PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

"ไพศาล"โวย โอนที่ดินร.ฟ.ท.ขัดพระราชประสงค์ร.5 ซัดแหลก "มักกะสัน"เหลือ7หมื่นล.ได้ไง




http://www.matichon.co.th/online/2015/07/14376185561437618703l.jpg

วันที่ 27 ก.ค. นายไพศาล พืชมงคล อดีตวุฒิสภาและอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และกรรมการผู้ช่วยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol แสดงความเห็นถึง
แผนการนำที่ดินมักกะสันจำนวน 497 ไร่ ของ
การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ไปให้กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลังเช่านำไปพัฒนาเชิงพาณิชย์ โดยเบื้องต้น ราคาประเมินที่ดิน ซึ่งจะเป็นหนึ่งในตัวกำหนดมูลหนี้ จะอยู่ระหว่าง 6-7 หมื่นล้านบาท 

ทั้งนี้ แผนดังกล่าวนั้นเป็นส่วนหนึ่งของแผนการแก้ไขปัญหาภาระหนี้สินที่สะสมมานานของ ร.ฟ.ท. โดยปัจจุบันภาระหนี้สินของ ร.ฟ.ท. มีอยู่ประมาณ 8 หมื่นล้านบาท
นายไพศาล ระบุว่า ต้องขอความเป็นธรรมให้การรถไฟ การรถไฟได้รับพระราชทานที่ดินจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เพื่อให้นำมาใช้ในกิจการของรถไฟส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งเพื่อใช้เชิงพาณิชย์ จะได้มีรายได้มาบำรุงรถไฟเพื่อทำให้ค่าโดยสารรถไฟถูกลง ราษฎรจะได้ใช้บริการรถไฟด้วยราคาถูก

ดังนั้น การที่จะเอาที่ดินการรถไฟแปลงมักกะสัน 497 ไร่ ไปโอนให้หน่วยงานอื่นจึงไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์และพระราชประสงค์ ในการพระราชทานที่ดินให้กับการรถไฟ

คนไทยจึงต้องช่วยกันพิทักษ์รักษาพระราชมรดกชิ้นนี้ให้เป็นของการรถไฟไว้ตลอดไปและการรถไฟก็สามารถนำที่ดินแปลงนี้ออกบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์เองก็ได้เรื่องอะไรต้องไปโอนให้กับหน่วยงานอื่น


และถ้าบริหารจัดการเป็นด้วยความสัตย์สุจริตรถไฟสามารถหาประโยชน์จากที่ดินแปลงนี้ไม่น้อยกว่า3แสนล้านบาทโดยที่ยังเป็นเจ้าของที่ดินด้วย


มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่พี่น้อง ในยุครัฐบาลนักการเมือง ยังตั้งราคาที่ดินรถไฟที่มักกะสัน 497 ไร่ถึง 1 แสนล้านบาท มาตอนนี้ ราคาแกว่งขึ้นลง ยิ่งกว่าราคาหุ้นในตลาด

ตอนแรกตั้งราคา 7 หมื่นล้านบาท ต่อมาเห็นประชาชนนิ่งเฉยก็ตีราคาลดเหลือ 5 หมื่นล้านบาท เห็นประชาชนนิ่งอีกก็กดราคาเหลือ 3 หมื่นล้านบาท จึงถูกโวยวายว่าทำอะไรกัน จึงปรับราคาขึ้นไปเป็น 5 หมื่นล้านบาท ต่อมา นายกฯตู่สั่งให้ตีราคาใหม่ ตอนนี้ก็ขยับราคาไปที่ 7 หมื่นล้านบาท

ราคาเช่าที่ดินรถไฟพหลโยธิน 34 ไร่ 30 ปี รถไฟยังได้ 30,000 ล้านบาท ที่มักกะสันราคาสูงกว่าเยอะ ทำไมเนื้อที่ 497 ไร่ 99 ปี จึงเหลือเพียง 70,000 ล้าน

มันเกิดอะไรขึ้น !
 ทำไมต้องโอนที่รถไฟไปให้ไอ้โม่งที่ไหนเช่าแบบนี้ เราทั้งผองต้องร่วมใจกันรักษาพระราชมรดกพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 นี้ไว้ให้กับการรถไฟตลอดไปครับ


พี่น้องสามารถเข้าใจแผนการ โอนที่ดินรถไฟได้ดีขึ้น ถ้าหากได้ทราบและเข้าใจกระบวนการหาประโยชน์กับ "ศูนย์ราชการ" อย่าคิดว่าศูนย์ราชการเป็นของหลวงนะครับ ศูนย์ราชการบริหารจัดการโดยกองทุน ซึ่งหลวงถือหุ้นข้างน้อย นักธุรกิจการเมืองถือหุ้นข้างมาก ได้สิทธิประโยชน์ในการใช้ที่ดินหลวงเกือบจะฟรีๆ ได้สิทธิประโยชน์ในการกำหนดให้ส่วนราชการ ต้องมาเช่าใช้พื้นที่

ลงทุนโดยกองทุน 2 หมื่นล้านบาท แต่ได้ประโยชน์จากค่าเช่าจากรัฐบาลถึง 9 หมื่นล้านบาท นักธุรกิจนักการเมืองถึงรวยกันเปรม แต่รัฐบาลจะต้องแบกรายจ่ายถึง 9 หมื่นล้านบาท ของดีอย่างนี้ทำไมไม่ทำเอง ทำไมจึงไปทำเป็นกองทุนแบบนี้เพื่อประโยชน์ ให้กับใคร

สังเกตสิครับว่า จะโอนที่รถไฟ ให้กระทรวงการคลังอ้างว่าชำระหนี้ แต่ทำไมมากำหนดวิธีบริหารจัดการเสียตั้งแต่ตอนนี้

นี่มิไม่ใช่กระบวนการมัดมือชกรัฐบาลแบบม้วนเดียวจบดอกหรือประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยศูนย์ราชการนะครับ

คำนวณเล่นๆก็ได้ลงทุนศูนย์ราชการ2 หมื่นล้านเอาค่าเช่าจากรัฐบาล 9 หมื่นล้าน มาถึงที่รถไฟ 497 ไร่ จะให้ราคา 7 หมื่นล้าน ค่าเช่าเท่าไหร่ละครับ มันจะไม่ถึง 5-7แสนล้านดอกหรือ
ต้องช่วยกันแล้วล่ะครับงานนี้

"วรชัย" เตือน"สุดารัตน์" ร่วมครม.รัฐบาลคสช. ระวังเสียคน



นายวรชัย เหมะ อดีตส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการปรับ ครม.ว่า ปัญหาขณะนี้ อยู่ที่ระบบไม่ใช่เรื่องของตัวบุคคล ประเทศถูกปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหาร เป็นรัฐบาลที่มาโดยมิชอบธรรม ไม่น่าเชื่อถือ ต่างชาติเขาก็ไม่พอใจ แสดงออกโดยการไม่คบค้าสมาคมกับเรา ดังนั้น หากเรายังบริหารประเทศด้วยระบอบเผด็จการ ต่อให้ปรับครม. กี่ครั้ง ดึงคนเก่งอย่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาร่วมงานกับรัฐบาลคสช.ก็ไม่มีประโยชน์
ส่วนกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์พูดว่า มีสายสัมพันธ์อันดีกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย จนนำไปสู่การเชื่อมโยงให้คุณหญิงสุดารัตน์ขึ้นเป็นผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทยนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จะมีสายสัมพันธ์อะไรกับ คสช. ก็ถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่หากจะไปร่วมงานกับรัฐบาลคสช.ก็ขอเตือนเลยว่า คุณหญิงสุดารัตน์จะเสียชื่อ เสียคนตอนปลายอย่างแน่นอน
ทั้งนี้คุณหญิงสุดารัตน์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักเพราะมาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย มาจากการทำงานร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หากคุณหญิงสุดารัตน์ จะเปลี่ยนม้าไปอยู่กับระบอบเผด็จการก็ขอเตือนว่า ให้ระวังว่าจะเสียคนทางการเมืองในอนาคตอย่างแน่นอน 

อนุสาวรีย์ 7มหาราช ของแผ่นดินสยาม..

ตั้งทุกพระองค์แล้ว สง่างามมากครับ....
โดย สมเด็จพระเจ้าตากสิน อยู่ตรงกลางครับ.... ‪#‎อุทยานราชภักดิ์‬ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
ชาวตาก จงภาคภูมิใจ....ที่มีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งอยู่เป็นอนุสาวรีย์ ที่ เป็นมหาราช ของแผ่นดินสยาม..
>> ขอบคุณข้อมูล... กองทัพบก
๑.พ่อขุนรามคำแหง (สมัยกรุงสุโขทัย)
๒.สมเด็จพระนเรศวร (สมัยกรุงศรีอยุธยา)
๓.สมเด็จพระนารายณ์ (สมัยกรุงศรีอยุธยา)
๔.สมเด็จพระเจ้าตากสิน (สมัยกรุงธนบุรี)
๕.พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)
๖.พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)
๗.พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)

สำรวจสินเชื่อไม่ผ่านพุ่ง35% กระทบทั้งวงการ จัดสรรลุ้นลูกค้ารับโอน



ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
สำรวจอัตราปฏิเสธสินเชื่อพุ่ง 5-35% กระทบทั้งวงการ "แสนสิริ-โกลเด้นแลนด์" ชี้ลูกค้ามีหนี้เพิ่มจากบัตรเครดิต-ผ่อนรถคันแรก "เพอร์เฟค" งัดกลยุทธ์ขายก่อนสร้าง-ยืดเงินดาวน์ "เสนาฯ" ทำพรีแอปพรูฟ "ออริจิ้น-ปริญสิริ" สกรีนลูกค้าเข้ม

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจอัตราปฏิเสธสินเชื่อบ้านหรือรีเจ็กต์เรตธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 6 บริษัท ได้แก่ บมจ.แสนสิริ, บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค, บริษัท โกลเด้นแลนด์ เรสซิเด้นซ์ กรุ๊ป, บมจ.เสนา ดีเวลลอปเม้นท์, บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และ บมจ.ปริญสิริ พบว่า อัตราปฏิเสธสินเชื่อบ้านและคอนโดมิเนียมอยู่ระหว่าง 5-35% (ดูตารางประกอบ) นับเป็นอัตราสูงทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 2557 ที่ผ่านมา



แสนสิริ-โกลด์ชี้ลูกค้าหนี้ท่วม

นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาโครงการแนวสูง บมจ.แสนสิริ เปิดเผยว่า อัตราลูกค้ากู้ไม่ผ่านของคอนโดมิเนียมแสนสิริมีสัดส่วน 10-15% ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าระดับกลาง-ล่าง แบรนด์เดอะเบสกับดีคอนโด ราคา 1-2 ล้านบาท ถือว่าทรงตัวเนื่องจากบริษัทปรับตัวรองรับโดยเพิ่มเงินดาวน์เป็น 15% ส่วนสาเหตุที่กู้ไม่ผ่านเกิดจากลูกค้าเคยมีประวัติผิดนัดชำระหนี้ทำให้ติดเครดิตบูโร จากภาระหนี้บัตรเครดิตและผ่อนรถ รวมทั้งมีรายได้ไม่เพียงพอ

นายภวรัญชน์ อุดมศิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท โกลเด้นแลนด์เรสซิเด้นซ์ กรุ๊ป ในเครือโกลเด้นแลนด์ กล่าวว่า โกลเด้นแลนด์มีอัตราปฏิเสธสินเชื่อลูกค้าทาวน์โฮม 30-35% จากลูกค้ากลุ่มนี้มีหนี้บัตรเครดิตกับหนี้รถคันแรกจำนวนมาก บางรายมีปัญหาลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันจนทำให้ตนเองมีชื่อติดเครดิตบูโร เป็นต้น

การปรับกลยุทธ์รองรับคือ ยืดระยะเวลาผ่อนดาวน์สูงสุด 6 เดือน รวมทั้งเจรจาขอให้ลูกค้าเปลี่ยนยูนิตทาวน์โฮมที่จองซื้อจากโซนด้านหน้าที่สร้างใกล้แล้วเสร็จ เป็นโซนด้านในที่การก่อสร้างช้ากว่า เพื่อให้มีระยะเวลาจ่ายหนี้อื่น ๆ ให้เรียบร้อยก่อนโอน

PF ยืดดาวน์-ขายก่อนสร้าง

นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต รองประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค กล่าวว่า โครงการเพอร์เฟคบางโครงการมีสัดส่วนลูกค้ากู้ไม่ผ่าน 15-20% เทียบจากฐานปี 2556 ที่เคยมีเพียง 10-15% เกิดจากติดแบล็กลิสต์ผิดนัดชำระหนี้ เช่น บัตรเครดิต ผ่อนรถ

"เราแก้ปัญหานี้ด้วยการทำพรีแอปพรูฟคุณสมบัติลูกค้าก่อนจอง หากพบว่ามีแนวโน้มกู้ไม่ผ่านจะแนะนำให้หาผู้กู้ร่วม ขณะเดียวกัน โครงการแนวราบทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ก็เพิ่มสัดส่วนบ้านสั่งสร้างมากขึ้น จากเดิมจะลงทุนบ้านสร้างก่อนขาย 75% ของโครงการ เพื่อให้ลูกค้ามีเวลาผ่อนดาวน์เพิ่มเป็น 6-7 เดือน เท่ากับเป็นการขยายงวดผ่อนดาวน์ ตอนจะโอนลูกค้ากู้ธนาคารน้อยลง โอกาสกู้ผ่านก็มีมากขึ้น"

ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บมจ.เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเผยว่า สัดส่วนลูกค้ากู้ไม่ผ่านอยู่ที่ 8-10% เทียบกับตลาดโดยรวมแล้วอาจมองว่าน้อยกว่า แต่เกิดจากนโยบายทำพรีแอปพรูฟลูกค้าก่อนทำสัญญา ตัวเลขจึงลดลง

แอลพีเอ็นแนะคุยแบงก์

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์กล่าวว่า ปัญหาลูกค้ากู้ไม่ผ่านเป็นประเด็นสำคัญของบริษัทเพราะเน้นทำตลาดล่างซึ่งลูกค้ามีเครดิตต่ำ แนวทางแก้ปัญหาคือพยายามสื่อสารกับสถาบันการเงินถึงข้อดี 2 ข้อในการปล่อยกู้ก้อนเล็กให้กับผู้กู้หลายราย คือ 1.โอกาสเป็นหนี้เสียก้อนใหญ่มีน้อยลง 2.ธนาคารจะมีฐานลูกค้ามากขึ้นสำหรับจำหน่ายผลิตภัณฑ์อื่น ๆ

ออริจิ้น-ปริญสิริสกรีนลูกค้า

นายพีระพงษ์ จรูญเอก กรรมการบริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า บริษัทไม่กังวลเรื่องลูกค้ากู้ไม่ผ่าน เพราะสัดส่วนลูกค้าถูกปฏิเสธสินเชื่อบ้านมีเพียง 5-10% มาจากนโยบายไม่เน้นเร่งปิดการขาย และกำชับให้พนักงานขายสกรีนลูกค้าโดยมองว่าปัญหาอัตราปฏิเสธสินเชื่อสูงของตลาดในภาพรวมเกิดจากกลุ่มลูกค้าเก็งกำไรมากกว่า

นายอุเทน คงสุนทรกิจกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.ปริญสิริ เปิดเผยว่า สัดส่วนลูกค้ากู้ไม่ผ่านมีประมาณ 20% ในเซ็กเมนต์ลูกค้าระดับซีบวก หรือคอนโดฯราคา 1.7-1.8 ล้านบาท, ทาวน์โฮมราคา 2-3 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวราคา 5 ล้านบาท ส่วนลูกค้าระดับบน เช่น บ้านเดี่ยวเกิน 10 ล้านบาท คอนโดฯ ราคา 6 ล้านบาทไม่มีปัญหาเรื่องเครดิต รวมทั้งลูกค้ากว่าครึ่งซื้อด้วยเงินสด ในส่วนปัญหาถูกปฏิเสธสินเชื่อบริษัทแก้ปัญหาด้วยการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ซื้อเข้มข้น กับให้คำแนะนำด้านการเงินมากขึ้น

พ่อผมเป็น-แพะ"

หม่อมปลื้มพูดถึงหม่อมอุ๋ย

วิเคราะห์/สัมภาษณ์พิเศษ/378467/
พ่อผมเป็น-แพะ"
โดย...ธนพล บางยี่ขัน, ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์

สิ่งที่ผมทำให้วันนี้ ไม่ใช่หน้าที่ของสื่อมวลชน แต่เป็นหน้าที่ของลูกคนหนึ่ง ที่ไม่ต้องการให้ทั้งสังคมเข้าใจบิดาในทางที่ผิด เพราะความบกพร่องจนนำมาสู่การที่ประชาชนไม่ได้รับทราบผลงาน ฝ่ายที่มีหน้าที่รับผิดชอบประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลเชิงรุก ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างครบถ้วน

ปลื้ม-ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล  ผู้ที่ประกาศตัวว่ายืนอยู่ฝั่งคนเสื้อแดงและไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร ออกตัวในช่วงเริ่มต้นสัมภาษณ์พิเศษ ถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ปนเหน็บแนมกับท่าทีที่เปลี่ยนไป

เมื่อออกมาแจกแจงผลงานของคุณชายอุ๋ยม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ที่กำลังตกเป็นเป้ารุมถล่มสังเวยสภาพเศรษฐกิจตกสะเก็ด

มันน่าเศร้าถึงขนาดที่ลูกต้องเป็นคนที่ออกมาเพื่อพิทักษ์เกียรติยศ อย่าลืมว่ารองนายกฯ อันดับสองของรัฐบาลที่มีอำนาจล้นฟ้า ในการคุมสื่อมวลชน ทำพร็อพพากันด่าสื่อของรัฐ มันน่าเศร้าสำหรับ

รองนายกฯทำงานเหน็ดเหนื่อยทุกวัน แทบไม่ได้หลับได้นอนเท่าที่ผมเห็น ผมทำงานเลิกสามทุ่มกว่า กว่าจะกลับถึงบ้านสี่ทุ่มกว่า กลับไปถึงเหลือบมองไปเห็นไฟในห้องทำงานของพ่อเปิดอยู่คือ

นอนดึกกว่าผม ขณะที่ผมทำงานเป็นผู้สื่อข่าว บางทีตื่นออกมาตีห้า ไฟยังเปิดอยู่

มันน่าเศร้าเมื่อถึงเวลา กลับไม่มีใครออกมาปกป้อง ว่าผลงานที่ผ่านมามีอะไรบ้าง หน้าที่นี้เป็นของรัฐบาลที่ต้องมาสรุปผลงานของหม่อมอุ๋ยให้ทุกคนฟัง ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติมันไม่มีความจำเป็น

ต้องออกมาทำขนาดนี้ แต่ทำเพราะเป็นหน้าที่ลูก ซึ่งทนไม่ได้และไม่ยอมให้พ่อผมถูกลอยแพ” ม.ล.ปลื้ม ขยายความ

ม.ล.ณัฏฐกรณ์ ตั้งข้อสังเกตว่าตั้งแต่ยุคจอมพลสฤษดิ์ และยุครัฐบาลทหารในอดีตที่ผ่านมา สื่อมวลชนจะเกรงใจ รมว.ทหาร และรวมถึงนายกฯ ไม่กล้าวิจารณ์เพราะรู้ว่าจะโดนเรียกตัวไป ในอดีต

และยุคนี้ รองนายกฯ หรือ รมว.พลเรือนโดนด่าได้ ไม่มีกลไกปกป้อง ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นการออกแบบหรือบังเอิญ นำมาสู่ภาพลักษณ์เหมือนหม่อมอุ๋ยล้มเหลวเรื่องการทำงาน

ผมต้องไปกินกาแฟที่ทัพภาคที่ 1 สามครั้ง เพราะวิจารณ์รัฐบาลนี้และ คสช. ผมโอเค ให้ความร่วมมือ ​ไม่อยากสร้างบรรยากาศไม่ปรองดอง แต่เมื่อกลับมานั่งนึกสิ่งที่หม่อมอุ๋ยทำสำคัญๆ

ทำไมจึงไม่มีองครักษ์พิทักษ์ รมว.พลเรือน คือ ผมไม่ได้เชียร์ให้มีการปรับทัศนคติชาวบ้านทุกคน แต่การที่มีการเลือกปรับทัศนคติเฉพาะประเด็นความมั่นคง เลยทำให้หม่อมอุ๋ยกลายเป็นแพะของ

รัฐบาล

...มันมีเรื่องเลวร้ายมากกว่าเศรษฐกิจ เช่น การปิดกั้นเสรีภาพสื่อ จนถูกวิจารณ์จากองค์กรระหว่างประเทศ การทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับสหรัฐอเมริกาแย่ลง การทำผิดพลาดร้ายแรงใน

การตัดสินใจส่งอุยกูร์109 คน กลับจีน ซึ่งคนข้างในข้าราชการวิจารณ์กันเต็มพูดไปไม่ฟัง หรือผลงานยอดแย่กฎหมาย 2 ฉบับ ออกมา พ.ร.บ.อุ้มบุญ หรือคดีของ ป.ป.ช.ที่มีโทษประหารชีวิต ออกมา

ได้ไง อย่างนี้ใครรับผิดชอบ

ปัญหาเศรษฐกิจโทษพ่อคนเดียวไม่ได้

ทั้งนี้ ภารกิจที่นายกฯ ได้ประกาศต่อ สนช. ส่วนใหญ่มอบหมายมาให้หม่อมอุ๋ยทำเป็นนโยบายของรัฐ ซึ่งหลายเรื่องก็สำเร็จ และมีบางเรื่องผลักดันอยู่ และถึงเวลามีคนวิ่งเต้นเข้าไป สนช.ไป

พยายามทำในสิ่งที่หม่อมอุ๋ยและรัฐผลักดันไปต่อไม่ได้ เช่น พ.ร.บ.ภาษีมรดก ซึ่งมีคนวิจารณ์มาก แต่คนผลักดันจริงตามนโยบายรัฐคือหม่อมอุ๋ย ทั้งเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและสังคม

แต่จุดบกพร่องคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไม่ดี ตัวเลขความเชื่อมั่นจีดีพีและการส่งออกมันตก แต่ถ้าปล่อยให้คนพูดว่าพ่อผมไม่ทำงาน ผมไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น เพราะเขาทำงานหนักกว่าหลายคน ที่

ประชาชนคิดว่าทำงานหนักอยู่ ทั้งนี้ เรื่องการแถลงข่าว การให้สัมภาษณ์ ตัดริบบิ้น จับมือพบปะประชาชนเป็นงานง่าย เพื่อประชาสัมพันธ์ตัวเอง ให้ดูเหมือนว่าทำงานหนัก

..แต่หม่อมอุ๋ยอยู่ข้างหลังถ้าวันๆ ออกงานแสดงวิสัยทัศน์ เก๋ๆ หรูๆ แล้วแถลงข่าวกับสื่อมวลชน มีวาทกรรมเศรษฐกิจโดนๆ ไปพบปะกับประชาชน แล้วลากสื่อไปถ่ายภาพออกข่าวภาคค่ำทุกคืน ก็

จะมีภาพลักษณ์ออกมาอีกแบบหนึ่ง บังเอิญ ผมรู้จากพ่อ ว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องความนิยมที่ได้จากประชาชน เขาสนใจว่าเข้าไปรับใช้ชาติในรอบนี้จะผลักดันโครงการอะไรที่ควรทำ เพื่อให้ประสบ

ความสำเร็จ แค่นั้นเวลาภาพลักษณ์เขาไม่ทำงาน มันตรงข้ามความจริง และทัศนคติคนติดตามข่าวผิวเผิน หรือแค่พาดหัวข่าว จะคล้อยตามในเรื่องนี้

ม.ล.ปลื้ม กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาไม่เห็นท่าทีปกป้องคนทำงานภายใต้การบังคับบัญชา ถ้าเขาเป็นหัวหน้าสั่งลูกน้องไปทำงาน 10 กว่าเรื่อง แล้วมีคนมาด่าลูกน้องว่าไม่ทำงาน เขาคงไม่อยู่เฉยๆ แต่จะ

ด่ากลับไปว่าคุณไม่รู้เรื่องอะไรเขาทำงานหนักขนาดไหน แต่เรื่องนี้ที่รับไม่ได้คือคนที่วิจารณ์แบบมักง่าย เอาตัวเลขจีดีพีส่งออกมาบอกว่ามันห่วย อันนี้มันง่าย ใครๆ ก็ทำได้

จะโทษหม่อมอุ๋ยในเรื่องความเชื่อมั่น ตัวเลขส่งออก ได้ไหมก็ได้ แต่ภารกิจที่ทำอยู่หลายๆ เรื่องมันไม่ได้เกี่ยวข้องกัน มันเป็นการแก้ไขปัญหาประเทศชาติที่มีอยู่ ต้องทำ ไม่มีใครทำ กระทรวงดิจิทัล

ที่กำลังตั้งขึ้นมาใหม่ ควบคุมการทำกฎหมายของกระทรวงกว่า 10 ฉบับ เอาคนปกติทำคนเดียว ก็ไม่เหลือเวลาทำอย่างอื่น และหม่อมอุ๋ยเวลาทำงานเป็นคนลงลึกในรายละเอียด ไม่ได้ใช้อำนาจสั่ง

การแล้วให้คนอื่นไปลงในรายละเอียด ไม่ทำงานชุ่ย

ที่สำคัญส่วนที่เป็นนโยบายเป็นเนื้องานของรัฐบาลที่ทำร่วมกัน ที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกัน ใครได้เครดิต แต่หม่อมอุ๋ยไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องให้ แต่ไม่ควรให้โดนด่าฟรีเป็นแพะทุกเรื่อง เพราะมีเรื่องเสียหาย

มากกว่าเศรษฐกิจ ถ้าแยกปัญหาออกมา รมว.แต่ละคนมีผลงานที่ดีและไม่ดี หากจะหาแพะเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจไม่ดี แล้วทำไมไม่หาแพะความผิดพลาดเรื่องอื่นใหญ่กว่านั้นด้วย

ปรับ ครม.ได้แต่อย่ามาโยนบาป

คิดว่าเป็นกระบวนการดิสเครดิตเพื่อนำไปสู่การปรับ ครม.หรือไม่? ม.ล.ณัฏฐกรณ์ ตอบว่า การที่มีนักการเมืองเคยโดนตัดสิทธิจับมือหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง และเสนอให้นายกฯ ปรับ ครม.เป็นเรื่อง

เข้าใจได้ เพราะเกิดขึ้นบ่อยในการเมืองไทย และส่วนตัวไม่มีปัญหาหลายๆ คนในก๊วน ส. เป็นบุคลากรที่มีความสามารถและคุณภาพควรมีโอกาสรับใช้ชาติหลายคนการปรับ ครม.เกิดขึ้นได้ในทาง

การเมือง แต่ปล่อยให้มีการโยนบาปในทุกเรื่องให้คนคนเดียวมันเกินไป

3;การจะอยู่ใน ครม.หรือไม่อยู่ไม่ใช่ประเด็น แต่เรื่องนี้มีการโยนบาปให้คนคนหนึ่งรับไป แต่ส่วนตัวก็ไม่อยากให้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ถูกปรับออก เพราะหนึ่ง หน้าที่สำคัญที่คอยสอดส่องดูแลป้องกันไม่

ให้เกิดการทุจริต ที่ทำมาตั้งสมัยรัฐบาล อานันท์ ปันยารชุน อีกด้านหนึ่ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ทำงานไม่เคยกลัวโดนด่า หากเป็นเรื่องถูกต้องและกล้าทำจริง

ม.ล.ณัฏฐกรณ์ กล่าวว่า หากดูโผปรับ ครม.ที่ออกมานับวันหน้าตายิ่งคล้ายรัฐบาลทักษิณมากขึ้นทุกวัน ถือเป็นโจ๊กที่บอกบางสิ่งบางอย่างว่าในยุคไทยรักไทย ที่ประเทศชาติกำลังเติบโต มี

เสถียรภาพทางการเมือง มีรัฐมนตรีด้านกฎหมาย ชื่อ วิษณุ เครืองาม คนที่นั่งสกรีนงานคือ บวรศักดิ์ อุวรรณโณคนที่ดูแลเศรษฐกิจมหาภาค คือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร คนที่เป็น รมว.คลัง คือ สมคิด จาตุศรี

พิทักษ์


มาถึงตอนนี้บุคลากรบริหารประเทศก็หนีไม่พ้นกลุ่มคนพวกนี้มันเป็นเหมือนโลกมายาทางการเมืองที่เราสร้างขึ้นมาเองในที่สุดประเทศไทยก็ถูกบริหารโดยคนกลุ่มนี้เท่านั้น อยู่ที่ว่าหัวจะเป็นใครใน

รอบไหน ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง หรือทหาร อย่างสมัยก่อน สมคิด เป็น รมว.คลัง หม่อมอุ๋ยเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติ ทำงานคนละฝ่าย ภาพรวมประเทศเดินหน้าไปได้ด้วยดีอยากได้ "สมคิด" ทำไมไม่

ตั้งแต่แรก

ส่วนประเด็นเรื่องความรับผิดชอบเรื่องเศรษฐกิจต้องเป็นเรื่องของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร คนเดียวหรือไม่? ม.ล.ปลื้ม มองว่า บทบาทของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เป็นเรื่องไม่เกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ บทบาท

ด้านอื่นทำได้สำเร็จ บางข้อไม่สำเร็จ เพราะยังไม่ได้รับการผลักดัน ถ้าจะให้หม่อมอุ๋ยเป็นแพะเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจ ก็หมายความว่ามันเป็นการแก้ปัญหาทางการเมืองของรัฐบาลเท่านั้น

ม.ล.ณัฏฐกรณ์ กล่าวว่า ตอนตั้ง ครม.ชุดแรก มีชื่อต่างๆ ที่ปรากฏและยังมาปรากฏรอบนี้ ทำไมไม่มาตั้งแต่แรกจะได้ร่วมกันรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหา หากบอกว่าติดขัดเพราะข้อกฎหมายห้าม

ก็ต้องถามว่าใครไปเขียนไว้ หม่อมอุ๋ยไม่ได้เขียน งานที่ทำอยู่คือ งานเบื้องหลัง ปิดทองหลังพระ ไม่ออกมาบอก แต่งานเบื้องหน้ากลับต้องเป็นแพะถ้ารัฐบาลทำได้ ควรมีบุคลากรครบเซ็ตตั้งแต่แรก

ผมคิดว่ามันตลกที่บางฝ่ายมาโทษหม่อมอุ๋ย เรื่อง มีไม่มีสมคิด ทั้งที่ใครเป็นคนตั้ง ไม่ตั้งสมคิด หัวหน้า คสช.​มีอำนาจเต็มแต่แรกที่จะมอบหมาย ติดต่อ ทาบทามใครให้ทำงานอะไรมันไม่ใช่

เรื่องที่เกี่ยวกับหม่อมอุ๋ยสื่อไปโทษหม่อมอุ๋ยว่าบล็อกคนนั้นคนนี้ ไม่เข้าใจว่าหม่อมอุ๋ยไปมีอำนาจบล็อกใคร ตั้งแต่เมื่อไหร่

.กระบวนการเลื่อยเก้าอี้รัฐมนตรีในวันนี้คล้ายการเลื่อยเก้าอี้รัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลทักษิณ คือสื่อเปิดประเด็น นักการเมืองสายหนึ่งวิ่งไปบอกผู้ใหญ่ ว่าคนนี้เป็นอย่างนี้ไม่ดี แต่วันนี้บังเอิญเป็น

ประวิตรและประยุทธ์ แต่ตอนนั้นเป็นทักษิณผมไม่ได้คุยอะไรกับพ่อผมนะ มาจากการวิเคราะห์ของผมจริงๆม.ล.ณัฏฐกรณ์ กล่าวมีหมวก 3 ใบ หน้าที่ลูกสำคัญที่สุดออกมาขยับรอบนี้ "ปลื้ม" เปรียบ

เปรยว่า เป็น "ภารกิจระเบิดพลีชีพ" ที่แม้จะถูกต่อว่าต่อขานจากหลายฝ่าย แต่ก็เป็นที่ต้องทำในฐานะ "ลูก" และก่อนออกมาทำหน้าที่แจกแจงผลงานก็ไม่ได้บอกกล่าวบิดาแต่อย่างไร ปลื้ม อธิบายว่า

เขามีหมวก 3 ใบ คือ1.สื่อมวลชน ทำข่าว จัดรายการโทรทัศน์2.เคยสนับสนุนจุดยืนคนเสื้อแดงให้นายกฯ มาจากการเลือกตั้งหรือไม่ให้มีการแทรกแซงฝ่ายตุลาการ การแทรกแซงอำนาจจากนอก รธน.

ทหาร ศาล รธน. การก้าวก่ายการใช้อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ หรือฝ่ายบริหารที่มาจากการเลือกตั้ง และ3.ในฐานะลูก เมื่อพ่อถูกเลือกปฏิบัติไม่เป็นธรรม ไม่มีองครักษ์ ทุกฝ่ายด่าได้ ซึ่งมันไม่มีแฟร์

​เพราะเขาคงไม่ออกมาพูด ได้แต่นั่งปิดทองหลังพระ ซึ่งถ้าแน่จริงเลิกปรับทัศนคติ แล้วเปิดให้สื่อได้วิจารณ์อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน และลองมาดูว่าอันไหนเป็นปัญหามากกว่ากัน

ระหว่างตัวเลขจีดีพี การส่งออก ซึ่งมันเป็นไปตามเศรษฐกิจโลกกับไทยที่ทำผิดพลาดเองในหลายๆ เรื่อง ละเมิดสิทธิ หรือพันธกรณีระหว่างประเทศ

"ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกสำคัญกว่าบทบาทสื่อ ให้ผมไม่เหลือความเป็นสื่อเลย แต่พ่อลูกมีแค่นี้ คนอ่านที่ผมเขียนไม่ต้องการให้อ่านในฐานะที่ผมเป็นสื่อ หรือสนับสนุนคนเสื้อแดง นั่นเป็น

ภารกิจของบุคคลสาธารณะ แต่เรื่องนี้เป็นภารกิจของลูก พ่อจะถูกลอยแพการปรับ ครม.เกิดขึ้นได้ในทางการเมือง แต่ปล่อยให้มีการโยนบาปในทุกเรื่องให้คนคนเดียวมันเกินไป"ผมมีพ่อคนเดียว มี

ข้อแตกต่างลูกนักการเมือง ลูกทหารถูกด่าจะมีองครักษ์พิทักษ์ ลูกน้องออกมาตอบโต้ นักการเมือง ทหาร เครือข่ายคอยซัดกลับให้คนเบาลง แต่หม่อมอุ๋ยไม่ชกกลับ ไม่มีองครักษ์ จึงเหลือแค่ผม อาจ

มีเสื้อแดงออกมาด่า แต่ถ้าเข้าใจผมจริงๆ ถ้าผมไม่ทำอะไรเลยก็แย่ ผมจำเป็นต้องระเบิดพลีชีพ"

ม.ล.ณัฏฐกรณ์ ระบุว่า การทำหน้าที่สื่อ หลักการที่มีประชาธิปไตยไม่เอารัฐบาลรัฐประหาร เป็นหลักการถูกต้อง ไม่เอาด้วยกับรัฐประหาร แต่ว่าหน้าที่ของลูกที่มีต่อพ่อ ไม่ปล่อยให้พ่อโดนรุมยำจาก

ทุกฝ่าย มันสำคัญกว่าหน้าที่อื่นๆ ทั้งหมดในฐานะคนเคยแสดงวิสัยทัศน์ มันคนละเรื่อง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของเลือดเนื้อ ที่ไม่ปล่อยให้บิดาถูกลอยแพปัญหาพลังงานหนักสุด ควรหาทีมเสริมกู้

เศรษฐกิจออกตัวชัดเจนอยากเล่นการเมือง แต่เท่าที่ดูจากโครงสร้างรัฐธรรมนูญเวลานี้ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล เห็นว่าได้ไม่คุ้มเสีย

ผมต้องการมีบทบาทในการบริหารประเทศไทย แต่ว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้การร่างรัฐธรรมนูญที่ร่างอยู่เวลานี้ ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะได้บริหารประเทศไทยจริงๆ มันมีเรื่องที่ต้องทำกำหนดไว้

จนไม่เห็นว่าเวทีนี้จะสามารถทำอะไรที่สร้างสรรค์ได้มาก

ม.ล.ณัฏฐกรณ์ วิเคราะห์ว่า ปัญหาเวลานี้ส่วนหนึ่งอยู่ที่บุคคลหน้าใหม่ไม่อาจเข้ามาสู่อำนาจ เวลานี้ไม่ควรมีแค่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล หรือเวลามีปัญหาเศรษฐกิจก็วิ่งไปหา

ดร.โกร่ง รามางกูร หรือแม้แต่วงการทหาร ก็มีแต่บูรพาพยัคฆ์ที่เป็นใหญ่ทางการเมือง ส่วนนักกฎหมายสายที่เข้ามามีอำนาจก็ไม่เชื่อในการที่ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งวันนี้ปัญหาประเทศชาติคือเรื่อง

พลังงาน ถ้าเป็นผม สร้างไปหมดแล้ว ตายเป็นตาย ม็อบพวกนี้กลัวไปทำไม คุณเอา กปปส. เอาเสื้อแดง ให้นอนอยู่บ้านได้ แต่ทำไมเอาม็อบพลังงานอย่าบ้านไม่ได้ ทำไมเอาม็อบถ่านหินที่กระบี่อยู่

บ้านไม่ได้ ทำไมไม่เอากฎหมายความมั่นคงมาใช้และเดินหน้าพลังงาน

ผมหวังว่ารัฐบาลนี้จะทำเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ทำ พ.ร.บ.ปิโตรเลียมไม่รู้ค้างอยู่ที่ไหน สัมปทานปิโตรเลียมก็ไม่ทำ ทั้งที่ต้องขุดเจาะก๊าซธรรมชาติเพิ่ม แต่ก็เข้าใจโครงสร้างที่มีอยู่และเครือข่ายทางการเมือง

ของฝ่ายที่คัดค้านเรื่องนี้ก็เล่นงานให้คนออกจากตำแหน่งได้เหมือนกัน เรื่องพลังงานคือเรื่องที่แย่ที่สุดของรัฐบาลรองจากอุยกูร์

ผมเข้าใจภาพรวมการเมืองของประเทศไทยว่าเข้าไปก็ทำอะไรไม่ได้มาก ถามว่าอยากไหม อยาก ผมอยากมีอำนาจบริหารเต็มใบและจัดการปัญหาหาพวกนี้ ณ วันนี้ยังไม่มี ช่องทางถ้าจะสร้างไปถึง

เป้าหมาย มันไม่คุ้ม มีแต่เสียทั้งชื่อ ทั้งเงิน อยากไปตรงโน้น แต่ตรงนี้เป็นสื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มากกว่า

ถามว่ายังคิดสนใจกลับไปลงสมัครผู้ว่า กทม.อีกรอบหรือไม่? ม.ล.ณัฏฐกรณ์ ตอบทันทีว่าตอนนี้ผู้ว่า กทม. ไม่ได้อยู่ในเรดาร์ ส่วนตัวได้เห็นปัญหาต่างๆ มากมายในประเทศ แม้รัฐบาลนี้ก็ทำไม่สำเร็จ

แต่หลายเรื่องก็ทำได้ มาถูกทาง รัฐบาลก็ทำอะไรเยอะ งานที่ออกมาเป็นฝีมือทั้ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ

ณรงค์ชัย อัครเศรณี คนที่ทำงานหนักที่สุด

ในมุมมองผมคือ ณรงค์ ชัย โดนด่าเยอะสุดแต่ทำงานหนักเยอะสุด ม.ล.ณัฏฐกรณ์ มองว่า ผลงานที่ผ่านมารัฐบาลทหารยังมีอุปสรรคมากมายมีหลายเรื่องสำหรับรัฐบาลนี้ที่ต้องระมัดระวัง ทั้งเรื่องอุย

กูร์ทีไม่รู้ว่าใครเป็นคนแนะนำ แต่คนที่แนะนำลืมคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ถ้าคุณจะหาแพะเรื่องจีดีพี ส่งออก กับความเชื่อมั่น ทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นจากการตัดสินใจ

ในเชิงนโยบายที่ผิดพลาดโดยตรงของ หม่อมอุ๋ย

 วิเคราะห์การดำเนินงานด้านเศรษฐกิจที่ผ่านมา หากแยกผลงานของรัฐบาลเป็นเรื่องๆ คือ กระตุ้นเศรษฐกิจ การส่งออก จีดีพี ความเชื่อมั่น เกษตรกร ตรงนี้ยังทำไม่สำเร็จ ต้องพยายามบรรเทาปัญหา

เศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาสำหรับเกษตรกรที่สินค้าราคาตก กำลังซื้อลดลง ซึ่งแก้ไม่ได้ตรงนี้ก็ต้องได้รับการแก้ไข

งานที่เหลือแต่ละข้อที่หม่อมอุ๋ยทำ ต้องใช้เวลาลงรายละเอียดอย่างมากในแต่ละเรื่อง เช่น รถไฟกับจีนและญี่ปุ่น ถามว่าใครนั่งทำตรงนี้ให้รายละเอียดไม่ผิดพลาด การปรับลดหนี้ที่มาจากโครงการ

จากรัฐบาลชุดที่แล้ว จำนำข้าว และอีกหลายโครงการกี่แสนล้านบาท ที่ต้องมานั่งปรับกัน ใครทำ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ กล่าวว่า เรื่องที่ไม่ได้ทำและต้องทำและต้องกระตุ้น หลักๆ การจำนำข้าวอย่าง

รัฐบาลชุดที่แล้ว สร้างกำลังซื้อให้กับชาวนาจริง มันเยอะมาก อัดเงินลงระบบที่มีผลต่อการจับจ่ายชัดเจน และเห็นผลบริโภคในระดับรากหญ้า เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม อย่างไรก็ตาม จะทำแบบ

รัฐบาลชุดที่แล้วไม่ได้ เพราะมีหนี้แล้วต้องมานั่งปรับโครงสร้างหนี้ตอนนี้ ทยอยขายข้าวจากสต๊อก เพราะฉะนั้นเป็นหน้าที่ มันมีความจำเป็นต้องช่วย ถ้าเกิดหาทางออกไม่ได้ก็ต้องหาทางเสริม

บุคลากร นั่นคือหน้าที่นายกฯ ส่วนตัวไม่มีคำตอบเพราะเชื่อในฟรีมาร์เก็ต อย่างการลดต้นทุน พูดง่ายถึงเวลาทำยาก แต่จำนำให้เงินเยอะไปเลยไม่ยั่งยืนภาครัฐรับไม่ได้ระยะยาว

ม.ล.ณัฏฐกรณ์ ยอมรับว่า ก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสคุยกับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เรื่องงานที่ทำ มีบางครั้งอยากเดินไปถามว่าขอให้ทีมงานสรุปเรื่องที่ได้ทำไปแล้วว่ามีเรื่องอะไร จะได้ช่วยเผยแพร่ เพราะที่ทำ

กันอยู่ ก็ไม่ได้ป่าวประกาศเรื่องพวกนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ ทำได้แต่ติดตามในฐานะสื่อมวลชน

ส่วนหนึ่งเป็นปัญหาเรื่องการประชาสัมพันธ์ ประโยคสำคัญที่ไม่ได้ยิน และที่ควรจะได้ยินจากผู้มีอำนาจเรื่องนี้ กลไกควบคุมการวิจารณ์ที่มีกับเรื่องอื่นๆ แต่ไม่มีกับเรื่องที่เป็นการทำงานของ

รัฐมนตรีพลเรือน

ต่อมา ลูกชายของรองนายกฯ ได้ระบุถึงผลงานของผู้เป็นพ่อว่า ผลงานของหม่อมอุ๋ยนั้นมีเพียบ ไล่เรียงมาตั้งแต่ 1.ตั้งศูนย์รวมข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่ 2.ผลักดันการประมูลคลื่นความถี่ทั้งหมด (4G)

3.ปิดกั้นโอกาสล็อบบี้ของภาคเอกชนรายใหญ่ 4.เริ่มโครงการ National Broadband 5.ประสานความร่วมมือต่างประเทศในฐานะพลเรือน 6.ปรับโครงสร้างหนี้เกษตรกร 9 เเสนล้านบาท 7.ยกระดับ

ราคายางขึ้นมาถึง 60 บาท/กก. 8.เจรจาจีน/ญี่ปุ่นลงทุนโครงการรถไฟ 9.พ.ร.บ./สัมปทานปิโตรเลียม/โรงไฟฟ้าเพิ่มเติม 10.ทำ MOU ตั้งคลังแอลเอ็นจีลอยน้ำกับเมียนมา 11.ออกใบอนุญาติลงทุนเปิด

โรงงาน (ร.ง.)

12.ริเริ่ม-ก่อตั้ง-คุมร่างกฎหมายกระทรวงดิจิทัล 10+3 ฉบับ 13.ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานแสงอาทิตย์ AEC 14.เปิดศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน (OSS) 15.จัดทำเเละผลักดันกฎหมาย

เก็บภาษีที่ดินเเละภาษีมรดก

ก่อนตบท้ายการสนทนาว่า  ผมไม่อยากให้พ่อผมถูกปรับออกเพราะ หนึ่งหม่อมอุ๋ย คอยสอดส่อง ป้องกันการทุจริต ซึ่งทำมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน และ  สองทำงานไม่กลัวโดนด่า

หากเห็นว่าถูกต้อง ก็ทำจริง ไม่ใช่แค่ส่งสัณญาณว่าจะทำ แต่เดินหน้าทำจนสำเร็จ

สื่อนอกประโคมข่าว การบินไทยอาการร่อแร่ต้องปฏิรูปใหญ่ จ่อ “ปลดพนง.นับพัน-เลิกบินไปUSA-ขายเครื่องบินทิ้ง”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
26 กรกฎาคม 2558 20:49 น.
สื่อนอกประโคมข่าว การบินไทยอาการร่อแร่ต้องปฏิรูปใหญ่ จ่อ  “ปลดพนง.นับพัน-เลิกบินไปUSA-ขายเครื่องบินทิ้ง”
        รอยเตอร์ / เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - สื่อต่างประเทศประโคมข่าว “การบินไทย” อาการร่อแร่ หลังประกาศปลดพนักงานรวดเดียว 1,401 ตำแหน่ง และยังยกเลิกให้บริการในเที่ยวบินสำคัญ ๆ ทั้งเส้นทางสู่นครลอสแองเจลิสของสหรัฐฯ และเส้นทางสู่กรุงโรม เมืองหลวงของอิตาลี อ้างเหตุผล “ขาดทุนยับจนเกินรับไหว” 
      
       รายงานข่าวล่าสุดซึ่งถูกนำเสนอโดยสำนักข่าวชื่อดังอย่างรอยเตอร์ รวมถึงสื่อออนไลน์ระดับแถวหน้าของมาเลเซีย อย่าง “มาเลย์เมล์ ออนไลน์” ระบุว่า สายการบิน “ไทย แอร์เวย์ส อินเตอร์เนชันแนล” หรือ “การบินไทย” ซึ่งถือเป็นสายการบินแห่งชาติของไทยประกาศแผนลดจำนวนพนักงาน 1,401 ตำแหน่ง
      
       รายงานของสื่อต่างประเทศระบุว่า การประกาศลดจำนวนพนักงานดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในหลายมาตรการที่สายการบินแห่งชาติของไทยเตรียมนำมาใช้เพื่อ “ตัดลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายภายในองค์กร” ของตนลงให้ได้ 20 เปอร์เซ็นต์ภายในระยะเวลาซึ่งกำหนดไว้ตามแผน 2 ปี
      
       อย่างไรก็ดี นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (ดีดี) ของการบินไทยยืนยันว่า การลดจำนวนพนักงานดังกล่าวส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของการเกษียณอายุ หรือการให้พนักงาน “ลาออกโดยสมัครใจ” และย้ำว่าองค์กรขนาดใหญ่อย่างการบินไทยที่มีผู้เกี่ยวข้องในฐานะพนักงานไม่ต่ำกว่า 30,000 อัตรา และมีสินทรัพย์ให้ต้องบริหารจัดการมูลค่านับแสนล้านบาท ต้องเผชิญหน้ากับช่วงเวลาแห่งความท้าทายครั้งสำคัญ
      
       นอกเหนือจากแผนการลดจำนวนพนักงานในองค์กรแล้ว รายงานข่าวของสื่อต่างประเทศยังระบุว่า ทางบอร์ดบริหารของการบินไทย ยังมีแผนนำเครื่องบินที่มีอยู่ในฝูงบินของตนออกจำหน่ายให้กับผู้สนใจ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเครื่องบินโดยสาร และลดการแบกรับต้นทุนที่สูงลิ่วทางด้านเชื้อเพลิงด้วยเช่นกัน
      
       ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าสายการบินแห่งชาติของไทย จะยกเลิกการให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศอีกหลายเส้นทางเนื่องจากประสบภาวะ “ขาดทุนย่อยยับ” ในเส้นทางเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงเส้นทางบินไปยังนครลอสแองเจลิสของสหรัฐฯ และเส้นทางสู่กรุงโรม เมืองหลวงของอิตาลี ที่มีต้นทุนการให้บริการสูงถึง “ปีละ 100 ล้านบาท”
      
       โดยการยกเลิกให้บริการตามมาตรการดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคมปีนี้เป็นต้นไป และจะมีผลให้ศักยภาพในการให้บริการของการบินไทยหายไปอีกราว 5 เปอร์เซ็นต์
      
       รายงานข่าวล่าสุดที่ปรากฏในสื่อต่างประเทศระบุว่า หากมาตรการตัดลดค่าใช้จ่ายดังที่กล่าวมาทั้งหมดของการบินไทยสามารถดำเนินไปตามแผน จะส่งผลให้ศักยภาพในการให้บริการของการบินไทยหายไปไม่น้อยกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ภายในช่วงกลางปีนี้ แต่นั่นก็จะช่วยให้สายการบินแห่งชาติของไทยสามารถตัดลดค่าใช้จ่ายภายในของตนได้สูงถึง 9 พันล้านบาทในปี 2015 นี้ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับแผนปฏิรูปองค์กร
      
       อย่างไรก็ดี การประกาศเลิกให้บริการเที่ยวบินไปยังนครลอสแองเจลิสล่าสุด จะส่งผลให้การบินไทยไม่เหลือเที่ยวบินที่ให้บริการในเส้นทางสู่สหรัฐอเมริกาเลยแม้แต่เที่ยวบินเดียว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ในปี 2008 การบินไทยได้ประกาศเลิกให้บริการเที่ยวบินมายังมหานครนิวยอร์กไปแล้ว โดยอ้างเหตุผลเดียวกัน คือ การขาดทุน
      
       รายงานข่าวระบุด้วยว่า การบินไทยเตรียมลดจำนวนเที่ยวบิน (แต่ยังไม่เลิกให้บริการ) ในเส้นทางสู่นครกัลกัตตาของอินเดีย และจะมีการโอนย้ายการให้บริการใน 3เส้นทาง คือ เส้นทางสู่เมืองไฮเดอราบัดของอินเดีย , เมืองฉางซาของจีน และหลวงพระบางของลาว ไปให้กับสายการบินในเครืออย่าง “ไทยสไมล์” ให้เป็นผู้ให้บริการในเส้นทางเหล่านี้แทน
      
       ทั้งนี้ มีข้อมูลว่า ในปัจจุบัน การบินไทยได้เปิดให้บริการในอีกกว่า 50 เส้นทางทั่วโลก ซึ่งเส้นทางเหล่านี้ต่างประสบภาวะขาดทุน หรือทำรายได้ต่ำ ซึ่งอาจต้องมีการพิจารณาลด-เลิกให้บริการในอนาคต
สื่อนอกประโคมข่าว การบินไทยอาการร่อแร่ต้องปฏิรูปใหญ่ จ่อ  “ปลดพนง.นับพัน-เลิกบินไปUSA-ขายเครื่องบินทิ้ง”
       
สื่อนอกประโคมข่าว การบินไทยอาการร่อแร่ต้องปฏิรูปใหญ่ จ่อ  “ปลดพนง.นับพัน-เลิกบินไปUSA-ขายเครื่องบินทิ้ง”
       
สื่อนอกประโคมข่าว การบินไทยอาการร่อแร่ต้องปฏิรูปใหญ่ จ่อ  “ปลดพนง.นับพัน-เลิกบินไปUSA-ขายเครื่องบินทิ้ง”
       
สื่อนอกประโคมข่าว การบินไทยอาการร่อแร่ต้องปฏิรูปใหญ่ จ่อ  “ปลดพนง.นับพัน-เลิกบินไปUSA-ขายเครื่องบินทิ้ง”
       
สื่อนอกประโคมข่าว การบินไทยอาการร่อแร่ต้องปฏิรูปใหญ่ จ่อ  “ปลดพนง.นับพัน-เลิกบินไปUSA-ขายเครื่องบินทิ้ง”
       
สื่อนอกประโคมข่าว การบินไทยอาการร่อแร่ต้องปฏิรูปใหญ่ จ่อ  “ปลดพนง.นับพัน-เลิกบินไปUSA-ขายเครื่องบินทิ้ง”

ปฏิรูปแผ่วปลาย แนะคสช.กระทุ้ง 2กมธ.รอสับรธน.

ปฏิรูปแผ่วปลาย แนะคสช.กระทุ้ง 2กมธ.รอสับรธน.
กมธ.กฎหมาย-การเมือง จับมือชำแหละร่าง รธน. จับตาหลัง 13 ส.ค. ขึงพืดปมร้อนหมวดการเมืองรายมาตราจุดชี้ขาดผ่าน-ไม่ผ่าน "สุริยะใส" ชี้ปฏิรูปเริ่มแผ่วปลาย แนะ คสช.-ครม.เร่งสร้างแรงส่งก่อนประชาชนหมดหวังกว่านี้ "อภิสิทธิ์" ขานรับแนวทางสร้างความปรองดองของ สปช. เชื่อทุกฝ่ายเห็นด้วยที่จะให้เดินหน้า
เมื่อวันอาทิตย์ นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของสมาชิก สปช.ต่อร่างรัฐธรรมนูญว่า งานปฏิรูปประเทศของ 18 คณะกรรมาธิการ เริ่มจะงวดเข้ามาทุกที คงจะเสร็จสิ้นไม่เกินวันที่ 10 ส.ค.นี้ กรรมาธิการบางคณะก็เสนองานปฏิรูปต่อที่ประชุม สปช.เสร็จไปแล้ว จึงเหลือในส่วนของคณะอื่นๆ ไม่มาก ดังนั้น สมาชิก สปช.ในหลาย กมธ.เตรียมมาติดตามศึกษาต่อเนื้อหาของรัฐธรรมนูญที่จะเสนอต่อสภาปฏิรูปฯ ในวันที่ 22 ส.ค.นี้ เรียกได้ว่าสถานการณ์ในขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเตรียมการศึกษาประสานแนวร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแต่ละกลุ่มแต่ละคณะ
นายวันชัยบอกว่า กลุ่มปฏิรูปทางการเมืองและกลุ่มปฏิรูปกฎหมายฯ ได้มีการเตรียมการวางแผนเป็นหัวหอกในการศึกษาและพิจารณาประเด็นต่างๆ ในรัฐธรรมนูญอย่างใกล้ชิด ได้มีการประสานแลกเปลี่ยนข้อมูลกับสมาชิก สปช.กลุ่มต่างๆ ทั้งรายกลุ่มและรายบุคคลอยู่ตลอดเวลา เช่น กลุ่ม สปช.จังหวัด, กลุ่ม สปช.สายอดีตข้าราชการทั้งพลเรือน ทหาร, กลุ่ม สปช.สายนักวิชาการ สายเอ็นจีโอ และกลุ่ม สปช.ที่เคยเคลื่อนไหวทางการเมืองมาก่อน ได้มีการปรึกษาหารือผ่านแกนแต่ละกลุ่มอยู่อย่างต่อเนื่อง พร้อมที่จะเคลื่อนไหวไปในแนวทางเดียวกันที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน
"จึงเชื่อว่าหลังเสร็จภารกิจเรื่องงานปฏิรูปประเทศ และแถลงการปฏิรูปประเทศต่อประชาชนของ สปช.ในวันที่ 13 ส.ค.แล้ว คงจะมีการเคลื่อนไหวในเรื่องรัฐธรรมนูญ มีการถกแถลงกันแรงขึ้น นอกจากนี้ยังมีประเด็นสำคัญที่ต้องร่วมพิจารณา เพราะเป็นข้อเรียกร้องของประชาชนจนนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นั่นก็คือจะต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง และวันนี้จนกระทั่งที่จะมีการโหวตให้รัฐธรรมนูญผ่านนำไปสู่การเลือกตั้งได้มีการปฏิรูปประเทศเสร็จสิ้นแล้วหรือยัง หรือจะปล่อยให้มีการเลือกตั้งแล้วค่อยไปปฏิรูป จะเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่กลุ่มต่างๆ จะนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจของสมาชิกควบคู่ไปกับการโหวตรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญ"
นายวันชัยกล่าวอีกว่า เบื้องต้นเกือบจะทุกกลุ่มทุกฝ่ายมีความเห็นว่าหมวดที่ว่าด้วยเรื่องการเมืองนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าตัวการเมือง นักการเมืองดีเสียแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างตามร่างรัฐธรรมนูญก็คงจะดีไปหมด ถ้านักการเมืองไม่ได้เรื่อง ไม่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็คงจะบิดเบี้ยวไปหมด จึงต้องพิจารณาประเด็นนี้กันอย่างละเอียดรอบคอบ ไล่เรียงกันอย่างถี่ยิบ จุดดีจุดเด่นจุดด้อย เอามาเปรียบเทียบกันในแบบขึงพืดให้เห็นกันอย่างชัดเจน เฉพาะประเด็นที่มาของนายกรัฐมนตรี การเลือกตั้ง ส.ส.แบบสัดส่วนผสม และที่มา ส.ว.ก็วิพากษ์วิจารณ์กัน จะผ่านหรือไม่ผ่านก็อยู่ตรงประเด็นนี้ มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกันอย่างมากมาย แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากร่างเดิมเลย และก็ไม่มั่นใจว่าจะแก้ปัญหาของประเทศได้เฉพาะ 2-3 เรื่องนี้ก็น่าคิดแล้ว ถ้าวิเคราะห์เจาะลึกเข้าไปละเอียดทุกมาตราผสมกับเรื่องที่ว่านี้แล้วก็ยิ่งจะไปกันใหญ่ ยิ่งใกล้วันส่งรัฐธรรมนูญและใกล้วันโหวต ผมก็พลอยวิตกกังวลไปกับกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญด้วยเหมือนกัน" นายวันชัยกล่าว
ขณะที่นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ ผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) กล่าวว่า เส้นทางเดินปฏิรูปประเทศเริ่มแผ่วปลายความหวังของผู้คนเริ่มริบหรี่ และมืดมนมากขึ้นโดยอาจมีสาเหตุมาจากแรงต้านจากกลุ่มที่เสียอำนาจ ความไม่เป็นเอกภาพใน สปช. และท่าทีที่แผ่วเบาจาก คสช-ครม. ทั้งที่เรื่องปฏิรูปประเทศไทยถือเป็นสัญญาประชาคมระหว่างประชาชนกับรัฐบาลชุดนี้ ปฏิรูปกลายเป็นวาทกรรมที่พูดกันมากที่สุด พูดกันได้ทุกๆ วันตลอดปีกว่าๆ ที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีผลิตผลชัดเจนเป็นรูปธรรม เพราะยังหาทิศทางร่วมและสังคมยังไม่ตกผลึกเพียงพอร่วมกัน แต่ก็มีไม่น้อยที่เอาวาทกรรมปฏิรูปประเทศไปเป็นเพียงเกมการเมืองและสร้างภาพพจน์ให้ตัวเองดูดีเท่านั้น
"ความกลวงของการปฏิรูปกว่า 1 ปีที่ผ่านมา จึงเหลือสถานะกลายเป็นแค่สีสันทางการเมือง ยังไม่มีสัญญาณบวกที่จะทำให้สังคมเชื่อมั่นและมีความหวังใดๆ ได้ว่าประเทศไทยจะเดินหน้าสู่การปฏิรูปจะไม่กลับไปอยู่ในวังวนของการเมืองที่แตกแยกและล้มเหลวแบบที่ผ่านๆ มา ฉะนั้นฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือ สปช.และ คสช. จะต้องตระหนักและต่อลมหายใจการปฏิรูปให้มีแรงส่งกลับขึ้นมาอีกรอบ โดยเฉพาะ สปช.ช่วงเวลาที่เหลือเดือนกว่าๆ ควรเร่งหาจุดร่วมลงตัวว่าจะผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่อย่างไร ซึ่งควรได้ข้อยุติก่อนถึงวันโหวต ไม่ใช่ต่างคนต่างคิดและเริ่มมีเกมการเมืองเข้ามาปะปน" นายสุริยะใสกล่าว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงรายงานของคณะกรรมการศึกษาแนวทางสร้างความปรองดอง สปช. ที่นำเสนอต่อ สปช.และรัฐบาลว่า จากที่ติดตามเห็นว่าการทำงานละเอียดมากขึ้น เวลาพูดถึงเรื่องการจะอภัยโทษหรือนิรโทษกรรม จะมีการแยกแยะคดีความผิดต่างๆ ชัดเจนขึ้น ซึ่งถือว่าดีกว่าการพูดในลักษณะรวมๆ โดยเฉพาะในส่วนของประชาชนที่ไปร่วมชุมนุมและไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่น ไม่มีเรื่องทุจริต ไม่มีคดีอาญาร้ายแรง คิดว่าทุกฝ่ายน่าจะเห็นด้วยที่จะให้เดินหน้า ส่วนกรณีอื่นๆ ในรายงานระบุว่าจะต้องมีกระบวนการและระยะเวลาก่อนที่จะได้ข้อยุติอีกครั้ง ดังนั้นเห็นว่าเป็นแนวทางที่มีความเป็นไปได้มากขึ้นและมีโอกาสได้รับการยอมรับมากขึ้น
“ผมเห็นว่าขั้นตอนแรกเดินได้ ส่วนขั้นตอนที่สองจะต้องไปขึ้นอยู่กับแนวทางตรงนั้นว่าจะเป็นอย่างไร แต่ในหลักการที่ให้ผ่านกระบวนการยุติธรรม เป็นแนวทางที่ผมสนับสนุน” นายอภสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สปช.มีอำนาจแค่ให้ข้อเสนอแนะ แต่การขับเคลื่อนอยู่ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มากกว่า ซึ่งหากเป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายยอมรับและเห็นพ้องให้ผลักดันเป็นกฎหมาย จะต้องทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ บังคับใช้ได้ ไม่ใช่เหมือนในอดีตที่มีกฎหมาย แต่รัฐบาลไม่ดำเนินการตาม เช่น กองทุนการออมและหลักประกันของความต่อเนื่องที่ดีที่สุดคือแรงผลักดันจากสังคมจะเป็นหลักประกันที่ดีที่สุด” นายอภิสิทธิ์กล่าว
พล.อ.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เสนาธิการทหารบก ในฐานะรองเลขาธิการ คสช. กล่าวถึงกรณีการเผยแพร่เอกสารราชการ ที่ทำการชุดประสานงานประจำพื้นที่กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 12 รักษาพระองค์ (ป.พัน.12 รอ.) เขตลาดกระบัง กทม. ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2558 เรื่องไม่อนุญาตให้มีการจัดการเลือกตั้งคณะกรรมการหมู่บ้าน โดยระบุถึงคณะกรรมการนิติบุคคลหมู่บ้านพูนสินธานี 1 ว่า ประเด็นดังกล่าวต้องสอบถาม พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะหัวหน้าฝ่ายฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คสช. เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ซึ่งตนเข้าใจว่ามันมีประกาศ คสช.เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวกำกับอยู่แล้ว คิดว่าถ้ามีประกาศ คสช.เราก็ต้องดำเนินการไปตามนั้น ถ้าไม่ใช่นั้นก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เพราะบ้านเมืองก็จะไม่มีกฎหมายและกติกาคอยกำกับ
"การเลือกตั้งดังกล่าวถือเป็นกิจกรรมทางการเมืองหรือไม่นั้น ผมไม่แน่ใจ ต้องไปตรวจสอบดูว่าเกี่ยวข้องหรือไม่ แต่คิดว่ามีบางอย่างพอให้ได้ เราก็ให้ บางอย่างให้ไม่ได้ ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งนี้ ผมก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งตามประกาศ คสช. ที่ประกาศออกมาบังคับใช้ ส่วนจะทำได้หรือไม่ได้ เป็นหน้าที่ของฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเป็นผู้วิเคราะห์ และมีคณะทำงาน ผมจะไปดูรายละเอียดให้ว่าการเลือกตั้งกรรมการหมู่บ้าน ในสถานะนิติบุคคลกระทำได้หรือไม่ ต้องขอไปตรวจสอบรายละเอียดให้อีกที" พล.อ.ฉัตรเฉลิมกล่าว.


โพลชี้ ปชช.ส่วนใหญ่เห็นด้วย แนวคิด 'รัฐบาลแห่งชาติ' โดยเฉพาะภาคใต้

โพลชี้ ปชช.ส่วนใหญ่เห็นด้วย แนวคิด 'รัฐบาลแห่งชาติ' โดยเฉพาะภาคใต้

by Wiroon Pleejun25 กรกฎาคม 2558 เวลา 08:12 น.
กรุงเทพโพลล์ เผยประชาชนร้อยละ 56.3 เห็นด้วยกับแนวคิด 'การจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ' เพราะทุกอย่างยังไม่พร้อม ความขัดแย้งอาจจะเกิดขึ้นอีก หากจัดให้มีการเลือกตั้งในทันที พบคนภาคใต้ กว่าร้อยละ 62.1 สนับสนุนเรื่องนี้มากที่สุด
กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ  ได้สำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “แนวคิด การจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ” โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,117 คน 
พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 56.3 เห็นด้วยกับแนวคิด “การจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ” มาสานต่อรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์  เพื่อการปฏิรูปและสร้างความปรองดอง เพราะทุกอย่างยังไม่พร้อม ความขัดแย้งอาจจะเกิดขึ้นอีก หากจัดให้มีการเลือกตั้งในทันที ขณะที่ร้อยละ 35.5 ไม่เห็นด้วย  เพราะ เห็นว่าเลือกตั้งเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งได้  ที่เหลือร้อยละ 8.2 ไม่แน่ใจ เมื่อแยกพิจารณาเป็นรายภูมิภาคทั่วประเทศพบว่า
ภาคใต้เป็นภาคที่ประชาชนเห็นด้วยกับการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 62.1 ขณะที่ร้อยละ 31.1 ไม่เห็นด้วย  ที่เหลือร้อยละ 6.8 ไม่แน่ใจ
ภาคกลางมีประชาชนเห็นด้วยกับการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติคิดเป็นร้อยละ 60.6 ขณะที่ร้อยละ 26.5 ไม่เห็นด้วย   ที่เหลือร้อยละ 12.9 ไม่แน่ใจ
ภาคตะวันออกมีประชาชนเห็นด้วยกับการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติคิดเป็นร้อยละ 59.8 ขณะที่ร้อยละ 35.5 ไม่เห็นด้วย ที่เหลือร้อยละ 4.7 ไม่แน่ใจ
กรุงเทพมหานครมีประชาชนเห็นด้วยกับการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติคิดเป็นร้อยละ 55.7 ขณะที่ร้อยละ 36.5 ไม่เห็นด้วย ที่เหลือร้อยละ 7.8 ไม่แน่ใจ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีประชาชนเห็นด้วยกับการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติคิดเป็นร้อยละ 53.9 ขณะที่ร้อยละ 35.7 ไม่เห็นด้วย ที่เหลือร้อยละ 10.4 ไม่แน่ใจ
ภาคเหนือมีประชาชนเห็นด้วยกับการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติคิดเป็นร้อยละ 53.6 ขณะที่ร้อยละ 40.5 ไม่เห็นด้วย ที่เหลือร้อยละ 5.9 ไม่แน่ใจ
ปริมณฑลมีประชาชนเห็นด้วยกับการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติน้อยที่สุดคิดเป็นร้อยละ 50.0 ขณะที่ร้อยละ 46.2 ไม่เห็นด้วย ที่เหลือร้อยละ 3.8 ไม่แน่ใจ
โดยมีรายละเอียดตามประเด็นข้อคำถาม ดังต่อไปนี้
1. ข้อคำถาม “เห็นด้วยหรือไม่กับแนวคิด “การจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ” มาสานต่อรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์  เพื่อการปฏิรูปและสร้างความปรองดอง”
เห็นด้วย เพราะ ทุกอย่างยังไม่พร้อม ความขัดแย้งอาจจะเกิดขึ้นอีก หากจัดให้มีการเลือกตั้งในทันที ร้อยละ56.3
ไม่เห็นด้วย  เพราะ เห็นว่าเลือกตั้งเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ร้อยละ35.5 ไม่แน่ใจร้อยละ8.2
เมื่อแยกพิจารณาเป็นแต่ละภาค พบว่า


ทหารพรึบ-รถหุ้มเกราะโผล่-ลวดหนามกั้น เวทีรับฟังความเห็นโรงไฟฟ้าเทพาครั้งสุดท้ายห้ามคนต้านเข้าร่วม

ทหารพรึบ-รถหุ้มเกราะโผล่-ลวดหนามกั้น เวทีรับฟังความเห็นโรงไฟฟ้าเทพาครั้งสุดท้ายห้ามคนต้านเข้าร่วม “ผวจ.สงขลา” ยืนยัน โรงไฟฟ้า-ท่าเรือขนส่งถ่านหิน คือความภาคภูมิใจ
----------------------------------------------------------
บรรยากาศการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นเพื่อทบทวนร่างรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพครั้งสุดท้าย (ค3) โครงการโรงไฟฟ้าเทพา จ.สงขลา ขนาด 2,200 เมกะวัตต์ ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา ณ อบต.ปากบาง เป็นไปอย่างตึงเครียด ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด
บริเวณโดยรอบ อบต.ปากบาง มีการกั้นลวดหนามหนาแน่นป้องกันไม่ให้ชาวบ้านที่คัดค้านโรงไฟฟ้าเข้ามาในพื้นที่ และมีการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารกว่า 1,500 นาย ดูแลความสงบเรียบร้อย ขณะที่ด้านนอกปิดช่องทางจราจรบนถนนสายหลักเส้นทางปัตตานี-หาดใหญ่ เหลือเพียงช่องทางเดียว และพบรถหุ้มเกราะและรถฮัมวี่วิ่งวนอยู่ตลอดเวลา
ด้านใน อบต.ปากบาง มีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) และอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) อีกกว่า 500 นาย คอยสังเกตการณ์ โดยเวทีเริ่มตั้งแต่ 8.00 น เจ้าหน้าที่ได้แจกบัตรคิวให้ผู้ที่ลงทะเบียนไว้จำนวน 60 คน อนุญาตให้พูดได้คนละ 5 นาที ซึ่งความเห็นส่วนใหญ่ชื่นชมและเห็นด้วยกับการสร้างโรงไฟฟ้า ขณะที่ชาวบ้านที่คัดค้านประมาณ 50 ราย ถือธงและป้ายคัดค้านโครงการอยู่ด้านนอก
นายธำรงค์ เจริญกุล ผวจ.สงขลา ในฐานะประธานการจัดเวที ค3 กล่าวต่อที่ประชุมว่า ตั้งแต่ กฟผ.มีโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ทำให้คนเทพากลายเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ ซึ่งสร้างความภูมิใจให้กับคนเทพา และคนเทพาจะได้เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าและท่าเรือขนส่งถ่านหินที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ในฐานะที่จ่ายภาษีให้กับประเทศ
“วันนี้เป็นวันที่เราเพียงมารับรู้ รับทราบ รับฟัง สอบถามข้อข้องใจจากผู้เชี่ยวชาญที่ กฟผ.จ้างมา ว่าเขาคิดอย่างไร และอยากจะแก้ปัญหาอย่างไร ผมขอยืนยันว่าในทางราชการไม่มีคำสั่งไม่ให้คนที่เห็นต่างมาร่วมรับฟัง และ อ.เทพา เป็นพื้นที่ความมั่นคง จึงสามารถใช้คำสั่ง (กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ได้” นายธำรงค์ กล่าว
ขณะที่ชาวบ้านในนามเครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาถ่านหิน ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนคัดค้านการจัดเวที ค3 ในครั้งนี้ พร้อมทั้งเรียกร้องใน 6 ประเด็น ประกอบด้วย 1.ให้ ผวจ.สงขลา ยกเลิกเป็นประธานการประชุมเพื่อความโปร่งใส 2.ผวจ.สงขลา ต้องชี้แจงการออกคำสั่งกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกล่าวหาผู้เห็นต่างว่าเป็นผู้ก่อความไม่สงบเรียบร้อย
3.ทบทวนการจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นใหม่ตั้งแต่ต้น 4.ขอประณามการจัดเวที ค1 และ ค2 ของบริษัทเอกชนแห่งนี้เพราะใช้วิธีสกปรกด้วยการให้ประชาชนลงชื่อเพื่อรับข้าวสารฟรี 5.ขอให้รัฐบาลเปิดใจรับฟังข้อมูลจากประชาชน ยืนยันว่าหากไม่สร้างโรงไฟฟ้าเทพาและกระบี่ ประเทศก็ยังมีไฟฟ้าเพียงพอ 6.ประชาชนสงขลา-ปัตตานี อยู่ท่ามกลางความทุกข์จากเหตุการณ์ความไม่สงบก็หนักพอแล้ว แต่ กฟผ.กลับสร้างความแตกแยกเพิ่ม และภาครัฐใช้อำนาจข่มขู่รังแกประชาชน ซึ่งทำให้ผิดหวังมาก
อนึ่ง โรงไฟฟ้าเทพา จ.สงขลา มีขนาด 2,200 เมกะวัตต์ ใหญ่กว่าโรงไฟฟ้ากระบี่ (ขนาด 800 เมกะวัตต์) อยู่เกือบ 3 เท่า และใช้เวลาจัดทำกระบวนการรับฟังความคิดเห็นเพียง 8 เดือนเท่านั้น
ทั้งนี้ ในวันที่ 28 ก.ค.นี้ จะมีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นการจัดสร้างท่าเรือขนส่งถ่านหิน (ค3) ในเวลาเดียวกัน
///////////////

"หม่อมปลื้ม"เตือนพี่ๆลุงๆ"บ้านเลขที่111-109"อย่าเคลิ้มร่วมสังฆกรรม"รบ.แห่งชาติ"




http://www.matichon.co.th/online/2015/07/14379753281437975907l.jpg

เมื่อวันที่ 26ก.ค. ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล บุตรชาย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวM.l. Nattakorn Devakula ถึงกระแสข่าวสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) จำนวนหนึ่ง ที่มีแนวคิดตั้ง "รัฐบาลแห่งชาติ" ให้เกิดเป็นรูปธรรม โดยเชื่อว่า หากบรรลุผลการมีรัฐบาลเฉพาะกิจที่คู่ขัดแย้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องยอมรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนกลางนั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐบาลแห่งชาติจะเป็นกลไกเฉพาะหน้า เชื่อมช่วงเปลี่ยนผ่านจากยุค คสช.สู่การเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการแก้ไขปัญหาขัดแย้ง

โดย ม.ล.ณัฏฐกรณ์ ให้ความเห็นว่า "คำเตือนที่ผมมีให้กับพี่พี่ลุงลุง 111 เเละ 109 ทุกคนที่ผมรู้จัก อย่าไปเข้าร่วมรบ.เเห่งชาติบ้าบอ คุณเพียงเเค่จะช่วยฟอกให้เผด็จการดูดีขึ้น ผลงานของคุณทุกๆ คนในอดีตในสมัยรัฐบาลไทยรักไทยเเละพลังประชาชนนั้น ดีเพียงพอสำหรับจะเป็นที่จดจำของประชาชนอยู่เเล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเสียชื่อกับการเข้าร่วมสังฆกรรมในรอบนี้"

และว่า "เขาจะโยนปัญหาให้คุณเเล้วเสร็จเเล้วเขาก็จะลอยตัวเหนือมัน ฝากไปบอกทุกคนที่ผมเคยได้มีโอกาสรู้จัก เเละเคารพในช่วงหลายปีที่ผ่านมาว่า เขาจะใช้คนไปเรื่อยๆ เเล้วยืดอำนาจให้กับตนเอง นั่นคือคอนเซ็ปต์ ถ้าคุณเข้าใจว่าผมหมายความว่าอย่างไร"

"สมเด็จพระบรมฯ"ทรงเปิด อุทยานราชภักดิ์ กย.นี้

ผบ.ทบ.เผยกราบบังคมทูลเชิญ "สมเด็จพระบรมฯ"ทรงเปิด อุทยานราชภักดิ์ กย.นี้ เผย "นายกฯบิ๊กตู่" จะมาทำพิธี เทวาภิเศก 18 สค. ระบุ "พระองค์ภา" จะทรงจัดแข่งจักรยาน ที่อุทยานนี้ พร้อมจัดงานสมโภชน์ รับบริจาค ยอมรับขาดเงินอีกราว 200 ล้านบาท เตรียมเสนอ ครม.อนุมัติงบฯดูแลระยะยาว ถือเป็น สมบัติแผ่นดิน/ เผย ซ่อมแซม "พระนารายณ์มหาราช"ที่แตกร้าว ตอนเคลื่อนย้าย 7 วัน/ จัดตาราง บิ๊กๆทบ.ทำพิธีอัญเชิญ แต่ละพระองค์ ขึ้นแท่นประดิษฐาน28กค, 4-7 สค.นึ้ แคนดิเดท ผบทบ.ร่วมงาน พลเอกปรีชา อัญเชิญ พระนเรศวร 28กค. พลเอกธีรชัย อัญเชิญ ร.5 วันที่7 สค.
พล.อ.อุดมเดช" ผบ.ทบ. ใช้ฤกษ์09.39น.ประดิษฐาน “พ่อขุนรามคำแหง” ณ อุทธยานราชภักดิ์ รอซ่อม “พระนเรศวร” 7 วัน ทยอยขึ้นจนครบ 7พระองค์ 7 ส.ค.นี้
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานในพิธีอัญเชิญประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ พ่อขุนรามคำแหง ณ อุทยานราชภักดิ์ หัวหิน ประจวบฯ พร้อมด้วยพล.อ.อักษรา เกิดผล ประธานที่ปรึกษากองทัพบก พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก และนายทหารชั้นผู้ใหญ่
โดยมีพิธีเจริญพระพุทธมนต์พระสงฆ์จำนวน10รูปและพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพกษัตริย์
โดย พล.อ.อุดมเดช ใช้ฤกษ์เวลา 09.39 น. ทำพิธีอัญเชิญประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช บนแท่นฐานอุทยานราชภักดิ์
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า การอัญเชิญประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์จะครบทั้ง 7 พระองค์สมบูรณ์ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ส่วนหนึ่งต้องรอซ่อมแซมพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งจะต้องอัญเชิญประดิษฐานเป็นองค์ที่3 ที่เสียหายจากการเคลื่อนย้ายเป็นเวลา 7 วัน
สำหรับความคืบหน้าในการก่อสร้างขณะนี้เสร็จประมาณ 70-80% แล้ว และต้องเร่งดำเนินการก่อสร้างให้เรียบร้อยภายใน1เดือนครึ่งนับจากวันนี้
ในวันที่ 19 ส.ค. ผมได้เรียนเชิญ พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี มาทำพิธีเทวาภิเษก ซึ่งได้เรียนให้ท่านทราบด้วยวาจาไปแล้ว
นอกจากนี้ยังทำหนังสือกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมกุฎราชกุมารฯจะทรงเสด็จมาเปิดในปลายเดือนกันยายนนี้ ซึ่งทุกอย่างต้องเสร็จสมบูรณ์ ยกเว้นในส่วนของห้องพระราชประวัติหรือพิพิธภัณฑ์ ซึ่งขณะนี้เหลือเพียงการตกแต่งให้สมบูรณ์ภายในสิ้นปี 2558 ถือเป็นห้องที่ร้อยเรียงประวัติศาสตร์ชาติไทย มีองค์พระมหากษัตริย์เป็นหลักทุกยุคทุกสมัยตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ พร้อมทั้งพระราชประวัติขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถฯและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์
พล.อ.อุดมเดช กล่าวต่อว่า ตนได้รับมอบเงินสมทบทุนการตัดสร้างอุทธยานราชภักดิ์ จากผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 2,200,000บาท โดยเป็นเงินที่ได้จากการจัดงานกุศล
"ยอมรับว่ามีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณอีกพอสมควร เพราะงบประมาณก่อสร้างทั้งหมดอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท ขณะนี้ขาดอีกเกือบ 200 ล้านบาท"ผบทบ. กล่าว
นอกจากนี้ พระเจ้าหลานเธอพระองเจ้าพัชรกิติยาภาฯ ทรงเมตตาจัดการแข่งขันปั่นจักรยานกว่า 100กิโลเมตร ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และพระองค์ท่านจะทรงปั่นจักรยาน30กิโลเมตร มาจบที่อุทยานราชภักดิ์พร้อมทั้งพระราชทานถ้วยรางวัลให้กับผู้ชนะเลิศ
นอกจากนี้ในเย็นวันเดียวกันจะจัดคอนเสริ์ตในพื้นที่ชายหาดโรงแรมสวนสนเพื่อเปิดให้ประชาชนได้สมทบทุนสร้างอุทยานราชภักดิ์
พลเอก อุดมเดช เผยว่า ผมเตรียมที่จะขอรัฐบาลสนับสนุนจัดงบประมาณประจำปีในการดูแลรักษาอุทธยานราชภักดิ์ในระยะยาว หลังจากที่รัฐบาลได้สมทบเงินมาแล้วส่วนหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องรอความชัดเจนจากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่จะเห็นสมควร เพราะถือเป็นสมบัติของแผ่นดินที่ต้องดูแล
อย่างไรก็ตามการดำเนินการเน้นแบบเรียบง่าย ดูแลรักษาง่าย ไม่เน้นสีสัน ที่คงไว้ซึ่งความภาคภูมิใจให้คนไทยและต่างประเทศได้รู้ถึงพระมหากรุณาธิคุณของบูรพกษัตริย์แห่งสยามที่ได้ปกปักษ์รักษานำชาติบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข เจริญงอกงามจนถึงปัจจุบัน
ในวันอังคาร ที่28ก.ค.พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานพิธีอัญเชิญประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในวันที่ 3 ส.ค.
พล.อ.อักษรา เกิดผล ประธานที่ปรึกษากองทัพบก เป็นประธานพิธีอัญเชิญประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในวันที่ 4 ส.ค.
พล.อ.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เสนาธิการทหาร เป็นประธานพิธีอัญเชิญประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในวันที่ 5 ส.ค.
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานพิธีอัญเชิญประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในวันที่ 6 ส.ค.
พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานพิธีอัญเชิญประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช ในวันที่ 7 ส.ค.
พล.อ.วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก เป็นประธานพิธีอัญเชิญประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้กองทัพบกจัดสร้าง"พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบูรพกษัตริย์แห่งสยาม" พร้อมจัดสร้างอุทยานประวัติศาสตร์พระราชทานชื่อว่า “อุทยานราชภักดิ์" ซึ่งเป็นอุทยานที่สร้างขึ้นด้วยความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และเพื่อเป็นการเทิดทูนและประกาศเกียรติคุณสมเด็จพระมหากษัตริย์แห่งสยาม 7 พระองค์ ซึ่งทุกพระองค์ล้วนทรงสร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ต่อประเทศชาติ โดยได้ดำเนินการจัดสร้าง อุทยานราชภักดิ์ ภายในพื้นที่ของกองทัพบก อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยใช้พื้นที่222ไร่


จาตุรนต์:ปรับครม.ไม่แก้ปัญหา

ปรับครม.ไม่แก้ปัญหา
ข้อเสนอให้มีการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติจะเป็นการโยนหินถามทางหรือเกิดจากความคิดที่อยากให้เกิดขึ้นจริงๆก็ไม่ทราบ
แต่การที่ผลโพลล์ปรากฏว่ามีเสียงสนับสนุนอยู่มากนั้นสะท้อนว่าคนจำนวนมากเห็นว่า รัฐบาลทำงานไม่ได้อย่างที่เคยคาดหวังเสียแล้ว จึงอยากให้มีการปรับครม.เสียใหม่
นอกจากนั้นก็อาจจะเกิดจากความรู้สึกว่ารัฐบาลนี้ประกอบด้วยบุคคลในวงที่จำกัด รัฐบาลแห่งชาติย่อมประกอบด้วยคนหลายฝ่ายมากกว่าและคงจะแก้ปัญหาได้ดีกว่า
แต่ถ้าอำนาจเบ็ดเสร็จยังอยู่ที่คสช. การจะไปเชิญคนจากหลายๆฝ่ายมาร่วมรัฐบาลย่อมไม่อาจเป็นไปได้ รัฐบาลแห่งชาติจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้แน่
แต่ดูเหมือนคนจำนวนไม่น้อยก็ยังฝากความหวังไว้กับการปรับครม.ที่จะมีขึ้น เหตุผลก็คงทำนองเดียกันคือ เห็นว่ารัฐบาลปัจจุบันแก้ปัญหาประเทศไม่ได้หรืออาจพูดได้ว่าล้มเหลวไม่เป็นท่าแล้ว
การปรับครม.ครั้งนี้ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้รัฐบาลแก้ปัญหาของประเทศได้
รัฐบาลนี้มีปัญหาอยู่ 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือปัญหาตัวบุคคลและอีกด้านหนึ่งคือปัญหาระบบ
ส่วนใหญ่ของครม.ประกอบด้วยบุคคลที่ไม่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในการบริหารประเทศ ไม่มีจิตสำนึกของการมีหน้าที่แก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและไม่สนใจที่จะรับฟังความเห็นของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อครม.ชุดนี้อยู่ภายใต้การนำอันเบ็ดเสร็จของพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งขาดความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ในการบริหารงานนโยบายและยังมีบุคลิกไม่ฟังใคร
โดยเฉพาะเป็นผู้ที่ทนฟังความเห็นต่างไม่ได้ด้วยแล้ว พล.อ.ประยุทธ์จึงไม่ได้รับข้อมูลความเห็นที่เป็นประโยชน์ การทำงานของครม.จึงไร้ทิศทาง ยิ่งนายกฯพูดให้ความเห็นไปเสียทุกเรื่อง รัฐมนตรีย่อมไม่กล้าพูดหรือทำอะไรที่แตกต่างไปจากที่นายกฯพูดไว้ จึงไม่มีใครกล้าที่จะริเริ่มเรื่องใดๆ ครั้นจะทำตามที่นายกฯพูดก็พบว่านายกฯพูดอะไรแบบไม่มีข้อมูลและพูดแบบเผื่อเหลือเผื่อขาดและใช้เพียงจิตสำนึกพื้นๆไปเสียเกือบทุกเรื่อง
แต่ปัญหาตัวบุคคลนี้ก็ยังไม่สำคัญเท่ากับปัญหาระบบ
พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เป็นแค่นายกฯ แต่เป็นหัวหน้าคสช.ซึ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหนืออำนาจอธิปไตยทุกฝ่ายซึ่งซ้ำเติมปัญหาบุคลิกของพล.อ.ประยุทธ์เองให้หนักหนายิ่งขึ้นไปอีก
จะว่าไปแล้วการที่ครม.ชุดนี้รวมทั้งพล.อ.ประยุทธ์เองที่ขาดคุณสมบัติคือความรู้ความสามารถและประสบการณ์แต่มาเป็นครม.กันได้ก็เพราะระบบการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และเมื่ออยู่ในระบบนี้จึงมีปัญหาการไม่มีจิตสำนึกรับใช้ประชาชนและการไม่สนใจฟังความเห็นใครๆตามมาด้วย
นอกจากนี้ การจะไปหาผู้ที่มีความรู้ความสามารถและเป็นที่ยอมรับของสังคมมาร่วมงานก็ย่อมทำได้ยากไปด้วยเพราะเป็นระบบที่ขาดความชอบธรรม
ปัญหาที่ไม่มีทางแก้ตกอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การที่รัฐบาลนี้ปกครองอยู่ได้ด้วยกำลังความรุนแรง ไม่ได้มาจากประชาชนและยังปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชน ละเมิดหลักนิติธรรมและหลักสิทธิมนุษยชน. รวมทั้งไม่ฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยไปให้สัญญากับเขาไว้ รัฐบาลนี้จึงไม่เป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ
เมื่อเศรษฐกิจของไทยเชื่อมโยงและต้องพึ่งพาต่างประเทศอยู่มากและยิ่งกำลังมีกรณีปัญหาต่างๆที่ต้องอาศัยการเจรจากับต่างประเทศในหลายๆเรื่องด้วยแล้ว ไม่ว่าจะปรับครม.อย่างไร รัฐบาลก็ไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆของประเทศได้
ทางออกของประเทศในวันนี้จึงไม่ใช่การปรับครม. แต่ต้องรีบคืนประชาธิปไตยให้ประชาชน
ปัญหาก็มีต่อไปว่าที่แม่น้ำ 5 สายกำลังทำกันอยู่กลับไม่ใช่การจะคืนประชาธิปไตยให้ประชาชน แต่กลายเป็นการสร้างระบบเผด็จการให้สืบทอดต่อเนื่องไปไม่สิ้นสุด. และภายใต้ระบบการปกครองที่พวกเขากำลังสร้างกันอยู่นี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีรัฐบาลที่สามารถแก้ปัญหาประเทศและตอบสนองความต้องการของประชาชนเกิดขึ้นได้
เรื่องของระบบที่สืบทอดอำนาจเผด็จการที่แม่น้ำ 5 สายกำลังลงหลักปักฐานกันอยู่อย่างเอาจริงเอาจังนี้ เป็นเรื่องที่เป็นปัญหาร้ายแรงของประเทศ
จนทำให้เรื่องการปรับครม.เป็นเรื่องเล็กๆที่ไม่มีสาระอะไรเลย


ปรับครม. แน่นอน...

ปรับครม. แน่นอน...
นายกฯ พูดชัดสุด วันนี้ ยัน ปรับครม.เมื่อครบ1ปีรัฐบาล ยันไม่เอานักการเมืองร่วมตอนนี้ แค่ทักทายในงานแต่งงานอย่าตีความ แจงแทน"พลเอกฉัตรชัย"ทำงานหนัก ไป อาฟริกาใต้ บิน20 ชม. ไม่พูดจะปรับรมต.ทหารออกหรือไม่ บอก ทหารโง่นักหรือไง ที่ผ่านมาทำมาจะปีหนึ่งแล้ว ไม่ใช่จะเอามืออาชีพมาแล้วจะแก้ได้ ทำยังไงกันไว้พวกมืออาชีพ ผมต้องนั่งคลี่ อยู่นี่ ออกตัวแทน พลเอกฉัตรชัย ยันปรับหมดเศรษฐกิจโดนทั้งหมด แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่เก่ง ไม่ดี หรือผิด แต่เพราะครบ1ปี แล้วปรับให้เหมาะสม ไม่ปฏิเสธ ดึง"สมคิด" เข้าร่วม ถามนักข่าวจะเสนอใครอีก แซวนักข่าวเชียร์สมคืด เพราะไปรับอะไรเขามาหรือเปล่า ขึ้นเสียง ถ้าจะเชื่อมั่น สมคิด ต้ องเชื่อมั่นผม ผมเป็นนายกฯ เป็นหัวหน้ารัฐบาล