PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2561

การบ้าน “ประยุทธ์” แชร์อำนาจไปต่อ โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์

การบ้าน “ประยุทธ์” แชร์อำนาจไปต่อ



ผ่าภาวะ คสช.ถึงด่านภาคบังคับ “ไอ้เสือถอย”
ฝนกลางฤดูตกชุกทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ
ทำให้เกิดน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลากหลายจังหวัด สถานการณ์อยู่ในห้วงที่รัฐบาลต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ในเรื่องการบริหารจัดการน้ำ ตามสภาวการณ์ทางธรรมชาติของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
ฟ้าฝนไว้วางใจไม่ได้ ทุกอย่างอยู่เหนือการคาดเดา
เช่นเดียวกับสถานการณ์ทางการเมือง เรื่องกำหนดการเลือกตั้งที่ยังไม่มีอะไรแน่นอน
ก่อนอื่นเลยก็คือคิวคลายล็อกพรรคการเมืองให้ดำเนินกิจกรรมเตรียมพร้อมเลือกตั้ง ล่าสุดฟังจากนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย แพลมไต๋ คิวปลดล็อกการเมืองอาจเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ปลายปี 2561 ตามเงื่อนไขเวลาหลังโปรดเกล้าฯ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.
นั่นหมายถึงลากไปแบบยาวสุด ภายใน 90 วัน
ตามปฏิทินที่นายวิษณุยืนยันยังมีเวลาเหลือเฟือ ไม่เป็นปัญหาสำหรับพรรคการเมืองที่จะทำนโยบายหาเสียงก่อนลงสนามเลือกตั้ง เร็วสุดในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ปีหน้า 2562
สอดคล้องเป็นทำนองเดียวกับท่าทีของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ที่วางคิวประกาศความชัดเจนทางการเมืองในเดือนกันยายน

แต่ชิงออกตัวเป็นเชิง “เด้งเชือก” ก่อนแล้ว
“เมื่อกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีก 2 ฉบับโปรดเกล้าฯลงมาแล้ว และเมื่อมีคำสั่ง ม.44 คลายล็อกการเมือง จากนั้นคือการเดินหน้าสู่การเลือกตั้งเพื่อนำไปสู่การเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ที่จะต้องได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล
โดยสถานการณ์ในช่วงนั้นจะเป็นผลในการตัดสินใจของผมเองว่า จำเป็นต้องอยู่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามรัฐธรรมนูญหรือด้วยกลไกของรัฐธรรมนูญหรือไม่ และถ้าจำเป็นแล้วจะเป็นอย่างไร”
แปลไทยเป็นไทย ปรับจากภาษาทหารเป็นภาษานักการเมือง
ตามท้องเรื่องที่รับรู้กันทั้งประเทศแล้ว อย่างไรเสีย “นายกฯลุงตู่” ก็ต้องตีตั๋วต่อผ่านนายกฯบัญชีพรรค เพื่อคุมเกมอำนาจเปลี่ยนผ่าน 5 ปี ตามกติกาที่ออกแบบไว้ในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ
ไม่มีอะไรพลิกแพลง ออกนอกเส้นทางจากโรดแม็ปนี้
แต่ “ลุงตู่” ไม่รีบเปิดตัวชัดๆให้โดนนักการเมืองโห่กดดันให้ลาออกจากตำแหน่งแสดงสปิริต
ตามเหลี่ยมแทงกั๊กไปจนนาทีสุดท้าย ในเดือนกันยายนนี้ก็คงชัดเจน แค่ พล.อ.ประยุทธ์บอกกับประชาชนว่าจำเป็นต้องอยู่ในสนามการเมืองต่อไป เพื่อให้ภารกิจปฏิรูปบรรลุเป้าหมาย
ไม่ให้ปฏิวัติ “เสียของ” ซ้ำซาก
ขณะที่ฟากพรรคพลังประชารัฐ ป้อมค่ายที่ชัดเจนว่าจะเป็นพรรคการเมืองฐานต้นทุนของ “นายกฯลุงตู่” ที่เตรียมนัดประชุมใหญ่ครั้งแรกวันที่ 15 กันยายนนี้
เต็มที่ก็คงเป็นแค่ “มวยสำรอง” สลับฉากไปก่อน
เพราะตอนนี้ “มวยตัวจริง” ยังติดภารกิจงานบริหารของรัฐบาล
สถานการณ์ยังไม่เอื้อต่อการเปิดตัวออกมาล่อเป้า เดาทางนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม กับนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ แคนดิเดตหัวหน้าและเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่ไม่รับมุกข่าวลาออกมาเดินงานทางการเมือง
ตามท้องเรื่อง ยุทธศาสตร์ก็โยงผูกกับคิวของ “นายกฯลุงตู่” นั่น แหละ
ไม่มีใครรีบตัดกระบอกไม้ไผ่ตั้งแต่ยังไม่เห็นน้ำ ยังไม่ชัวร์ด้วยซ้ำจะเลือกตั้งวันไหน ไม่จำเป็นต้องเสี่ยง “ขาลอย” ไม่มีตำแหน่งรัฐมนตรีลงพื้นที่หาเสียง ข้าราชการไม่ให้ราคา
เอาเป็นว่า ถึงตรงนี้รู้กันทั่วแล้ว “นายกฯลุงตู่” ตีตั๋วต่อ “อุตตม-สนธิรัตน์” นำทีมพรรคพลังประชารัฐ
มันคือความชัดเจนท่ามกลางความคลุมเครือ
และจุดที่ต้องโฟกัส ถือเป็นสัญญาณชัดเจนที่สุด ก็คือคิวของ “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์นักข่าวตรงๆ
“บิ๊กตู่” ควรเป็นนายกฯต่อไป เพื่อทำงานให้จบ
คิวเดียวกัน พล.อ.ประวิตรยังแบะท่ายอมรับเป็นนัย ยังไม่รู้อนาคตตัวเองจะไปต่อกับ “น้องเล็ก” หรือไม่
สู้ไม่ไหว เพราะอายุ 74 ปีแล้ว
แต่ที่ผ่านมาได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่และหนักมาโดยตลอด และหลายนโยบายเห็นผลสำเร็จเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการปราบปรามหนี้นอกระบบ และงานด้านความมั่นคงอื่นๆ อีกทั้งปัญหาความขัดแย้ง ถือว่างานในส่วนที่ได้รับผิดชอบเสร็จสิ้นหมดแล้ว
แนวโน้ม “บิ๊กป้อม” ส่งสัญญาณ “ถอย” ชัดขึ้นตามลำดับ
ตามเงื่อนไขสถานการณ์ภายหลังการผ่าตัดบายพาสหัวใจ ต่อเนื่องกับอาการป่วยอาหารเป็นพิษในช่วง ครม.สัญจรต่างจังหวัด ถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือด
สุขภาพคือปมสำคัญ “พี่ใหญ่” ไม่เต็มร้อยที่จะไปต่อกับ “บิ๊กตู่”
ดูตามรูปการณ์ “ขุมพลัง 3 พี่น้องบูรพาพยัคฆ์” แกนหลักของ คสช.อย่าง พล.อ.ประวิตร พล.อ.ประยุทธ์ และ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กำลังเข้าสู่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
“แกนอำนาจพิเศษ” ถึงจุดพลิกองศา
โดยเงื่อนไขสถานการณ์ที่โยงกับปรากฏการณ์ “ม้วนเดียวจบ” รายชื่อขุนศึกในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปี 2561 ที่ออกมาตามโผที่หนังสือพิมพ์ได้นำเสนอข่าวล่วงหน้าเกือบเดือนมาแล้ว
โฟกัสอยู่ที่ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.คนใหม่
ตามเส้นทางยังแกะรอยไปถึงคิวของ “บิ๊กบี้” พล.ท.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ตท.22 ที่ขยับขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 เข้าไลน์ขึ้นแท่น “5 เสือ ทบ.” จ่อคิวรับไม้ต่อจาก “บิ๊กแดง” ในอีก 2 ปีถัดไป
“วงศ์เทวัญ” กลับมาคุมดุลอำนาจกองทัพ สลับฉาก “บูรพาพยัคฆ์” ที่ลากยาวมาหลายปี
ตามสถานะของ “บิ๊กแดง” คือเลขาธิการ คสช.คนใหม่ เบอร์หนึ่งคุมกำลังฝ่ายความมั่นคง และเบื้องหลังที่รู้กันทั่วทุกวงการ พล.อ.อภิรัชต์คือ “น้องรัก” ที่ “บิ๊กตู่” ให้ความไว้วางใจ ใช้งานสำคัญกันมาตั้งแต่ยึดอำนาจใหม่ๆ
ถึงคิว “แดง น้องรัก” คุ้มกันหลังให้ “พี่ตู่” แบบเต็มไม้เต็มมือ
นี่คือเงื่อนไขที่เปลี่ยนไป และจำเป็นต้อง “แชร์อำนาจ” กันใหม่ในทีมอำนาจพิเศษ คสช.
โดยเฉพาะสถานการณ์หลังการเลือกตั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องไปต่อตามกระบวนการประชาธิปไตย “พี่ใหญ่–พี่รอง” ไม่ได้อยู่ในจุดยึดโยงกับดุลอำนาจกองทัพ
ถึงด่านภาคบังคับ ทีมบูรพาพยัคฆ์ต้องกลับที่ตั้ง
นั่นยังรวมไปถึงพื้นที่การเมือง ตามท้องเรื่องที่รัฐบาลท็อปบูตภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่” นำทีมบริหารราชการแผ่นดินลากยาวมา 4 ปีกว่า
ภายใต้เงื่อนไขความมั่นคงตามฟอร์มรัฐบาลทหาร
ลากเอาเพื่อนพ้องน้องพี่มานั่งแท่นรัฐมนตรี ตอบแทนคนที่ร่วมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย
ไฟต์บังคับที่ประชาชนยอมให้บ้านเมืองสงบ แลกกับอารมณ์ค้างคาใจปมนาฬิกาของ “พี่ใหญ่” นั่นยังไม่เท่ากับคิวร้อนโรงไฟฟ้าขยะของ “พี่รอง”
ได้เวลาอันสมควร ถึงจังหวะต้องสั่ง “ไอ้เสือถอย”
“นายกฯลุงตู่” ต้องปรับโทน เปลี่ยนโหมดไปเป็นรัฐบาลเลือกตั้ง
ตามเงื่อนไขต้องพึ่งนักการเมืองอาชีพเข้ามาช่วยทำแต้มในสนามเลือกตั้ง ให้กระบวนการตีตั๋วต่อตามกติการัฐธรรมนูญเป็นไปตามเป้าหมาย
ไม่มีใครยอมเหนื่อยลงทุนลงแรงให้ฟรีแน่ๆ
แบบที่เห็นแค่ไม่ทันไร พอเกิดกระแส “หัวจ่ายปั๊ม 3 ทหาร” ไม่ไหลลื่น ยังทำให้ดีลกับนักเลือกตั้งรวน ทีมงานอดีต ส.ส.ที่ต่อสายกันไว้ป่วน โดนแรงดูดกลับระส่ำระสาย
นั่นหมายถึงการเกลี่ยเก้าอี้รัฐมนตรี ตำแหน่งทางการเมืองให้พรรคการเมืองที่สนับสนุนในรัฐบาลหลังเลือกตั้ง แทบไม่เหลือโควตาให้ทหารเปลี่ยนเป็นรัฐบาลพลเรือนภายใต้การคุ้มกันของท็อปบูต
ตามสภาพที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีกระบอง ม.44 ต้องอาศัยเสียง ส.ส.เป็นหลัก
การไปต่อของ “นายกฯลุงตู่” ต้องขึ้นอยู่กับความเป็นเอกภาพของอำนาจพิเศษที่เชื่อมโยงกับกองทัพ ประกอบกับการเกลี่ยผลประโยชน์กับนักการเมืองในสภาฯ
ได้ใช้ศิลป์ในการแชร์อำนาจและผลประโยชน์เต็มที่แน่.
“ทีมการเมือง”

ไม่มีความคิดเห็น: