงสามารถยกคำอธิบายของ Arendt มาทำความเข้าใจกับมวล (มหาประชา) ชนของคุณสุเทพได้อีกมากมาย แต่ขอยุติเพียงเท่านี้ เพื่อจะบอกด้วยความแน่ใจว่า คุณสุเทพกำลังนำ "มวลมหาประชาชน" ไปในทิศทางของเผด็จการเบ็ดเสร็จอย่างชัดเจน คุณสุเทพไม่ใช่คนแรกที่ทำอย่างนี้ แต่มีคนอื่นทำมาแล้ว แต่ไม่ชัดเจนเท่าครั้งนี้
เราจะออกจากการเมืองมวลชนแบบที่นำไปสู่เผด็จการเช่นนี้ได้อย่างไร ผมคิดว่าการชี้ให้เห็นความไม่ชอบธรรมของขบวนการเช่นนี้ในทางกฎหมายเป็นสิ่งจำเป็นและต้องเร่งทำ แต่ไม่ใช่เพื่อบอกกล่าวแก่ผู้เข้าร่วมชุมนุม เพราะมวล (มหาประชา) ชน ไม่มีหูจะรับฟัง แต่เราต้องทำความเข้าใจกับคนนอกอีกมาก ทำให้คนนอกเหล่านั้น ซึ่งจำนวนไม่น้อยก็มีชีวิตในสังคมอณูเช่นกันเชื่อว่า ทางเลือกในระบอบประชาธิปไตยยังมีอยู่ หากเราให้โอกาส
ม็อบแบบ "มวลมหาประชาชน" นั้นมีในทุกสังคมอณู แต่ไม่จำเป็นต้องมีพลังครอบงำทางเลือกของสังคมอย่างม็อบของฮิตเลอร์, มุสโสลินี, สตาลิน, หรือเหมา เสมอไป ขึ้นอยู่กับว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในสังคมนั้น มีสติ ความอดกลั้น และความเข้าใจเพียงพอ ที่จะไม่ปล่อยให้มวล (มหาประชา) ชนชักนำไปอย่างมืดบอดหรือไม่
เราทุกคน รวมทั้งคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังอยู่ในวิกฤตทางเลือกที่สำคัญขนาดคอขาดบาดตายสำหรับสังคมไทย หากคุณยิ่งลักษณ์และเราทุกคนช่วยกันประคองให้สังคมไทยหลุดรอดจากทางเลือกของการเมืองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จไปได้ในครั้งนี้ หลานของผมและลูกคุณยิ่งลักษณ์จะมีชีวิตที่พูดอะไรก็ได้ตามความคิดของตน สามารถตอบโต้คัดค้านความคิดของคนอื่นได้ โดยไม่ต้องหวาดกลัวว่า จะถูกมวล (มหาประชา) ชนลงโทษ ด้วยการเป่านกหวีดใส่ ไปจนถึงจำขัง, เนรเทศ หรือประหารชีวิต

จับ น.ศ.รามยิงทหารดับ


จับแล้วนักศึกษารามที่ยิงเสื้อแดงที่ม.ราม อธิการบดีว่ายังไง นายธีรภัทร ทองฤทธิ์ เด็กใต้ จังหวัดตรัง นักศึกษารามฯ ผู้ต้องหาคดีลอบยิง พลทหารธนะสิทธิ์ เวียงคำ เสียชีวิต ที่รัชมังคลา ( มีเฟสบุ๊คนะครับ ชื่อ ธีรภัทร ทองฤทธิ์ ) "เหตุการณ์ที่เกินขึ้น ที่ม.รามและราชมังคลา ในช่วงวันที่ 30 พ.ย. ถึง 1 ธ.ค.ซึ่งมีพี่น้องเสื้อแดงเสียชีวิติ3ศพและน้องนักศึกษารามเสียชีวิต 1 ศพ รวมน้องอาชีวะที่ขึ้นไปบนรถบัสและลงไม่ได้อีก 1 ศพ มีการปุกระดมโดย กปปส.นำโดยนายสุเทพ นายถาวร เสเนียม 1 ศพที่ตายว่าถูกคนเสื้อแดง หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นผู้ดำเนินการ และไม่มีการพูดถึง 3 ศพคนเสื้อแดง บัดนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้จับกุมผู้ต้องหา ในคดีฆ่าพลทหารธนะสิทธิ์ เวียงคำ อายุ 22 ปี วันที่ 30 พ.ย. โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ จับกุมผู้ต้องหาได้ 2 คน และได้ให้การสารภาพพร้อมของกลาง อาวุธปืน จุด38 โดยคนที่ลั่นกระสุนปืน ชื่อนายธีรภัทร ทองฤทธิ์ เป็นนักศึกษา ม.รามคำแหง เป็นอาวุธปืน จุด38 จำนวน 6 นัด สถานที่ยิงคือหอพักศรีจันดา 3 ซึ่งอยู่ในซอย โดยยิงจากบนหอพักลงมา เจ้าของปืน คือ นายนภดล แก้วมีจีน ซึ่งอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ เป็นเจ้าของอาวุธปืน และคนที่รับผิดต่อต่อความตายของพลทหารธนะสิทธิ์"..

ม็อบปิดสนามกีฬาไทยญี่ปุ่นดินแดง


22/12/2556เวลา23.30น.ประตู2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร(ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง ซึ่งเป็นสถานที่รับสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะเริ่มในวันที่23ธันวาคม2556ถึงวันที่1มกราคม2557ขณะนี้ได้มีพ่อ แม่ พี่ น้อง ผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้เคลื่อนขบวนจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตั้งแต่เวลาประมาณ22.00น. ไดัฟังคำประกาศ กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณเลขาธิการ กปปส. สายนํ้าทุกสายค่อยๆ ๆไหลมาเติม เติมเต็ม โดยรอบศูยน์เยาวชนกรุงเทพมหานคร(ไทย-ญี่ปุ่น) มาด้วยหัวใจ มาด้วยสองมือเปล่า ปราศจากอาวุธ สันติ และอหิงสา และตอนนี้ ถ.มิตรไมตรี เต็มพื้นที่100% โดยผู้ปราศรัยได้ประกาศ ให้รอทัพใหญ่ประกอบด้วย กปท.และกองทัพธรรม, คปท. และเวทีราชดำเนิน ซึ่งกำลัง เคลือน ทัพมา ค่อยๆไหลมา ไหลมา รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หมดความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศไทย หมดความชอบธรรมที่จะจัดการเลือกตั้ง ทำไมดื้อและด้านอย่างนี้ ทั้งที่มวลมหาประชาชนต้องการให้ปฏิรูปก่อนตามแนวทางของกปปส.และตอนนี้เวลา24.00น. ทัพใหญ่ก็เคลื่อนขบวนมาถึง ได้รับการต้อนรับและเป่านกหวีดดังกึกก้อง...กราบคารวะหัวจิต หัวใจของ พ่อ แม่ พี่ น้อง ที่ร่วมกันต่อสู้ อย่าง ทรนง อากาศก็เริ่มเย็น ก็ได้รับความช่วยเหลือจากคนกรุงเทพและปริมลฑลที่ได้นำเสื้อกันหนาว ผ้าห่ม มาให้ พ่อ แม่ พี่ น้องที่มาจากต่างจังหวัด "เราเป็นพี่น้องกันเรารักกัน เราไม่ทอดทิ้งกัน"...ซึ้งใจจริง โดยให้ผู้หญิงและเด็กรับผ้าห่มก่อน