PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2560

“บิ๊กตู่” ใช้ม.44 กำหนด 10 ตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิส่วนราชการ รับเงินตำแหน่งสูงสุด 2.1หมื่นบาท

“บิ๊กตู่” ใช้ม.44 กำหนด 10 ตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิส่วนราชการ รับเงินตำแหน่งสูงสุด 2.1หมื่นบาท



ภาพกราฟิกลิขสิทธิ์
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ ๓๖/๒๕๖๐เรื่อง การกำหนดตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิประจำส่วนราชการ ระบุว่าเพื่อให้การปฏิรูปประเทศและการปฏิบัติราชการตามนโยบายของรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำศักยภาพของข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ข้าราชการที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น แต่ยังไม่มีโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ภายใต้กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งที่มีอยู่ จึงจำเป็นต้องแก้ปัญหาข้อจำกัดดังกล่าวเพื่อประโยชน์ข้างต้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๖๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับ
มาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ หัวหน้าคณะ
รักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้มีตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิประจำส่วนราชการ เพื่อใช้เป็นอัตราหมุนเวียนเฉพาะตัว รวม ๑๐ ตำแหน่ง สำหรับการแต่งตั้ง หรือบรรจุและแต่งตั้งบุคคล ตามที่นายกรัฐมนตรีเห็นสมควรให้ ย้าย โอน หรือเลื่อนขึ้นเพื่อแต่งตั้ง หรือบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว โดยให้ปฏิบัติหน้าที่
ในส่วนราชการตามที่นายกรัฐมนตรีกำหนด ดังนี้
(๑) ผู้ทรงคุณวุฒิประจำส่วนราชการระดับกระทรวงหรือกรม จำนวน ๕ ตำแหน่ง โดยให้ เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหาร ระดับสูง เทียบเท่าหัวหน้าส่วนราชการที่มีฐานะเป็นกระทรวง รับเงินประจำตำแหน่ง ๒๑,๐๐๐ บาท
(๒) ผู้ทรงคุณวุฒิประจำส่วนราชการระดับกรม จำนวน ๕ ตำแหน่ง โดยให้เป็นข้าราชการ พลเรือนสามัญ ประเภทบริหาร ระดับสูง เทียบเท่าหัวหน้าส่วนราชการที่มีฐานะเป็นกรม รับเงินประจำตำแหน่ง ๑๔,๕๐๐ บาท
เมื่อนายกรัฐมนตรีเห็นเป็นการจำเป็นและสมควรแต่งตั้งข้าราชการฝ่ายพลเรือน ตำรวจหรือข้าราชการฝ่ายทหาร ผู้ใดที่อยู่ในอำนาจของฝ่ายบริหาร มาดำรงตำแหน่งดังกล่าวเป็นการเฉพาะตัวเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการในการปฏิรูปและการบริหารงานเชิงยุทธศาสตร์ ให้ดำเนินการเสนอ
คณะรัฐมนตรีพิจารณา และนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิประจำส่วนราชการตาม (๑) อยู่ในการบังคับบัญชาและการมอบหมายงานของรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ส่วนกรณีตาม (๒) ให้อยู่ในการบังคับบัญชาและการมอบหมายงานของปลัดกระทรวงเจ้าสังกัด
ข้อ ๒ ข้าราชการที่จะย้าย โอน หรือเลื่อนขึ้น เพื่อแต่งตั้ง หรือบรรจุและแต่งตั้งให้ ดำรงตำแหน่งตามข้อ ๑ ต้องไม่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบโดยรัฐ การดำเนินการทางวินัยหรือการดำเนินคดีอาญา
ข้อ ๓ ให้สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการ
เกี่ยวกับตำแหน่ง อัตราเงินเดือน และสิทธิประโยชน์ของข้าราชการดังกล่าว และให้สำนักงาน ก.พ.
กำหนดวิธีปฏิบัติตามคำสั่งนี้
ข้อ ๔ ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีเห็นสมควรให้ข้าราชการพ้นจากตำแหน่งตามข้อ ๑ หรือให้
ไปดำรงตำแหน่งอื่น ให้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบราชการที่เกี่ยวข้อง
ข้อ ๕ กรณีมีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำ สั่งนี้ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
เสนอประธาน ก.พ. วินิจฉัย คำวินิจฉัยของประธาน ก.พ. ให้ถือเป็นที่สุด
ข้อ ๖ ในกรณีที่เห็นสมควร นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีอาจเสนอให้คณะรักษาความสงบ
แห่งชาติเปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้ได้
ข้อ ๗ เมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติสิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๒๖๕
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ให้คำสั่งนี้สิ้นสุดลง แต่ไม่กระทบต่อผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
ตามคำสั่งนี้อยู่ก่อนแล้ว
ข้อ ๘ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

ศาลฎีกาฯยกฟ้อง นายสมชาย/ พล.อ.ชวลิต /พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณพล.ต.ท.สุชาติ สลายม็อบพันธมิตร

พันธมิตรไม่รู้รึ พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องใคร!
ศาลฎีกาฯยกฟ้อง นายสมชาย/ พล.อ.ชวลิต /พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณพล.ต.ท.สุชาติสลายม็อบพันธมิตรชี้ไม่มีเจตนาให้สูญเสีย
หลังฟังคำพิพากษายกฟ้องแล้ว
นายสมชายเดินทางกลับออกทางชั้น2
ไม่ได้ออกทางประตูหน้า
เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับมวลชน
ที่ตะโกนว่า”ฆาตกร”ตลอดเวลา
(คลิป)นิสัยเขาเป็นแบบนี้
หน้าศาลมีเหตุวุ่นวาย เมื่อพันธมิตรบางคน
เข้าไปนั่งฟังในศาลไม่ได้
โวยวายว่าทำไม ตร.กลุ่มนี้จะเข้าไปได้
หลังศาลตัดสิน พันธมิตร บางส่วนที่มาฟังผลต่างแสดงความเห็นและความรู้สึก
อ่านเพิ่มได้จากข่าวจากมติชน
///

ศาลฎีกาฯยกฟ้อง”สมชาย-บิ๊กจิ๋ว-พัชรวาท-สุชาติ”สลายม็อบพันธมิตร ชี้ไม่มีเจตนาให้สูญเสีย


เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่2สิงหาคม ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยนายธนสิทธิ์ นิลกำแหง ว่าที่รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีดังกล่าวและองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อม.2/2558 ระหว่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) โจทก์ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 26 อายุ 70 ปี น้องเขยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี , พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หรือบิ๊กจิ๋ว อดีตรองนายกรัฐมนตรี อายุ 85 ปี , พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. อายุ 68 ปี น้องชายของ พล.อ.ประวิตร รองนายกรัฐมนตรี รัฐบาลปัจจุบัน และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. อายุ 66 ปี เป็นจำเลยที่ 1-4

คดีนี้โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 กล่าวหาว่าจำเลยทั้ง4คน ประกอบด้วย จำเลยที่1 ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จำเลยที่2 ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี (ดูแลงานด้านความมั่นคง) จำเลยที่3ขณะดำรงตำแหน่งผบ.ตร. และจำเลยที่4ขณะดำรงตำแหน่งผบช.น. ร่วมกันสลายการชุมนุมและไม่ดำเนินการระงับยับยั้งเป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตาย อันเป็นความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ,83

จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ

ศาลเริ่มไต่สวนพยานหลักฐานนัดแรก เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2559 โดยอนุญาตให้คู่ความทั้งสองฝ่ายนำพยานเข้าไต่สวนทั้งหมดรวม 47 ปาก ซึ่งเป็นพยานฝ่ายโจทก์15ปาก ฝ่ายจำเลยทั้งสี่32 ปาก ใช้เวลาไต่สวน 21 นัด คดีเสร็จการไต่สวนเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2560

ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าในเหตุการณ์ช่วงเช้าของวันที่7ตุลาคม 2551 จำเลยทั้งสี่ร่วมกันสั่งการให้มีการเปิดทางเข้ารัฐสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีเข้าไปแถลงนโยบายต่อรัฐสภา อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 176 บัญญัติไว้ การที่ผู้ชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาโดยปิดล้อมประตูเข้าออกไว้ทุกด้าน ถือว่าเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ และมิได้เป็นการชุมนุมที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของแผนรักษาความสงบ(กรกฎ/48)โดยใช้มาตรการควบคุมฝูงชนจากเบาไปหาหนักแล้วเท่าที่จะทำได้ในสถานการณ์ขณะนั้น พยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสี่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

สำหรับเหตุการณ์ในช่วงบ่ายและช่วงค่ำ เหตุการณ์นี้โจทก์ร้องขอให้ลงโทษเฉพาะจำเลยที่1,3และ4 เนื่องจากข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่2ได้ลาออกจากตำแหน่งไปหลังจากเกิดเหตุการณ์ในช่วงเช้า การที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้กลับมาปิดล้อมรัฐสภา เป็นเหตุให้คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา และเจ้าหน้าที่รัฐสภาไม่สามารถออกมาจากรัฐสภาได้ มีการปลุกระดมผู้ชุมนุมและจะบุกเข้ามาข้างในรัฐสภา จึงมิใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบ และเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อเปิดทางช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในรัฐสภา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของแผนรักษาความสงบ(กรกฎ/48)แล้ว จึงจำเป็นต้องใช้แก๊สน้ำตาเพื่อช่วยเหลือดังกล่าว ซึ่งพยานโจทก์และพยานจำเลยทั้งสี่ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับแก๊สน้ำตาก็ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับผลอันเกิดจากการใช้แก๊สน้ำตา แม้จะมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต แต่ในสถานการณ์เช่นนั้นเป็นการยากสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะทราบว่าแก๊สน้ำตาจะเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเช่นนั้น เมื่อเหตุการณ์ชุมนุมยังไม่สงบเจ้าหน้าที่ตำรวจยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติเพื่อรักษาความสงบไม่ให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของทางราชการ ในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1,3และ4 ไม่อาจคาดเห็นได้ว่าแก๊สน้ำตาจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ชุมนุมได้ และข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าจำเลยที่1,3และ4 มีเจตนาพิเศษเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำร้ายผู้ชุมนุมให้ได้รับอันตรายแก่กายและเสียชีวิต จำเลยที่1และ3 จึงไม่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ และจำเลยที่4 ไม่มีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังฟังคำพิพากษายกฟ้องแล้ว นายสมชายเดินทางกลับออกทางชั้น2 ไม่ได้ออกทางประตูหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับมวลชน ที่ตะโกนว่า”ฆาตกร”ตลอดเวลา

โดยนายสมชาย กล่าวสั้นๆว่า ยินดี ขอบคุณ ซาบซึ้งใจที่สถาบันตุลาการเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ ทุกอย่างเป็นไปตามที่ศาลวินิจฉัยมา

'ปูตายไม่เท่าระบอบแดงตาย'

ยิ้ม..เยาะ..หัวเราะ..ร้องไห้.........!?
ที่สุดของ "ยิ่งลักษณ์" ก็แค่นี้
เป็นยิ่งลักษณ์ที่ ออดอ้อน ตัดพ้อ ต่อมน้ำตาแตก ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในการแถลงปิดคดี เมื่อวาน (๑ ส.ค.๖๐)
-"ดิฉันรู้ดีว่า.........
ดิฉันเป็นเหยื่อของเกมการเมืองที่ลึกซึ้ง......"
-"ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิด...........
แต่สิ่งที่ดิฉันทำ คือการใช้ประสบการณ์ของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่เกิดในต่างจังหวัด ฯลฯ"
-"นโยบายรับจำนำข้าว...........
เป็นนโยบายสาธารณะ ที่มุ่งช่วยเหลือชาวนา ไม่ใช่ 'พาณิชย์นโยบาย' ที่คิดกำไร ขาดทุน กับชาวนาผู้ยากไร้ ฯลฯ"
-"ดิฉัน ขอยืนยันในความบริสุทธิ์ของดิฉัน...........
และขอได้โปรดพิจารณาคดีนี้ โดยคำนึงถึงเจตนาที่สุจริต ในการดำเนินนโยบายสาธารณะ ฯลฯ"
-"สุดท้ายนี้ ดิฉันเห็นว่า ..........
ก่อนที่ศาลจะตัดสินคดีนี้ ดิฉันใคร่ขอวิงวอนศาล ได้โปรดพิจารณา
พิพากษาคดีนี้ ตามข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและพยานหลักฐานที่เข้าสู่สำนวนโดยชอบและโดยสุจริต
ไม่รับฟังการชี้นำจากฝ่ายใดๆ แม้แต่หัวหน้า คสช. ผู้กุมชะตาและอำนาจรัฐ"
ครับ............!
หน้านี้ เป็นหน้ามรสุม-พายุเข้า ดังนั้น น้ำหลาก น้ำท่วม เป็นเรื่องเลี่ยงยาก
และที่ยากเลี่ยง คือปัญหา "เศษสวะ-เศษขยะ" ที่ไหลมากับน้ำหลาก!
ถ้าจัดการไม่ดี ขยะที่ไหลมารวมกัน จะอุดตันทางเดินน้ำ และนั่น ขยะจะสร้างปัญหาซ้ำซ้อน
ตอนนี้ กระบวนการกำจัดสิ่งปฏิกูลกำลังย่อยสลายเศษสวะที่อุดตันทางเดินสังคมชาติอยู่
ฉะนั้น ทุกคน-ทุกฝ่าย ต้องอดทนและทำใจด้วยเข้าใจ ขยะก็คือขยะ "สวะดรามา" คือมายา ไม่มีศิลป์ใดๆ ให้ค้นหา
กลับไปเรื่องคดียิ่งลักษณ์อีกนิด ............
จำกันได้กระมัง เมื่อ ๒๖ ก.ค.ยิ่งลักษณ์ร้องให้ศาลเพิกถอนคำสั่งและกระบวนพิจารณาที่เธอว่าผิดระเบียบ
กรณีไม่ส่งความเห็นโต้แย้งเกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาคดี ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตาม มาตรา ๒๑๒ ของรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๖๐
หลังแถลงจบ ศาลอ่านรายงานคำยกคำร้องต่อกรณีนี้ ว่า
"ศาลยุติธรรมมีอำนาจวินิจฉัยการส่ง หรือไม่ส่ง คำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ตามคำพิพากษาศาลฎีกา 10660/2553
และเหตุของการไม่ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ไม่ใช่เพราะมีกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ
จึงให้ยกคำร้อง!"
นั่นหมายความว่า ศุกร์ที่ ๒๕ สิงหา ๖๐ ตามที่ศาลนัดให้ฟังคำพิพากษา ทุกอย่างเป็นไปตามนั้น
เมื่อวาน ตั้งใจจะตื่นแต่เช้า เพื่อดูบรรยากาศหน้าศาลว่า การปลุกเร้า-เรียกร้องขอกำลังใจจากเสื้อแดงผลเป็นอย่างไรบ้าง?
อดีตนายกฯ หญิง "ตื่นก่อน-นอนไว" ส่วนผม "นอนดึก-ตื่นสาย" เลยอดเห็นบรรยากาศสด
แต่ได้ทันดูจากข่าวภาคเที่ยงทางโทรทัศน์บ้าง ทางโซเชียลมีเดียบ้าง ถึงไม่สด แต่ก็ยังเปียกๆ อยู่
เรียกว่าภาพเหตุการณ์จากมุมโน้น-มุมนี้ ดูครบจบรอบแล้ว พอประเมินความหนัก-เบาได้
ยิ่งลักษณ์น่ะ ผมไม่ห่วงหรอก
แต่ห่วง "ระบอบทักษิณ" ขึ้นมาติดหมัด!
ใครที่มั่นใจ เลือกตั้งแล้ว "อำนาจเก่า" จะกลับคืน เตรียมเช็กบิลนายกฯ ประยุทธ์ นั้น
ประเมินจากเมื่อวาน ถ้าผมเป็นสาวกเสื้อแดง เป็นอดีต ส.ส.เพื่อไทย บอกได้เลยว่า ใจแป้ว
ไม่มีแล้ว ในคำว่า "ประชาชน"
ที่มาเป็นกำลังใจยิ่งลักษณ์เมื่อวาน ตีให้มากสุดก็ไม่เกินพัน แต่เป็นพันที่ไม่สามารถใช้คำว่า "ประชาชน" ได้เลย
เป็นได้แค่ "หน้าม้า...ขาประจำ" ใช้ในอีเวนต์!
แม้บรรดาอัศวินประดับชายกระโปรงที่ห้อมหน้า-ล้อมหลัง ก็วอลเปเปอร์ "ซ้ำลาย-ซ้ำดอก" ชุดเดิม
อัศวินพวกนี้ ประเภท "มือตีนถาวร" ในฐานอำนาจที่ไปไหนไม่ได้แล้ว ซึ่งค่อนข้างผิดคาด โปรแกรมใหญ่ทั้งที โหมโฆษณาปลุกเร้าให้ออกมาเป็นกำลังใจกันอึกทึก
นึกว่า "อดีต ส.ส." เพื่อไทย จะระดมสาวกแต่ละพื้นที่มาเป็นกำลังใจกันมืดฟ้ามัวดิน
สร้างผลงานให้เข้าตา "นายหญิง-นายใหญ่" ปูทางเป็นตัวแทนลงสมัครในพื้นที่ปีหน้า
แต่ปรากฏว่า มีแค่หน้าม้า-ขาประจำ กลุ่มก้อนเดิมๆ?
"อีสาน" ฐานกำลังหลัก เป็นพัฒนาการที่น่าสนใจ จากที่หวังต้องมาตรึม แต่กลับมีแค่ขาประจำ
ตรงนี้ สะท้อนทัศนคติการบ้าน-การเมืองได้ดีมาก!
สะท้อนว่า..........
ณ วันนี้ พี่น้องอีสาน "คิดอย่างไร" ต่อการเมืองระบอบทักษิณ "โกงกินแบ่งกัน"
กับการเมืองระบอบประยุทธ์ "แก้ปัญหาพัฒนาเมือง" วางรากฐานประเทศสู่อนาคตใหม่?
ในหมู่นักแสวงอำนาจผ่านการเมืองต่างถิ่น มักคิดกันว่า "คนอีสานหลอกง่าย" แล้วก็ไปลงเลือกตั้งทางนั้น
แต่ผมสังเกตมาตั้งแต่การเมืองยุคถนอม-ประภาส คนอีสานเป็นคน "ฉลาดลึก"
พวกที่ไปหลอกคนอีสาน ลงท้าย ถูกคนอีสานย้อนเกล็ด "หลอกกิน" มาตลอด
นั่นคือ คนอีสาน "ชิน" กับนักการเมืองประเภทนี้ และรู้ว่าการณ์ใด เมื่อใด ควรให้บทเรียน แก่นักการเมืองพวกนี้
คนอีสานนั้น เป็นคนจริงใจ ใครมาซื่อ-มาดี ก็จะดีและซื่อชนิดถวายหัว แต่ถ้ามาแบบหวังผล "หลอกใช้"
"มึงหลอกมา-กูก็หลอกไป"..........
ใครเคยเห็นนักการเมืองต่างถิ่นคนไหน ที่ไปแบบ "คิดตกเบ็ด" คนอีสาน แล้วอยู่รอดบ้าง ลองบอกมาซักรายซิ?
อย่าว่าแต่นักการเมืองเลย ..........
ถ้าคนอีสาน "หลอกง่าย-ต้มง่าย" ป่านนี้ ประเทศไทยเป็นคอมมูนิสต์ไปนานแล้ว ไม่ต้องรอให้ทักษิณมาสถาปนาหรอก!
ก็ทำไมล่ะ ตั้งแต่ปี ๒๕๐๐ โน่น ระบอบคอมมูนิสต์แทรกเข้าอีสานก่อนเลย
ยิ่งตอนปี ๒๕๑๐ เรื่อยไป ทางเหนือ-อีสาน โดยเฉพาะอีสาน เป็นแหล่งเพาะเชื้อโดยตรง
หลายจังหวัด หลายพื้นที่ พูดได้ว่า เป็นเขตคอมมูนิสต์ครอง!
แล้วทำไม อีสานไม่เป็นคอมมูนิสต์?
คำตอบ คือ คนอีสาน เป็นนักรัฐศาสตร์ชั้นยอดของประเทศ พวกคอมมูนิสต์มา คิดว่าล้างสมองคนอีสานง่าย ที่แท้คิดผิด
การเข้ามาของระบอบคอมมูนิสต์ทางอีสานช่วงนั้น เหมือนน้ำป่าหลากท่วมเมืองตอนนี้
ไปขวางหรือต้านทาน มีแต่คว่ำ "ทางรอด" ทางเดียวคือ ลู่ตามสถานการณ์ไปก่อน
มึงล้างสมองกูให้เป็นคอมมูนิสต์ กูก็ล้างสมองมึงให้เข้าใจว่ากูเป็น
มีแต่ต้องยืดหยุ่นแบบนั้น พวกคอมมูนิสต์มา ก็ไม่ทำร้าย ทางการบ้านมา ก็ไม่ทำลาย
ผลคือ พี่น้องอีสาน "อยู่ได้" ตามฐานานุรูป ด้วยรู้จักใช้ "รัฐศาสตร์การบ้าน-เพื่อการเมือง"!
ก็สมัยนั้น รัฐบาลทุ่มทั้งตัวไปเป็นลูกตุ้มให้สหรัฐฯ เป็นศัตรูกับจีนคอมมูนิสต์
เมื่อคอมมูนิสต์แทรกซึมเข้าอีสาน จะให้ชาวบ้านทำยังไงในปัญหาเอาตัวรอดเฉพาะหน้า?
ยืนต้นแข็งเป็นยางนา ก็หักโค่น โอนอ่อนแบบต้นอ้อ ยังพอรอด ตามหลักพระพุทธองค์ที่ตรัสสอน
"อย่าฝืนโลก จงหมุนไปตามโลก แต่อย่าติดอยู่ในโลก"
คำว่า "อย่าติดอยู่ในโลก" หมายถึง "อย่าหลงตามกระแส" ประมาณนั้นแหละ!
พอรัฐบาล หาจุดสมดุลการเมืองระหว่างประเทศลงตัว เดินนโยบายด้วยสองขาตัวเอง ไปคบค้าสมาคมกับจีน
ไทย-จีนพี่น้องกัน คอมมูนิสต์-ประชาธิปไตย "ไม่เกี่ยว"
อีสานที่ว่าแดงแจ๋ ..............
ก็ไม่เห็นมีพื้นที่-มีคนอีสานตรงไหนเป็นแดง เป็นคอมมูนิสต์ มีแต่พื้นที่ประเทศไทย คนไทยเหมือนเดิม!
อีสานอดีตกับอีสานปัจจุบัน ก็ทำนองนี้ ฉะนั้น ใครคิดหลอกคนอีสาน ถือว่าคิดผิด
ขอเพียงจริงใจ ไม่หลอกใช้กัน ให้เกียรติกัน แบบนี้จะได้ใจพี่น้องอีสาน
ฉะนั้น ใครที่พูดว่า "อีสานเป็นของผม" หลอกใช้อีสานเป็นฐานกำลัง ฐานเสียง ถึงขั้นจะแยกประเทศ ใช้บางจังหวัดทางอีสานเป็นเมืองหลวง นั้น
ตอนนี้ รู้แล้วกระมังว่า "ใครหลอกใคร"?
ต่อให้สร้างนิทาน "อุ้มโกตี๋" เป็นเชื้อปลุกระดมให้ฮาร์ดคอร์ออกมา จาก ๑-๒๕ สิงหา
ก็อย่าหวังให้ยากว่า จะมีคนตกหลุมไปให้ถูกจับเพื่อระบอบทักษิณอยู่เป็นสุข แต่คนอีสานอยู่ในคุกอีก!
โกตี๋อยู่ในลาว แต่สร้างข่าวให้เข้าใจเป็นฝ่ายไทยส่งคนไปอุ้มหาย คนเมืองไทยไม่รู้เรื่อง แต่นายจอมอยู่อเมริกา ดันรู้เป็นตุ-เป็นตะเหมือนเจาะรูดูเขาบุกจับ
รัฐบาลลาวเจ้าของประเทศก็ไม่รู้เรื่อง และถึงแม้มีใครอุ้มโกตี๋ไปจริง ตายก็ดี-อยู่ก็ดี
เรื่องของโกตี๋ ฝุ่นขี้ตีนอย่างนั้น ปั้นเป็นพระเอกหวังเขย่าประเทศ เป่าหูเสื้อแดงให้ออกมา
ถามว่า ทุเรศมั้ย...พวกหลอกสาวกให้ออกมาสร้างสถานการณ์เพื่อ "ปู" คนเดียว!
๒๕ สิงหา เป็นคำตอบสุดท้าย ปูตายหรือปูเป็น นั่นไม่เท่าไหร่?
เรื่องใหญ่ คือ "ระบอบทักษิณตาย" นั่นแหละ.

"คปต."เล็ง เพิ่มกล้องCCTV ชายแดนใต้ อีก 1800 ตัว เป็นการเช่า

"คปต."เล็ง เพิ่มกล้องCCTV ชายแดนใต้ อีก 1800 ตัว เป็นการเช่า เผย จะเชื่อมโยง บูรณาการ กว่า8 พันตัว กย.นี้ เน้น ทำเชิงรุก เพิ่มศักยภาพ การตรวจจับ สิ่งแปลกปลอม เตรียมสร้างแรงจูงใจ ให้เอกชน มี กล้องวงจรปิด

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เป็นประธานประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้(คปต.) ครั้งที่ 2/2560
พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งสถิติการเสียชีวิตในรอบปีที่ผ่านมาลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะสถิติการเสียชีวิตลดน้อยลง. เมื่อเทียบกับในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เนื่องจากการบูรณาการงานตามความต้องการของประชาชน และได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี
พร้อมกันนี้ที่ประชุมยังได้พิจารณาบูรณาการการใช้กล้องCCTV ทีวีในพื้นที่ของหน่วยงานภาครัฐ 7 หน่วยงาน เช่น กระทรวงมหาดไทย ตำรวจ กอ.รมน. ศอบต. รวมทั้งสิ้นประมาณ 6,400 ตัว โดยตัองการให้มีการเพิ่มประสิทธิภาพ ในเชิงรุก เข่น สามารถตรวจจับ สิ่งแปลกปลอม ในบริเวณใกล้เคียง ได้ด้วย
และจะมีการเช่าเพิ่มเติม จำนวนประมาณ 1,835 ตัว ซึ่งจะใช้การได้ภายในวันที่ 30 ก.ย.นี้
ทั้งนี้การเช่าจะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการปรนนิบัติบำรุง
นอกจากนี้ กำลังพิจารณา แรงจูงใจให้ เอกชน ที่มีกล้องวงจรปิด มาเชื่อมโยงกับนัฐ ในการยกเว้นภาษี อีกด้วย
เลขาฯสมช.กล่าวว่า ที่ประชุมยังได้หารือถึงการจัดกองกำลังประจำถื่น ในการดูแลความปลอดภัยและชีวิตทรัพย์สินของประชาชน
โดยเห็นชอบให้มีการจัดกำลังประจำถิ่นและกำลังประชาชน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในการเชื่อมโยงความต้องการของประชาชน ให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น
โดยกำลังดังกล่าวจะได้รับการฝึกอบรม จาก กอ.รมน. โดยกอ.รมน.จะพิจารณารายละเอียดของแผนดำเนินการฝึกอบรมและเสนอมาอีกครั้ง
///

คิวลุ้นก่อนรอดไม่รอด

คิวลุ้นก่อนรอดไม่รอด

มาตามนัดจริงๆ

ภาพมวลชนกองเชียร์หลายร้อยคนแห่มาให้กำลังใจ “น้องปู” อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในการแถลงปิดคดีด้วยวาจาเป็นนัดสุดท้าย ในคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

เสียงตะโกน “ยิ่งลักษณ์สู้ๆ” ดังลั่น

เช่นเดียวกับแกนนำสำคัญของพรรคเพื่อไทยที่มากันพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้ง “เสี่ยไก่” นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีคนดัง “เดอะเต้น” นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นางธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำกลุ่มเสื้อแดง นปช. “เสี่ยอ้วน” นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย

รวมถึง “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง ที่กำลังลุ้นคั่วแคนดิเดตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ ก็ไม่พลาดคิวสำคัญ

“นางเสือ” โผล่มาให้กำลังใจ “นางสิงห์” ด้วยเหมือนกัน

แต่ก็เป็นแค่ห้วงเวลาสั้นๆ กับ 1 ชั่วโมงเต็ม ตามถ้อยแถลงยาว 20 หน้า 6 ประเด็น อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์แถลงหักล้างข้อกล่าวหา โดยเฉพาะวรรคทองท่อนท้าย

“ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิด แต่สิ่งที่ทำคือ ใช้ประสบการณ์ของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่เกิดในต่างจังหวัด มีโอกาสได้รับรู้สัมผัสความทุกข์ยากแสนสาหัสของชาวไร่ชาวนา ซึ่งประเทศนี้เคยเรียกว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติและเรียกร้องให้คนไทยทุกคนเกื้อหนุนดูแล

และดิฉันก็ได้ทำแล้วในโครงการรับจำนำข้าว แม้การผลักดันนโยบายสาธารณะเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชาวนาครั้งนี้จะทำให้ดิฉันต้องเจ็บปวดก็ตาม ในการต้องอดทนต่อสู้คดีกับฝ่ายโจทก์ที่พยายามบิดเบือนกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม

สุดท้ายก่อนที่ศาลจะตัดสินคดีนี้ ดิฉันใคร่ขอวิงวอนศาลได้โปรดพิจารณาพิพากษาคดีนี้ตามข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐานที่เข้าสู่สำนวนโดยชอบและโดยสุจริต ไม่รับฟังการชี้นำจากฝ่ายใดๆ แม้แต่หัวหน้า คสช.ผู้กุมชะตาและอำนาจรัฐที่พูดชี้นำคนในสังคมเกี่ยวกับคดีของดิฉันเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า ถ้าเรื่องนี้ไม่ผิดแล้วจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาได้อย่างไร

ซึ่งคำพูดนี้เป็นการชี้นำเสมือนว่ามีการกระทำผิดแล้ว ทั้งๆที่ศาลยังไม่ได้ตัดสิน จึงขอความเมตตาศาลโปรดพิจารณาพิพากษายกฟ้อง”

น้ำเสียงสั่นเครือ เจือน้ำตากลางศาล

แต่จะมีผลอย่างไรต่อทิศทางของคดีหรือไม่ รออีก 24 วันได้รู้กัน

09.30 น. วันที่ 25 สิงหาคม ดีเดย์นัดชี้ชะตา

แต่ที่ต้องลุ้นตัวโก่งก่อนเลย ตามคิว 2 สิงหาคม ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่บุกล้อมอาคารรัฐสภา เมื่อปี 2551

โดยผู้ถูกฟ้องประกอบด้วยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจ นครบาล เป็นจำเลย

อีกหนึ่งคดีประวัติศาสตร์ที่อดีตนายกรัฐมนตรี 2 คนเป็นจำเลย

แถมอีกหนึ่งคนสำคัญที่สปอตไลต์ฉายส่องก็คือ พล.ต.อ.พัชรวาท น้องชายในสายเลือดของ “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม

มันจึงหนีไม่พ้นส่งผลต่อโฉมการเมืองในห้วงอำนาจพิเศษ

ด้วยเงื่อนไขที่โยงถึงภาวะทางใจของ “พี่ใหญ่” ขุมอำนาจปัจจุบัน

ตามรูปการณ์แบบที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดใหม่ที่มี พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ เป็นประธาน ต้องเผชิญกับกระแสต่อต้านอย่างหนักจากกลุ่มพันธมิตรฯ กรณีจะถอนคดีดังกล่าวออกจากศาลฎีกาฯ

มาถึงตรงนี้ก็คือยื้อไม่ไหว คดีไหลมาถึงจุดวัดดวง

แต่ทั้งหมดทั้งปวง ผลที่ออกมาคงจะเป็นบรรทัดฐานของคดีม็อบการเมืองในสถานการณ์ต่อเนื่องจากวิกฤติความแตกแยกทางการเมืองทั้งที่จ่ออยู่ในศาลและที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

ทีมข่าวการเมือง

"เลขาฯสมช."ฟันธง! แล้ว ....อุ้มหาย "โกตี๋"เป็นแค่การปล่อยข่าว



"เลขาฯสมช."ฟันธง! แล้ว ....อุ้มหาย "โกตี๋"เป็นแค่การปล่อยข่าว หวังผล เผยทางการลาว ก็ไม่มีแจ้งข่าว หรือพบเบาะแส ใดๆมา /ยัง ตืดตามสถานการณ์ หน้าศาล. แต่ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆที่ผิดสังเกตุ
พล.อ.ทวีป เนตรนิยม. เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)กล่าวถึงการตัดสินคดีสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ปี51 ว่า เราก็ได้ติดตามสถานการณ์ อย่างใกล้ชิด แต่เบิ้องต้นยังไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆ ที่ผิดสังเกตุ หรือจะก่อให้เกิดความวุ่นวาย หรือรุนแรง
ส่วนทางการลาว ได้แจ้งข้อมูลเริ่อง โกตี๋ มาเพิ่มเติมหรือไม่ พลเอกทวีป กล่าวว่า ยังไม่มีการแจ้งข่าวใดๆ มาเลย ไม่มีการยืนยันมาด้วยว่า ข่าวนี้จริงหรือไม่ หรือพบเบาะแสใด ที่เกี่ยวข้องกับ การถูกอุ้มของนายโกตี๋ เลย
"ตอนนี้ พูดได้เลยว่า เป็นการปล่อยข่าว เพื่อหวังผลอย่างแน่นอน"