PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ปลัดยุติธรรมโพสต์เฟซบุ๊กกระบวนการปฏิรูปต้องเกิดขึ้นทันที

วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18:45:21 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะอดีตกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ได้เขียนบทความเรื่องการปฏิรูปประเทศต้องเริ่มทันที ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว และเสนอ 5 ข้อ โดยมีเนื้อหาระบุว่า

1.ขณะนี้น่าจะพอสรุปสถานการณ์ได้ว่าจุดร่วมที่ทุกฝ่ายในความขัดแย้งเห็นตรงกันคือการปฏิรูปประเทศต้องเกิดขึ้น ประเด็นที่ยังไม่ลงรอยกันและยังถกเถียงกันอยู่คือ “เลือกตั้งแล้วปฏิรูป” หรือ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ในความเห็นของตน แนวทางทั้ง 2 น่าจะไม่ใช่แนวทางที่นำไปสู่สัมฤทธิผลของการปฏิรูป หากจะทำให้การปฏิรูปประสบผลสำเร็จและเปลี่ยนพลังความขัดแย้งเป็นพลังสร้างสรรค์ “กระบวนการปฏิรูปต้องเกิดขึ้นทันที” และหากทุกฝ่ายจริงใจกับการปฏิรูปดังที่กล่าวอ้างอยู่ และจริงใจต่อประเทศก็ต้องรีบดำเนินการทุกอย่างเพื่ออำนวยความสะดวกให้กระบวนการปฏิรูปได้เริ่มต้นได้จริง

2.ในกระแสความขัดแย้งเป็นธรรมดาว่าข้อคิดเห็นต่างๆ แม้จะดีสักเพียงใดย่อมไม่สามารถได้รับการยอมรับจากคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งหากเสนอโดยคู่ขัดแย้ง ดังนั้นหากทุกฝ่ายจริงใจต่อการปฏิรูปขอเรียกร้องให้คู่ขัดแย้งยอมที่จะมาคุยกันใน “เวทีกลาง” คำว่า “เวทีกลาง” นี้ต่างจาก “คนกลาง” คือไม่เน้นที่การหา “คนกลาง” ในฐานะ “ปัจเจก” ที่ทุกฝ่ายยอมรับ ซึ่งนับวันคงหายากขึ้นทุกที แต่หมายถึงเวทีที่ประกอบด้วยบุคคลกลุ่มหนึ่ง คนกลุ่มนี้แต่ละคนอาจมีมุมมองที่ถูกมองว่าเอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่งบ้าง แต่เมื่อมอง “โดยรวม” แล้วต้องมีสภาพของความเป็นกลางเพียงพอที่คู่ขัดแย้งไว้วางใจ

3.เวทีกลางมีหน้าที่ในการเสนอ “หลักประกัน” ที่ทำให้ทุกฝ่ายที่อยู่ในความขัดแย้งเห็นได้ว่าการปฏิรูปจะเกิดขึ้นแน่นอน และจะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประเทศ ไม่ใช่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “หลักประกัน” ที่จะเป็นรูปธรรมคือการแสดงให้เห็น “เส้นทางสู่การปฏิรูป” (Roadmap for Reform) ที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม และที่สำคัญสามารถทำได้ในกระแสความขัดแย้ง

4."เส้นทางสู่การปฏิรูป" นั้นหากนำมาหารือกันใน “เวทีกลาง” ด้วยความไว้วางใจ ไม่ชิงไหวชิงพริบกัน อะไรที่บอกว่าไม่ได้ก็อาจจะทำได้ แต่อย่างน้อยผมคิดว่าน่าจะหารือกันในประเด็นเหล่านี้ให้ตกผลึก เช่น รูปแบบองค์กรขับเคลื่อนการปฏิรูป ซึ่งน่าจะมีคุณสมบัติเบื้องต้นดังนี้ ตั้งขึ้นก่อนการเลือกตั้ง มีสถานภาพทางกฎหมายที่สามารถให้อิสระ มีความต่อเนื่องในการทำงาน และมีงบประมาณที่เพียงพอ เช่นอาจทำโดยพระราชกำหนดโดยการให้ความเห็นชอบโดยพรรคการเมืองและคู่ขัดแย้ง เป็นต้น มีองค์ประกอบของบุคคลจากหลากหลายภาคส่วนที่เป็นที่ยอมรับ โดยไม่เป็นองค์กรที่นำโดยนักการเมือง (เนื่องจากต้องพูดถึงประเด็นการปฏิรูปการเมืองเป็นประเด็นหลักด้วย) มีกระบวนการที่ทำงานร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชนที่ทำงานด้านปฏิรูปอย่างใกล้ชิด มีกระบวนการทางกฎหมายที่ออกแบบให้ข้อเสนอมีผลผูกพันภายหลังการเลือกตั้ง เช่น การกำหนดให้มีการทำประชามติในจังหวะเวลาที่เหมาะสมและจำเป็น ฯลฯ

นายกิตติพงษ์ยังระบุอีกว่า ความชัดเจนของการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งครั้งหน้า อาทิ ต้องเป็นรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรที่มีวาระการปฏิรูปประเทศเป็นวาระสำคัญที่สุด จึงต้องคุยกันถึงรูปแบบการทำงานที่ชัดเจน เช่น การกำหนดวาระให้ไม่อยู่ครบเทอม เช่นไม่เกิน 1 ปี หรือเมื่อเสร็จภารกิจหลักเช่นการปฏิรูปในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง และการปฏิรูปการเมืองแล้วก็ควรยุบสภาให้มีการเลือกตั้งตามกติกาใหม่โดยเร็วที่สุด เป็นต้น

ปลัดยุติธรรมยังเสนอด้วยว่า สำหรับกรอบประเด็นในการปฏิรูป เช่น กติกาการเข้าสู่อำนาจรัฐ เช่น การปรับปรุงระบบพรรคการเมืองและการเลือกตั้ง, การตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อำนาจรัฐโดยฝ่ายต่างๆ ทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ และองค์กรอิสระต่างๆ, การขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ การเมือง ภาคธุรกิจ และภาคส่วนต่างๆ, การสร้างระบบราชการบนพื้นฐานของจริยธรรมและคุณธรรม, การลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม, การสร้างระบบยุติธรรมที่เที่ยงธรรมและสามารถเข้าถึงโดยง่าย เป็นต้น

นายกิตติพงษ์กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการและแนวทางที่จะทำให้การปฏิรูปเกิดขึ้นได้จริงทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง ประเด็นที่ต้องมีความชัดเจน ได้แก่ มาตรการทางกฎหมายที่นำไปสู่การมีผลของการปฏิรูปที่เป็นข้อสรุปขององค์กรเพื่อการปฏิรูป เช่น การให้สัตยาบัน หรือสัญญาประชาคมโดยพรรคการเมืองและกลุ่มต่างๆในความขัดแย้ง หรือ การลงประชามติในบางประเด็น เป็นต้น บทบาทภาคประชาสังคมในการติดตามตรวจสอบและผลักดันอย่างต่อเนื่องให้การปฏิรูปเกิดจริง มาตรการในการสลายขั้วความขัดแย้งจากมวลชนทุกฝ่ายที่กำลังจะพัฒนาไปสู่ความรุนแรง โดยโน้มน้าวทุกฝ่ายให้เห็นความสำคัญกับการปฏิรูปซึ่งเป็นจุดร่วมที่ทุกฝ่ายต้องการเหมือนกัน

5.ประเด็นสำคัญที่เราต้องไม่ลืมก็คือ เรากำลังพยายามปฏิรูปประเทศในกระแสความขัดแย้ง การปฏิรูปจึงต้องอยู่ในหลักการที่ทุกฝ่ายรับได้ หรือ “รับไม่ได้น้อยที่สุด” ด้วยเหตุนี้ “กระบวนการ” ในสถานการณ์เช่นนี้จึงสำคัญไม่น้อยกว่า “เป้าหมาย” การปฏิรูปที่ได้มาโดยกระบวนการที่คนจำนวนมากไม่ยอมรับคงไม่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จได้ ดังนั้น ทางออกใดๆ ที่จะทำให้ประเทศหลุดพ้นจากความขัดแย้งจึงต้องอยู่บนหลักการของระบอบประชาธิปไตย และการหารือร่วมกันโดยฟังเสียงสะท้อนจากคู่ขัดแย้งทุกฝ่ายและประชาชนอย่างแท้จริงเท่านั้น

"ผมจึงขอเรียกร้องให้พรรคการเมืองทุกพรรคและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้งแสดงความจริงใจต่อการปฏิรูปประเทศไทย โดยประกาศเจตนารมณ์ที่จะยินยอมเข้าสู่กระบวนการในหารือผ่าน “เวทีกลาง” ในประเด็นที่ได้กล่าวมาข้างต้น เพื่อให้เกิด “หลักประกัน” ให้แก่ประชาชน อันเป็นสัญญาณให้เห็นว่าการปฏิรูปประเทศเกิดขึ้นแล้ว และสามารถร่วมกันผลักดันให้ประสบผลสำเร็จในทิศทางที่เป็นประโยชน์สูงสุดกับบ้านเมืองได้จริงหลังการเลือกตั้ง ก่อนที่จะสายเกินไป" ปลัดกระทรวงยุติธรรมระบุ

ไม่มีความคิดเห็น: