PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

คีร์กิซสถานเผยเหตุระเบิดสถานทูตจีนเป็นคาร์บอมบ์ฆ่าตัวตาย

คีร์กิซสถานเผยเหตุระเบิดสถานทูตจีนเป็นคาร์บอมบ์ฆ่าตัวตาย
นายเซนิช ราซาคอฟ รองนายกรัฐมนตรีคีร์กิซสถาน เผยรายละเอียดเหตุระเบิดหน้าสถานเอกอัครราชทูตจีนในกรุงบิชเคก เมืองหลวงคีร์กิซสถาน วันนี้ (30 ส.ค.) เป็นการก่อเหตุคาร์บอมบ์ฆ่าตัวตาย ทำให้ผู้ก่อเหตุเสียชีวิต 1 ราย และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชาวคีร์กิซสถานซึ่งทำงานให้กับสถานทูตจีนบาดเจ็บ 3 ราย แต่ไม่มีชาวจีนได้รับบาดเจ็บ
สำนักข่าวเอเคไอเพรสของคีร์กิซสถานรายงานว่าผู้ก่อเหตุขับรถพุ่งชนแนวกั้นบริเวณทางเข้าสถานทูตจีนก่อนจะจุดชนวน และแรงระเบิดทำให้ตัวอาคารสถานทูตบางส่วนเสียหาย ขณะที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงของคีร์กิซสถานจะเร่งตรวจสอบว่ากลุ่มใดเป็นผู้ลงมือก่อเหตุในครั้งนี้
รัฐบาลคีร์กิซสถานเริ่มต้นปฏิบัติการต่อต้านก่อการร้ายตั้งแต่ปี 2558 หลังมีรายงานว่าชาวคีร์กิซสถานมากกว่า 500 คน เป็นสมาชิกของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่ารัฐอิสลาม (ไอเอส) และชายชาวคีร์กิซสถานรายหนึ่งมีส่วนร่วมในการก่อเหตุของไอเอสซึ่งบุกโจมตีสนามบินอตาเติร์กในนครอิสตันบูลของตุรกีเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 44 ราย
นอกจากนี้ ชาวจีนเคยตกเป็นเป้าโจมตีของกลุ่มก่อเหตุร้ายในคีร์กิซสถานมาก่อนแล้ว โดยเมื่อปี 2543 เจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนถูกยิงเสียชีวิต 1 รายจากการลงมือของชาวอุยกูร์ และเมื่อปี 2557 หน่วยลาดตระเวนชายแดนของคีร์กิซสถานได้ยิงสังหารชาวอุยกูร์ 11 รายซึ่งพยายามลักลอบข้ามแดนเข้ามายังคีร์กิซสถาน และผลการสอบสวนพบว่ากลุ่มดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวต่อต้านจีน ทั้งยังมีกลุ่มติดอาวุธฮิซบุตทาห์รีร์ เครือข่ายติดอาวุธชาวมุสลิมที่มีแนวคิดสุดโต่ง เกี่ยวโยงกับกลุ่มตาลีบันและกลุ่มอัล-เคดา เคลื่อนไหวอยู่ในคีร์กิซสถานด้วยเช่นกัน
รายงานข่าวระบุด้วยว่าสถานทูตสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับสถานทูตจีนในกรุงบิชเคก สั่งอพยพบุคลากรออกจากพื้นที่ชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย ขณะที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรเคยออกประกาศเตือนพลเรือนของตนให้เฝ้าระวังภัยจากการก่อการร้ายเมื่อเดินทางมายังคีร์กิซสถาน เนื่องจากมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นเป็นระยะในพื้นที่ทางใต้และตะวันตกของเมืองออชของคีร์กิซสถาน

อดีตพนักงานที่ดินผูกคอตายลาโลกหลังถูกจับกุมเผยออกโฉนดที่ดินภูเก็ต-พังงาค่ากว่า 1 หมื่นล้านผิดกฎหมาย

อดีตพนักงานที่ดินผูกคอตายลาโลกหลังถูกจับกุมเผยออกโฉนดที่ดินภูเก็ต-พังงาค่ากว่า 1 หมื่นล้านผิดกฎหมาย
อดีตพนักงานที่ดินผูกคอตายลาโลกหลังถูกจับกุมเผยออกโฉนดที่ดินภูเก็ต-พังงาค่ากว่า 1 หมื่นล้านผิดกฎหมาย
ธวัชชัย อนุกูล อายุ 66 ปี (ภาพเล็ก)อดีตเจ้าพนักงานที่ดินพังงา สาขา ท้ายเหมืองผูกคอตายในห้องสอบสวนชัน 6 กรมดีเอสไอเมื่อเช้ามืดวันที่ 30 สิงหาคม 2559 หนีคดีออกโฉนดที่ภูเก็ต-พังงาผิดกฎหมายมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท (ขอบคุณภาพจากสำนักข่าว INN)
Last updated: 30 สิงหาคม 2559 | 12:35
อดีตเจ้าพนักงานที่ดิน วัย 66 ออกโฉนดอำเภอถลางภูเก็ตและพังงาค่ากว่าหมื่นล้านผูกคอตายในห้องขังกรมดีเอสไอเหตุเครียดหนักหลังถูกจับกุม เผยบางคดีศาลพิพากษาไปแล้ว
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2559 นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้รับรายงาน จากพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ว่า มีผู้ต้องหาคดีออกเอกสารสิทธิที่ดินโดยมิชอบหลายแปลงในจังหวัดภูเก็ตและพังงา ผูกคอตาย ภายหลังถูกจับกลุ่ม เบื้องต้นทราบว่า เหตุเกิดขึ้นช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 29 สิงหาคม และเรื่องอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ
พ.ต.อ.ไพสิฐเปิดเผยว่า เมื่อช่วงเวลาประมาณ ตี นายธวัชชัย อนุกูล อายุ 66 ปี อดีตเจ้าพนักงานที่ดินพังงา สาขา ท้ายเหมือง ถูกเจ้าหน้าที่ดีเอสไอจับกุมได้เมื่อช่วงเย็น วันที่ 29 สิงหาคมที่บริเวณด้านหน้าร้านตัดผมเลขที่ 61/55ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี และนำตัวไปควบคุมที่ชั้น ของอาคารดีเอสไอ ซึ่งเป็นห้องควบคุม เพื่อรอนำตวไปฝากขังที่ศาลอาญาในวันนี้ (30 สิงหาคม)
นายธวัชชัย พยายามใช้เสื้อผูกคอตัวเอง ก่อนที่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ขณะนั้นจะเห็นและช่วยปั๊มหัวใจ และเร่งนำตัวส่งโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ระหว่างทางนายธวัชชัยยังหายใจได้ เมื่อถึงโรงพยาบาลแพทย์พยายามช่วยชีวิต ก่อนที่นายธวัชชัยจะเสียชีวิตที่โรงพยาบาลเวลาประมาณ 05.00 น.
อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเปิดเผยว่า สาเหตุที่นายธวัชชัยพยายามผูกคอตัวเองนั้น คาดว่าเกิดจากความเครียด เนื่องจากนายธวัชชัยอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการออกเอกสารโดยมิชอบในพื้นที่จ.พังงา และจ.ภูเก็ต รวมถึงบางคดีถูกศาลพิพากษาตัดสินจำคุกมาก่อนหน้านี้ด้วย   
สำหรับขั้นตอนตามกระบวนการหลังจากนี้จะมีการทำสำนวนชันสูตรพลิกศพ เนื่องจากเสียชีวิตระหว่างควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ และจะสอบถามไปทางญาติ ว่าติดใจสาเหตุการเสียชีวิตหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ห้องควบคุมมีกล้องวงจรปิด บันทึกภาพไว้
ส่วนเจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่เข้าเวร ดีเอสไอจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เรื่องการปฏิบัติหน้าที่อีกครั้ง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ได้รายงานให้พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับทราบแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้เดินทางมาที่ดีเอสไอ เพื่อทำการเก็บรวบรวมหลักฐาน ก่อนที่จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
กรมสอบสวนคดีพิเศษชี้แจงรายละเอียด
ต่อมาเวลา 11.20 น. วันที่ 30 สิงหาคม กรมสอบสวนคดีพิเศษชี้แจง กรณี ผู้ต้องหาที่อยู่ระหว่างการควบคุม เสียชีวิตระบุว่า
ด้วยส่วนควบคุมผู้ต้องหา สำนักปฏิบัติการพิเศษ ได้รายงานเหตุสำคัญ กรณี เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม เวลาประมาณ02.00 น. นายธวัชชัย อนุกูล ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาในคดีพิเศษที่ 44 / 2558 ของสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งอยู่ระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงาน ได้พยายามกระทำอัตวินิบาตกรรมและได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา
ทั้งนี้ พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าว สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม เจ้าพนักงานของศูนย์สืบสวนสะกดรอย กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้จับกุมตัวนายธวัชชัย ตามหมายจับศาลอาญาที่ 1165 / 2559 ตามฐานความผิดข้างต้น และนำส่งพนักงานสอบสวน สำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม เพื่อดำเนินคดี โดยได้นำตัวนายธวัชชัย ไปส่งควบคุมตัวระหว่างการสอบสวนที่ส่วนควบคุมผู้ต้องหาของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้รับตัวไว้เพื่อรอพนักงานสอบสวนนำตัวไปขออำนาจฝากขังที่ศาลอาญาในวันเดียวกันนี้
ปรากฏว่า ตั้งแต่รับตัวไว้ควบคุมหลังการสอบสวน เมื่อเวลาประมาณ 15.45 น. ของวันที่ 29 สิงหาคม ผู้ต้องหาแสดงอาการวิตกกังวล เครียด และมีอาการกระสับกระส่าย เจ้าหน้าที่ได้นำอาหารให้รับประทาน แต่นายธวัชชัย ฯ รับประทานได้เพียงเล็กน้อย และเดินไปมาในห้องควบคุม จากนั้นได้ล้มตัวลงนอน จนเวลาประมาณ 01.00 น. เศษ นายธวัชชัย แจ้งว่า แสงในห้องควบคุมสว่าง ทำให้นอนไม่หลับ ขอให้เจ้าหน้าที่ปิดไฟ แต่เจ้าหน้าที่อธิบายให้ทราบว่า ตามระเบียบไม่สามารถปิดไฟในห้องควบคุมได้ นายธวัชชัย จึงนอนบนที่นอน โดยใช้ผ้าคลุมบริเวณหน้า และนอนตะแคง เจ้าหน้าที่เห็นว่า นายธวัชชัย พักผ่อนแล้ว จึงตรวจตราตามปกติ
ต่อมาในเวลาประมาณ 02.00 น.เศษ เจ้าหน้าที่ได้เดินกลับมาตรวจที่หน้าห้องควบคุมอีกครั้ง เห็นว่าผู้ต้องหานั่งหันหลังพิงประตู จึงได้เคาะประตูเรียก แต่ผู้ต้องหาไม่ตอบ จึงรีบเปิดประตูเข้าไปพบว่า ผู้ต้องหาได้ใช้ถุงเท้า ผูกคอตนเองกับขอบบานพับประตูห้องควบคุม แต่ยังมีลมหายใจอยู่ เจ้าหน้าที่จึงพยายามปั๊มหัวใจช่วยชีวิต และรีบนำส่งรพ.มงกุฎวัฒนะ เพื่อให้ความช่วยเหลือขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 02.30 น. แต่ผู้ต้องหาได้เสียชีวิตลง เมื่อเวลาประมาณ 04.45 น. และเนื่องจากเป็นการเสียชีวิตในระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงานที่จะต้องมีการชันสูตรพลิกศพ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงได้แจ้งให้พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง
ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้วางมาตรการควบคุมผู้ต้องขังเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด อย่างไรก็ตาม กรมสอบสวนคดีพิเศษขอแสดงความเสียใจไปยังญาติของผู้เสียชีวิต ณ ที่นี้ด้วย
ออกโฉนดทับซ้อนอุทยานแห่งชาติค่ากว่า 1 หมื่นล้าน
รายงานข่าวเปิดเผยว่านายธวัชชัย ถูกเจ้าหน้าที่ดีเอสไอจับตามหมายจับในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ได้ ในจังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม จากกรณีทุจริตการออกโฉนดที่ดินบริเวณหาดลายัน อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต และแปลงที่ดินบริเวณเขาหน้ายักษ์ ทับซ้อนอุทยานแห่งชาติหาดท้ายเหมือง-เขาจำปี จำนวน 500 ไร่ มูลรวมกว่า 10,500 ล้านบาท

เมื่อปี 2553 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ชี้มูลวินัยร้ายแรงและอาญา นายธวัชชัย ไปแล้ว เมื่อครั้งเป็นหัวหน้าฝ่ายทะเบียน สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต กับพวก ฐานทุจริตต่อหน้าที่โดยการออกโฉนดที่ดินในพื้นที่ตำบลรัษฎา อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต จำนวนกว่า 362 ไร่

แอมเนสตี้ฯ เรียกร้องทางการไทย-ลาว ติดตามกรณีอุ้มหาย เนื่องในวันผู้สูญหายสากล

แอมเนสตี้ฯ เรียกร้องทางการไทย-ลาว ติดตามกรณีอุ้มหาย เนื่องในวันผู้สูญหายสากล
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ออกแถลงการณ์เรียกร้องทางการไทยและลาว ให้ติดตามกรณีอุ้มหายทนายสมชาย นีละไพจิตร รวมทั้งนายพอจะลี (บิลลี่) รักจงเจริญ และนายสมบัด สมพอน นักพัฒนาอาวุโสชาวลาว เนื่องในวันผู้สูญหายสากล (International Day of the Disappeared) ซึ่งตรงกับวันที่ 30 สิงหาคม ของทุกปี
แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า หลายประเทศยังคงใช้วิธีการอุ้มหายเพื่อปิดปากผู้เห็นต่าง โดยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยังคงติดตามกรณีการหายตัวไปของนาย สมบัด สมพอน นักพัฒนาอาวุโสชาวลาวที่หายตัวไปตั้งแต่ปลายปี 2555 อย่างต่อเนื่อง โดยเรียกร้องให้รัฐบาลลาวจัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อสืบหาความจริงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากการสืบสวนของตำรวจที่ผ่านมาไม่มีประสิทธิภาพ และทางการเองไม่สามารถแจ้งความคืบหน้าการสืบสวนต่อครอบครัวของสมบัดได้ นอกจากนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยังขอเรียกร้องให้ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ของสหรัฐฯ พูดถึงประเด็นดังกล่าวในการเดินทางเยือนลาวในเดือนหน้าด้วย
ในส่วนของประเทศไทยนั้น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยังคงติดตามกรณีการหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนคนสำคัญของประเทศ ที่หายตัวไปตั้งแต่ปี 2547 และกรณีของนายพอจะลี (บิลลี่) รักจงเจริญ ผู้นำกลุ่มชาวกะเหรี่ยงในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ที่หายตัวไปเมื่อปี 2557 โดยศาลฎีกาได้ยกฟ้องผู้ต้องสงสัยทั้งหมดในทั้งสองคดี
ทั้งนี้ วันผู้สูญหายสากลมีขึ้นเพื่อรำลึกถึงบุคคลที่สูญหายจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ภาวะสงคราม การปราบปรามจากรัฐ หรือการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นอยู่ในหลายประเทศ ซึ่งส่งผลให้มีผู้สูญหายและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก โดยในหลายประเทศ วิธีการบังคับบุคคลให้สูญหายหรือที่เรียกว่า “อุ้มหาย” ยังคงใช้กันอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาอำนาจรัฐและปิดปากผู้เห็นต่าง ซึ่งเป็นการกระทำที่การขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากลและกฎหมายระหว่างประเทศขั้นร้ายแรง
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องให้รัฐบาลทุกประเทศทั่วโลก สืบหาความจริงในกรณีการอุ้มหายอย่างโปร่งใสและเป็นกลาง นำตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี รวมทั้งออกกฎหมายป้องกันและปราบปรามการอุ้มหาย ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ตลอดจนชดเชยเยียวยาครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสมด้วย
(ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ)

ปัจจัยที่จะเปลี่ยนเกมในซีเรียคือตุรกีและจีน:

ปัจจัยที่จะเปลี่ยนเกมในซีเรียคือตุรกีและจีน:

cr เพจ 
ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
อาทิตย์ที่แล้ว เจอข่าวการปะทะกันระหว่างตุรกีกับกองกำลังชาวเคิร์ดที่มะกันหนุนหลังในซีเรีย โดยกองทัพตุรกีบุกเข้ามาจัดการกับกองกำลังชาวเคิร์ดที่มะกันหนุนหลังโดยตรง เละกันไปทั้ง ๒ ฝ่าย เหลืออย่างเดียวก็คือมะกันไม่ยอมเอาเครื่องบินรบ F-16 ของตนเองออกไปเผชิญหน้ากับ F-16 ของตุรกี ถ้ามะกันยอมเอาเครื่องบินรบออกรบกับตุรกีตรงๆ ไม่ใช้สงครามตัวแทน การอ่านเกมสงครามในซีเรียจะง่ายขึ้น แปลว่าตุรกีเข้าข้างรัสเซียแน่นอนแล้ว
แต่มีพัฒนาการสองอย่างตามมา ๑.เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แอร์โดกันพยายามเข้าพบโอบามาที่สหรัฐอเมริกา แต่โอบามาไม่ยอมให้พบ พยายามสร้างภาพว่าไม่ลดตัวเองลงมาคุยกับแอร์โดกัน แต่บัดนี้ โอบามาขอพบแอร์โดกันในการประชุมสุดยอด G20 ที่จีน ประมาณวันที่ ๔ หรือ ๕ กันยายนที่จะถึงนี้ ๒.ทหารระดับสูงของจีนหลายนายแสดงความเห็นว่าเรื่องสงครามในซีเรียนี้รัสเซียไม่เด็ดขาดกับฝ่ายตรงข้ามเพียงพอ ปัญหาจึงคาราคาซัง ไม่ยอมจบเสียที ไม่นานจากนั้น ก็มีข่าวว่าจีนจะส่งทหารเข้าไปร่วมรบรัสเซีย โดยทหารเหล่านี้จะไปที่อาเลปโปโดยตรงด้วย
พัฒนาการข้อที่ ๑ ทำให้ผมเดาได้ว่าตุรกีคงจะได้ไฟเขียวจากรัสเซีย อิหร่านและซีเรียให้ส่งทหารเข้ามาซีเรียอย่างไม่เป็นทางการเพื่อเก็บกองกำลังติดอาวุธชาวเคิร์ด ซึ่งเป็นเด็กมะกันโดยเฉพาะ แต่เพื่อให้เนียนหน่อย ต้องให้รัฐบาลซีเรียออกมาประท้วงพอเป็นพิธี ผมคิดเช่นนี้เพราะดูจะตื้นเขินไปหน่อยหากบอกว่าตุรกีกล้าลูบคมรัสเซีย อิหร่านและซีเรีย โดยส่งทหารบุกเข้ามาซีเรียอย่างดื้อๆ รัสเซียและอิหร่านมีประสบการณ์การรบมานาน มีหรือจะไร้เดียงสายอมให้ตุรกีทำขนาดนั้นได้
ผมจึงมองว่ารัสเซียใช้ตุรกีเป็นเครื่องมือ *ไล่* เด็กมะกันในซีเรียโดยตรง มะกันจึงต้องขอยอมเจรจา เพราะโดยธรรมดา มะกันจะไม่ยอมเจรจาถ้าตนเองได้เปรียบ ถ้าตุรกีไล่บี้กองกำลังชาวเคิร์ดจนเกลี้ยงไปตามแนวพรมแดน จีนส่งทหารเข้ามาร่วมรบกับรัสเซีย+ซีเรีย+เฮสบอเลาะห์ของอิหร่านเพิ่ม ช้าหรือเร็ว มะกันต้องลงมือทำสงครามเอง เลิกใช้กองกำลังอื่นๆ มาทำสงครามตัวแทน เกมก็จะจบเร็วขึ้น
29 สิงหาคม 2559
(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
*ถ้าจะแชร์ โปรดอ้างที่มาให้ชัดเจนและหากจะวิจารณ์ โปรดใช้คำสุภาพเพื่อป้องกันการละเมิดพรบ.คอมพิวเตอร์ โปรดสะกดใช้ภาษาให้ถูกต้องตามหลักภาษาไทย ผมพยายามลบข้อความวิจารณ์ที่หยาบและสะกดผิดออกทุกครั้งที่เห็น ในกรณีที่วิจารณ์ไม่เข้าเรื่องหรือหยาบเกินไปบ่อยๆ ผมอาจจะบล็อคไม่ให้วิจารณ์อีกนะครับ

ความเป็นไปได้ที่ ปชป.กับเพื่อไทย จะจับมือกันตั้งรัฐบาล

ความเป็นไปได้ที่ ปชป.กับเพื่อไทย  จะจับมือกันตั้งรัฐบาล
        
ความเป็นไปได้ที่ ปชป.กับเพื่อไทย  จะจับมือกันตั้งรัฐบาล
        “หนึ่งความคิด” 
       โดย “สุรวิชช์ วีรวรรณ”
       
       ตอนที่ผมเขียนต้นฉบับนี้อยู่นี้ ยังไม่รู้ว่า ประเด็นที่ สนช.กลุ่มหนึ่งดันทุรังจะให้เพิ่มเติมในรัฐธรรมนูญที่ต้องปรับตามคำถามพ่วงที่ผ่านประชามติให้ ส.ว.นอกจากสามารถโหวตเลือกนายกฯได้ในเวลา 5 ปีแล้ว ยังให้ ส.ว.สามารถเสนอชื่อนายกฯ ได้ด้วยซึ่งได้รับเสียงคัดค้านอย่างกว้างขวางเพราะไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของคำถามพ่วงจะจบลงอย่างไร แต่ผมก็เห็นเหมือนคนส่วนใหญ่ว่าไม่น่าจะทำได้ และเชื่อว่าคงจะไม่กล้าฝืนกระแส
       
        ส่วนประเด็นนายกฯ คนนอกตามบทเฉพาะกาลมาตรา 268 และ มาตรา 272 นั้นเขียนไว้ชัดเจนว่า เกิดขึ้นได้ครั้งแรกหลังการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ครั้งเดียว แต่ต้องหลังจากที่ ส.ส.และส.ว.ร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีตามรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอแล้วไม่มีใครตามบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของ 2 สภารวมกัน 750 เสียง จึงจะไปขอมติเพื่อให้มีนายกรัฐมนตรีคนนอกได้
       
        หลายคนคาดการณ์กันว่ายังไงเสียการเลือกตั้งครั้งแรกจะต้องได้นายกรัฐมนตรีคนนอกแน่ๆ เพราะการขอให้เปิดทางให้นายกรัฐมนตรีคนนอกนั้นมาจากข้อเสนอของ คสช.ถึงกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง อย่างไรเสีย ส.ว.250 เสียงซึ่งมาจากการแต่งตั้งของ คสช.จะต้องยืนกรานไม่เอาตามบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองเพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีคนนอกแน่ๆ 
       
        วิกฤตการเมืองในช่วงที่ผ่านมา นักการเมืองถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุหลักที่นำประเทศไปสู่วิกฤตกระแสสนับสนุนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่สูงก็เพราะมาจากการกระแสต่อต้านนักการเมืองนั่นเอง แม้ว่าจะมีนักการเมืองดีอยู่บ้าง แต่นักการเมืองทั้งหมดก็ตกอยู่ในสภาพปลาเน่าข้องเดียวกัน
       
        มีคนคาดกันว่า ถึงตอนนั้นจะเกิด “ฉันทมติใหญ่” จากนักการเมือง ส.ว.และกระแสสังคมร่วมกันกดดันเพื่อให้ได้นายกฯคนนอกเข้ามาบริหารประเทศ เหมือนกับยุคที่พรรคการเมืองเสนอพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี
       
        ตอนนี้ พรรคประชาชนปฏิรูปของคุณไพบูลย์ นิติตะวัน ก็ชิงเปิดตัวแล้วว่าจะสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ฟังน้ำเสียงคุณ ไพบูลย์แม้จะเป็นพรรคการเมืองที่มีสิทธิ์เสนอชื่อตั้งแต่ต้น(พรรคที่จะเสนอชื่อได้ต้องมีส.ส.ตั้งแต่25คนขึ้นไป) แต่ความหมายของคุณไพบูลย์ก็คือ การเสนอพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีในโควตาคนนอกนั่นแหละ และพล.อ.ประยุทธ์ก็พูดทำนองว่า “ก็ต้องไปหามา ถ้ามันไปไม่ได้แล้วค่อยมาถามผม” 
       
        แปลตรงๆ ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ก็พร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง 
       
        พูดถึงคุณไพบูลย์ก็ต้องชมกันนะครับว่า แม้ดูเหมือนแกจะฉวยโอกาสขี่กระแสพล.อ.ประยุทธ์ แต่ก็ยังดีและกล้ากว่าใครหลายคนที่เชลียร์ คสช.เพื่อหวังให้ได้กลับมาเป็น ส.ว.
       
        ถามว่าโอกาสนายกฯ คนนอกซึ่งดูเหมือนจะง่ายๆ ดูเหมือนจะนอนมาตามกระแสของสังคม แต่ถามว่าโอกาสที่จะเป็นไปไม่ได้มีมั้ยคำตอบก็คือมีเหมือนกัน
       
        อย่าลืมว่า แม้พรรค ส.ว.ซึ่งเปรียบเหมือนพรรค คสช.จะมีเสียงในมือแล้ว 250 เสียง แต่ ส.ส.ก็มีเสียงในมือรวมกัน 500 เสียง ถ้าส.ส.เกิน 250 เสียงยืนกรานที่จะไม่เอาคนนอกฉันทามตินี้ก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะแม้เสียง ส.ว.250เสียงบวกกับเสียงส.ส.126เสียงขึ้นไปจะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง รัฐบาลก็บริหารประเทศไม่ได้ ยังไงเสียงฝ่ายรัฐบาลก็ต้องให้ได้เสียงส.ส.เกิน 250 เสียงอยู่ดี เพื่อรับมือกับการผ่านกฎหมายต่างๆ และการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
       
        อันนี้รวมถึงมติขอนายก ฯคนนอกตามมาตรา 272 หลังจากเลือกตามรายชื่อพรรคการเมืองไม่ได้แล้วยังไงก็ต้องมีเสียงส.ส.ในมือเกิน251คนเสียก่อนเพื่อให้รวมกับส.ว.เป็นเสียง2ใน3จึงจะเดินหน้าไปสู่คนนอกได้
       
        นั่นแสดงว่า ถ้าส.ส.เกิน 250 คนจับมือกันเหนียวแน่นไม่เอานายกฯคนนอกประตูนี้ก็ปิดตายเลย
       
        แม้ว่าสังคมส่วนหนึ่งจะชิงชังนักการเมืองว่าเป็นตัวการที่ทำให้เกิดวิกฤตในบ้านเมือง แต่ถามว่านักการเมืองยอมรับมั้ย ผมคิดว่าเขาไม่ยอมรับหรอก หรืออย่างน้อยเขาก็เชื่อว่าเขาไม่ใช่สาเหตุหลักของวิกฤตทั้งหมด การยอมให้ตัวเองกลายไปเบี้ยล่างของ ส.ว.นั้นเท่ากับการยอมรับข้อกล่าวหานี้แล้วก้มหน้าก้มตาเป็นจำเลยของสังคมไป
       
        ดังนั้น อาจเป็นไปได้นะครับที่นักการเมืองจะรวมตัวกันเพื่อ “แข็งข้อ”ต่อคสช. อย่าลืมว่าทั้ง 2 พรรคการเมืองคือเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ต่างก็มีมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่วมกัน อาจมานั่งทบทวนว่าถ้ายอมจำนนต่อคสช.นักการเมืองจะกลายเป็นเบี้ยล่างของคสช.ไปยาวนานถึง 8 ปีจะยอมเป็นตัวประกอบอดทนไปยาวนานขนาดนั้นไหม เพราะแม้รัฐธรรมนูญจะให้นายกฯคนนอกมาเป็นได้ครั้งเดียว แต่ก็ให้อำนาจส.ว.ร่วมเลือกนายกฯ ถึง 5 ปี
       
        เป็นไปได้ไหมที่พรรคประชาธิปัตย์จะจับมือกับพรรคเพื่อไทยเพื่อตั้งรัฐบาลเสียเอง เพราะมีโอกาสสูงที่ 2 พรรคนี้รวมกันน่าจะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของ 2 สภาคือ 376 คนขึ้นไป เมื่อเทียบจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆ มา
       
        ถ้าพรรคใหญ่ 2 พรรคจับมือกัน ผมว่าพรรคขนาดกลางก็ต้องเข้าร่วมด้วยอาจจะกลายเป็น “ฉันทมติของนักการเมือง” ที่จะพาตัวเองออกจากบ่วงของ คสช.นั่นก็อาจหมายถึงการเป็น “รัฐบาลแห่งชาติ” ในความหมายกลายๆ นั่นเอง
       
        อย่าประมาทนะครับว่า โอกาสนี้จะเป็นไปไม่ได้ ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก และง่ายกว่าการได้นายกรัฐมนตรีคนนอกเสียอีก เพราะเราต้องไม่ลืมคำพูดในวงการการเมืองที่ว่า “ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร” ถึงเวลานั้นนักการเมืองจะยอมเป็นคนชั่วคนบาปของสังคมที่ถูกประณามมาตลอดต้องก้มหน้าก้มตารับใช้กรรมใต้อำนาจ คสช.หรือว่าหันมาจับมือกันแล้วตั้งรัฐบาลบริหารประเทศเสียเอง
       
        อย่าลืมนะว่าเคยมีคนเสนอให้พรรคการเมือง 2 พรรคจับมือกันเพื่อตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ” มาแล้ว โอกาสหลังการเลือกตั้งครั้งแรกตามรับธรรมนูญฉบับนี้จึงมีความเป็นไปได้สูงที่สุดที่ 2 พรรคการเมืองใหญ่จะร่วมมือกันจริงๆ
       
        เหลืออย่างเดียวก็คือ ประชาชน 2 ขั้วซึ่งสนับสนุนพรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองพรรคจะยอมรับได้หรือไม่
       
        ผมคิดว่า คสช.ก็น่าจะมองเห็นประตูนี้นะครับว่า ถ้าปชป.จับมือกับพรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาล โอกาสในการเข้ามาบริหารประเทศเพื่อเดินหน้าตามเป้าหมายของ คสช.อาจจะถึงจุบจบ ดังนั้นอาจเป็นไปได้นะครับที่จะมีการ “รีเซ็ต” พรรคการเมือง
       
        อย่างที่พูดๆ กัน เพื่อให้ทุกพรรคเริ่มต้นกันใหม่ อย่างน้อยก็อาจทำให้พรรคใหญ่แตกสลายแยกย้ายกันได้ โดยเฉพาะปชป.กับ กปปส. เพราะ กปปส.สนับสนุนจุดยืนของ คสช.แน่ๆ
       
        พล.อ.ประยุทธ์ ก็เคยพูดถึงข่าวที่จะมีการสั่งให้พรรคการเมืองต้องจดแจ้งทะเบียนพรรคใหม่ว่า “ก็ไปถามคนพูดผมไม่ได้เป็นคนพูด” เมื่อถามว่าไม่มีใช่ไหม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เรื่องของผม ถ้าจะตอบคำถามนี้ต้องให้มายืนตรงผมแล้วผมไปยืนถาม ยืนยันใช้อำนาจในทางสุจริตที่ผมทำได้ให้ประเทศชาติปลอดภัย ประชาชนมีความสุข” เมื่อถามย้ำว่า เรื่องดังกล่าวไม่มี ทาง เป็นไปได้ใช่หรือไม่ นายกฯ ตอบว่า “มันเป็นเรื่องของผม ประเทศชาติแทงกั๊กได้เหรอ ล่มสลายกับไม่ล่มสลาย โธ่ความคิดพื้นฐาน” 
       
        ถามว่าถ้า 2 พรรคจับมือกันตั้งรัฐบาลจะทำให้ประเทศชาติปลอดภัยและประชาชนมีความสุขมั้ยนี่แหละที่เป็นเรื่องต้องคิด

ผูกคอตาย! อธิบดีดีเอสไอ แจงผู้ต้องหาสำคัญคดีทุจริตออกโฉนดภูเก็ตหมื่นล. เสียชีวิตแล้ว

ดีเอสไอรวบ‘ธวัชชัย อนุกุล’ อดีต จนท.ที่ดิน ผู้ต้องหาคนสำคัญคดีทุจริตออกโฉนดภูเก็ต-พังงา หมื่นล. พบประวัติร่วม คนตระกูล ณ ระนอง ปลอมโฉนดหาดฟรีดอม มีบัญชียาวหางว่าว-ล่าสุดเสียชีวิตแล้ว 
picvdff30 8 16
สำนักข่าวอิศารา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2559 ชุดสืบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้จับกุม นายธวัชชัย อนุกุล อดีตเจ้าพนักงานที่ดินพังงาสาขาท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 79/164 หมู่ที่ 7 ต.ฉลอง อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ผู้ต้องตามหมายจับของศาลอาญาที่ 1165/2559 ลงวันที่ 14 มิ.ย.2559 ได้ที่บริเวณด้านหน้าร้านตัดผมเลขที่ 61/55 ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี
ทั้งนี้ นายธวัชชัย อนุกุล ถูกกล่าวหากระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 คดีทุจริตออกโฉนดที่ดินบริเวณหาดลายัน อ.ถลาง จ.ภูเก็ต โดยถือว่านายธวัชชัย เป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน ที่ออกเอกสารสิทธิ์ โดยมิชอบมากที่สุด จังหวัดภูเก็ต -พังงา-สุราษฎร์ธานี และแปลงที่ดิน บริเวณเขาหน้ายักษ์ ทับซ้อนพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดท้ายเหมือง-เขาลำปี จำนวน 500 ไร่ ราคาประเมิน ของกรมที่ดินไร่ละ 21 ล้านบาท มูลค่าทั้งสิ้น 10,500 ล้านบาท เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นคหบดีชื่อดังในพื้นที่จังหวัดพังงาและภูเก็ต
108981
picmonnn30 8 16
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันอังคารที่ 30 สิงหาคม 2559 เจ้าหน้าที่ดีเอสไอจะนำตัวอดีตข้าราชการ สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตรายนี้ไปฝากขังที่ศาลอาญา 
มีข้อมูลระบุว่า นายธวัชชัย อนุกุล ได้ออกโฉนดที่ดินโดยไม่ชอบในจ.ภูก็ต เป็นจำนวนกว่า 700 แปลง
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 28 เดือนธันวาคม 2553 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่มติ ป.ป.ช.ชี้มูลวินัยร้ายแรงและอาญา นายธวัชชัย อนุกูล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน 7 ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายทะเบียน สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต กรมที่ดิน กับพวก กระทำความผิด ฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ดำเนินการออกโฉนดที่ดิน เลขที่ 61483 – 61491 หมู่ที่ 5 ตำบลรัษฎา อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต โดยมิชอบ ร่วมกับ นายบุ่นเก้ง ศรีแสนสุชาติ ออกโฉนดที่ดินเนื้อที่รวม 362-3-12 ไร่ ให้บริษัทแห่งหนึ่งแต่จากการตรวจสอบตำแหน่งที่ดินตามระวางแผนที่ปรากฏว่า ที่ดินที่นำรังวัดดังกล่าวไม่ใช่ที่ดินตาม ส.ค. 1 เลขที่ 108 ที่นำมาขอออกเป็นโฉนด
ต่อมาวันที่ 4 เมษายน 2556 คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด นายธวัชชัย อนุกูล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง เจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน 7 ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายทะเบียน สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตร่วมกันปลอมเอกสารโฉนดที่ดิน และออกหนังสือรับรองราคา ประเมินที่ดินตามโฉนดที่ดิน เลขที่ 42650 และ 42651 ตำบลกะรน อำเภอเมืองภูเก็ต เป็นเท็จ มีมูลความผิด ทางวินัยอย่างร้ายแรง และ มีมูลความผิด ทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 161 ร่วมกับ นายพานทอง ณ ระนอง
ล่าสุดวันที่ 9 มี.ค.2559 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อายัดที่ดิน 2 แปลง บริเวณหาดฟรีดอม ของนายพานทอง และพวก ไว้ชั่วคราว รวม 2 รายการ มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท ได้แก่ 1.โฉนดที่ดิน ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต เนื้อที่ 45 ไร่ 1 รายการ 2.โฉนดที่ดิน ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต เนื้อที่ 19 ไร่ 1 รายการ
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ล่าสุดในช่วงเช้าวันที่ 30 ส.ค.2559 ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ว่า ดีเอสไอ ขอยกเลิกภารกิจทำข่าวการนำตัวผู้ต้องหาอดีตข้าราชการสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตไปฝากขัง ที่ศาลอาญา เวลา 10.00 น.ไปก่อน เนื่องจากผู้ต้องหาเสียชีวิตแล้ว 
ต่อมาเวลา 08.30 น. พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้สัมภาษณ์ยอมรับกับสำนักข่าวอิศรา ว่า  ผู้ต้องหาในคดีนี้ได้เสียชีวิตแล้วจริง โดยมีการผูกคอตาย ช่วงเวลาตี 1 วันที่ 30 ส.ค.2559 ที่ผ่านมา ในห้องควบคุมตัวที่ดีเอสไอ ซึ่งเป็นห้องแอร์อย่างดี โดยใช้เสื้อของตนเองผูกคอ เมื่อเจ้าหน้าที่มาพบเห็น จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล ก่อนที่ผู้ต้องหาจะเสียชีวิตในช่วงเวลาประมาณ ตี 4-5 สำหรับสาเหตุคาดว่าน่าจะมาจากความเครียด เนื่องจากผู้ต้องหารายนี้มีคดีจำนวนมาก รวมถึงคดีที่ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งขณะนี้ดีเอสไอ อยู่ระหว่างการตรวจสอบความชัดเจนอยู่ 
"เดิมที่วันนี้ (30 ส.ค.59) ดีเอสไอจะมีการแถลงข่าว แต่เนื่องจากผู้ต้องหาเสียชีวิต ทำให้ต้องยกเลิกไปก่อน และอยู่ระหว่างการประสานแจ้งญาติของผู้เสียชีวิตเข้ามาดูศพ และจะทำการชันสูตรต่อไป"พ.ต.อ.ไพสิฐ ระบุ 

"ที่ตั้ง"ประเทศไทย

Fb เอนก เหล่าธรรมทัศน์ AnekLaothamatas

ประเทศไทยนั้นมีอะไรดีบ้าง ? คงมีดีหลายอย่างครับ แต่ที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งในขณะนี้ มีทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในอาเซียน ในเอเชีย และอาจจะในโลกเอาเสียด้วย

ประการแรก เราเป็นประเทศรวยทะเล-รวยมหาสมุทร ประเทศที่เล็กกว่าจีนยี่สิบเท่าแต่มีสองทะเล-สองมหาสมุทร คือ แปซิฟิก (อ่าวไทย) และ อินเดีย (อันดามัน) ฝั่งทะเลของเรายาวกว่าของพม่าเสียอีก ยาวแพ้เวียดนามไม่มาก มีจังหวัดที่อยู่ติดทะเลถึง 23 จังหวัด พูดง่าย ๆ ว่า ทุกๆ 4 จังหวัดของไทย ติดทะเลหนึ่งจังหวัด น่าทึ่ง

ประเทศไทย ขอขยายความ ความจริงเป็นประเทศกึ่งบก-กึ่งทะเลเลย ไม่ใช่เป็นประเทศทางบกที่มีเพียงชายหาดสวยงามเท่านั้น ต้องคิดใหม่ว่าเรามีศักยภาพเป็นชาติอำนาจทางทะเลได้ด้วย หลายประเทศนั้นไม่มีทะเล ต้องรบเพื่อเปิดทางออกทะเล จีนนั้นแม้จะมีมหาสมุทรแปซิฟิก ก็ยังพยายามสุดความสามารถที่จะมุ่งลงใต้ไปลงทะเลที่มหาสมุทรอินเดียให้ได้

ใกล้กับภาคใต้ของเราคือ "ช่องแคบมะลักกา" ที่ปัจจุบันนี้ เป็นช่องทางเดินเรือทะเลสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยปริมาณสินค้า น้ำมัน และแก๊ซ ที่ลำเลียงผ่านช่องแคบนี้มีเป็นสามเท่าของที่ผ่านทางคลองสุเอซและคลองปานามา โลกทุกวันนี้มีช่องแคบมะลักกาเป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญที่สุดแล้ว หากดูแผนที่ให้ดีจะเห็นว่ามีจังหวัดหนึ่งของไทยที่ถือเป็น "ปากทางเข้า" ช่องแคบนี้ทีเดียว จังหวัดสตูล ไงครับ ช่องแคบมะลักกานั้นส่วนใหญ่อยู่ระหว่างคาบสมุทรมลายูและเกาะสุมาตรา แต่สตูลนั้นถือเป็นส่วนบนสุดทางขวามือของช่องแคบได้ เราเป็น "เจ้าของ" ช่องแคบมะลักกานิดหน่อย

ช่องแคบมะลักกานั้นมีความสำคัญต่อจีน ญี่ปุ่น เกาหลี อาเซียน อินเดีย อ่าวเปอร์เซีย อาหรับ และยุโรปเป็นล้นพ้น มีความจำเป็นที่จะต้องมีทางเลี่ยงหรือทางเบี่ยงที่จะลดความเสี่ยงจากความล่าช้าหรือติดขัดหรือปิดตัวลงของทางเดินเรือในช่องแคบด้วยสาเหตุนานาประการ

คาบสมุทรภาคใต้ของไทยมีศักยภาพสูงที่จะเป็นทางเบี่ยงหรือทางเลี่ยงนั้น ไม่ว่าจะทำในรูปของคลองกระ (เชื่อมจังหวัดระนอง-ชุมพร) หรือคลองไทย (เชื่อมตรัง-นครศรีธรรมราช) หรือทำเป็น "แลนด์บริดจ์" (เชื่อมสองฝั่งสองมหาสมุทรด้วยรถไฟและทางหลวงขนาดใหญ่)

คู่ขนานกันไป จะมีโครงการตัดทางหลวงหรือทำรถไฟความเร็วปานกลาง-สูง ที่จะเชื่อมอินเดีย จีน และอาเซียนภาคพื้นทวีปเข้ากับมาเลเซีย สิงคโปร์ สุมาตรา ชะวา ซึ่งโดยทำเลของไทยเป็นเหตุ เส้นทางเหล่านั้นจะต้องผ่านหลายภาคของไทย ผ่านกรุงเทพฯ และผ่านภาคใต้อย่างหลึกเลี่ยงไม่ได้ ไทยมีศักยภาพที่จะเป็นชาติอำนาจทางลอจิสติกส์ จะเป็นศูนย์กลางของเส้นทางคมนาคมที่เชื่อมร้อยตลาดจีน อินเดีย และตลาดอาเซียนเข้าด้วยกัน

จะชอบหรือไม่ จะเต็มใจหรือไม่ ไทยมี"ทำเลทอง" ที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียน เป็น "สะพานทอง" เชื่อมยึดจีนและอินเดีย สองยักษ์ใหญ่ของเศรษฐกิจโลก เข้ากับเออีซี

ทำเลที่ดีของเราจะไม่เอื้อประโยชน์เฉพาะแต่กรุงเทพฯและภาคใต้เท่านั้นครับ ภาคเหนือของไทยจะเชื่อมโยงกับนครและเมืองใหญ่ของจีนตอนใต้ (เชียงรุ้ง คุนหมิง ฉงชิ่ง เฉิงตู) ลาว (หลวงพระบาง เวียงจันทน์) และที่ขอย้ำเป็นพิเศษเพราะเรามักจะคิดไม่ถึง คือ พม่า (กรุงเนปิดอร์ พุกาม มัณฑะเลย์ ตองอู อังวะ)

โปรดทราบนะครับว่า "พม่าแท้ๆ" นั้นใกล้แม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่มาก เนปิดอร์นั้นอยู่ใกล้เกือบชิดแม่ฮ่องสอนข้ามรัฐฉานจากแม่ฮ่องสอนไปนิดที่เดียวก็จะเจอกรุงเนปิดอร์เลย แม้แต่ย่างกุ้งเมืองใหญ่ที่สุดของพม่าก็ใกล้แม่ฮ่องสอน ตาก และ เชียงใหม่มาก

ลาวและเวียดนามก็ใกล้เชียงรายและน่านมาก จากเชียงรายบินไปหลวงพระบาง เวียงจันทน์ ใกล้มาก ใช้เวลาเท่าๆ กับบินไปเชียงรุ้งและคุนหมิง และน่านนั้นยังพิเศษสุดที่อยู่ค่อนข้างใกล้ฮานอยด้วย เวลาบินน่าจะไม่ถึงชั่วโมง

นานมากแล้วที่เราคิดว่าแม่ฮ่องสอน ตาก และน่านเป็น "หลังเขา" เพราะเราเอากรุงเทพฯเป็นศูนย์กลาง แต่ในยุคบูรพาภิวัตน์นั้นในขณะนี้ลาวพม่าล้วนโตเร็วกว่าไทยมาก ลาวโต มากกว่า 7 เปอร์เซนต์ต่อปีมาเป็นทศวรรษแล้ว พม่าเติบโตปีละ 12.5 เปอร์เซนต์มาในช่วงเวลาเดียวกัน ภาคเหนือของไทยมีศักยภาพและพร้อมที่จะเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมากตามเพื่อนบ้านได้ โดยเฉพาะหากได้เชือมโยงทางคมนาคมเข้ากับจีนตอนใต้ พม่าทางตอนเหนือที่เป็นพม่าแท้ๆ ลาว และเวียดนามทางตอนเหนือ

อีสานของไทยก็จะได้ประโยชน์จากบูรพาภิวัตน์แน่นอน คนไทยมักไม่ทราบว่าภาคที่ใกล้กับประเทศจีนที่สุดโดยการบินนั้นคืออีสานนะครับ ไม่ใช่ภาคเหนืออย่างที่เรามักคิด เนื่องจากนครใหญ่ของจีนนั้นอยู่ทางด้านตะวันออกของประเทศเกือบทั้งหมด จากจีนบินมาไทยจำต้องผ่านอีสานก่อนทั้งสิ้น จะเห็นว่าเกาะไหหลำนั้นใกล้อีสานมาก ถ้าบินจากฮ่องกง มาเก๊า กว่างเจา เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่งหากลงไทยที่หนองคาย บึงกาฬ หรือ อุดร แทนที่จะลงกรุงเทพฯ จะลดเวลาบินลงถึงหนึ่งชั่วโมงได้

ในยุคบูรพาภิวัตน์ ด้วยที่ตั้งประเทศที่เป็นเยี่ยมอย่างนี้ ภาคอีสานและภาคเหนือจะต้องสร้างหรือขยายสนามบินนานาชาติให้ยิ่งใหญ่ไปเลย อย่ามัวทำอะไรเล่น ๆ สร้างการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพที่อีสานด้วยเพื่อดึงนักท่องเที่ยวจากเวียดนามและจีนมาให้มากขึ้น

อีสานตอนใต้จะได้ประโยชน์มากจากกัมพูชาซึ่งเติบโตปีละ 8.5 เปอร์เซนต์ติดต่อกันมาสิบปีแล้ว เสียมเรียบที่อยู่ใกล้กันคือเมืองท่องเที่ยวระดับโลก พนมเปญคือเมืองใหญ่ที่สุดบนฝั่งแม่น้ำโขงทั้งหมด คนเจ็ดแปดล้านคน เติบโตสูงกว่า 8.5 เปอร์เซนต์ต่อปีแน่ๆ น่าจะโตไม่น้อยกว่าปีละ15-20 เปอร์เซนต์ เท่าที่ประเมินเองอย่างคร่าว ๆ อีสานเป็นภาคที่ยึดโยงกับทั้งลาวและกัมพูชา "โคราช" ของเราคือมหานครที่เชื่อมยึดและโยงใยกับสองประเทศนั้นไปพร้อมๆกันได้เลย

ภาคตะวันตกจะได้ประโยชน์จากการเชื่อมพม่าส่วนที่เป็นดินแดนมอญและกะเหรี่ยงเป็นหลักเข้ากับไทย และจะเลยไปถึงอินเดียและบังกลาเทศในอนาคตไม่ไกล ส่วนภาคตะวันออกจะเชื่อมชลบุรี ระยอง จันทบุรีและตราดเข้ากับกัมพูชาส่วนที่อยู่ใกล้ทะเลหรืออ่าวไทย

คงเริ่มสงสัยกันบ้างแล้วว่าทำไมประเทศไทยเราช่างต่อเชื่อมกับเพื่อนบ้านได้มากมายจัง ก็ขอบอกว่าเรามีจังหวัดที่ติดชายแดนถึง 33 จังหวัด พูดง่ายๆ ทุกๆ 2-3 จังหวัดจะมีชายแดนติดต่างประเทศ 1 จังหวัด อลังการมากครับ อำนาจหรือศักยภาพในการเชื่อมโยงของเรา connectivity ที่ชอบพูดถึงกันไงครับ

ประเทศไทยมีศักยภาพทั้งทางบกและทางทะเล ขอย้ำอีกที เอาเข้าจริงแล้ว ไม่มีภาคไหนไกลทะเลเลย น่าอัศจรรย์ ถ้าทะเลนั้นเราไม่หมายถึงแต่อ่าวไทย เช่นตากนั้น แม่ฮ่องสอนนั้น ไม่ไกลทะเลอันดามันเลย เพียงมีดินแดนพม่าแคบๆมาคั่นเอาไว้ เท่านั้น ฝนที่ตกที่สองจังหวัดนี้มาจากความชุ่มชื้นที่มาจากทะเล ที่ให้ทั้งภาคใต้ที่ติดอันดามันและให้ทั้งภาคเหนือด้านตะวันตกที่อยู่ไม่ห่างอันดามัน

ภาคเหนือด้านตะวันออกก็ไม่ห่างจากน้ำทะเล หากหมายถึงทะเลจีนใต้หรืออ่าวตังเกี๋ยของเวียดนามเหนือ ภาคอีสานเล่าก็ไม่ไกลจากเกาะไหหลำและจากทะเลเวียดนามและทะเลจีนเท่าไร

ในอนาคตสนามบินที่ดีและทางหลวงและทางรถไฟที่ดีจะเชื่อมภาคเหนือและภาคอีสานเข้ากับทะเลของเพื่อนบ้านได้ใกล้ชิดและสะดวกสบายยิ่งขึ้น

ด้วยทำเลที่ดียิ่งของเรา การคมนาคมทางบก ทะเล และอากาศ จะเชื่อมทุกส่วนของไทยไปสู่เพื่อนบ้าน ไปโยงเชื่อมกับจีน อืนเดีย อาเซียน ไปรับประโยชน์จากบูรพาภิวัตน์ได้มากยิ่งขึ้น

ขออย่างเดียวต้องทำให้เป็น ทำให้รอบด้าน ตั้งใจทำ และจะต้องทำจากความคิดและยุทธศาสตร์ที่รอบคอบและแหลมคม