PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2560

ระลึกถึงอัลวิน ทอฟฟเลอร์ โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์


ระลึกถึงอัลวิน ทอฟฟเลอร์ โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์




อัลวิน ทอฟฟเลอร์ นักคิดนักเขียนในแนวอนาคตศาสตร์แห่งศตวรรษ เสียชีวิตในขณะนอนหลับอยู่ที่บ้านเมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมานี้ สิริอายุ 87 ปี ในฐานะที่ผู้เขียนได้รับความรู้และแนวคิดจากหนังสือ 3 เล่มที่เขาเขียนร่วมกับภรรยาจึงขออนุญาตที่จะเขียนถึงหนังสือของเขา อันได้แก่ Future Shock พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2513, The Third Wave พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2523 และ Powershief พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2533 ซึ่งหนังสือทั้ง 3 เล่มได้เขียนครอบคลุมเวลา 85 ปี จาก พ.ศ.2493 ถึง พ.ศ.2578 ซึ่งยังเหลือเวลาอีก 19 ปี จึงจะครบกำหนดเวลาที่ทอฟฟเลอร์ได้เขียนคาดการณ์ไว้

เวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ พ.ศ.2513 ได้พิสูจน์ให้เราได้เห็นว่าการคาดการณ์และการอธิบายของทอฟฟเลอร์การทำนายของเขาเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปไกลอย่างรวดเร็วทางด้านข้อมูลข่าวสารที่มีต่อวัฒนธรรม (วิถีการดำเนินชีวิต) ต่อสถาบันครอบครัว ต่อสถาบันการเมืองและต่อสถาบันเศรษฐกิจนั้นแม่นยำและถูกต้องมาแล้วอย่างน่าพิศวง

จากหนังสือทั้ง 3 เล่มของทอฟฟเลอร์ (มีการแปลเป็นภาษาไทยหมดแล้ว) สรุปได้โดยสังเขปว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ (ความจริงก็เหมือนหลักคำสอนของทางพระพุทธศาสนานั่นเอง) ซึ่งเมื่อโลกเจริญขึ้นการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นเร็วขึ้น โดยข้อเท็จจริงจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีได้ยืนยันในเรื่องนี้คือมนุษย์เรานั้นเมื่อหลายแสนปีมาแล้วมีวิธีหากินเพื่อดำรงชีวิตอยู่ด้วยการ “ออกเก็บของป่าและล่าสัตว์” จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงมาเป็นการ “ปฏิวัติการเกษตร” คือแทนที่จะออกไปเก็บของป่าและล่าสัตว์มาเป็นการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์เมื่อประมาณ 3,000 ปีที่ผ่านมา และเมื่อประมาณ 400 กว่าปีที่ผ่านมาก็เกิดการ “ปฏิวัติอุตสาหกรรม” ขึ้น คือการใช้วิทยาศาสตร์มาสร้างเครื่องจักรกลเพื่อทำงานแทนแรงงานของคนและสัตว์ได้

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 2 ครั้งนี้ทอฟฟเลอร์เรียกว่าคลื่นลูกใหญ่หรือ “สึนามิ” ที่เข้ามาทำลายวิถีชีวิตวัฒนธรรมของมนุษยชาติ จะเห็นได้จากการปฏิวัติการเกษตรทำให้เกิดอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ เช่น อารยธรรมจีน อารยธรรมอินเดีย อารยธรรมกรีก ขึ้นมาทำลายลักษณะสังคมแบบเก็บของป่าล่าสัตว์ไปโดยสิ้นเชิง

ส่วนการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 400 ปีเศษมานี้ที่ทวีปยุโรปซึ่งเป็นทวีปที่เล็กที่สุดแต่ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ทำให้บรรดาจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต้องพ่ายแพ้แก่ประเทศเล็กๆ ในยุโรปอย่างราบคาบและบรรดาประเทศเล็กๆ ในยุโรปได้เป็นเจ้านายเหนือผู้คนในทวีปเอเชีย แอฟริกาและอเมริกาทั้งเหนือและใต้รวมทั้งทวีปออสเตรเลียด้วย

การปฏิวัติครั้งสำคัญทั้ง 2 ครั้งนี้ได้เปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของคนโลกโดยสิ้นเชิงไม่ว่าจะเป็นสถาบันครอบครัว สถาบันการเมือง สถาบันเศรษฐกิจ สถาบันศาสนา สถาบันการศึกษา สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสถาบันนันทนาการ ซึ่งสังคมใดหรือมนุษย์คนใดไม่สามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ได้ก็จะล่มสลายไปเหมือนสิ่งปลูกสร้างหรือพืชและสัตว์ที่ถูกสึนามิโถมเข้าไปทำลายโดยสิ้นเชิง

ทอฟฟเลอร์ได้เสนอว่า การปฏิวัติของโลกคือการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬารครั้งที่ 3 ของสังคมมนุษย์นั้นเริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ.2493 คือ “การปฏิวัติข้อมูลข่าวสาร” หรืออย่างที่เราเรียกกันในปัจจุบันก็คือยุคคอมพิวเตอร์นั่นแหละ ซึ่งก็เกิดการเปลี่ยนแปลงและเกิดมีความก้าวหน้าอย่างมหาศาล ดูง่ายๆ ก็เช่นกล้องถ่ายรูปที่ใช้ฟิล์มได้สูญพันธุ์ไปแล้ว เครื่องพิมพ์ เครื่องโรเนียวก็หาไม่ได้แล้วเช่นกัน ส่วนทางด้านการเมืองก็เห็นได้ว่าระบอบการปกครองแบบเผด็จการคอมมิวนิสต์ได้ล่มสลายไป ประเทศอภิมหาอำนาจเช่นสหภาพโซเวียตก็ล่มสลายเกิดเป็นประเทศใหม่ 15 ประเทศ

ครับ! ใครปรับตัวไม่ได้ ยืนหยัดขวางทางสึนามิก็มีแต่พังพินาศไปแน่นอนทีเดียว

จากการอ่านหนังสือทั้ง 3 เล่มของอัลวิน ทอฟฟเลอร์ ช่วยให้ผู้เขียนพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลง อาทิ เมื่อมีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวแพร่หลายขึ้นผู้เขียนก็ต้องหัดใช้เครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นเครื่องพิมพ์หนังสือแทนเครื่องพิมพ์ดีดซึ่งหากไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตามเทคโนโลยีแล้วก็คงจะหาเครื่องพิมพ์ดีดใช้ไม่ได้เสียแล้ว นอกจากนี้เมื่อเข้ามาถึงยุคอินเตอร์เน็ตผู้เขียนก็จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อเรียนรู้การใช้อินเตอร์เน็ตซึ่งยากลำบากพอสมควรจนถึงทุกวันนี้ผู้เขียนก็ต้องเรียนรู้ในการใช้สมาร์ทโฟนและแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ ที่มีเพิ่มขึ้นแทบทุกวันซึ่งก็พอช่วยให้ผู้เขียนไม่เป็นคนตกยุคล้าหลังในสมัยอินเตอร์เน็ตที่ตอนที่ผู้เกิดและเติบโตขึ้นมานั้นยังไม่มี

คำพูดที่มีชื่อเสียงที่สุดของทอฟฟเลอร์ที่ว่า “The illiterate of the 21st century will not be those who cannot read and write, but those who cannot learn, unlearn, and relearn.” แปลว่าในศตวรรษที่ 21 นี้คนที่ไม่รู้หนังสือจะไม่ใช่คนที่อ่านหนังสือไม่ออกและเขียนหนังสือไม่ได้เสียแล้ว หากแต่เป็นบุคคลที่ไม่สามารถเรียนรู้อะไรเลยและไม่สามารถที่ยอมรับรู้ว่าสิ่งที่เคยเรียนมานั้นว่าตกยุคสมัยคือผิดและไม่สามารถที่จะเรียนรู้ความรู้ใหม่ๆ ได้นั่นเอง”

พูดง่ายๆ ก็คือในโลกสมัยศตวรรษที่ 21 เป็นโลกของการปกครองแบบประชาธิปไตยอันเป็นผลของการปฏิวัติข้อมูลข่าวสารนั่นเอง การที่ไม่ยอมรับรู้ว่าการปกครองแบบเผด็จการนั้นมันใช้ไม่ได้แล้วในศตวรรษที่ 21 และยังคงไม่ยอมเรียนรู้คุณูปการของการปกครองแบบประชาธิปไตยคือผู้ที่ไม่รู้หนังสือในศตวรรษนี้นี่เอง

'ประยุทธ์ที่เกิดมาเพื่อเรื่องยาก'

ชีพจร "นายกฯ ประยุทธ์" ช่วงนี้..........
อยู่ที่ "เท้า"
มาหัวเสียอยู่กับเรื่องตุ๊กตุ๋ยภายใน เสียเวลาเปล่า
สิ่งที่จะเกิดประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองและประชาชนในอนาคตมากที่สุด ซึ่งนายกฯ ทำได้ และจังหวะกำลังอำนวยให้ทำ
คือ การเดินสายไป "นอกประเทศ"
มีตารางประชุม ตารางเชิญ เข้าพบ สนทนา พบปะหารือ กับผู้นำประเทศไหน รีบไปเลย
อยู่ในช่วง "ถูกโฉลก-โชคอำนวย" ที่สุด
จะผลิดอก-ออกผล เป็นคุณทั้งแก่ตัวเอง ทั้งแก่ชาติ-ประชาชน ในอนาคตประเทศเหนือคาดหมาย!
เห็นเพิ่งกลับจากร่วมประชุมระหว่างผู้นำกลุ่มประเทศ BRICS กับประเทศตลาดเกิดใหม่และกำลังพัฒนา ในช่วง BRICS Summit ครั้งที่ ๙ ที่เซี่ยเหมิน
วันนี้ (๗ ก.ย.๖๐) มีคิวยกคณะไปจูบปาก "สมเด็จฮุน เซน" ที่เขมร กลับมาแล้ว ตาราง "นายกฯ ลงนา" แถวสุพรรณบุรี อยุธยา รออยู่อีกเพียบ
ไปได้มากแห่ง-มากจังหวัดยิ่งดี
อย่างน้อย ก็ดีกว่า อยู่ต่อปาก-ต่อคำ กับคำถามถากเปลือกเอากระพี้
ถ้าจำไม่ผิด.........
เดือนกันยานี้ จะเดินทางไปสหรัฐฯ ตามคำเชิญ "ประธานาธิบดีทรัมป์" มิใช่หรือ?
ถ้าเป็นไปตามนั้น ก็ถือเป็นสถิติอย่างหนึ่ง
การพบปะทรัมป์ ไม่ใช่สถิติ.........
แต่ภายในเดือนเดียว ผู้นำไทย "ประเทศเล็กๆ" ได้สัมผัสมือระดับผู้นำ "มหาอำนาจโลก" ในทวีปเอเชีย, แอฟริกา, ยุโรป, อเมริกาใต้
๕ ประเทศ กลุ่ม BRICS
แล้วถ้าไปสหรัฐฯ สัมผัสมือกับทรัมป์ มหาอำนาจ "เบอร์ ๑ โลก"
ก็น่าจะถือเป็นสถิติได้อยู่!
การได้สัมผัสมือผู้นำโลก "ไม่สำคัญเท่า" ที่กลุ่มและประเทศมหาอำนาจโลก "ทั้งเก่า-ทั้งใหม่" ให้น้ำหนักประเทศไทย
และมีที่นั่ง-ที่ยืนแก่ผู้นำไทย ด้วยเกียรติเสมอ!
อย่าลืมว่า ใน ๑๐๐% ของจำนวนประชากรโลก กว่า ๔๐% เป็นประชากร ๕ ประเทศกลุ่ม BRICS
ที่สำคัญ การเติบโตเศรษฐกิจโลก ในรอบทศวรรษ
๕๐% มาจากการเติบโตของกลุ่ม BRICS!
โลกในศตวรรษใหม่ กำลังแตกตัวเป็น ๒ ขั้วมหาอำนาจ เป็น "ขั้วตะวันตก" กับ "ขั้วตะวันออก" ชัดเจน
"ขั้วตะวันตก" สหรัฐฯ-ยุโรป มีน้ำมัน มีเทคโนโลยีไอที มีอาวุธทันสมัย
สหรัฐฯ พิมพ์ธนบัตรสกุลดอลลาร์ใช้เองตามใจชอบ
และใช้น้ำมันที่เรียก "เปโตรดอลลาร์" เป็นค่าหนุนหลังแทนทองคำ
"ขั้วตะวันออก"
กลุ่ม BRICS มีน้ำมัน มีทรัพยากรหลากหลาย มีประชากร มีทองคำ มีอาวุธ
กำลังทำให้ "เปโตรดอลลาร์" ของสหรัฐฯ มีค่าเป็นกระดาษลงไปเรื่อยๆ
โดยซื้อ-ขายสินค้าไม่ต้องพึ่งดอลลาร์เป็นสกุลกลางเหมือนก่อน
ใช้เงินสกุลคู่ค้าโดยตรง เพราะต่างมี "ทองคำ" เป็นค่าหนุนหลัง!
ไทย มีความหมายทั้งด้านยุทธศาสตร์ ทั้งด้านเศรษฐกิจ-การค้าในสายตา "มหาอำนาจ" ทั้งตะวันตกและตะวันออก
ประเทศมีศักยภาพ ๕ ประเทศ ในแต่ละภูมิภาค ที่ไม่ใช่สมาชิก BRICS
แต่ได้รับเชิญเข้าร่วมบรรยากาศการประชุม BRICS ครั้งที่ ๙ นอกจากไทย หนึ่งเดียวในอาเซียนแล้ว อีก ๔ ประเทศ ประกอบด้วย
-อียิปต์ เชื่อมต่อแอฟริกากับเอเชีย ผ่านตะวันออกกลาง
-เม็กซิโก ในอเมริกาเหนือ ติดสหรัฐฯ ประชากรมากอันดับ ๑๐ โลก
-กินี ในแอฟริกา เป็นแหล่งแร่บอกไซต์ "แร่อะลูมิเนียม" มากอันดับ ๖ โลก
อุตสาหกรรมรถยนต์ เครื่องบิน รถไฟ เครื่องใช้ ที่ต้องใช้ความแข็งสูง น้ำหนักเบา ต้องการมาก
นอกจากบอกไซต์ ยังเป็นแหล่งแร่ทองคำและเพชร
"De Beers เลอค่า อมตะ" เพชรที่เคยเห็นโฆษณาขาย เป็นเพชรมาจากที่นี่ด้วยแหละ!
-ทาจิกิสถาน เล็กสุดในเอเชียกลาง เคยอยู่ในสหภาพโซเวียต เขตติดต่ออัฟกานิสถาน จีน คีร์กีซสถาน อุซเบกิสถาน
พื้นสภาพเป็นภูเขาส่วนใหญ่ ไม่มีทางออกทะเล แต่เป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญทางยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจทรัพยากร
แล้วก็ ไทย............
เนี่ย ๕ ประเทศนอกกลุ่มบริกส์ ที่มีความสำคัญต่อ "เศรษฐกิจ-สังคม-การเมือง" สู่ศตวรรษใหม่ ที่จีนเชิญร่วมวง BRICS ล่าสุด
กับ "อำนาจโลกใหม่" ไทยก็ หอม
กับ "อำนาจโลกเดิม" ไทยก็ หอม
มองเผินๆ ก็ว่าดี ต้องชื่นชม-โสมนัส กับความเป็น "ประเทศเนื้อหอม" ของตัวเอง
แต่มองลึกๆ น่าหนักใจ ที่ซ้ายก็ดึง ขวาก็เหนี่ยว ถ้าบริหารเสน่ห์และความหอมไม่ดี จะเหมือน "หญิงสวย"
ที่ "ความสวย" ฆ่าตัวเอง มากต่อมาก!
ย่านอุษาคเนย์นี้ ในกระเป๋าอำนาจสหรัฐฯ ห่างหาย-ร่อยหรอ ไปเรื่อยๆ
ฟิลิปปินส์ ก็ไปอยู่กับจีนแล้ว
อินโดฯ ก็ไป มาเลย์ก็ไป เขมรก็ไป พม่าก็ไป
สหรัฐฯ เหลือแค่ สิงคโปร์ เวียดนาม พออาศัยหยั่งเท้ายันจีนในเอเชีย-แปซิฟิก
ถ้า "ไทย" หลุดไปอีกประเทศ เท่ากับอำนาจสหรัฐฯ "ตีนลอย" หลุดทั้งหมดจากภูมิภาคนี้
สหรัฐฯ "ไม่ปล่อยไทย" แน่!
แต่ไทยนั้น "มิตรแท้-จริงใจ" ต่อ "น้ำใส-ใจจริง" ที่จีน-รัสเซีย มีต่อไทยเสมอต้น-เสมอปลาย มาตลอด
ชาติตะวันตก "ยึดผลประโยชน์" ในการคบหา
ชาติตะวันออก "ยึดถือน้ำใจ" ในการคบหา
ฉะนั้น ไทยมิอาจทำให้ "จีน-รัสเซีย" ต้องขื่นใจ
ในทางเดียวกัน ไทยก็ไม่อยู่ในฐานะต้องเป็น "ฝ่ายตรงข้าม" ของสหรัฐฯ!
เหตุนั้น ถ้านายกฯ ประยุทธ์เดินทางไปพบปะประธานาธิบดีทรัมป์ การไปไม่ยาก นั่งเรือบินไป ไม่ต้องว่ายน้ำไป
แต่เนื้อหาที่จะคุย ที่จะเจรจากัน ตรงนั้น ยากยิ่ง!
คนมีอำนาจเหนือ จะรักษาอำนาจเขา ไม่รักษาใจเรา ดังนั้น ทรัมป์ ต้องทำเหมือน "ก็อดฟาเธอร์" แหง
"เราจะเสนอในสิ่งที่ท่านไม่สามารถปฏิเสธได้"!
เมื่อเจาะเข้าทางไทย "ไม่ง่าย" เหมือนยุคระบอบทักษิณกินเมือง
อำนาจตะวันตก หันไปเจาะเข้าอุษาคเนย์ ทางพม่า
เลือกจุดเปราะบางที่สุดในการโจมตี
สร้างเรื่อง-สร้างภาพ ตบตาโลก ว่าทหารพม่าละเมิดสิทธิมนุษยชน ทารุณกรรม ฆ่าโหดชาวโรฮีนจา ในรัฐยะไข่
เพื่อเปิดทาง สร้างความสมเหตุ-สมผล "ส่งกองกำลัง" เข้าไปในแดนพม่า
กองกำลัง "สหประชาชาติ" จริงๆ ยังพอว่า
แต่มันจะเป็นกองกำลังไอซิส อย่างที่สหรัฐฯ ทำใน ยูเครน ซีเรีย อิรักและอีกหลายแห่งมากกว่า
รวมทั้งที่ มาราวี ของฟิลิปปินส์ ตอนนี้!
ทรัมป์ นั้น อย่าไปดูถูกว่าขี้ไก่..........
ขี้เป็ดขนานแท้ทีเดียวแหละ
เห็นชัดจากเรื่องคาบสมุทรเกาหลี ใครๆ สะใจ ถูกคิมน้อยแห่งเกาหลีเหนือ ทดลองระเบิดไฮโดรเจน เป็นการลูบหน้า
แต่ผมมองว่า เกาหลีเหนือไม่ได้อะไร
ในขณะที่ทรัมป์ "พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส" จากนิวเคลียร์คิมน้อย
ขายอาวุธให้ "ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้" รวดเดียว เป็นกอบ-เป็นกำ หลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ!
แถมทั้งญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ จากที่หุบขา ไม่ยอมเปิดช่องให้สหรัฐฯ เข้าไปตั้งฐานทัพ ฐานยิงจรวดได้ง่ายๆ
ตอนนี้ ถ่าง ๒ ขา แถมกวักมือเรียกสหรัฐฯ จะเอาอะไรเข้ามาตั้ง เข้ามาเลย!
จีน ตื่นไฟ สะสมพลังงานจากทั่วโลก
แต่ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ตื่นคิมน้อย สะสมความกลัวคิมน้อยถล่มขีปนาวุธใส่
เหมือนคิมน้อย ช่วยต้อนหมูเข้าเล้าให้สหรัฐฯ สั่งซื้อ-สั่งจองนานาอาวุธรบ สหรัฐฯ ยามตูดขาด "ได้หมด-สดชื่น" ไปเลย!
"ประเทศรวย" ก็งี้ทั้งนั้น กลัวสงคราม
ผมฟันธงได้เลย ใน ๕ ปี สงครามไม่เกิด ล้านเปอร์เซ็นต์!
แต่ถ้าเกิด สมมุติคิมน้อยถล่มด้วยขีปนาวุธข้ามทวีปจริงๆ ชนะแค่วันแรกเท่านั้น
ผมยังเชื่อ ถ้ารบกันจริงๆ ทั้งจีน-รัสเซีย ยังไม่ชนะสหรัฐฯ
อาวุธน่ะ....สู้ได้
แต่อย่าลืม ทั้งโลกตอนนี้ ไม่ว่าจีน-รัสเซีย ล้วนตกอยู่ในการควบคุมของสิ่งที่เรียกว่า "ไอที" ด้วยกันทั้งนั้น!
ตราบใดที่มนุษย์วันนี้ ยังต้องเชื่อมต่อโลกและชีวิตด้วยระบบไอที คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต
ตราบนั้น ใครก็ยังเอาชนะสหรัฐฯ ผู้สร้างเทคโนโลยีคุมโลกนี้ไม่ได้!
ก็นั่นแหละ ถึงว่า พบทรัมป์น่ะ ไม่ยาก
แต่เงื่อนไขที่ทรัมป์จะยื่นเสนอไทยในการพบปะเจรจาความกัน ง่ายเขา
แต่ "ยาก" เรา ผมเดานะ
เพราะมันยากนั่นแหละ ถึงต้อง "ประยุทธ์" ไงล่ะ!

โพลบังคับให้ลากยาว

โพลบังคับให้ลากยาว

เกมล็อกคอตัวประกัน

ตามปรากฏการณ์ที่อดีตรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ร้องเรียนคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม แฉเหตุถูกเด้งเก้าอี้ เพราะบิ๊กดีเอสไอไล่บี้ให้แจ้งข้อหาฟอกเงิน “เสี่ยโอ๊ค” นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายหัวโปรดของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตรในคดีการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กับบริษัทกฤษฎามหานครฯ

แล้วก็เป็น พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ยอมรับมีการเร่งรัดเป็นเรื่องธรรมดาของการทำคดี
แต่ที่ไม่ธรรมดาคือจังหวะเร่งคิว มันมาในห้วงเหมาะเหม็งกับสถานการณ์พอดี งานนี้มองเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากยุทธการ “ขู่” ทุบ “กล่องดวงใจ” ของ “นายใหญ่”

ตามจังหวะที่ฝ่ายคุมเกมความมั่นคงเฝ้าจับตาการเคลื่อนไหวของอดีตนายกฯทักษิณ และ “น้องปู” อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภายหลังตัดสินใจหนีฟังคำพิพากษาศาล ลี้ภัยการเมืองออกนอกประเทศไทย
จะมีอะไรตามมาจากประทัดลูกแรก “มงแต็สกีเยอ”

ภายใต้ฉากสถานการณ์ “3 ก๊ก” ฉบับประเทศไทยตอนใกล้จบโรดแม็ป ที่ยังจับทิศจับทางกันไม่ได้ แม้แต่ “เงื่อนไขพิเศษ” ปรองดอง ที่นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ มืองานปรองดองของ คสช. แบไต๋เป็นนัยยุทธการเปิดทางให้ “น้องปู” หนีไปอยู่ในอ้อมอกพี่ชาย เป็นการปูทางไปสู่การหย่าศึก

ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นการโยนหินถามทางตามแผนยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้

หรือจงใจปล่อยทุ่นออกมาเรียกแขก ตีปี๊บดักคอเกมฮั้วกันแน่

แต่เบื้องหน้าเบื้องหลังไม่ว่าจะเกี้ยเซียะหรือไม่ ประเมินตามการวิเคราะห์ของสื่อไทยและต่างประเทศมองตรงกัน การที่ “น้องปู” เดินตามรอยพี่ชาย ทำให้ตอนนี้อดีตนายกรัฐมนตรี 2 พี่น้องแห่งตระกูลชินวัตร ต้องพลัดถิ่นไปปักหลักอยู่ต่างแดน มันส่งผลด้านบวกต่อเกมประคองดุลอำนาจในมือของ คสช.
จะต่อเวลาหรือตามโรดแม็ป ปรับโปรโมชั่นอำนาจกันได้โดยไม่ต้องห่วงแรงเสียดทาน จากฝ่ายต้าน
และล่าสุดก็แบไต๋กันแล้ว กับจังหวะที่มาพร้อมกันเป็นแพ็กเกจ

ด้านหนึ่งข้อมูลดิบ “ทางนอก” โดย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เริ่มออกอาการแทงกั๊ก ชักไม่มั่นใจว่าจะได้เลือกตั้งในปีหน้า 2561

เพราะกฎหมายลูกยังไม่มีกำหนดว่าจะแล้วเสร็จทันหรือไม่

ล้อกับหมอดูนั่ง “ทางใน” โดย “โหรท็อปบูต” นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ เจ้าสำนักสุขิโต จังหวัดเชียงใหม่ เปิดนิมิตทำนายการเมืองไทย ฟันธงอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์จะเดินตามรอยพี่ชายอย่างอดีตนายกฯทักษิณหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศยาวตลอดชีวิต ไม่มีโอกาสกลับเมืองไทยแล้ว

แนวโน้ม “นายกฯลุงตู่” จะบริหารประเทศไทยในยุคแดนศิวิไลซ์ไปอีกยาวโดยไม่มีกำหนดเวลา

ที่แน่ๆสังเกตว่าคิวของ “บิ๊กป้อม” กับมุกของ “โหรท็อปบูต” ออกมาในจังหวะไล่เลี่ยกับปรากฏการณ์ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ปล่อย “ไทม์ไลน์” เลือกตั้ง ส.ส.และการลากตั้ง ส.ว.ในช่วงปลายปี 2561 มา “ทำลาย” เกมยื้อลากยาวอำนาจของ คสช.

นั่นก็ยิ่งชัดว่าอะไรเป็นอะไร ใครตั้งใจจะอยู่ยาว

เอาเป็นว่าในสถานการณ์ถ้าปล่อยเลือกตั้งไป ก็เหมือนเตะหมูเข้าปากหมา

ว่ากันตามลีลาแสบๆกวนๆแบบที่ “นายกฯลุงตู่” แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนักข่าว กรณีโพลสถาบันพระปกเกล้าที่เปิดผลสำรวจ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ยังได้รับความนิยมจากประชาชนมาเป็นอันดับหนึ่ง แสดงว่าประเทศไทยยังก้าวไม่พ้นคนชื่อ “ทักษิณ” ใช่หรือไม่

“ผมก้าวพ้นไปนานแล้ว สื่อพวกคุณหลายคนก็ยังก้าวไม่พ้นอยู่”

จับอารมณ์ “นายกฯลุงตู่” ฉุนนิดๆแต่ก็ปฏิเสธความจริงไม่ได้

เพราะมาตรฐานโพลยี่ห้อพระปกเกล้าย่อมไม่ธรรมดา อีกทั้งเป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยและพัฒนาของสถาบันพระปกเกล้าฯ ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างความน่าจะเป็นของประชาชนไทยทั่วประเทศ อายุ 18 ปีขึ้นไป รวม 33,420 คน เก็บข้อมูลระหว่าง วันที่ 24 เมษายน ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2560

สำทับตัวเลขโพลที่ออกมาไม่เพี้ยนแน่

แต่ที่น่าใจหายยิ่งกว่า “นายกฯลุงตู่” ในประเด็นความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อบุคคลหรือคณะบุคคล ปรากฏว่า พรรคประชาธิปัตย์ มีอันดับความนิยมต่ำสุดใน 5 อันดับ เพียงร้อยละ 36.8

คสช.กับประชาธิปัตย์ ไม่ต่างจากเตี้ยอุ้มค่อม.

ทีมข่าวการเมือง

สัมพันธ์ไทยกัมพูชาอยู่ในระดับสุดสุดแจ่มจันทร์..


หารือทุกเรื่องยกระดับความสัมพันธ์ทุกด้าน เรื่องเดียวที่ไม่หยิบขึ้นหารือพูดคุย คือเรื่องบนเขาพระวิหาร หลังศาลโลกมีคำพิพากษาให้พท.กว่าหนึ่งตารางกม.รอบเขาพระวิหาร ที่เคยเป็นของไทยตามมคิครม.2505 ให้ตกเป็นของกพช.เมื่อวันที่11พย.2556 นับจากวันที่ศาลโลกตัดสินพท.ที่ศาลโลกยกให้กลายเป็นพท.หวงห้ามของฝ่ายไทย ทหทรไทยต้องปรับกำลังออกจากพท.บนเขาพระวิหาร เข้าทางกพช. ลุงตู่บอกเรื่องที่เป็นปัญหาขัดแย้งยังไม่ควรนำขึ้นหารือ อย่างนี้ก้เข้าทางลุงฮุน...

ในทางนิตินัยอ้างได้ยังไม่เสียดินแดน ในทางปฏิบัติเรียบร้อยโรงเรียนฮุนเซนไปแล้ว..พท.ที่เสียไปมีเกือบ2ตร.กม...ภาพแผนที่ในกรอบที่ตีเส้นคือพท.ที่ศาลโลกตัดสินให้อยู่ในเขตอธิปไตยของกพช. คนไทยเข้าไม่ได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่ายกพช. ..แปลกแต่จริง believe it or not..ก่อนหน้านี้ทหารกพช.จะเข้าพท.ต้องขออนุญาตฝ่ายไทย แล้วมันกลับตาลปัตรเยี่ยงนี้ได้อย่างไร..เรื่องจริงที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านิยาย......

นายกฯถกฮุนเซนลงNOU2ฉ.เว้นภาษีซ้อนทำรถไฟเชื่อม2ปท.แก้แรงงาน



นายกรัฐมนตรี แถลงข่าวผลสำเร็จของการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการระหว่างไทยและกัมพูชา ครั้งที่ 3 Joint Cabinet Retreat (JCR)
วันนี้ 7 กันยายน 2560 เวลา 12.00 น. ณ สำนักงานนายกรัฐมนตรีกัมพูชา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ร่วมแถลงข่าวผลสำเร็จ การประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ หรือ Joint Cabinet Retreat (JCR) ครั้งที่ 3 สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณการต้อนรับด้วยมิตรไมตรี ที่ได้กลับมาเยือนกัมพูชาอีกครั้งหนึ่งตามคำเชิญของท่านนายกรัฐมนตรีสมเด็จฮุน เซน แห่งกัมพูชาและเพื่อเข้าร่วมการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ หรือ Joint Cabinet Retreat (JCR) ครั้งที่ 3 ไม่ต่างจากการเยือนกัมพูชาครั้งแรกเมื่อปี 2557
นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีสมเด็จฮุน เซน ได้เป็นประธานร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีของสองฝ่าย ซึ่งคณะรัฐมนตรีไทย ประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีครอบคลุมกระทรวงที่สำคัญมาร่วมประชุมที่กรุงพนมเปญ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในประเด็นต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนเพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาที่แน่นแฟ้นและความร่วมมือที่สร้างสรรค์ในทุกระดับ ไทยให้ความสำคัญกับการมุ่งเน้นการพัฒนาตามแนวชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมสร้างความเชื่อมโยงทั้งทางบก และทางทะเล ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจตามแนวชายแดนเจริญเติบโตไปด้วยกัน ประชาชนสองฝ่ายได้ประโยชน์จากการค้าขายตามแนวชายแดน และการไปหามาสู่กันที่สร้างเสริมรายได้จากการท่องเที่ยวข้ามแดนให้แก่ชุมชนท้องถิ่น
นายกรัฐมนตรีทั้งสองยังพอใจความร่วมมือที่มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ด้านความมั่นคง มีการประสานงานใกล้ชิดทุกระดับ ทั้งการปราบปรามยาเสพติดการปราบปรามการค้ามนุษย์ และเรื่องการแก้ไขการลักลอบตัดไม้พะยูงซึ่งหน่วยงานสองฝ่ายต้องจัดการประชุมเพื่อวางขั้นตอนและแนวทางที่จะเพิ่มพูนการสกัดกั้นการลักลอบตัดไม้นี้
ความเชื่อมโยงเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาและความรุ่งเรืองของสองประเทศ ดังนั้น การหารือครั้งนี้เน้นการเชื่อมโยงในมิติต่างๆ การเตรียมความพร้อมเปิดจุดผ่านแดนเพิ่มเติมอีก 4 แห่งที่ได้ทำการสำรวจภูมิประเทศร่วมกันไว้แล้ว โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านหนองเอี่ยน – สตึงบท ต้องก่อสร้างสะพานข้ามแดน อาคารด่าน สิ่งอำนายความสะดวกอื่นๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีสมเด็จฮุน เซ็นที่แต่งเพลงให้ 4 เพลงเป็นของขวัญที่รัฐบาลไทยให้ความช่วยเหลือในการก่อสร้างสะพานข้ามแดนที่หนองเอี่ยน-สตึงบท
ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพร้อมที่จะเร่งรัดการเชื่อมต่อระบบรางรถไฟจากอรัญประเทศ ปอยเปต ศรีโสภณ ไปถึงกรุงพนมเปญให้แล้วเสร็จในปี 2562 ฝ่ายไทยได้สร้างส่วนเชื่อมต่อถึงอรัญประเทศไว้แล้ว เมื่อสร้างเสร็จจะสามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางรถไฟเชื่อมสองประเทศและรองรับการท่องเที่ยวทางรถไฟในอนุภูมิภาคได้ และจะเป็นเส้นทางรถไฟเชื่อมไทยกับประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงเส้นแรก
สำหรับเป้าหมายการค้าที่ตั้งไว้ร่วมกัน 1,5000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯภายในปี 2563 ได้มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหามาตรการเพิ่มเติม โดยเฉพาะการส่งเสริมการค้าตามแนวชายแดน โดยอาศัยจุดผ่านแดนถาวรที่กำลังจะเปิดใหม่ที่หนองเอียน-สตึงบท และที่แนวชายแดนอื่นๆ อีกในอนาคตอันใกล้นี้ ส่วนสินค้าเกษตรนำเข้าและสินค้าผ่านแดนของกัมพูชามาไทยนั้น หน่วยงานไทยได้และหารือกับฝ่ายกัมพูชาแล้ว ได้กำหนดหามาตรการที่จะช่วยนำเข้าสินค้าเกษตรจากกัมพูชาเพื่อส่งออกไปประเทศที่สามแล้ว
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไทยจะดูแลแรงงานกัมพูชาที่เข้ามาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายให้ดีที่สุดตามหลักกฎหมายไทย ให้ได้รับการปกป้องคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายไทย และย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการนำเข้าแรงงานอย่างถูกกฎหมายแบบรัฐต่อรัฐ
ไทยจะสนับสนุนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของกัมพูชา ทั้งความร่วมมือทางวิชาการด้านการเกษตร สาธารณสุข และการศึกษา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นพลังในการพัฒนาประเทศ ทั้งการพัฒนาชุมชนตัวอย่างโดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9
ภายใต้ Think SDG, Act SEP เผยแพร่ไปทั่วโลก ซึ่งยินดีที่ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างกันนี้เป็นส่วนต่อยอดให้กัมพูชาบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติด้วย
นายกรัฐมนตรียังชื่นชมความสำเร็จในการลงนามความตกลงว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการลงทุนจากไทยไหลมาสู่กัมพูชามากขึ้น ซึ่งเน้นย้ำให้ภาคเอกชนไทยทำกิจกรรมที่คืนความสุขแก่สังคมอย่างสม่ำเสมอ โดยการลงทุนของไทยในต่างประเทศต้องควบคู่ไปกับกิจกรรมเหล่านี้
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังเยี่ยมคารวะสมเด็จวิบุลเสนาภักดี สาย ชุม ประธานวุฒิสภากัมพูชา รักษาราชการแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์กัมพูชาและเดินทางไปเปิดสวนมิตรภาพไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรไมตรีระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ ร่วมกับนายกรัฐมนตรีสมเด็จ ฮุน เซน ด้วย