PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557

วิธีการหาเพื่อนและโน้มน้าวใจคน How to win friends & influence people

ช่วงปีใหม่ ผมอ่านหนังสือเล่มนึง "วิธีการหาเพื่อนและโน้มน้าวใจคน How to win friends & influence people" โดย Dale Carnegie ครับ หลายๆ คนคงจะเคยอ่านแล้ว มีประโยชน์ดีครับ

ไม่น่าเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้เขียนเมื่อปี คศ.1936 (พศ. 2479) หรือ 77 ปีที่แล้ว แต่เนื้อหาหลายๆเรื่องยังใช้ได้ในปัจจุบันครับ

หนังสือเล่มนี้สอนศิลปะในการสื่อสารกับคนอื่นครับ แบ่งเป็นสี่บท

บทที่ 1 พื้นฐานในการปฏิบัติกับผู้อื่น
บทที่ 2 หกวิธีที่จะชนะใจคน
บทที่ 3 การทำให้คนอื่นยอมรับในความคิดของเรา
บทที่ 4 การเป็นผู้นำ: เปลี่ยนคนอื่นโดยไม่ทะเลาะกัน

ในแต่ละบทก็จะมีหลักการง่ายๆครับ เช่น บทที่ 2 การชนะใจคน
- สนใจในเรื่องของคนอื่นอย่างจริงใจ
- ยิ้ม
- พยายามจำชื่อคู่สนทนาให้ได้
- เป็นผู้ฟังที่ดี สนใจในเรื่องที่กำลังฟัง
- พูดในรูปแบบ เนื้อหาที่คนฟังเข้าใจและสนใจ
- ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า และ ทำอย่างจริงใจ

หลายๆข้อ เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาแต่หลายๆครั้ง เราก็จะพูดแต่เรื่องของตนเอง พูดในสิ่งที่เราสนใจ ฟังเพียงเพื่ิอรอโอกาสที่จะได้พูดอีกครั้ง ข้อคิดเหล่านี้บางทีก็ช่วยให้เราเตือนตัวเองได้ และ ข้อสำคัญต้องทำจากใจจริงๆ

สำหรับบทที่ 4 การเป็นผู้นำ ก็น่าสนใจครับ หลักการที่สำคัญอันหนึ่งคือ

- ยอมรับถึงความผิดพลาด บกพร่อง ของตัวเองก่อนจะวิจารณ์คนอื่น

ถ้ามีเวลา หามาอ่านกันนะครับ มีประโยชน์ทีเดียว

.


10 เทรนด์โลกชี้ทิศตลาดปีมะเมีย

โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ในโลกยุคดิจิตอลความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแค่พริบตาและมีเทรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย สำหรับปี 2557 ซึ่งตรงกับนักษัตรมะเมียหรือปีม้า ต้องจับตาดู 10 แนวโน้มหรือเทรนด์ของโลกที่ทรงอิทธิพลต่อการทำตลาด การสื่อสารและการสร้างแบรนด์ ภายใต้ความท้าทาย แบรนด์ใด หรือสินค้าใด จะสร้างสรรค์แพลตฟอร์มใหม่ๆ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง

วฤตดา วรอาคมประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านนวัตกรรม แมคแคน เวิลด์กรุ๊ป (ซีไอโอ) เปิดเผยว่า บริษัทได้ทำการวิจัยเทรนด์ทั่วโลก ภายใต้หัวข้อ "Look Ahead 2014" โดยจะมีแนวโน้มใหญ่หรือเมก้าเทรนด์ 5 แกนหลักที่เป็นตัวขับเคลื่อนและทำให้เกิดเทรนด์ใหม่ๆทั่วโลก10 เทรนด์

สำหรับเมก้าเทรนด์ที่
1.เทคโนโลยีอินไซต์ (Insightful Technology) ช่วยให้ผู้บริโภคใช้ชีวิตดีขึ้นหรือเปลี่ยนมุมมองคนให้ดียิ่งขึ้น
2.การสร้างความหมายใหม่ในโซเชียลมีเดีย(Social Wisdow) จากกระแสออนไลน์จะเริ่มมีค่านิยมใหม่จึงมีมาตรฐานใหม่นำมาใช้ชีวิตจริง
3.ภาคภูมิใจความเป็นคนเมือง (Urban Pride) ต้องการทำให้สังคมดีขึ้น ร่วมมือแก้ปัญหา และสร้างสรรค์ศิลปะ
และ
4.จริงใจแบบหมดเปลือก (Radical Honesty) คนต้องการให้สินค้าเปิดเผยหรือพูดความจริง ขณะที่
5.พลังมวลชนเพื่อความดี(Purposeful Movement) จะเกิดกระแสการพูดถึงจิตวิญญาณเพื่อผู้บริโภคใช้ชีวิตได้ดีและโลกน่าอยู่ โดยสามารถแตกเป็น 10 เทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปีหน้านี้
เทรนด์แรก คือ ข้อมูลจะมีบทบาทสำคัญในโลกการตลาดช่วยให้เจาะลึกพฤติกรรมของผู้บริโภครายบุคคล ผ่านการใช้สื่อดิจิตอลข้ามผ่านหลายจุดสัมผัสเพราะเป็นเครื่องมือช่วยคาดการณ์ความต้องการอนาคตของผู้บริโภคได้ดี เทรนด์ที่สองนวัตกรรมของสกรีนทุกอุปกรณ์ อาทิ ทีวี โทรศัพท์มือถือคอมพิวเตอร์ และโซเชียลมีเดีย จะแข่งขันสร้างเนื้อหาเพื่อดึงดูดผู้ชม
ในปีหน้านี้จะเกิดสงครามหน้าจอกันขึ้น เนื้อหาแต่ละอุปกรณ์ต้องมีความแตกต่างตอบโจทย์ผู้บริโภค เช่น ดูทีวีต้องการเนื้อหาที่ผ่อนคลาย คอมพิวเตอร์ ต้องการข้อมูลและทำให้เกิดการเรียนรู้ โทรศัพท์ ต้องการแอพพลิเคชั่นเชื่อมโยงกับเพื่อนหรือสังคมและแท็บแล็ตต้องการค้นหาสิ่งใหม่ๆ
ผลจากกระแสความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ผู้บริโภคมองหาคุณค่านอกเหนือจากเงิน จึงเกิดเทรนด์ที่สาม เงินตระกูลใหม่ในโลกดิจิตอล ผู้บริโภคจะสร้างคุณค่าขึ้นมาเองผ่านการแชร์ไอเดีย การใช้โซเชียลมีเดีย และแลกเปลี่ยนกันขึ้นในโลกดิจิตอล ที่ผ่านมาหลายแบรนด์เริ่มนำมาใช้ทำการตลาดมากขึ้น เพราะผู้บริโภคอยากได้ของที่คนอื่นไม่มีและเงินซื้อไม่ได้
ขณะที่เทรนด์สี่ มิติใหม่ของคำว่าเวลาจะสั้นลง ผู้บริโภคมองเวลาในมิติที่สั้นลง การรับรู้โฆษณาสั้นลง ต้องการทุกอย่างตามเวลาจริง ถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการสื่อสารแบรนด์ที่ต้องให้ความสำคัญกับลูกเล่นเรื่องเวลาให้เข้าถึง และจากความเครียดของสังคมเมือง จึงเกิดเทรนด์ที่ห้าวิถีชีวิตคนเมืองมีชีวิตจิตใจ มีน้ำใจ เป็นโอกาสที่ดีของการทำตลาดมีส่วนร่วมช่วยสังคม
วฤตดา กล่าวว่า การก้าวเข้าสู่เทคโนโลยีส่งผลให้เกิดเทรนด์ที่หก คือ ดิจิตอลพัฒนาจิตวิญญาณ เกิดการพัฒนา

แอพพลิเคชั่นช่วยให้ผู้บริโภคใช้ชีวิตได้ดีขึ้น เป็นบทบาทใหม่ของแบรนด์ในการทำหน้าที่ช่วยให้ชีวิตของคนดีขึ้น และจากการที่ผู้บริโภครับสารหลายด้านทั้งลบและบวกจึงเกิดเทรนด์ที่เจ็ด เชื่อในสิ่งที่เห็นด้วยตัวเอง

จัดว่าเป็นเทรนด์ที่มีอิทธิพล นับว่าเป็นไฮไลต์ของปีหน้าเพราะเป็นจุดเปลี่ยนการตลาดและโฆษณา สินค้าต่างๆ จะออกมาสื่อสารความจริงหรือในสิ่งที่มีความเคลือบแคลงใจและทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกเอง และเทรนด์ที่แปด เสน่ห์แห่งความไม่สมบูรณ์แบบ กระแสผู้บริโภคจะกลับสู่ความเรียบง่าย ความไม่สมบูรณ์กลายเป็นเสน่ห์

จากปีนี้ที่ใครๆ ต่างเกาะติดกระแสเซลฟ์ฟี่หรือความลุ่มหลงตัวเอง แต่ปีหน้าจะเกิดเทรนด์ที่เก้า คือ ลดการใส่ใจตัวเองมาสู่ใส่ใจสังคม ผู้บริโภคจะหันมาใส่ใจสังคม ช่วยผู้ด้อยโอกาส และสิบ จุดยืนใหม่แบรนด์โปร่งใสแก้ปัญหาสังคม จะเป็นปัจจัยการตัดสินใจซื้อสินค้า

นอกจากนี้ ยังมีตัวเลขที่น่าสนใจ การสำรวจงบโฆษณาทั่วโลกจากZenith Optimedia
พบว่า งบในสื่ออินเทอร์เน็ตเพิ่มเป็นอันดับสองของโลกเพิ่มจากสัดส่วน 5.6% ปี 2548 เป็น 20.5% แทนที่หนังสือพิมพ์สัดส่วน 29.1% เหลือเป็น 17% ขณะที่สื่อทีวียังเป็นอันดับหนึ่งเพิ่มจาก 36.8% เป็น 40.2% เพราะคนเริ่มดูทีวีทางออนไลน์

ด้านการสร้างเนื้อหา ปีหน้าต้องเชื่อมโยงให้เหมาะกับแต่ละอุปกรณ์ เช่น ทีวี มือถือ คอมพิวเตอร์ โดยหัวใจสำคัญอยู่ที่สร้างโซลูชั่นใหม่ๆ ที่มีประโยชน์ก้าวล้ำคู่แข่งรวดเร็วเข้าถึงเทรนด์ รวมทั้งยังสามารถพิชิตใจและยอดขายควบคู่กันนั่นเอง

ชวน ไม่หลีกภัย พร้อมชน


“หากประชาชนไม่เลือกเราเพราะเราไม่เห็นด้วยกับการยกเว้นโทษให้บุคคลที่ทำผิด ก็ไม่เป็นไร เพราะดีกว่าประชาชนเลือกเราเพราะเห็นด้วยกับการเว้นโทษให้กับคนเผาบ้านเผาเมือง สำหรับพื้นที่ภาคเหนือ ที่ผมเคยโดนคนปาไข่ เลือกตั้งครั้งนี้ผมต้องไปอีก เพราะวันนี้เรามีประวัติศาสตร์แล้วว่าคนที่ปาไข่เขาได้รับการลงโทษ ล่าสุดทราบว่าถูกตัดสินให้จำคุก อย่าไปกลัว ชนไปทุกหน้า เพื่อทำให้รู้ว่าเราไม่ยอมให้อันธพาลมาครองเมือง” ชวน หลีกภัย

////////////
เสื้อแดงลำปาง เข้ามอบตัว 3คนหลังตำรวจจี้ติดก่อเหตุป่วน ปาไข่ใส่ "ชวน หลีกภัย" เผยยังอีก 10 คนเบื้องต้นยังระบุ ไม่ได้ใครปาไข่

เมื่อเวลา 11.30 น. วันนี้(12 มี.ค.2552) ที่สภ.เมืองลำปาง นายสมศักดิ์ ณ ลำปาง อายุ 46 ปีราษฎร ต.เวียงเหนือ อ.เมือง ลำปาง นายปริญญา สนิทธ์สกุล อายุ 52 ปี ราษฎร ต.หัวเวียง อ.เมือง ลำปาง สมาชิก "ชมรมคนรักลำปาง 51" ได้เข้ามอบตัวกับตำรวจ โดยมี พล.ต.ต.อรรถกิจ กรณ์ทอง ผบก.ภ.จว.ลำปาง พ.ต.อ.นันทวิทย์ เทียมบุญธง ผกก.สภ.เมืองลำปาง พ.ต.ท.โสภณ ผลกันทา รองผกก.(ป.) ก่อนจะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยมีแกนนำชมรมคนรักลำปาง 51 พาสมาชิกมามอบตัว

จากนั้นได้นำตัวให้มอบให้ พ.ต.ท.สันติ จันทร์ศักดิ์ พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีทำการสอบสวน โดยมีนายอินจันทร์ ตนคูล อายุ 45 ปี ราษฎร ต.บ่อแฮ้ว อ.เมือง ลำปาง ซึ่งเข้ามอบตัวก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2552 และแจ้งข้อหา ”มั่วสุมกันตั่งแต่ 10 คน ขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองแก่ทั้ง 3 คน

โดยทั้ง 3 คน เป็นบุคคลในภาพถ่ายที่ทางตำรวจได้พยายามติดตามตัวมาสอบสวนเพื่อดำเนินตามกฎหมาย เนื่องจากทั้ง 3 คน เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่สร้างความวุ่นวาย ช่วงที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ได้ลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส.เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2552 ที่ผ่านมาและเกิดการปาสิ่งของและไข่ไก่ เหตุเกิดที่บริเวณตลาดสดน้ำโท้ง ต.บ่อแฮ้ว อ.เมือง จ.ลำปาง ซึ่งมีทั้งหมด 13 คน และได้เดินทางมามอบตัวกับตำรวจแล้ว 3 คน  

พ.ต.อ.นันทวิทย์ เทียมบุญธง ผกก.สภ.เมืองลำปาง กล่าวว่า ภาพถ่ายที่ตำรวจมีอยู่จะให้ทางแกนนำชมรมคนรักลำปาง 51 ดู เพื่อขอความร่วมมือและมีบางคนไม่ใช่สมาชิกของชมรมคนรักลำปาง 51 และมาจากพื้นที่อื่น ๆ ส่วนคนที่เข้ามามอบตัว ทางแกนนำชมรมคนรักลำปาง 51 เป็นผู้ประสาน เพื่อเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

สำหรับข้อหาดังกล่าวจะมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วน อีก 10 คน ที่เหลือและยังไม่ทราบว่าเป็นใคร ทางตำรวจจะได้ทำการสืบสวนติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป และหากใครทราบว่าขอให้เดินทางมามอบตัว ซึ่งจะเป็นการให้ความร่วมมือกับทางตำรวจและเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง

ด้าน พล.ต.ต.อรรถกิจ กรณ์ทอง ผบก.ภ.จว.ลำปาง กล่าวว่า การเข้ามอบตัวของทั้ง 3 คน ถือว่าเป็นสิ่งดี เพราะจะทำให้เป็นผลดีต่อการทำงานของตำรวจ และเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีอย่างมาก แต่ต้องมีการสอบสวนอีกทีว่าผู้ที่ก่อเหตุวุ่นวายทั้งหมด 13 คนนั้น จะเป็นผู้ที่ปาไข่หรือไม่ ซึ่งไม่สามารถที่ระบุได้ว่าใครใน 13 คน จะเป็นผู้ปาไข่ ซึ่งจะต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน

ส่วน นายสหรัฐ นนทมา เลขาธิการชมรมคนรักลำปาง 51 กล่าวว่า ในการนำสมาชิกทั้ง 3 คนเข้ามอบตัวในครั้งนี้ เป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจว่ากลุ่มคนเสื้อแดง ชุมนุมอย่างสันติวิธี ปราศจากอาวุธและสิ่งเสพติดทุกชนิด กรณีมีผู้ปาไข่ หรือ สิ่งของเข้าใส่บุคคลสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ตนและทางชมรมฯ ไม่ทราบว่าเป็นใคร

ซึ่งการชุมนุมในครั้งนั้น ไม่ได้เป็นการชุมนุมที่จะหมายอาฆาตมาดร้ายใคร โดยเฉพาะคนของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นการชุมนุมที่เกิดจากพลังของประชาชน ที่จะเรียกร้องประชาธิปไตยกลับคืนมาเท่านั้น เมื่อทางตำรวจประสานขอความร่วมมือมาทางชมรมฯ ก็ไม่ขัดอะไร และได้ร่วมกันประสานบุคคลในภาพที่รู้จัก เพื่อเข้ามอบตัว ส่วนบุคคลที่เหลือที่ไม่รู้จักทางตำรวจจะต้องติดตามหาตัวต่อไป


http://www.youtube.com/watch?v=Aaoo-rbpDBA#t=15

ปานเทพ:ปฏิทินทางการเมืองที่สำคัญต้องจับตา

1 มกราคม 2557 วันสุดท้ายปิดสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ระบบเขต ปรากฏว่าจะมี 28 เขตเลือกตั้งที่ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ หมายความว่าจะมีจำนวน ส.ส.ไม่ครบ 95% (ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 93 วรรค 7)เท่ากับไม่มีสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ เปิดประชุมสภาไม่ได้ จึงเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ไม่ได้ เมื่อ กกต.ประกาศไม่เลื่อนกำหนดวันเลือกตั้ง และให้ทุกฝ่ายเจรจากันก่อน หมายความว่าถ้าประชาชนใน 28 เขตเลือกตั้งยังยืนยันในเจตนารมณ์เดิมที่จะให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งได้สำเร็จ ก็จะไม่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าอำนาจจากสภาชุดใหม่และรัฐบาลชุดใหม่ตีอไป(ตราบใดทีีประชาชนยังยืนหยัดได้)

กปปส. จึงเหลือภารกิจอีกสองด้าน คือกำจัดรัฐบาลรักษาการชุดนี้ และสถาปนาอำนาจใหม่ที่ไม่ใช่ระบอบทักษิณ

7 มกราคม 2557 ปปช.จะลงมติแจ้งข้อหา 381 สส. สว. รัฐมนตรีคดี แก้ รัฐธรรมนูญ ที่มาของวุฒิสภา ในประเด็นนี้ ถ้าปปช.มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหา 381 ส.ส. และ ส.ว.รัฐธรรมนูญมาตรา 272 วรรค 4 บัญญัติเอาไว้ว่า:

"ถ้าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ว่าข้อกล่าวหาใดมีมูล นับแต่วันดังกล่าวผู้ดำรงตำแหน่งที่ถูกกล่าวหาจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้จนกว่าวุฒิสภาจะมีมติ และให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติส่งรายงานและเอกสารที่มีอยู่พร้อมทั้งความเห็นไปยังประธานวุฒิสภาเพื่อดำเนินการตามมาตรา ๒๗๓ และอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป"

ความจริงเมื่อนายกรัฐมนตรีได้ยุบสภาไปแล้ว การแจ้งข้อกล่าวหาในส่วนของ ส.ส.ไม่ค่อยมีผลเท่าใดนัก (เพราะ ส.ส.หยุดปฏิบัติหน้าที่ไปตามการยุบสภาแล้ว) แต่การชี้มูลในส่วนของ ส.ว.ที่ร่วมกันกระทำความผิดในระบอบทักษิณจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าวุฒิสภาจะมีมติตรงนี้มีความหมายมากกว่า

คราวนี้เนื่องจากผู้ที่ถูกถอดต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไป เสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภา"เท่าที่มีอยู่"จึงย่อมไม่ใช่ฝ่ายระบอบทักษิณอีกต่อไป และอาจถอดถอน ส.ส.และส.ว. สำเร็จเป็นครั้งแรกก็ได้ แต่ถ้า ปปช.ไม่ชี้มูลประเด็นนี้การถอดถอนไม่ว่าจะเป็นใครในระบอบทักษิณก็ตามไม่มีทางสำเร็จได้

แต่ก็นั่นแหละถึงแม้จะรีบลงมติถอดถอนไปได้สำเร็จ กกต.ก็ต้องจัดการเลือกตั้งซ่อมใหม่อยู่ดี ดังนั้นหาก ปปช.ลงมติแจ้งข้อกล่าวหา การที่ ส.ว.เท่าที่มีอยู่คาเรื่องนี้ไว้ให้ ส.ว.ฝ่ายระบอบทักษิณหยุดปฏิบัติหน้าที่ต่อไปอาจเกิดประโยชน์กว่าสำหรับการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชน

เว้นเสียแต่ว่า กกต.ทั้ง 5 คนตัดสินใจลาออกหลังจากวันที่ ปปช.แจ้งข้อกล่าวหา 381 คน ก็จะทำให้จัดการเลือกตั้งซ่อมไม่ได้ และรับรองผลการเลือกตั้งก็ไม่ได้ และถ้าจะคัดสรรตามรัฐธรรมนูญมาตรา 231 กกต.ชุดใหม่ในระหว่างนั้นก็น่าเชื่อได้ว่าจะไม่ใช่ ส.ว.ฝ่ายระบอบทักษิณอีกต่อไป เพราะตัวแทนฝ่ายการเมืองทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านไม่มี และ ส.ว.เท่าที่เหลืออยู่และไม่ใช่คนในระบอบทักษิณจะลงมติในท้ายที่สุด

8 มกราคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ในประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้น่าเชื่อได้ว่ามีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับมหาอำนาจที่พยายามจะมีอิทธิพลอยู่ในภูมิภาคนี้ ประเทศเหล่านี้พยายามหนุนหลังรัฐบาลย่ิงลักษณ์เพราะเชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 สามารถทำให้สัญญาระหว่างประเทศลัดขั้นตอน ปิดหูปิดตาประชาชน เอื้อประโยชน์แก่ชาติอื่นได้ง่าย (เหมือนเซ็นเช็คเปล่า) ดังนั้นหากศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นการกระทำความผิด จะเกิดประโยชน์ 3 ประการ

1. เป็นไปตามข้อความที่ว่า "ให้นึกถึงส่วนรวม และความเป็นไทยไว้เสมอ"
2. ทำให้ต่างชาติหมดแรงจูงใจในข้อตกลงกับฝ่ายระบอบทักษิณที่ผ่านมา
3. สามารถดำเนินคดีอาญาอีก 1 คดีกับเหล่า ส.ส.และ ส.ว.

แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ผู้ที่จะเข้ามาสู่อำนาจต่อไปหากไม่ใช่ถูกชักจูงด้วยผลประโยชน์ได้ง่าย ก็จะถูกบีบให้ทำสัญญาโดยหมดข้ออ้างว่าต้องทำตามขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เสียก่อน

10 มกราคม 2557 ประธานสภาผู้แทน,ประธานวุฒิสภา เข้ารับทราบข้อกล่าวหากับ ปปช. เป็นผลต่อเนื่องจากวันที่ 26 ธันวาคม 2556 ที่ ปปช.ได้ลงมติแจ้งข้อกล่าวหาเอาไว้ แต่ตรงนี้หากวันที่ 7 มกราคม 2557 ปปช.ไม่ได้มีมติแจ้งข้อกล่าวหา ส.ส.และ ส.ว. 381 คน ต่อให้ในวันหนึ่งประธานวุฒิสภาคนนี้พ้นจากตำแหน่งไป ส.ว.เสียงข้างมากเหล่านี้ก็จะเลือก ประธานส.ว.ฝ่ายระบอบทักษิณกลับมาอยู่ดี

ตำแหน่งประธานวุฒิสภาในเวลานี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยามที่อาจเกิดสุญญากาศอันเกิดจากการยุบสภา+เลือกตั้งไม่สำเร็จ+คณะรัฐมนตรีรักษาการพ้นจากตำแหน่ง รองประธานวุฒิสภาผู้ที่ทำหน้าที่ประธานวุฒิสภาจะเป็นผู้ขอใช้มาตรา 7 เพื่อทำให้เกิด"นายกรัฐมนตรีเพื่อปฏิรูปประเทศไทย"ในยามที่ไม่สามารถใช้บทบัญญัติใดๆตามรัฐธรรมนูญได้เมื่อเกิดสุญญากาศทางการเมืองรอบด้าน

เมื่อถึงวันที่ 10 มกราคม 2557 ถ้าทุกอย่างดำเนินตามไปตามข้างต้น ก็จะเหลือขั้นตอนต่อไปที่สำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน คือจะให้คณะรัฐมนตรีรักษาการลาออกทั้งคณะได้สำเร็จหรือไม่? เพราะต้องไม่ลืมว่าถึงแม้ ปปช.จะชี้มูลเรื่องต่างๆข้างต้น การหยุดปฏิบัติหน้าที่ซึ่งถูกกล่าวหานั้นยังอาจถูกตีความจำกัดเฉพาะหน้าที่ของ ส.ส.ไม่ใช่หน้าที่ของรักษาการนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี

ถ้าวันที่ 13 มกราคม 2557 เป็นต้นไป กปปส.สามารถชุมนุมปิดกรุงเทพหลายวันแล้วทำให้คณะรัฐมนตรีลาออกทั้งคณะได้ก็โชคดีไป แต่ถ้าคณะรัฐมนตรีหน้าด้านและหน้าทน คนกรุงเทพก็อาจเดือดร้อนจนกระแสตีกลับได้ ก็อาจต้องคิดเรื่องการใช้มวลชนออกปฏิบัติการกับนักการเมืองในระบอบทักษิณโดยตรงอาจได้ผลมากกว่า (ยังมีเวลาคิด) และช่วยกันเร่งให้ ปปช.ชี้มูลคดีกับคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ เช่น การทุจริตโครงการจำนำข้าว, โครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ฯลฯ

แต่ถ้าคิดถึงขั้นจะปฏิวัติประชาชนสถาปนาอำนาจรัฐาธิปัตย์ได้ ผมยังเห็นว่า "เนื้อหาการปฏิรูปการเมือง"คือการครองใจประชาชนที่แท้จริง (ปฏิรูปการปราบทุจริต, ปฏิรูปตำรวจ, ปฏิรูปพลังงาน) มีความสำคัญมากเสียยิ่งกว่า"รูปแบบ"ของการเข้าสู่อำนาจรัฐเพื่อการปฏิรูปเสียอีก เพราะถ้ามุ่งเน้น"รูปแบบ"มากรัฐบาลก็ประชันแข่งด้วย "รูปแบบ"อย่างที่ทำอยู่ในขณะนี้เช่นกัน

เมื่อครองใจประชาชนส่วนใหญ่ได้แล้วจึงจะลดความเสียหายในการเข้าสู่อำนาจรัฐใหม่ได้ ลดความเสียหายที่อาจเกิดจากสงครามระหว่างประชาชน 2 ฝ่าย เพราะศึกครั้งนี้แท้ที่จริงแล้วคือสงครามช่วงชิง"ความชอบธรรม"เพื่อครองใจประชาชน

ขอให้มวลมหาประชาชนทุกคน ทุกจังหวัด กปปส. กปท. คปท. พี่น้องพันธมิตรฯ ประสบความสำเร็จในสิ่งที่หวัง โชคดี และปลอดภัย

ถนอม นวลอนันต์ นักแสดงอาวุโส เสียชีวิต

ถนอม นวลอนันต์ นักแสดงอาวุโส เสียชีวิตด้วยโรคเบาหวานแทรกซ้อนมะเร็งเม็ดเลือดขาว พระราชทานเพลิง 6 ม.ค.นี้

เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา จ.ส.ต.ถนอม นวลอนันต์ นักแสดงอาวุโส วัย 82 ปี ได้เสียชีวิตอย่างสงบ ที่โรงพยาบาลนนทเวช ด้วยโรคเบาหวานแทรกซ้อนด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว