PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2561

วิเคราะห์ : “เวลคัม ทู เลือกตั้ง” จากอุบลฯ ถึงโคราช เพื่อไทย-พปชร.-ภท. ประดาบก็เลือดเดือด

วิเคราะห์ : “เวลคัม ทู เลือกตั้ง” จากอุบลฯ ถึงโคราช เพื่อไทย-พปชร.-ภท. ประดาบก็เลือดเดือด


เข้าสู่เดือนกันยายน 2561 เดือนแห่งการคลายล็อก
คสช.เตรียมออกคำสั่งมาตรา 44 เปิดรูระบายให้พรรคการเมืองขยับทำกิจกรรม “บางอย่าง” ได้ในช่วงเดือนกันยายนถึงธันวาคม รวมถึงการแบ่งเขตเลือกตั้ง และทำไพรมารีโหวตตามหลักเกณฑ์รูปแบบใหม่
คำสั่งคลายล็อกจะมีขึ้นหลังจากร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
จากนั้นนับต่อไปอีก 90 วัน เมื่อ พ.ร.ป.มีผลใช้บังคับเป็นทางการ จึงจะ “ปลดล็อก” ทั้งหมด ให้พรรคการเมืองหาเสียงเลือกตั้งได้เต็มรูปแบบ
คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.คาดว่าจะมีการประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ส.ส. ได้ในวันที่ 4 มกราคม 2562 และจะมีการเลือกตั้งวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 หรืออย่างช้า 5 พฤษภาคม 2562
ถึงจะเป็นเพียงการคลาย ไม่ใช่การปลดล็อก
แต่ก็เพียงพอกับการเป็นสารตั้งต้น กระตุ้นให้นักการเมือง พรรคการเมือง ไม่ว่าขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก พรรคเก่า หรือพรรคใหม่ คึกคักขึ้นมาทันที
โดยเฉพาะเหตุการณ์ในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี และ จ.นครราชสีมา คือสัญญาณบ่งบอกอย่างหนึ่ง
“เวลคัม ทู เลือกตั้ง”
สําหรับพื้นที่จังหวัดซึ่งถูกยกให้เป็นประตูสู่ภาคอีสาน
ในการเลือกตั้งปี 2554 จ.นครราชสีมา มีจำนวน ส.ส.ทั้งสิ้น 15 คน แบ่งเป็นพรรคเพื่อไทย 8 ชาติพัฒนา 4 และภูมิใจไทย 3
ในการเลือกตั้งครั้งหน้าซึ่งคาดกันว่าจะมีขึ้นระหว่างกุมภาพันธ์-พฤษภาคม 2562 จากข้อมูลไม่เป็นทางการ ส.ส.นครราชสีมาจะปรับลดลงเหลือ 14 ที่นั่ง ตามการคำนวณของ กกต.
ถึงลดลง 1 ที่นั่ง จ.นครราชสีมาก็ยังเป็นจังหวัดที่มีจำนวน ส.ส.มากที่สุดอันดับสอง รองจากกรุงเทพมหานคร ซึ่งมี ส.ส. 33 ที่นั่งในการเลือกตั้งปี 2554
ด้วยพื้นที่การเมืองขนาดใหญ่ ทำให้ทุกครั้งในการเลือกตั้ง จ.นครราชสีมา จึงเป็นเป้าหมายพรรคการเมืองแทบทุกพรรค เนื่องจากมีที่นั่ง ส.ส.ให้แย่งชิงจำนวนมาก
เมื่อต้องแย่งชิง การต่อสู้จึงดุเดือด
ล่าสุดนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน อดีตแกนนำ นปช. ซึ่งได้กล่าวถอนคำสาบานเลิกเล่นการเมือง

ย้ายเข้าไปร่วมภารกิจกับกลุ่มสามมิตรในการขับเคลื่อนพรรคพลังประชารัฐ สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ พร้อมชาวบ้าน อ.ครบุรี และ อ.เสิงสาง
นำหลักฐานเข้ายื่นร้องต่อสำนักงาน กกต.นครราชสีมา ให้สอบสวนข้อเท็จจริงและดำเนินการกับผู้กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และขอให้ “ยุบ” พรรคภูมิใจไทย
นายสุภรณ์อ้างได้รับร้องเรียนพฤติการณ์ของว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ทั้งแบบเขตและบัญชีรายชื่อ จงใจกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ขัดคำสั่ง คสช. และไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ
ด้วยการจ้างอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) เก็บบัตรประจำตัวประชาชน โดยให้ค่าตอบแทนรายละ 50-100 บาท เพื่อนำไปสมัครสมาชิกพรรค
ทั้งยังนำชาวบ้านพื้นที่ อ.ครบุรี และ อ.เสิงสาง ไปเที่ยวต่างจังหวัด เพื่อหวังผลทางการเมือง
หาเสียงให้กับตนเองและพรรค
การเคลื่อนไหวต่อสู้ในสนามการเมือง จ.นครราชสีมา ยังเป็นไปในลักษณะศึกสามเส้า
เมื่อนายประเสริฐ จันทรรวงทอง นายโกศล ปัทมะ อดีต ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย และนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรค
เข้ายื่นคำร้องและเอกสารเพิ่มเติมต่อ กกต.กลาง ขอให้ตรวจสอบกรณีกลุ่มการเมืองและพรรคการเมืองดำเนินการส่อทุจริตซื้อเสียงล่วงหน้าในพื้นที่ จ.นครราชสีมา
เมื่อดูจากประเด็นคำร้อง น่าจะเป็นข้อมูลที่ได้รับจากชาวบ้านในพื้นที่ชุดเดียวกับที่แรมโบ้อีสาน แห่งกลุ่มสามมิตรนำไปยื่นร้องต่อ กกต.นครราชสีมา
ต่างกันตรงพรรคเพื่อไทยแค่ยื่นร้องขอให้ กกต.เข้าไปตรวจสอบ เพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดพฤติการณ์ทำนองนี้ในพื้นที่จังหวัดอื่นๆ แต่กลุ่มสามมิตรเล่นแรงถึงขั้นให้ “ยุบพรรค”
เมื่อมุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน เมื่อแรงมาก็แรงกลับ
จึงไม่แปลกที่แรมโบ้อีสาน สมาชิกกลุ่มสามมิตรจะได้รับการตอบโต้จากแกนนำพรรคภูมิใจไทย ด้วยคดีฟ้องร้องหมิ่นประมาททำให้เสื่อมเสีย
นายศุภชัย ใจสมุทร รองเลขาธิการพรรคภูมิใจไทยระบุ การร้องเรียนของนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ เป็นความเท็จ ใส่ร้ายป้ายสีพรรคภูมิใจไทย

ขณะที่นายสรอรรถ กลิ่นประทุม ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการบังคับใช้ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และคนที่ผู้กล่าวหาระบุจะมาเป็นผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ก็ยังไม่ได้เป็น เพราะกระบวนการคัดสรรผู้สมัครยังไม่เกิด จึงเป็นการกล่าวหาให้เสียหาย ต้องดำเนินการทางกฎหมายเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
ถึงไม่ได้ประกาศจุดยืนชัดเจนเหมือนกลุ่มสามมิตร แต่จากท่าทีแกนนำพรรค โดยเฉพาะหลัง ครม.สัญจรบุรีรัมย์-สุรินทร์ พรรคภูมิใจไทยก็ได้รับการจัดหมวดหมู่ทางการเมืองให้อยู่กับฝ่ายสนับสนุน “ผู้มีอำนาจ” เช่นเดียวกับกลุ่มสามมิตร
เหตุขัดแย้งทางการเมืองใน จ.นครราชสีมา จึงก่อให้เกิดข้อสงสัย เพราะแทนที่กลุ่มสามมิตรจะผนึกกำลังกับพรรคภูมิใจไทย เพื่อเล่นงานพรรคเพื่อไทย
กลับกลายเป็นกลุ่มสามมิตรปรองดองกับพรรคเพื่อไทย เปิดศึกเล่นงานพรรคภูมิใจไทย
กรณีนี้จะมีเงื่อนปมการเมืองอื่นซุกซ่อนอยู่หรือไม่ หรือเป็นแค่การตอกย้ำให้เห็นว่าภายใต้สมรภูมิการเมือง ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร แต่เป็นเรื่องเกมแข่งขัน
ที่ทุกคนล้วนต้องการเป็นผู้ชนะ
การ “ประดาบ” โดยยังไม่ทันได้คลายล็อก
ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ยังต้องจับตาต่อไปทั้งในประเด็นการร้องยุบพรรค การฟ้องกลับผู้กล่าวหา รวมถึงท่าทีของ กกต.จะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร
ขณะเดียวกันใน จ.อุบลราชธานี ก็มีเรื่องน่าสนใจให้ติดตาม
สืบเนื่องจากนายสมคิด เชื้อคง อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย เรียกร้อง คสช.และกระทรวงกลาโหมตรวจสอบ
กรณีกองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 22 (มทบ.22) นำสิ่งของจากทางราชการแจกจ่ายให้กับประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม อ.ม่วงสามสิบ และ อ.เขื่องใน
โดย “หนีบ” เอาคนพรรคพลังประชารัฐร่วมขบวนไปด้วย
ทั้งยังเรียกร้องให้ กกต.และกระทรวงมหาดไทยในฐานะต้นสังกัดตรวจสอบ กรณี “บิ๊กข้าราชการ” จังหวัดอุบลราชธานี ให้คนของพรรคพลังประชารัฐไปเดินตามในงาน พอ.สว.
อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยระบุ คนที่ไปร่วมขบวนกับทหารแจกสิ่งของให้ชาวบ้าน คือคนเดียวกับที่ไปต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อครั้งลงพื้นที่สัญจรอุบลราชธานี
ถึงแม้นายชวน ชูจันทร์ ผู้จดจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐจะออกมาปฏิเสธ แต่นายสมคิดอ้างเรื่องดังกล่าวมีภาพถ่ายและคลิปวิดีโอเป็นหลักฐานยืนยันชัดเจน
ขณะเดียวกันในกรณีกลุ่มสามมิตร ซึ่งถูกครหาเป็น “เด็กเส้น” เดินสาย “ดูด” อดีต ส.ส.อย่างเปิดเผย
ล่าสุดยังปรากฏภาพถ่ายแกนนำกลุ่มมือถือไมค์ คล้องพวงมาลัยดอกดาวเรือง ยืนพูดอยู่บนขบวนรถแห่ในพื้นที่ อ.เกษตรสมบูรณ์ จ.ชัยภูมิ
ซึ่งต่อมา นายภิรมย์ พลวิเศษ แกนนำกลุ่มสามมิตรชี้แจงเบื้องหลังภาพถ่ายดังกล่าว
ไม่ได้เป็นการปราศรัยเปิดตัวผู้สมัคร ไม่ใช่การหาเสียงเพื่อหวังผลทางการเมือง แต่เป็นการลงพื้นที่รับฟังปัญหาจากชาวบ้านในพื้นที่เท่านั้น
พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล คสช. เรียกร้องให้มีการตรวจสอบเรื่องให้กระจ่าง โดยเฉพาะกรณีที่เกิดขึ้นใน จ.อุบลราชธานี และชัยภูมิ
เนื่องจากที่ผ่านมา นักการเมืองแกนนำกลุ่มสามมิตรและพรรคพลังประชารัฐ ประกาศจุดยืนอุดมการณ์ชัดเจนว่าพร้อมสนับสนุนการสืบทอดอำนาจ และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
อีกทั้งมีความเป็นไปได้สูงต่อการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เตรียมประกาศอนาคตทางการเมือง ด้วยการตัดสินใจเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งขับเคลื่อนโดยกลุ่มสามมิตร
เมื่อเป็นเช่นนี้ การดำเนินการทางการเมืองไม่ว่าในนามกลุ่มสามมิตรหรือในนามพรรคพลังประชารัฐ ยิ่งจำเป็นต้องระมัดระวังไม่ให้กระทบไปถึงการวางอนาคตของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ขณะที่ กกต.ในฐานะผู้คุ้มกฎการเลือกตั้ง ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าการทำหน้าที่ของตน ไม่อยู่ภายใต้การแทรกแซงของผู้มีอำนาจจากการรัฐประหาร ที่มีความประสงค์ต้องการสืบทอดอำนาจนั้นต่อไป
เพียงประดาบก็เลือดเดือด
สะท้อนการเลือกตั้ง เดิมพันสูงอย่างยิ่ง

นิวส์โน้ต : สุดท้ายไม่ท้ายสุด!

นิวส์โน้ต : สุดท้ายไม่ท้ายสุด!



หัวหน้าทีม 21 อรหันต์ มีชัย ฤชุพันธุ์ เปิดใจอำลา
ลั่นหวังว่า ไม่มีเหตุให้มี กรรมการร่างรัฐธรรมนูญอีก ชุดนี้ควรเป็นชุดสุดท้าย
ตีความคำพูด ความหมาย
คงไม่อยากเห็น ป.ว. ฉีกทิ้ง ตั้งชุดร่างอีก
แต่ถ้าฝัน ให้อยู่คงกระพัน อย่างที่เขียนล็อกแน่น แก้ยากละก็
คงเป็นฝันร้ายมากกว่าฝันดี
นักวิชาการ ฝ่ายการเมืองรุมชี้ ฉบับนี้มีจุดอ่อน พร่องประชาธิปไตย
ปมคนนอก ส.ว.แต่งตั้ง ไม่รู้กี่จุดต่อกี่จุด
ที่ข้องใจก็จีเนียส หลักแหลมจากดาวไหน ถึงได้คิดได้ ร่างได้แหวกสากล อารยประเทศ
รัฐธรรมนูญที่จะอยู่ได้ยาว ประชาชนต้องมีส่วนร่วมออกแบบ

รู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ หวงแหน ไม่อยากให้ใครมารื้อ ลบทำลาย
ฉบับนี้ปลายๆ ผ่านประชามติก็จริง แต่เนื้อในไฟเขียว มีคำถามเยอะ
กล่าวสำหรับคนร่าง
ไม่ผิดหรอก ที่อยากให้ใช้ยาวไป
แต่จะถึง 2 ทศวรรษเท่ายุทธศาสตร์หรือไม่ เป็นหนังสั้น หนังยาวที่ต้องติดตามฉากต่อไป
เมื่อภูมิคุ้มกันลด คงเห็นแววอะไรบางอย่าง
อาจารย์ร่างมาเยอะ ฉบับนี้จะเป็นมรดกดี หรือร้าย
ฝากผลงานให้คนได้จดจำแบบไหน
ลืมชื่อยากพอๆ กะแก้ยากหรือไม่
นี่ก็น่าคิด!

วิบากกรรม “ทักษิณ”- พปชร.ซุ่มสู้ แพ้เป็นพระ-พท.ชนะเป็นฝ่ายค้าน

วิบากกรรม “ทักษิณ”- พปชร.ซุ่มสู้ แพ้เป็นพระ-พท.ชนะเป็นฝ่ายค้าน



ไฮไลท์การเมืองเปลี่ยน จากแต่เดิมที่สังคมคันยิก อยากรู้ ปฎิทินคืนอำนาจประชาชนที่ชัดเจนแน่นอน แต่เมื่อ“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.คอนเฟิร์มหนักแน่น
เคาะเลือก ล็อกวันเร็วสุด ตามตุ๊กตากกต. ปักหมุดเลือกตั้ง อาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 เรื่องวันเลือกตั้ง ก็ไม่ตื่นเต้น เป็นประเด็นอีกต่อไป
แม้อุบัติเหตุ เงื่อนไขแทรกซ้อน อาจเกิดขึ้นได้ แต่ก็เปอร์เซ็นต์ต่ำยิ่ง เฉพาะหน้ามองไม่เห็นว่า จะมีเรื่องใด เป็นเงื่อนไขทำให้การเลือกตั้งสะดุด ลากยาวอีก ข้ออ้างเรื่องกฎหมายลูกก็มองข้ามช็อตได้ ทุกอย่างราบรื่นลงตัว
เมื่อวันเลือกตั้งชัดถึงเพียงนี้ เรื่องใหม่ ที่สังคม อยากรู้ ต่อไปก็คือ ผลเลือกตั้ง โฉมหน้ารัฐบาลชุดใหม่ และใครจะมาเป็นนายกฯ “บิ๊กตู่”คัมแบ๊กจริงหรือไม่
ที่ใครต่อใครกระหายข้อมูล และ ติดตามอย่างใกล้ชิด เป็นเรื่องธรรมดาปกติ
การเมืองมันเรื่องผลประโยชน์ กระทบส่วนได้-ส่วนเสีย ความเป็นอยู่ของประชาชนทุกผู้นาม
ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดคอร์ ประเภทแฟนพันธุ์แท้การเมืองเข้าไส้อยู่ในสายเลือด หรืออินโนเซนส์ ไม่ประสีประสา ใครไป ใครมาก็ได้ก็ตาม
อีกด้านอาจเป็นเพราะ ข้อมูลข่าวสารที่หลั่งใหลออกมานั้น ไม่รู้จะเชื่อใครได้บ้าง พรรคการเมือง แต่ละค่าย ก็ปั่นราคาจัง โฆษณาชวนเชื่อ จะกวาดส.ส.จำนวนเท่านั้น เท่านี้ โอ้อวดชนะเลือกตั้ง
แต่ละพรรคมีตัวเลขยืนพื้นของตัวเอง
เพื่อไทยอ้างโพลลับภายใน ขยับลงเล็กน้อยจากเดิม 264 เก้าอี้ แต่ก็ยังรักษาแชมป์เลือกตั้ง ครองที่นั่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ในสภาล่างเอาไว้ได้
บอสใหญ่ดูไบ ทักษิณ ชินวัตร มั่นใจกวาดส.ส.เบาๆ 260 เก้าอี้
ตัวเลขที่ทักษิณบอกผ่านส.ส.ว่าจะกวาดได้ 260 เก้าอี้นี้ เป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกับโพลที่อ้างว่าทำอย่างลับๆเป็นการภายใน 264 เก้าอี้
และเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกับการเลือกตั้งครั้งสุดท้าย ที่พรรคเพื่อไทยทำได้ 265 เก้าอี้ในปี 2554
ตัวเลขที่ยกมาข่มนี้ จึงไม่ค่อยมีคนเชื่อเท่าใดนัก เนื่องจากไม่ได้สะท้อน ความถดถอย ถูกย่อยสลาย ถูกบีบคั้น กดดันทุกทิศทางเท่าใดนัก
มันเหมือนกับเป็นการเลือกตั้งยามบ้านเมืองปกติมากกว่า ทั้งที่ความจริงที่เห็นอยู่ไม่ใช่แน่นอน
นี่มันเป็นการเลือกตั้ง ที่รัฐบาลคสช.ประกาศจะไม่เสียของ ภายหลังโค่นล้ม ยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์เมื่อปี 2557
ตัวเลข 264 ก็ดีซึ่งหดหายไปแค่เก้าอี้เดียวเทียบกับ 265 ครั้งล่าสุดเลือกตั้งปี54
ตัวเลข 260 ก็ดีที่หดหาย ตกหล่นระหว่างทางร่วม5ปีๆละ 1 คน ไม่สะท้อนวิบากกรรมที่เพื่อไทยกำลังเผชิญ
แต่เพื่อไทยก็ยังมั่นใจ
แม้คู่แข่งสำคัญเปลี่ยนหน้า จากเคยสู้และผูกขาดเอาชนะประชาธิปัตย์
แปรเปลี่ยนมาต้องสู้ชิง ต่อกรกับ พลังประชารัฐ(พปชร.) พรรคใหม่สายตรงขั้วอำนาจ-รัฐบาลคสช. เป็นคสช.ที่ก่อการโค่นล้ม-ปฎิเสธรัฐบาลเพื่อไทย
แต่เพื่อไทยยังมั่นใจ เนื่องจากเป็นสนามถนัด มีจุดขายเรื่องนโยบายเศรษฐกิจเพื่อปากท้อง
โดยมองว่ารัฐบาลคสช.เพลี่ยงพล้ำ
สอบตกบริหารราชการแผ่นดิน ประชาชนได้รับผลกระทบ เดือดร้อนปัญหาปากท้อง
แต่พรรคพลังประชารัฐก็ไม่ธรรมดา!
หนำซ้ำยังพิเศษใส่ไข่ต่างหาก กำลังภายนอก กำลังภายใน ครบมือ
แม่ทัพหลัก ยังคงเป็น เสนาบดี2คน ที่รอฤกษ์ เปิดตัวลุยอย่างเป็นทางการ ถือธงนำพรรคสู้ศึกเลือกตั้ง
“บิ๊กตู่”ก็ยังอยู่ ระยะเวลาอันใกล้นี้ คงประกาศท่าที อนาคตการเมืองที่ชัดเจน
โดยแนวโน้มตอบรับเทียบเชิญนั่งประธานที่ปรึกษา และขึ้นบัญชีชื่อนายกรัฐมนตรีลำดับ 1 ของพรรคพลังประชารัฐ มีเปอร์เซ็นมากกว่าปฎิเสธ
ข้อมูลวงใน ก่อนการเปิดตัวหัวหน้า เลขาฯ ประธานที่ปรึกษา
พลังประชารัฐ มั่นใจกวาดที่นั่งส.ส. 100 เก้าอี้

เป็น 100 เก้าอี้ที่ไม่ถึงครึ่งตัวเลขของพรรคเพื่อไทย แต่เมื่อรวมกับพรรคพันธมิตร-เครือข่ายจัดตั้ง ที่ใช้วิธีดีลลึกจับมือ แทนการลงนามเอ็มโอยู ที่นั่งส.ส.ซีกนี้ มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากพอ ส่งเพื่อไทยเป็นฝ่ายได้ไม่ยาก
ภูมิใจไทย ตั้งเป้า 40 เก้าอี้ ชาติไทยพัฒนา 30 เก้าอี้ พรรคกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ 30 ที่นั่ง แค่ 3 พรรคไม่นับเครือข่ายย่อย พรรค 10 คน อีก2-3 พรรค
เท่านี้แต้มฝั่งพลังประชารัฐก็ล้นเหลือ
แต่อย่าเพิ่งทึกทัก เอาที่นั่งที่แต่ละค่ายมโน-เคลมตัวเลขสูงๆ มารวมกัน
แล้วถามว่า ถ้าอย่างนั้น ประชาธิปัตย์พรรคใหญ่อีกพรรคจะเหลือกี่ที่นั่ง 30 ที่นั่ง หรือน้อยกว่านั้น เพราะยังมีพรรคอื่นอีก กระนั้นหรือ
เพราะนี่คืเป้าหมาย ไม่ใช่ผลเลือกตั้งจริงๆ ใครจะเบียดรุกกินที่ใคร เอาเข้าจริงไม่มีใครรู้
แต่ตัวเลขนี้น่าสนใจ พรรคฝั่งขั้วอำนาจนั้น มีเสียงส.ว.รองรังอยู่แล้ว 250 ที่นั่ง
ต้องการอีกแค่ 126 ที่นั่งเท่านั้น ก็ถึงเส้นชัย กึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภา 750 คน
ที่จำนวน 376 คน ครองเสียงข้างมาก สามารถล็อกตัวนายกฯได้ทันที
126 เก้าอี้ที่เป็นเป้าหมายนี้ อยู่ที่พลังประชารัฐเป็นหลัก ถ้าได้ส.ส.100คน ก็แค่หาจากพรรคพันธมิตรมาเสริมอีก 26 คนเท่านั้น
ไม่รู้กี่พรรคต่อกี่พรรค ถ้ารวมกันไม่ได้ 26 เก้าอี้ ก็ให้มันรู้ไป
ทั้งหมดทั้งมวล จึงขึ้นอยู่กับพลังประชารัฐจะถึง 100 หรือไม่
หากทำได้ตามเป้า ถึงเพื่อไทยชนะมาอันดับ 1 เสียงสูงสุดในสภาล่าง ชนะมาก ชนะน้อยก็ต้องถอยเป็นฝ่ายค้าน เว้นแต่กวาดส.ส.ไม้เดียวจบ 376 คน ซึ่งเป็นไปได้ยาก จากกติกาที่ถูกสกัด และการต่อสู้รุนแรง ถูกปิดล้อมทุกทาง
เป้าตัวเลข 100 ที่นั่ง พรรคพลังประชารัฐนี่แหละ ทำให้การเมืองแรง แข่งเดือดในทุกพื้นที่
ในทางลึกพลังประชารัฐสายลายพราง รุกหนักทุกทิศทาง จังหวัด อีสาน/เหนือ/ภาคกลาง
คำสั่งตรงหน่วยเหนือ หน่วยใต้ ถูกถ่ายทอดผ่านอดีตผู้แทนที่จีบร่วมค่าย
ไม่ว่าจังหวัดไหน แชมป์เก่าเป็นใคร ต้องชนะเท่านั้น
ลึกๆน่าเชื่อได้ว่า พลังประชารัฐมีเป้าหมายใหญ่อยู่ที่ 126 เก้าอี้
เนื่องจากรุกคืบกินแดน กินพื้นที่ของทุกพรรค ไม่เว้นแม้แต่ พรรคพันธมิตร
มือไม้ระดับปฎิบัติ แจ้งพรรคพันธมิตร เครือข่าย ว่า การเป็นพันธมิตรกันนั้น เป็นการจับมือในยุทธศาสตร์ใหญ่เท่านั้น
เมื่อเลือกตั้งแล้วมาผนึกเสียงรวมกัน
แต่ในสนามเลือกตั้ง ไม่มีรายการเกี้ยเซี้ย ออมมือให้กัน
พรรคพันธมิตรเอง นอกจากต้องสู้กับทักษิณ-เพื่อไทยแล้ว ยังถูกตีขนาบ-สู้กับพลังประชารัฐอีกด้วย
ที่เห็นนำร่อง ฟัดเดือด ปะทุหลายจังหวัดในขณะนี้ ไม่ใช่ละครตบตา
แต่เป็นของจริง เพราะต่างคนต่างก็ยอมไม่ได้ ยอมไม่ได้เพื่อไทยไม่พอ ยังยอมแพ้พลังประชารัฐไม่ได้ด้วย
หากพรรคสายแข็งได้ส.ส.มาก อำนาจต่อรองพรรคพันธมิตร เครือข่าย ก็จะลดน้อยถอยลง ส่งผลต่อการร่วมรัฐบาล ส่งผลต่อโควต้า-เก้าอี้รัฐมนตรีเกรดกระทรวง
ยุทธศาสตร์ในพื้นที่ของพลังประชารัฐ จะถูกหรือไม่ ไม่มีใครรู้ ที่ได้ไล่บี้เพื่อไทยไม่พอ
ยังยืนกรานไม่เว้นที่ให้พรรคพันธมิตรอีกต่างหาก
การเดินเกมแบบนี้ ด้านหนึ่งเป็นภาพสะท้อน ของการไม่ไว้วางใจใครเท่าใดนัก พลังประชารัฐ ไม่ต้องการยืมจมูกพรรคอื่นหายใจ
เป้าหมาย 100 นั้นคงเป็นขั้นต่ำ แต่เพดานที่ต้องการไต่ไปให้ถึงน่าจะเป็น 126 เก้าอี้อัพ
ที่น่าสนใจมากกว่านั้น ในอีกขั้นเลเวล อีกประการคือ
พลังประชารัฐมีของดี ไพ่เด็ดอะไร ถึงได้คิดเอาชนะทุกจังหวัดใหญ่ กินรวบพื้นภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคกลาง
ลองว่าคิดการใหญ่ มั่นใจขนาดนี้
พลังประชารัฐคงมีวิธี เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เอาชนะเลือกตั้ง

'เลือกตั้ง' ในภาวะ 'เปลี่ยนโลก'

"นายกฯ ลุงตู่" นี่ จัดอยู่ในประเภท "หินอ่อน"
                คือภาพทหาร
            ต้องแข็ง
            แต่การแสดงออกในความแข็งของทหารที่ชื่อประยุทธ์
            กลับอ่อน!?
            อ่อนด้วยลีลาเฉพาะตัวอย่างพลเอกประยุทธ์นี่แหละ เขาเรียกอ่อนแบบ "หินอ่อน"
            ชาวบ้านร้านตลาดบอกชอบ ลูกทุ่ง..ลูกทุ่ง กระด้างดังศิลา แต่ไม่ประหลาดใจ เพราะไม่ถือตัว จริงใจ เป็นกันเองดี
            อย่างเมื่อวาน (๗ ก.ย.๖๑) ไปลพบุรี คงเห็นกันแล้วจากข่าวค่ำ
            ท่านใช้ความเป็นคนลพบุรี กระเซ้าเย้าแหย่ ทักทายทั้งชาวบ้าน ทั้งแม่เฒ่า-พ่อแก่ และเพื่อนเก่าสมัยนักเรียน แบบเป็นกันเอง สนุกสนาน
            นึกๆ ดู คนเรา เมื่อพ้นวัยเด็ก.......
            มีซักกี่ครั้ง ที่จะได้พูดเล่น-พูดหัว นึกอะไร คิดอะไร ก็แสดงออกอย่างใจปรารถนา
            กับเพื่อนกับฝูง กับทุกคน บริสุทธิ์ จริงใจ เหมือนน้ำที่ไหลจากยอดเขา ไหลผ่านถึงไหน ก็ฝากเย็นฝังใจไว้ที่นั่น
            นายกฯ ประยุทธ์ คุณพ่อท่านเป็นนายทหาร เคยประจำการอยู่ลพบุรี
            ส่วนคุณแม่เป็นครูสอนคณิตศาสตร์อยู่โรงเรียนสหกิจวิทยา ที่ลพบุรี ตอนนี้ยุบไปแล้ว
            นายกฯ เรียนประถม-มัธยม ๑ อยู่ลพบุรี เมื่อคุณพ่อย้าย ก็ย้ายมาเรียนต่อที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศ  กรุงเทพฯ
            จบ ม.ศ.๓ แล้วเข้าเรียนเตรียมทหาร
            แต่เคยฟังที่นายกฯ พูด บอกท่านเกิดที่นครราชสีมา หรือโคราช
            แบบนี้ ในตารางสัญจรลงพื้นที่ ด้วยความเป็นลูกหลานย่าโมของนายกฯ
            ซักวัน คนโคราชคงได้สัมผัส "คนบ้านเดียวกัน" ใกล้ชิด สนิทแน่นและสนุกสนานแน่!
            บ้านเมืองไทย ในรัชกาลที่ ๑๐ นี้ ต้องบอกว่า ทุกอย่างกำลังเดินหน้าไปในเส้นทางสายเปลี่ยน ด้วยดี
            ตอนนี้ อยู่ในช่วงจัดแจงแต่งปรุงองคาพยพบ้านเมือง ทั้งสังคมบริหารและปกครอง
            ฉะนั้น ต้องใจเย็นๆ อย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
            ต้องเอา "อนาคต" ที่ต้องดีกว่าปัจจุบันนี้แน่ เป็นที่ตั้ง!
            เราเหมือนอยู่ในน้ำเย็น เพราะเศรษฐกิจและการเงินของไทยวันนี้ "เสถียร" จนแรงกระแทกภายนอกเข้าไม่ถึง
            ดังนั้น อาจไม่รู้สึกว่า สังคมโลกภายนอก ขณะนี้ เร่าร้อน ด้วยไฟสงคราม "เศรษฐกิจโลก" เผา
            จาก "อำนาจ ๒ ขั้ว"
            ระหว่างเก่า-สหรัฐ กับใหม่-จีน-รัสเซีย กำลังสัประยุทธ์กันเขม็งเกลียวในสนามการค้าและการเงิน
            ฝ่ายไหนชนะ.........
            จะเป็นผู้กำหนด "อนาคตใหม่ครองโลก"!
            นั่นคือ ศตวรรษใหม่ที่จะมาถึง พูดให้แคบเข้า ภายใน ๒๐ ปีข้างหน้านี้
            ถ้าพวกเรา "รู้แต่เรา" มัวแต่แก่งแย่ง กัดกันเองไปวันๆ
            ไม่ยอมเงยหน้ามองโลกให้ "รู้เขา"
            ไทยเรา "ตกรถ" ล้านเปอร์เซ็นต์!
            ศึกษาเพื่อ คิด ใคร่ครวญ ผมอ่านที่อาจารย์ "สมเกียรติ โอสถสภา" โพสต์เมื่อวาน
            เป็นความรู้ สู่ความลุ่มลึก เหมาะสถานการณ์และเวลา ที่พวกเรา ควรได้ตระหนักผ่านผลึกประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
            จึงขออนุญาตอาจารย์ คัดลอกบทความเป็นวิทยาทานต่อตรงนี้
            Somkiat Osotsapa
                ประวัติศาสตร์สงคราม ความคล้ายคลึงระหว่างเยอรมัน ญี่ปุ่น และจีน หวังว่ามนุษย์จะฉลาดขึ้นนะ
                --------------------------------
                วันนี้ จะเล่าสาเหตุการเกิดสงครามโลกในอดีตครับ
                ในทุกสงครามใหญ่จะเกิดจาก
                หนึ่ง เกิดมหาอำนาจใหม่ขึ้นมาแข่งกับมหาอำนาจเก่า
                สอง เกิดการแย่งชิงทรัพยากร ตลาด
                สาม แย่งชิงพื้นที่ยุทธศาสตร์ ท่าเรือ มหาสมุทร ทางออกทะเล
                สี่ แย่งชิงพันธมิตรกัน
                ห้า แย่งชิงพลังงาน เส้นทางขนส่งพลังงาน
                หก แย่งชิงพื้นที่ประเทศโดยรอบเพื่อสร้างฐานทัพของตนเอง ป้องกันตนเอง
                เจ็ด แข่งกันสร้างอาวุธ พัฒนาอาวุธให้เหนือกว่า
                แปด สู้ยึดตลาด แข่งขันกันทางเศรษฐกิจ
                เก้า ยิ่งอำนาจเข้ามาใกล้กัน จะเกิดสงครามระหว่างมหาอำนาจเก่า กับใหม่
                สิบ หากมหาอำนาจใหม่เกิดขึ้นไม่นาน ยังไม่แข็งแกร่งพอ แต่มีแนวโน้มที่น่ากลัว จะโดนโจมตี
                ผลคือเกิดสงคราม
                ------------------------------------
                ก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในยุโรป
                มหาอำนาจในยุคนั้น คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย เป็นมหาอำนาจดั้งเดิมที่แข็งแกร่ง
                ฝรั่งเศสเป็นมหาอำนาจมายาวนานหลายร้อยปี
                แล้วความขัดแย้งที่ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็เกิดขึ้น เพราะมีมหาอำนาจใหม่คือ เยอรมัน
                เยอรมันเกิดจากการรวมชาติ รวมแคว้นอิสระต่างๆ เข้าด้วยกัน นำโดยบิสมาร์ค ที่ใช้สโลแกนว่า ต้องรวมชาติให้ได้ ด้วย Iron and Blood
                เกิดประเทศเยอรมันที่แข็งแกร่ง เป็นมหาอำนาจใหม่
                ความเจริญรุ่งเรืองของเยอรมัน มหาอำนาจใหม่ ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับมหาอำนาจเดิม
                แย่งชิงทางออกทะเล เพราะเยอรมันเป็นประเทศที่มีแผ่นดินกว้างใหญ่ แต่มีทางออกทะเลน้อย แถวฮัมบูร์กเท่านั้น
                เหมือนกับจีน ที่ต้องการทางออกทะเล
                เยอรมันไม่มีทรัพยากรน้ำมันเหมือนกับจีน
                เกิดการขัดแย้งกับมหาอำนาจเก่า จึงไปร่วมมือกับมหาอำนาจที่เริ่มเสื่อมคืออาณาจักรออตโตมัน  และออสโตร-ฮังการี
                เยอรมันเร่งสร้างเทคโนโลยีใหม่ อาวุธใหม่ นวัตกรรมใหม่ ชิงทางออกทะเล เข้าควบคุมดินแดนของมหาอำนาจเดิม คุ้นๆ มั้ยครับ
                เยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ถูกบังคับให้ใช้หนี้สงครามมหาศาล ตามสัญญา แวร์ซายน์ คนเยอรมันอดอยาก
                จึงเกิดฮิตเลอร์ขึ้นมา
                เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ด้วยสาเหตุเดิมๆ
                สร้างอียูขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดสงครามในยุโรป
                --------------------------------------
                ญี่ปุ่น
                เป็นมหาอำนาจใหม่ ก่อนเข้าสงครามโลกครั้งที่สอง
                พัฒนาอาวุธ สร้างอุตสาหกรรม แย่งชิงตลาด ทำสงครามกับจีน
                เพราะต้องการตลาด ทรัพยากร ต้องการเป็นมหาอำนาจใหม่แห่งเอเซีย
                คุมแปซิฟิก คุมท่าเรือในจีน ไม่ต้องการถูกปิดล้อม
                ญี่ปุ่นเข้าสงครามโลก กับเยอรมัน และอิตาลี
                ต้องการพิมพ์ธนบัตรใช้เองทั่วเอเซีย ทดแทนเงินของตะวันตก
                เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง
                มหาอำนาจเดิมไม่ยอม
                ระเบิดลงญี่ปุ่น
                ------------------------------------
                จีน
                จีนเพิ่งเข้าเป็นสมาชิก WTO เมื่อปี 2001 สิบเจ็ดปีที่แล้วนี่เอง ที่เริ่มส่งออกรวดเร็ว
                พัฒนาเทคโนโลยีใหม่รวดเร็ว ขยายตลาดรวดเร็ว และต้องการทรัพยากรมหาศาล
                จีนกลายเป็นมหาอำนาจใหม่ขึ้นมาแข่งกับมหาอำนาจเดิมอย่างเร็ว ใน 17 ปี
                เยอรมันเป็นมหาอำนาจใหม่ก่อนเข้าสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้ 40 ปี
                ญี่ปุ่นก็ไม่นาน
                จีนต้องการพลังงาน น้ำมัน แก๊ซ เส้นทางขนส่งน้ำมัน คือ ลอมบอก ซุนดา มะละกา
                น้ำมันจีน 80% ขนทางนี้
                ต้องหาทางเข้าถึงตะวันออกกลาง
                มันทับตีนกับอำนาจเก่า
                แย่งชิงอำนาจทางการเงิน ทางเศรษฐกิจเหมือนกัน
                ----------------------------------
                จีนต้องการทางออกทะเลเหมือนเยอรมัน
                จีนต้องการคุมแปซิฟิก ที่อเมริกาได้มาจากการรบกับญี่ปุ่น
                ต้องการออกทะเลทางปากีสถาน และศรีลังกา คุมมหาสมุทรอินเดีย
                ต้องการคุมแม่น้ำโขง ลาว กัมพูชา และเวียดนามใต้
                ต้องการเพิ่มทางออกสู่มหาสมุทรอินเดียผ่านพม่า รัฐยะไข่
                จะคุมลอมบอกผ่านมาเลเซีย จนมหาธีร์ว้ากเอา เพราะจะทำให้มาเลย์เป็นหนี้ดักดาน ไม่เป็นรัฐมาเลย์อีกต่อไป
                ต้องการช่วงชิงการนำด้านอาวุธ เทคโนโลยี ที่อเมริกานำอยู่ 25 ปี
                ---------------------------------
                ต้องการพันธมิตรทั่วเอเซียป้องกันการปิดล้อม
                ต้องการท่าเรือ ฐานทัพเรือทั่วเอเซีย เพื่อทำจุดยุทธศาสตร์ให้กองเรือ ตั้งแต่ทะเลจีนใต้มาจนมหาสมุทรอินเดีย
                ตอนนี้จีนใกล้อเมริกาเข้ามาแล้ว
                กำลังสู้ในสงคราม Land Sea Air Cyber Space กับอเมริกา
                ทำสงครามชิงน้ำบนหิมาลัย ด้วย
                ในห้าสิบปีข้างหน้า คนสี่ร้อยล้านต้องอพยพเพราะโลกร้อน
                เศรษฐกิจต้องโตเกิน 6% ไม่งั้นจะเอาจำนวนเพิ่มประชากรไม่อยู่
                คนที่อยู่ในเขตด้านใน ต้องอพยพมาแถวชายทะเลที่แน่นมาก
                ---------------------------------
                เล่าประวัติศาสตร์สงครามให้ฟังครับ
                หวังว่ามนุษย์จะฉลาดกว่าเดิม
                นี่ก็กำลังซ้อมรบกับรัสเซียที่ชายแดน คนตั้ง 300,000
            ครับ...จบตรงนี้
            จากบทความอาจารย์สมเกียรตินี้ สร้างอนุสติว่า เลือกตั้งนั้น เลือกได้
            แต่คนคัดท้ายประเทศ ต้อง "คนเดิม"
            ถ้าเปลี่ยน "คนนำ" ในความผันแปรทางนโยบาย "โละเก่า-เริ่มใหม่"
            "ความไม่ต่อเนื่อง" ทั้งนโยบาย ทั้งโครงการ จะทำให้นักลงทุน-คู่ค้า "ทิ้งไทย" ประวัติศาสตร์สงคราม ความคล้ายคลึงระหว่างเยอรมัน ญี่ปุ่น และจีน หวังว่ามนุษย์จะฉลาดขึ้นนะ
            และนั่น.......
            "เสถียรประเทศ" ด้วยเศรษฐกิจและการเงิน พังทันที!

กรุยทางชนะเลือกตั้งใหญ่ : รื้อโครงสร้างพรรคตอบโจทย์การเมืองใหม่

กรุยทางชนะเลือกตั้งใหญ่ : รื้อโครงสร้างพรรคตอบโจทย์การเมืองใหม่



นำพรรคเพื่อไทยคนใหม่จะเป็นคนในตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์-วงศ์สวัสดิ์ หรือ “ชิน-ดา-วงศ์” ในจังหวะนี้ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ยังมาเป็นเต็งหนึ่ง
หรือจะเป็นคนนอก อย่าง “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์-จาตุรนต์ ฉายแสง-โภคิน พลกุล-ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” และยังมีรายชื่อบางท่านบางนามที่ไม่ธรรมดา ระดับท็อปเดอะซีเคร็ตโผล่ขึ้นมาในห้วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
“ผู้นำพรรคจะเป็นใครก็ต้องปรับโครงสร้างพรรครองรับ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน” นายโภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภาและแกนนำพรรคเพื่อไทย บอกผ่าน ทีมข่าวการเมือง
พร้อมย้ำให้เห็นภาพการปฏิรูปพรรค เท่าที่ได้คุยกับรักษาการคณะกรรมการบริหาร ผู้ใหญ่ของพรรคและบรรดาสมาชิกในหลายโอกาส ทุกคนต้องการให้เป็นสถาบันการเมือง เปิดประตูกว้างให้ประชาชนเข้ามาร่วมในรูปของสมาชิก การช่วยทำงาน หรือเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลากหลายรูปแบบ
ที่ผ่านมาเราพูดถึงการปฏิรูปการเมือง ก่อนได้รัฐธรรมนูญ 2540 มีหลักการใหม่ๆเยอะแยะไปหมด จนถึงปัจจุบันมีการปฏิรูป มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไม่นับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคง รัฐบาลจะต้องทำสิ่งเหล่านี้เต็มไปหมด ทำให้เกิดความสับสนอลหม่าน ไม่ตอบโจทย์ปฏิรูปประเทศ ทั้งหมดเกิดจากฝ่ายกำหนดกติกาไม่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย
หลายอย่างที่กำหนดขึ้น บางทีเป็นแค่ข้ออ้างของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ชอบบอกว่าการเมืองและนักการเมืองไม่ดี จึงเข้ามาจัดระเบียบ
จากประสบการณ์การเมืองกว่า 20 ปี นักการเมืองมีทั้งข้อดีและข้อเสีย คนที่ไม่ใช่นักการเมืองไม่มีทางไปสู้นักการเมืองได้ เพราะกว่าจะผ่านด่านประชาชนเลือกจนได้เป็น ส.ส. ต้องเป็นคนเข้าใจหัวอกหัวใจชาวบ้าน ดูแลใส่ใจตั้งแต่เรื่องส่วนตัว และเอาปัญหาของชาวบ้านไปกำหนดเป็นนโยบายออกเป็นมาตรการต่างๆลงไปช่วยเหลือยิ่งปัจจุบันยังห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง จะเลือกตั้งอยู่แล้วพรรคการเมืองก็ทำนโยบายไม่ได้ จะคลายล็อกให้ทำได้แค่ประชุมพรรค ทำข้อ บังคับพรรคใหม่ เลือกกรรมการบริหาร เลือกหัวหน้าพรรค โดยไม่เปิดให้ลงพื้นที่พบประชาชน เพื่อรับทราบปัญหานำมากำหนดเป็นนโยบาย
โลกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก ถ้าอยากให้พรรคการเมืองตอบโจทย์ประชาชน
ต้องปลดล็อกโดยไม่ต้องกังวลว่านักการเมืองจะสร้างปัญหาหรือทะเลาะกัน
หากไม่มีกติกาเหล่านี้ ปล่อยฟรีสไตล์เราก็จำเป็นจะต้องปฏิรูปตัวเองอยู่แล้ว เพื่อเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของประชาชนเหมือน 15 ปีที่แล้ว แต่วันนี้ประชาชนเปลี่ยน เราก็ต้องเข้าใจว่าการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่ ต้องมีบุคลากรนำตั้งแต่หัวหน้าพรรคจากคนที่แข็งแกร่ง เป็นผู้ที่มีชื่อเสียง มีเกียรติคุณเป็นที่ยอมรับของสังคมในระดับที่พอสมควร แล้วค่อยเป็นระบบพรรคเปิดกว้างในรูปแบบคณะบุคคลมากขึ้นเรื่อยๆ
สมมติมีพรรคการเมืองที่ถูกหลายฝ่ายวิพากษ์ว่า ตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุน คสช.หรือนายกฯคนปัจจุบัน อย่างน้อยท่านเป็นคนที่คนรู้จัก มีบารมี ส่วนประชาชนจะเลือกหรือไม่ เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ถามว่าแบบนี้เป็นการปฏิรูปการเมืองหรือไม่ ทำไมเล่นการเมืองแบบโบราณล้าหลังอย่างนี้
เราต้องการให้พรรคใหญ่ปฏิรูปโดยไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของคนบางคนหรือบางกลุ่ม เป็นพรรคเปิดกว้าง ก็สร้างระบบไพรมารีโหวตเพื่อเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม เรื่องนี้พรรคใหญ่ๆทำอยู่แล้ว สมัยนี้ลองไปเลือกเอาคนที่ประชาชนไม่เอามาลงสมัคร ส.ส. ต่อให้กระแสพรรคดีขนาดไหนก็เสียหายโดยไม่จำเป็น
ฉะนั้นการปฏิรูปพรรคในเบื้องต้นจะทำอย่างไรให้เป็นสถาบันการเมือง ก็ดูจากคนที่เข้าร่วม ต้องหลากหลาย ยิ่งสังคมวันนี้มีคนรุ่นใหม่ 7 ล้านคน ไม่เคยเลือกตั้งในช่วง 6-7 ปี และมีคนสูงวัยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2579 จะมีสูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร ยังมีคนวัยทำงาน คนจน คนชั้นกลาง เป็นความหลากหลายของสังคม
พรรคการเมืองต้องทำงานหนักให้มากขึ้น เพื่อให้ตัวแทนทุกสัดส่วนของสังคมเข้ามาอยู่ในพรรค จะได้ตอบโจทย์สังคม หากไม่เน้นให้พรรคการเมืองทำงานอย่างนี้ แล้วใครจะทำ จะให้ทหารวางพื้นฐานให้หรือ ทหารเป็นกลไกของรัฐ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ต้องปฏิบัติตามคนที่มาใช้อำนาจรัฐ
ในส่วนของพรรคเพื่อไทยหลังได้พูดคุยก็ต้องปรับโครงสร้างอีกเยอะ เดิมมีสำนักงานหัวหน้าพรรค สำนักงานเลขาธิการพรรค วันนี้ต้องเพิ่มอีกเยอะ อาทิ สำนักงานสื่อสารการเมือง สำนักงานเครือข่ายและกิจกรรม สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศ
มีคณะกรรมการบริหารประจำทุกสำนัก ทำหน้าที่เชิงนโยบายและวิชาการ มีผู้อำนวยการซึ่งมีความรู้ ความสามารถในด้านนั้นๆเป็นผู้บริหาร
เป็นการจัดองค์กรภายในให้ เปิดกว้าง เน้นการมีส่วนร่วมครอบคลุมทุกมิติ
จัดระบบการตัดสินใจในกิจกรรมต่างๆให้ฉับไว ทันต่อการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์โลก
โดยเฉพาะยุคนี้เป็นโลกของการกระจายอำนาจ ยุคข้อมูลมหาศาลหรือเรียกว่าบิ๊กดาต้า ต้องใช้เทคโนโลยีเอไอวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อได้คำตอบรวดเร็วและตอบโจทย์ทุกมิติของสังคม ผ่านการกำหนดนโยบาย และยังสามารถเชื่อมต่อกับแฟนคลับ สมาชิกพรรค ผู้สนับสนุนพรรคและประชาชน หากพรรคการเมืองไม่ทำอย่างนี้จะอยู่ได้อย่างไร
ไม่ใช่ไปคิดเองเออเองแบบระบบราชการ ที่สำคัญเราได้พูดถึงกฎหมายที่ออกตามอำเภอใจโดยใช้มาตรา 44 กฎหมายจำนวนมากออกโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ขัดกับยุทธศาสตร์ชาติ และยังมีระเบียบต่างๆให้เจ้าหน้าที่เป็นศูนย์กลางอนุมัติใบอนุญาตต่างๆ ซึ่งเป็นต้นเหตุคอร์รัปชัน
เราบอกมาตลอดในยุทธศาสตร์ 20 ปี ระบบราชการไม่มีประสิทธิภาพ ใหญ่โต อุ้ยอ้าย
ระบบราชการในอนาคตต้องเล็ก มีประสิทธิภาพ ใช้เทคโนโลยีเอไอเข้ามาช่วย
ปัจจุบัน คสช.ทำตรงข้ามและยังล็อกพรรคการเมืองไม่ให้ทำกิจกรรม ล็อกกติกาต่างๆ เราก็ต้องเหนื่อย เพื่อตอบโจทย์โลกสมัยใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนที่แตกต่างหลากหลายขึ้น หากพรรคการเมืองไม่ทำแบบนี้ ยังเอาเงินไปแจก ไปดูดนักการเมือง คุณอยากเห็นการปฏิรูปแต่ใช้วิธีโบราณ ประเทศชาติจะเดินไปอย่างไร
ฉะนั้นสิ่งที่จะเดินหน้าต่อไปหลังปรับโครงสร้าง โดยผลักดันนโยบายต่างๆ ยึดคีย์เวิร์ด “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” ซึ่งทำมาตั้งแต่สมัยนายทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย จนมาถึงยุคพรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทย และจะสร้าง “รัฐประชาชน” ไม่ใช่ “รัฐราชการ”
ทีมข่าวการเมือง ถามว่าการปรับโครงสร้างพรรค เพื่อรองรับผู้นำพรรคและตอบโจทย์ประชาชน นายโภคินบอกว่า เท่าที่พูดคุยในหลายโอกาสกับคนในพรรค หลังปรับโครงสร้างพรรค จะต้องนำพาสังคมสมัยใหม่และเข้าใจสังคมเก่า พาสองสิ่งนี้เดินหน้าไปด้วยกัน
ถึงวันนั้นถ้าประชาชนเลือกพรรคการเมืองที่ไม่เอาเผด็จการ แล้วคุณยังไม่เอาอีกก็อย่าไปโทษคนอื่น เพราะทั้งหมดเกิดจากฝีมือคุณกำลังนำประเทศล่มจมและวุ่นวาย
ในพรรคเพื่อไทยวิพากษ์โครงสร้างพรรคใหม่ จะเหมาะสมกับผู้นำพรรคคนในตระกูล “ชิน-ดา-วงศ์” หรือคนนอก นายโภคิน บอกว่า จะเป็นคนในหรือคนนอกถ้าโครงสร้างพรรค ไม่ปรับก็ไม่ตอบโจทย์ประชาชน ส่วนจะเป็นใคร เท่าที่สดับตรับฟังก็น่าจะเป็นแกนนำคนใดคนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย ก็ว่ากันไปตามความเหมาะสม
ขอยืนยันโครงสร้างพรรคจะตอบโจทย์โลกสมัยใหม่และโลกอนาคต เชื่อมโยงระหว่างนักการเมือง ผู้สนับสนุน ประชาชน พรรคการเมือง และทันทีที่คลายล็อกการเมืองภายใน 2 สัปดาห์คงจะประชุมใหญ่พรรค เพื่อรับรองข้อบังคับพรรคใหม่ เลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค พร้อมเตรียมการต่างๆที่จำเป็น
เห็นผลโพลสำรวจความนิยมของพรรคภายในหรือไม่ ผลแต่ละครั้งปรากฏออกมาว่าพรรคเพื่อไทยชนะตลอด นายโภคิน บอกว่า มันเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ ผลงานในอดีตที่โดดเด่นที่สุดในด้านการบริหาร เป็นรูปธรรมที่สุด ประชาชนพอใจสูงสุด และพรรคถูกกลั่นแกล้งมากที่สุด แกนนำพรรคถูกดำเนินคดีจนอ่วมอรทัย
แต่เราก็มีความพร้อมสู่สนามเลือกตั้ง โดยขอให้แข่งขันอย่างยุติธรรม แฟร์เพลย์ ประชาชนตัดสินอย่างไร ประเทศก็เดินหน้าไปอย่างราบรื่น ถ้ายังกลั่นแกล้ง บางคนบอกว่าถึงขั้นยุบพรรคก็ให้ว่าไปเลย
ถ้าหยุดเลือกตั้งก็ยิ่งไปกันใหญ่ ทำแบบนี้บ้านเมืองจะเดินไปได้จริงหรือ
ยิ่งทำก็ยิ่งสร้างความกดดันต่อประชาชนจำนวนมหาศาล สร้างความเข้มแข็งให้เรา จะทำไปเพื่ออะไร
หรือกลัวนายทักษิณจะมาถ้าเราชนะ วันนี้นายทักษิณอยากเห็นสังคมมีสันติสุข
ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับใคร แต่กลับสร้างบรรยากาศความ เป็นศัตรูขึ้นมาทำไม.
ทีมการเมือง

การบ้าน “ประยุทธ์” แชร์อำนาจไปต่อ โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์

การบ้าน “ประยุทธ์” แชร์อำนาจไปต่อ



ผ่าภาวะ คสช.ถึงด่านภาคบังคับ “ไอ้เสือถอย”
ฝนกลางฤดูตกชุกทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ
ทำให้เกิดน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลากหลายจังหวัด สถานการณ์อยู่ในห้วงที่รัฐบาลต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ในเรื่องการบริหารจัดการน้ำ ตามสภาวการณ์ทางธรรมชาติของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
ฟ้าฝนไว้วางใจไม่ได้ ทุกอย่างอยู่เหนือการคาดเดา
เช่นเดียวกับสถานการณ์ทางการเมือง เรื่องกำหนดการเลือกตั้งที่ยังไม่มีอะไรแน่นอน
ก่อนอื่นเลยก็คือคิวคลายล็อกพรรคการเมืองให้ดำเนินกิจกรรมเตรียมพร้อมเลือกตั้ง ล่าสุดฟังจากนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย แพลมไต๋ คิวปลดล็อกการเมืองอาจเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ปลายปี 2561 ตามเงื่อนไขเวลาหลังโปรดเกล้าฯ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.
นั่นหมายถึงลากไปแบบยาวสุด ภายใน 90 วัน
ตามปฏิทินที่นายวิษณุยืนยันยังมีเวลาเหลือเฟือ ไม่เป็นปัญหาสำหรับพรรคการเมืองที่จะทำนโยบายหาเสียงก่อนลงสนามเลือกตั้ง เร็วสุดในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ปีหน้า 2562
สอดคล้องเป็นทำนองเดียวกับท่าทีของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ที่วางคิวประกาศความชัดเจนทางการเมืองในเดือนกันยายน

แต่ชิงออกตัวเป็นเชิง “เด้งเชือก” ก่อนแล้ว
“เมื่อกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีก 2 ฉบับโปรดเกล้าฯลงมาแล้ว และเมื่อมีคำสั่ง ม.44 คลายล็อกการเมือง จากนั้นคือการเดินหน้าสู่การเลือกตั้งเพื่อนำไปสู่การเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ที่จะต้องได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล
โดยสถานการณ์ในช่วงนั้นจะเป็นผลในการตัดสินใจของผมเองว่า จำเป็นต้องอยู่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามรัฐธรรมนูญหรือด้วยกลไกของรัฐธรรมนูญหรือไม่ และถ้าจำเป็นแล้วจะเป็นอย่างไร”
แปลไทยเป็นไทย ปรับจากภาษาทหารเป็นภาษานักการเมือง
ตามท้องเรื่องที่รับรู้กันทั้งประเทศแล้ว อย่างไรเสีย “นายกฯลุงตู่” ก็ต้องตีตั๋วต่อผ่านนายกฯบัญชีพรรค เพื่อคุมเกมอำนาจเปลี่ยนผ่าน 5 ปี ตามกติกาที่ออกแบบไว้ในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ
ไม่มีอะไรพลิกแพลง ออกนอกเส้นทางจากโรดแม็ปนี้
แต่ “ลุงตู่” ไม่รีบเปิดตัวชัดๆให้โดนนักการเมืองโห่กดดันให้ลาออกจากตำแหน่งแสดงสปิริต
ตามเหลี่ยมแทงกั๊กไปจนนาทีสุดท้าย ในเดือนกันยายนนี้ก็คงชัดเจน แค่ พล.อ.ประยุทธ์บอกกับประชาชนว่าจำเป็นต้องอยู่ในสนามการเมืองต่อไป เพื่อให้ภารกิจปฏิรูปบรรลุเป้าหมาย
ไม่ให้ปฏิวัติ “เสียของ” ซ้ำซาก
ขณะที่ฟากพรรคพลังประชารัฐ ป้อมค่ายที่ชัดเจนว่าจะเป็นพรรคการเมืองฐานต้นทุนของ “นายกฯลุงตู่” ที่เตรียมนัดประชุมใหญ่ครั้งแรกวันที่ 15 กันยายนนี้
เต็มที่ก็คงเป็นแค่ “มวยสำรอง” สลับฉากไปก่อน
เพราะตอนนี้ “มวยตัวจริง” ยังติดภารกิจงานบริหารของรัฐบาล
สถานการณ์ยังไม่เอื้อต่อการเปิดตัวออกมาล่อเป้า เดาทางนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม กับนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ แคนดิเดตหัวหน้าและเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่ไม่รับมุกข่าวลาออกมาเดินงานทางการเมือง
ตามท้องเรื่อง ยุทธศาสตร์ก็โยงผูกกับคิวของ “นายกฯลุงตู่” นั่น แหละ
ไม่มีใครรีบตัดกระบอกไม้ไผ่ตั้งแต่ยังไม่เห็นน้ำ ยังไม่ชัวร์ด้วยซ้ำจะเลือกตั้งวันไหน ไม่จำเป็นต้องเสี่ยง “ขาลอย” ไม่มีตำแหน่งรัฐมนตรีลงพื้นที่หาเสียง ข้าราชการไม่ให้ราคา
เอาเป็นว่า ถึงตรงนี้รู้กันทั่วแล้ว “นายกฯลุงตู่” ตีตั๋วต่อ “อุตตม-สนธิรัตน์” นำทีมพรรคพลังประชารัฐ
มันคือความชัดเจนท่ามกลางความคลุมเครือ
และจุดที่ต้องโฟกัส ถือเป็นสัญญาณชัดเจนที่สุด ก็คือคิวของ “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์นักข่าวตรงๆ
“บิ๊กตู่” ควรเป็นนายกฯต่อไป เพื่อทำงานให้จบ
คิวเดียวกัน พล.อ.ประวิตรยังแบะท่ายอมรับเป็นนัย ยังไม่รู้อนาคตตัวเองจะไปต่อกับ “น้องเล็ก” หรือไม่
สู้ไม่ไหว เพราะอายุ 74 ปีแล้ว
แต่ที่ผ่านมาได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่และหนักมาโดยตลอด และหลายนโยบายเห็นผลสำเร็จเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการปราบปรามหนี้นอกระบบ และงานด้านความมั่นคงอื่นๆ อีกทั้งปัญหาความขัดแย้ง ถือว่างานในส่วนที่ได้รับผิดชอบเสร็จสิ้นหมดแล้ว
แนวโน้ม “บิ๊กป้อม” ส่งสัญญาณ “ถอย” ชัดขึ้นตามลำดับ
ตามเงื่อนไขสถานการณ์ภายหลังการผ่าตัดบายพาสหัวใจ ต่อเนื่องกับอาการป่วยอาหารเป็นพิษในช่วง ครม.สัญจรต่างจังหวัด ถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือด
สุขภาพคือปมสำคัญ “พี่ใหญ่” ไม่เต็มร้อยที่จะไปต่อกับ “บิ๊กตู่”
ดูตามรูปการณ์ “ขุมพลัง 3 พี่น้องบูรพาพยัคฆ์” แกนหลักของ คสช.อย่าง พล.อ.ประวิตร พล.อ.ประยุทธ์ และ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กำลังเข้าสู่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
“แกนอำนาจพิเศษ” ถึงจุดพลิกองศา
โดยเงื่อนไขสถานการณ์ที่โยงกับปรากฏการณ์ “ม้วนเดียวจบ” รายชื่อขุนศึกในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปี 2561 ที่ออกมาตามโผที่หนังสือพิมพ์ได้นำเสนอข่าวล่วงหน้าเกือบเดือนมาแล้ว
โฟกัสอยู่ที่ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.คนใหม่
ตามเส้นทางยังแกะรอยไปถึงคิวของ “บิ๊กบี้” พล.ท.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ตท.22 ที่ขยับขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 เข้าไลน์ขึ้นแท่น “5 เสือ ทบ.” จ่อคิวรับไม้ต่อจาก “บิ๊กแดง” ในอีก 2 ปีถัดไป
“วงศ์เทวัญ” กลับมาคุมดุลอำนาจกองทัพ สลับฉาก “บูรพาพยัคฆ์” ที่ลากยาวมาหลายปี
ตามสถานะของ “บิ๊กแดง” คือเลขาธิการ คสช.คนใหม่ เบอร์หนึ่งคุมกำลังฝ่ายความมั่นคง และเบื้องหลังที่รู้กันทั่วทุกวงการ พล.อ.อภิรัชต์คือ “น้องรัก” ที่ “บิ๊กตู่” ให้ความไว้วางใจ ใช้งานสำคัญกันมาตั้งแต่ยึดอำนาจใหม่ๆ
ถึงคิว “แดง น้องรัก” คุ้มกันหลังให้ “พี่ตู่” แบบเต็มไม้เต็มมือ
นี่คือเงื่อนไขที่เปลี่ยนไป และจำเป็นต้อง “แชร์อำนาจ” กันใหม่ในทีมอำนาจพิเศษ คสช.
โดยเฉพาะสถานการณ์หลังการเลือกตั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องไปต่อตามกระบวนการประชาธิปไตย “พี่ใหญ่–พี่รอง” ไม่ได้อยู่ในจุดยึดโยงกับดุลอำนาจกองทัพ
ถึงด่านภาคบังคับ ทีมบูรพาพยัคฆ์ต้องกลับที่ตั้ง
นั่นยังรวมไปถึงพื้นที่การเมือง ตามท้องเรื่องที่รัฐบาลท็อปบูตภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่” นำทีมบริหารราชการแผ่นดินลากยาวมา 4 ปีกว่า
ภายใต้เงื่อนไขความมั่นคงตามฟอร์มรัฐบาลทหาร
ลากเอาเพื่อนพ้องน้องพี่มานั่งแท่นรัฐมนตรี ตอบแทนคนที่ร่วมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย
ไฟต์บังคับที่ประชาชนยอมให้บ้านเมืองสงบ แลกกับอารมณ์ค้างคาใจปมนาฬิกาของ “พี่ใหญ่” นั่นยังไม่เท่ากับคิวร้อนโรงไฟฟ้าขยะของ “พี่รอง”
ได้เวลาอันสมควร ถึงจังหวะต้องสั่ง “ไอ้เสือถอย”
“นายกฯลุงตู่” ต้องปรับโทน เปลี่ยนโหมดไปเป็นรัฐบาลเลือกตั้ง
ตามเงื่อนไขต้องพึ่งนักการเมืองอาชีพเข้ามาช่วยทำแต้มในสนามเลือกตั้ง ให้กระบวนการตีตั๋วต่อตามกติการัฐธรรมนูญเป็นไปตามเป้าหมาย
ไม่มีใครยอมเหนื่อยลงทุนลงแรงให้ฟรีแน่ๆ
แบบที่เห็นแค่ไม่ทันไร พอเกิดกระแส “หัวจ่ายปั๊ม 3 ทหาร” ไม่ไหลลื่น ยังทำให้ดีลกับนักเลือกตั้งรวน ทีมงานอดีต ส.ส.ที่ต่อสายกันไว้ป่วน โดนแรงดูดกลับระส่ำระสาย
นั่นหมายถึงการเกลี่ยเก้าอี้รัฐมนตรี ตำแหน่งทางการเมืองให้พรรคการเมืองที่สนับสนุนในรัฐบาลหลังเลือกตั้ง แทบไม่เหลือโควตาให้ทหารเปลี่ยนเป็นรัฐบาลพลเรือนภายใต้การคุ้มกันของท็อปบูต
ตามสภาพที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีกระบอง ม.44 ต้องอาศัยเสียง ส.ส.เป็นหลัก
การไปต่อของ “นายกฯลุงตู่” ต้องขึ้นอยู่กับความเป็นเอกภาพของอำนาจพิเศษที่เชื่อมโยงกับกองทัพ ประกอบกับการเกลี่ยผลประโยชน์กับนักการเมืองในสภาฯ
ได้ใช้ศิลป์ในการแชร์อำนาจและผลประโยชน์เต็มที่แน่.
“ทีมการเมือง”