PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2559

“ป๋าเปรม” แจง ให้กำลังใจ “บิ๊กตู่” ไม่เกี่ยวการเมือง ยันวางมือการเมืองนานแล้ว

“ป๋าเปรม”ระบุที่พูดถึง”ประยุทธ์”เพราะห่วงบ้านเมือง ลั่นวางมือจากการเมืองมานานแล้ว และจะไม่ยุงกับการเมืองอีก วอนคนไทยอย่าเอาความชอบและไม่ชอบมาเป็นชนวนทะเลาะกันชี้เป็นเรื่องน่าอาย
เมื่อเวลา 18.00 น.วันที่ 2 กันยายน ที่บ้านแม่ทัพ เลขที่ 1885 ซ.สืบศิริ 32 ถ.สืบศิริ อ.เมือง จ.นครราชสีมา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เปิดบ้านให้ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา นำโดย พล.ท.วิชัย แชจอหอ แม่ทัพภาคที่ 2 นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา และ พล.ต.ต.ธเนศ สุนทรสุข รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เพื่อให้เข้าพบ และอวยพรเนื่องในวันคล้ายวันเกิด 26 สิงหาคม 2559 ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความแช่มชื่น โดย พล.อ.เปรมฯ ได้เดินทักทายทุกคนที่มาร่วมอวยพรวันเกิด ก่อนที่จะเปิดโอกาสให้มอบกระเช้าของขวัญวันเกิดกันอย่างทั่วถึง
ทั้งนี้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ได้กล่าวกับผู้ที่มาร่วมอวยพรวันเกิดว่า ในวันนี้ขอขอบคุณทุกคนที่มาร่วมอวยพรวันเกิด และดีใจที่ได้พบกันอีกครั้ง ซึ่งคงจะมีคนมาชี้แจงแล้วว่าทำไมเราต้องมาอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ ทุกคนเข้าใจแต่หลายคนก็ไม่ค่อยชอบใจ ซึ่งเรื่องของการไม่ชอบกับเรื่องของการทะเลาะกัน หลายคนแยกกันไม่ออก ถ้าเราไม่ชอบก็บอกกันว่าไม่ชอบแค่นั้น แต่ถ้าไม่ชอบแล้วนำมาเป็นเหตุผลในการทะเลาะกันนี่ มันเป็นเรื่องน่าคิด และน่าอับอายที่คนไทยด้วยกันพูดกันไม่ค่อยเข้าใจ ซึ่งเรื่องนี้เห็นจะต้องอาศัย พล.ท.วิชัย แชจอหอ แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นผู้ไปทำความเข้าใจให้กับประชาชนทั้งภาคอีสาน เพราะถ้าไม่ชอบกันแล้วทะเลาะกันจนคนไทยไม่สามารถมองหน้ากันได้ เช่นนี้เป็นเรื่องที่น่าหนักใจและน่าอับอายมาก
เมื่อวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไปอวยพรที่บ้าน ตนก็พูดเช่นนี้ บอกให้นายกรัฐมนตรี พยายามทำให้คนไทยเข้าใจ ทำให้รู้ให้ได้ว่าอะไรคืออะไร ต้องทำให้สำเร็จ ถ้าวันนี้ยังทำไม่สำเร็จก็ต้องเดินหน้าทำต่อไปจนกว่าจะสำเร็จ วันนี้อาจจะนอกเรื่องไปหน่อย แต่โปรดฟังว่าตนกำลังพูดถึงเรื่องของชาติบ้านเมือง ไม่ได้พูดถึงเรื่องการเมือง เพราะตนได้วางมือจากการเมืองไปนานแล้ว จะไม่เข้าไปยุ่งกับการเมืองอีกแล้ว แต่ที่พูดวันนี้เพราะรู้สึกเป็นห่วงบ้านเมืองของเรา ว่าเรากำลังต้องการความเข้าใจซึ่งกันและกัน ใครผิดก็ต้องว่าผิด ใครถูกก็ต้องว่าถูกแค่นั้น ก็ขอขอบใจแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา และเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนาย ที่ปรารถนาดีมาอวยพรวันเกิด ได้บอกกับนายกรัฐมนตรีว่า ตนแก่แล้ว อายุมากแล้ว คงจะช่วยอะไรได้ไม่มาก แต่ที่ทำได้คือช่วยบอกกับคนที่ตนพบ คนที่ตนได้เจรจาด้วย โดยเฉพาะชาวต่างชาติ ให้เขาเข้าใจสถานการณ์ของบ้านเมืองไทยขณะนี้ ซึ่งเขานึกไม่ออกเพราะบ้านเมืองเขาไม่มีเหมือนบ้านเรา สุดท้ายขอให้ทุกคนมีกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อนำบ้านเมืองเราไปสู่ความสงบเรียบร้อย และมีความเข้าใจซึ่งกันและกันตลอดไป.

สุรชาติ บำรุงสุข : การเมืองระบอบพันทาง 2521 อุดมคติอนุรักษนิยมไทยปัจจุบัน

AFP PHOTO
“เป็นเวลาที่นานเกินความจำเป็น และไม่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน คณะทหาร ตำรวจ และพลเรือน เห็นสมควรให้ปรับปรุงระยะเวลาที่จะพัฒนาประชาธิปไตยเสียใหม่ คือ กำหนดเป้าหมายให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2521”
คำประกาศการยึดอำนาจ
20 ตุลาคม 2520
ระบอบการปกครองแบบพันธุ์ทาง (hybrid regime) หรืออาจจะเรียกว่าเป็นการเมืองลูกผสม (hybrid politics) ก็แล้วแต่ ดูจะเป็น “อุดมคติทางการเมือง” สำหรับชนชั้นนำ ผู้นำทหาร และกลุ่มอนุรักษนิยมไทยอย่างมาก
อุดมคติชุดนี้มีตัวแบบของการเมืองหลังจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2521 เป็นพื้นฐาน และถูกตอกย้ำด้วยรูปธรรมของผู้นำรัฐบาลอย่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งดำรงอยู่ในอำนาจอย่างยาวนาน และเป็นผู้นำทางการเมืองของไทยที่อยู่ในอำนาจยาวนานเป็นอันดับที่ 3 รองจาก จอมพลแปลก พิบูลสงคราม และ จอมพลถนอม กิตติขจร
ดังนั้น เมื่อมีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ครั้งใดก็ตาม กลุ่มผู้นำที่มีอำนาจในสังคมไทยก็มักจะมี “ความฝัน” ย้อนกลับสู่อดีตของรัฐธรรมนูญ 2521
และปัจจุบันก็ดูจะมีทิศทางในลักษณะเช่นนี้อยู่ค่อนข้างมาก
ดังนั้น บทความนี้จะทดลองทำความเข้าใจกับสถานการณ์การเมืองและรัฐธรรมนูญ 2521 โดยเฉพาะความเป็นอุดมคติสำหรับชนชั้นนำ ผู้นำทหาร และกลุ่มอนุรักษนิยมไทยที่พวกเขามักจะฝันถึงเสมอนั้น
ก็มีทั้งเงื่อนไขทั่วไปและเงื่อนไขเฉพาะกำกับสถานการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว

การเมืองไทยหลัง 6 ตุลาคม 2519
สถานการณ์รัฐประหารในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 มีลักษณะแตกต่างจากการยึดอำนาจครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา
แม้ด้านหนึ่งจะมีรูปลักษณ์ของการใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจ
แต่การยึดอำนาจครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นผลโดยตรงจากปัญหา “สงครามอุดมการณ์” ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ผสมผสานเข้ากับการกำเนิดและการเคลื่อนไหวของขบวนนิสิตนักศึกษาขนาดใหญ่ อันนำไปสู่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจากเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ จึงเป็นดังการพาสังคมไทยเข้าสู่การต่อสู้ทางการเมืองชุดใหม่
เพราะการต่อสู้เช่นนี้แต่เดิมอาจจะเป็นเพียงเรื่องของความขัดแย้งภายในหมู่ชนชั้นนำ และรัฐประหารแบบเก่าก็เป็นเรื่องของการกวาดล้างทางการเมืองที่จะขจัดคู่ต่อสู้ที่เป็นชนชั้นนำอีกฝ่ายออกไป
ดังจะเห็นได้ชัดเจนจากรัฐประหาร 2500 ก็คือการใช้กำลังทหารของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้าจัดการกับผู้นำอีกฝ่ายคือ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เป็นต้น
แต่ความเปลี่ยนแปลงในปี 2516 แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง และเห็นได้ชัดถึงบทบาทการต่อสู้ของภาคประชาชน
แม้ส่วนหนึ่งของปัญหานี้จะมีเรื่องของความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นนำ แต่ชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยในปี 2516 ได้เปิดโอกาสให้อุดมการณ์การเมืองอีกค่ายหนึ่งค่อยๆ ก่อตัวและเติบใหญ่ขึ้นในสังคมไทย
แต่อุดมการณ์สังคมนิยมที่ก่อตัวขึ้นเช่นนี้ก็กลายเป็น “ความน่ากลัว” อย่างยิ่งในหมู่ชนชั้นนำ ผู้นำทหาร และกลุ่มอนุรักษนิยมไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาชนชั้นกลางในเมืองทั้งหลาย ความกลัวเช่นนี้ยังถูกขับเคลื่อนอย่างมากจากสถานการณ์สงครามในอินโดจีน
ดังจะเห็นได้ว่าปี 2518 เป็นช่วงระยะเวลาที่สำคัญของความกลัว จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็น “ปีแห่งความกลัว” อันยิ่งใหญ่ เพราะไม่เพียงแต่รัฐบาลนิยมตะวันตกในเวียดนามและกัมพูชาจะพ่ายแพ้แก่กองกำลังของพรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้น
หากในช่วงปลายปี 2518 รัฐบาลผสมในลาวก็ล้มลงพร้อมกับการสิ้นสุดของระบบกษัตริย์
ภูมิรัฐศาสตร์ของไทยในมิติความมั่นคงเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
รัฐไทยมีพรมแดนติดต่อกับรัฐสังคมนิยมอันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเป็นความน่ากลัวอย่างมีนัยสำคัญ
สงครามอินโดจีนจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของสหรัฐ เป็นความพ่ายแพ้ที่ดูเหมือนชนชั้นนำและผู้นำทหารไทยจะไม่เคยคาดคิดมาก่อน
พวกเขาเชื่อมั่นเสมอว่าด้วยพลังอำนาจทางทหารอย่างมหาศาลที่สหรัฐมี กองกำลังคอมมิวนิสต์ในอินโดจีนจะถูกกวาดล้าง
และจะทำให้ประเทศไทยปลอดจากภัยคุกคามดังกล่าว หรืออย่างน้อยในสำนวนยุคสงครามเย็นก็คือการเข้าสู่สงครามอินโดจีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามเวียดนาม จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยคุ้มครองไทย และจะช่วยให้ไทยไม่เป็น “โดมิโน” ต่อจากการล้มลงของโดมิโนทั้งสามตัวในอินโดจีน แต่สงครามอินโดจีนก็จบลง ความฝันที่ไม่เป็นจริงสำหรับผู้นำไทย… สหรัฐต้องถอนตัวออก และอินโดจีนก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลสังคมนิยม
ดังนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ รัฐประหารในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 จึงเป็นกลไกสำคัญในการจัดการกับ “ความกลัว” ซึ่งเป็นสิ่งที่ชนชั้นนำ ผู้นำทหาร และกลุ่มอนุรักษนิยมที่มีชนชั้นกลางเป็นแกนกลางต้องเผชิญ
พวกเขาเชื่ออย่างมั่นใจว่าการยึดอำนาจจะเป็นวิธีของการควบคุมสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ และขณะเดียวกันก็ออกแบบให้มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2519 เป็นเครื่องมือหลัก และเพื่อให้การใช้อำนาจเช่นนี้มีประสิทธิภาพ
พวกเขาจึงต้องจัดตั้งรัฐบาลขวาจัดขึ้น แต่แล้วด้วยการดำเนินนโยบายขวาจัดกลับทำให้สถานการณ์การเมืองไทยทรุดลง จนอาจจะนำไปสู่สงครามกลางเมืองได้ไม่ยากนัก
และในที่สุดรัฐบาลขวาจัดกลับกลายเป็นตัวผลักดันที่อาจจะนำไปสู่สงครามกลางเมืองในตัวเองอีกด้วย

ผลด้านกลับต่อสถาบันทหาร
การต้องเผชิญกับสถานการณ์ความมั่นคงเช่นนี้ ผู้นำทหารส่วนหนึ่งเริ่มไม่เชื่อว่านโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์แบบสุดโต่งด้วยการใช้การปราบปรามเป็นเครื่องมือหลักในสงคราม ภายใต้แนวคิด “การทหารนำการเมือง” จะชนะ แต่การปราบปรามสะท้อนให้เห็นผลด้านกลับจากสถานการณ์สงครามที่ขยายตัวมากขึ้นในชนบทไทย จนในที่สุดพวกเขามีข้อสรุปใหม่ที่ชัดเจนว่า “ยิ่งขวามากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งพ่ายแพ้เร็วขึ้นเท่านั้น”
หรือในอีกมุมหนึ่งของงานยุทธการที่กลายเป็นความน่ากังวลในทางทหารก็คือ “ยิ่งปราบ ยิ่งโต”… สงครามคอมมิวนิสต์หลังจากการล้อมปราบในปี 2519 กลับยิ่งขยายตัวมากขึ้นในชนบทไทย และมีแนวโน้มที่จะไปสู่จุดที่ควบคุมไม่ได้ จนอาจนำไปสู่ความพ่ายแพ้ของรัฐไทย
สภาพเช่นนี้ทำให้เกิดข้อสรุปที่สำคัญอีกประการก็คือ รัฐบาลไทยมีความจำเป็นต้องปรับยุทธศาสตร์และนโยบายในการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์
แต่การจะปรับเช่นนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ภายใต้การควบคุมอำนาจอย่างเข้มงวดของรัฐบาลขวาจัดในปี 2519 และขณะเดียวกันผลจากท่าทีต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างสุดโต่งเช่นนี้เท่ากับการส่งสัญญาณว่า ถ้าจะต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์และนโยบายแล้ว ทางออกจึงเหลือแต่เพียงประการเดียวก็คือ ต้องยึดอำนาจและเปลี่ยนรัฐบาล!
ดังนั้น ในวันที่ 20 ตุลาคม 2520 ผู้นำทหารที่อาจจะเรียกว่าเป็น “สายปฏิรูป” หรือบางคนอาจจะเรียกว่า “สายพิราบ” ก็ตัดสินใจเคลื่อนกำลังยึดอำนาจและล้มรัฐบาลขวาจัด…
นโยบายสุดโต่งของรัฐบาลขวาจัดจบลงด้วยการตัดสินใจของผู้นำทหารสายพิราบ
และพร้อมกันนี้ ผู้นำทหาร “สายเหยี่ยว” ก็ถูกลดบทบาทและอำนาจลง เพื่อให้นโยบายใหม่ถูกขับเคลื่อน อันจะเป็นหนทางของการลดความขัดแย้งในสังคมไทย
และเป็นความหวังว่าทิศทางนโยบายใหม่ที่อยู่บนฐานความคิด “การเมืองนำการทหาร” จะช่วยลดทอนความรุนแรงของสถานการณ์สงครามในชนบทไทยลงให้ได้
ไม่น่าเชื่อว่าผู้นำทหารเช่น พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ และอีกหลายท่านในกลุ่มนี้จะปรับตัวกลายเป็น “ผู้นำสายปฏิรูป” และตัดสินใจหันหลังให้กับนโยบายขวาจัดด้วยความตระหนักว่า นโยบายสุดโต่งของรัฐบาลอำนาจนิยมนอกจากจะไม่นำไปสู่ความสำเร็จแล้ว นโยบายดังกล่าวจะยิ่งกลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดการต่อต้านรัฐบาลมากยิ่งขึ้น
และข้อยุติก็คือ จะต้องเปิดการเลือกตั้งในปี 2521

เปลี่ยนผ่านสู่ระบอบไฮบริด
รัฐธรรมนูญใหม่เพื่อเตรียมการเลือกตั้งได้รับการประกาศใช้ในช่วงเดือนธันวาคม 2521 และการเลือกตั้งทั่วไปก็เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2522
คงต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญ 2521 มีส่วนอย่างมากต่อการเปลี่ยนโฉมหน้าของการเมืองไทย ดังได้กล่าวแล้วว่า ผู้นำรัฐประหาร 2520 มีแนวคิดของการใช้นโยบาย “ผ่อนปรน” ในการเมืองไทย
ดังจะเห็นได้ว่ากิจกรรมทางการเมืองหลายๆ อย่างเริ่มฟื้นตัวกลับขึ้นมาหลังจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้
เช่น การฟื้นตัวของกิจกรรมนักศึกษา การฟื้นกิจกรรมของสหภาพแรงงาน ตลอดรวมถึงการกลับเข้าสู่การมีบทบาทใหญ่ขององค์กรพัฒนาเอกชน (หรือเอ็นจีโอ)
และนโยบายผ่อนปรนที่สำคัญของรัฐบาลทหารสายพิราบก็คือ การประกาศนิรโทษกรรมให้แก่ผู้เกี่ยวข้องในคดี 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งอาจจะต้องเรียกด้วยภาษาปัจจุบันว่าเป็น “นิรโทษกรรมแบบสุดซอย” เพราะทั้งนักศึกษาที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ และบรรดาผู้ก่อเหตุฝ่ายขวาที่เป็นฝ่ายกระทำล้วนได้รับนิรโทษกรรมพร้อมกันทั้งหมด และการนิรโทษกรรมแบบองค์รวมกลายเป็นการถอดชนวนสงครามในไทย
รัฐบาลทหารของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ พยายามนำพาสังคมไทยกลับสู่ “ภาวะปกติ” โดยลดความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในสังคมไทยและพุ่งสู่จุดสูงสุดในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ลงให้ได้
และด้วยทิศทางดังกล่าว ปรากฏการณ์ความ “ปรองดอง” ก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้นในสังคมไทย…
สังคมเดินสู่ภาวะปกติมากขึ้นพร้อมๆ กับความแตกแยกเมื่อครั้งปี 2519 ก็ค่อยๆ ถูกสลายลง
อย่างน้อยปรากฏการณ์ของเพลง “เดือนเพ็ญ” ที่แต่งโดยนายผี (อัศนี พลจันทร) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำคนสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ถูกนำมาขับร้องกันอย่างกว้างขวาง
ขับขานกันตั้งแต่ระดับสูงจนถึงระดับล่างตามบาร์ตามผับ โดยไม่มีความรังเกียจว่าผู้แต่งเป็น พคท. หรือเป็นเพลงของ พคท. จนอาจจะต้องถือว่าเป็นหนึ่งในเพลงที่เปิดฟังจากสถานีเพลงต่างๆ และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในขณะนั้น
ถ้าจะคิดในมุมเล็กๆ ของการปรองดองทางอุดมการณ์ในสังคมไทย คงต้องยอมรับว่าเพลงนี้คือตัวแทนของสงครามอุดมการณ์ที่ยุติลงในสังคมไทย
เท่าๆ กับการทยอยออกจากป่าของผู้นำนักศึกษาและสมาชิก พคท. ความฝันถึงชัยชนะใน “สงครามปฏิวัติ” ของฝ่ายซ้ายไทยค่อยๆ ดับมอดลง
ถ้าเราอธิบายปรากฏการณ์นี้ด้วยทฤษฎีของ “เปลี่ยนผ่านวิทยา” แล้ว เราก็อาจกล่าวได้ว่ารัฐธรรมนูญ 2521 และการเลือกตั้ง 2522 เป็นระยะเปลี่ยนผ่านชุดหนึ่ง แม้การเปลี่ยนผ่านนี้อาจจะไม่ใช่การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยโดยตรง แต่ก็อาจจะต้องเรียกว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นเสรีนิยมที่มากขึ้น (transition to liberalization) โดยมีการล้มระบอบอำนาจนิยมเดิมเป็นเครื่องบ่งบอก
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การล้มรัฐบาลขวาจัดเพื่อจัดตั้ง “ระบอบไฮบริด” ขึ้น และประคับประคองสถานการณ์การเมืองและความมั่นคงไทยไม่ให้ทรุดลง
แต่ขณะเดียวกันก็ไม่เปิดการเมืองให้เสรีทั้งหมด และเป็นการเมืองที่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของทหาร แต่ก็มีความเป็นเสรีนิยมมากขึ้นกว่าเดิม

การเมืองในพื้นที่สีเทา
ความยุ่งยากในทางทฤษฎีก็คือ การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่เกิดขึ้นอาจจะไม่นำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยเต็มรูป กลับทำให้เกิดระบอบการปกครองที่อยู่ระหว่างความเป็นอำนาจนิยมกับความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งเราอาจเรียกการเมืองในเชิงสีเปรียบเทียบได้ว่าเป็นระบอบการปกครองใน “พื้นที่สีเทา” (grey zone)
หรืออาจจะเรียกด้วยชื่อในทางทฤษฎีของวิชาการเมืองเปรียบเทียบในปัจจุบันว่าเป็น “ระบอบพันทาง”
กล่าวคือ ระบอบนี้ยังสามารถคงโครงสร้างและอำนาจของฝ่ายทหารไว้ได้ เท่าๆ กับก็เปิดให้มีการแข่งขันทางการเมือง
แต่การขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นจะผูกไว้กับการแต่งตั้ง “คนกลาง” ที่สุดท้ายแล้วก็คือผู้นำทหาร ที่ถูกคัดเลือกโดยรัฐสภาภายใต้กติการัฐธรรมนูญ
สภาพเช่นนี้ดูจะสอดคล้องกับเงื่อนไขของการเมืองไทยในขณะนั้น ที่แม้จะมีระยะเปลี่ยนผ่านทางการเมืองเกิดขึ้นในปี 2520/2521 แต่ก็เป็นการเปลี่ยนผ่านโดยอาศัยอำนาจของทหารอีกกลุ่มหนึ่ง
การเมืองหลังการเปลี่ยนผ่านจึงยังคงเป็นการเมืองที่มีบทบาทและอำนาจของผู้นำทหารดำรงอยู่ภายในกรอบรัฐธรรมนูญที่ทหารสร้างขึ้น
หรือเกิดสภาพที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยแบบควบคุม” (controlled democracy) ขึ้น
และอำนาจของผู้นำทหารก็อาศัยกลไกรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือมากกว่าจะอาศัยการรัฐประหาร และเปิดโอกาสให้ผู้นำทหารอยู่ในอำนาจได้นานขึ้น
ปรากฏการณ์เช่นนี้จึงกลายเป็น “ความฝัน” สำหรับกลุ่มอนุรักษนิยมไทยยุคใหม่เป็นอย่างยิ่ง
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การกำเนิดของระบอบอำนาจนิยมที่ผ่านการเลือกตั้ง โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือนั่นเอง!

ประกาศแล้ว!!! ม.44 ล็อต 7 ให้ 21 บิ๊กขรก. -บิ๊กตำรวจ- อปท. หยุดปฏิบัติหน้าที่

ประกาศแล้ว!!! ม.44 ล็อต 7 ให้ 21 บิ๊กขรก. -บิ๊กตำรวจ- อปท. หยุดปฏิบัติหน้าที่

ราชกิจจา
เมื่อวันที่ 2 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไชต์ ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่52/2559 เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ 7 ทั้งนี้ในคำสั่งดังกล่าว มีรายชื่อ ข้าราชพลเรือน ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการปกครองส่วนท้องถิ่น รวม 21 ราย

คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๕๒/๒๕๕๙
เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ ๗ ตามที่มีคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๖/๒๕๕๘ เรื่อง มาตรการแก้ปัญหา เจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบและการกําหนดกรอบอัตรากําลังชั่วคราว ลงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ และคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๙/๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งและให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดํารงตําแหน่งและปฏิบัติหน้าที่อื่น ลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ นั้น โดยที่หน่วยงานที่มีอํานาจหน้าที่ตรวจสอบได้เสนอรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่าง การถูกตรวจสอบ เนื่องจากถูกร้องเรียนหรือกล่าวหาว่าปล่อยปละละเลยให้มีการกระทําความผิดเกิดขึ้น ในพื้นที่ของตนหรือมีการทุจริต หรือประพฤติมิชอบ หรือดําเนินการหรือไม่ดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ จนเกิดความเสียหายแก่ทางราชการและมีมูลอันสมควรตรวจสอบ จึงจําเป็นต้องประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ และกําหนดมาตรการบางอย่างเพิ่มเติม อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ผู้ที่มีรายชื่อในกลุ่มที่ ๑ ข้าราชการพลเรือน ตามบัญชีแนบท้ายคําสั่งนี้ ระงับ การปฏิบัติราชการหรือหน้าที่ในตําแหน่งเดิมเป็นการชั่วคราว และไปปฏิบัติราชการประจําหน่วยงานนั้น ตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย
ข้อ ๒ ให้ผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ ๒ ข้าราชการตํารวจ ตามบัญชีแนบท้ายคําสั่งนี้ ระงับ การปฏิบัติราชการโดยไม่ขาดจากตําแหน่งเดิมและให้ไปปฏิบัติราชการในหน่วยงานอื่นในสังกัดเดิม เป็นการชั่วคราว โดยผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ จะมีคําสั่งให้ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการ ในกองบัญชาการตํารวจแห่งใดแห่งหนึ่งตามที่เห็นสมควรเพื่อความสะดวกในการตรวจสอบก็ได้
ข้อ ๓ ให้ผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ ๓ ผู้บริหารและผู้มีตําแหน่งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามบัญชีแนบท้ายคําสั่งนี้ ระงับการปฏิบัติราชการหรือหน้าที่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดํารงตําแหน่งอยู่ เป็นการชั่วคราวโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน
ข้อ ๔ ให้ผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ ๔ ข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามบัญชีแนบท้าย คําสั่งนี้ ไปช่วยราชการที่ศาลากลางจังหวัดที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นตั้งอยู่หรือสถานที่ราชการอื่น ในจังหวัดนั้น ๆ ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกําหนด แต่ต้องมิใช่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ อยู่เดิม โดยไม่ต้องมีคําร้องขอ และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายเป็น ผู้บังคับบัญชามีอํานาจมอบหมายให้ผู้นั้นปฏิบัติงานตามความเหมาะสม
ในกรณีนี้ มิให้บุคคลดังกล่าวได้รับเงินประจําตําแหน่งและสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไป ราชการชั่วคราว ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๕๕ อันเนื่องจากการไปช่วยราชการตามคําสั่งนี้
ข้อ ๕ ให้ศูนย์อํานวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) แจ้งข้อเท็จจริงอันเป็นมูลเหตุ แห่งการตรวจสอบการปฏิบัติราชการของผู้นั้นให้หน่วยงานทราบ เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาแต่งตั้งคณะกรรมการ ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยต้องปรากฏผลให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจาก ศอตช. เพื่อความเป็นธรรมแก่ผู้นั้นหรือเพื่อดําเนินการทางวินัยต่อไป ในกรณีที่ไม่อาจดําเนินการให้แล้วเสร็จ ภายในกําหนดเวลาดังกล่าว ให้รายงานรัฐมนตรีเจ้าสังกัดของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นแล้วแต่กรณีเพื่อขยายเวลาได้ ตามความจําเป็น
ในกรณีที่ผลการตรวจสอบพบว่าผู้ถูกตรวจสอบมีความผิดตามที่ได้รับแจ้ง หรือมีความผิด ประการอื่นที่เชื่อมโยงไปถึง ให้ผู้บังคับบัญชาดําเนินการทางวินัยและกฎหมายต่อไป ในกรณีที่ไม่พบว่า มีการกระทําความผิดหรือไม่ถึงขั้นต้องดําเนินการทางวินัย ให้เยียวยาแก่ผู้ถูกตรวจสอบโดยให้ไปดํารงตําแหน่ง ในระดับเดิมตามความเหมาะสม แต่ให้อยู่นอกพื้นที่เดิมก่อนเข้าสู่กระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายในคราวต่อไป เมื่อดําเนินการใด ๆ ตามวรรคนี้แล้ว ให้แจ้ง ศอตช. ทราบ
ข้อ ๖ ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อ ๕ หากไม่พบว่ามีการกระทําความผิดหรือไม่ถึง ขั้นต้องดําเนินการทางวินัยให้ผู้บังคับบัญชาสรุปผลการตรวจสอบและพยานหลักฐานที่มีอยู่แล้วแจ้งให้ ศอตช. ทราบ ในการนี้ ให้ประธาน ศอตช. แต่งตั้งคณะบุคคลซึ่งเป็นหรือมิได้เป็นข้าราชการ ไม่มีข้อขัดแย้ง หรือส่วนได้เสียกับบุคคลหรือเรื่องที่มีการกล่าวหา และไม่เคยเป็นผู้ตรวจสอบเรื่องนี้มาก่อนมีจํานวน ๓ ถึง ๕ คน เพื่อตรวจสอบเปรียบเทียบผลการตรวจสอบเดิมของผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกตรวจสอบกับรายงาน หรือพยานหลักฐานที่มีอยู่อีกครั้งหนึ่งและให้มีอํานาจเชิญบุคคลมาให้ถ้อยคําได้โดยคณะบุคคลดังกล่าว อาจตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ถูกตรวจสอบแต่ละรายหรือหลายรายพร้อมกันก็ได้ ทั้งนี้ ให้แล้วเสร็จ ภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง
ในกรณีที่ผลการตรวจสอบพบว่าการตรวจสอบของผู้บังคับบัญชาถูกต้องแล้ว หรือไม่มีเหตุอันควร เปลี่ยนแปลงใด ๆ ให้แจ้งผู้บังคับบัญชาทราบ ในกรณีที่ผลการตรวจสอบไม่สอดคล้องกับผลการตรวจสอบเดิมของผู้บังคับบัญชา และมีเหตุ อันควรเปลี่ยนแปลง ให้สรุปพยานหลักฐานที่มีอยู่และหารือร่วมกับผู้บังคับบัญชาแล้วให้ผู้บังคับบัญชา ดําเนินการตามผลการหารือ โดยถือว่าการดําเนินการตามคําสั่งนี้ทุกขั้นตอนเป็นการดําเนินการทางวินัย โดยชอบด้วยกฎหมายสําหรับข้าราชการนั้น ๆ แต่ไม่ตัดสิทธิที่ผู้ถูกตรวจสอบจะอุทธรณ์ต่อไปตามกฎหมาย หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความผิดอาญาให้ผู้บังคับบัญชาดําเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
ข้อ ๗ เมื่อได้ดําเนินการตามข้อ ๖ แล้ว ในกรณีไม่ปรากฏว่าผู้ถูกตรวจสอบมีความบกพร่องใดๆ ในการปฏิบัติงานหรือไม่มีมูลความผิดทางวินัยหรือความผิดอาญาหรือมีความผิดวินัยแต่มิใช่เป็นความผิดวินัย
อย่างร้ายแรงจึงมีเหตุอันควรงดโทษหรือรับโทษสถานเบาขั้นภาคทัณฑ์ ให้เยียวยาโดยให้ผู้ถูกตรวจสอบ ไปดํารงตําแหน่งในระดับเดิมตามความเหมาะสม แต่ให้อยู่นอกพื้นที่เดิม ยกเว้นผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ ๓ ตามบัญชีแนบท้ายคําสั่งนี้ให้กลับไปดํารงตําแหน่งหรือปฏิบัติหน้าที่เดิมได้ ทั้งนี้ ศอตช. อาจมีคําแนะนํา การเยียวยาด้วยก็ได้ โดยคํานึงถึงข้อมูลความเหมาะสมเกี่ยวกับตําแหน่งหน้าที่และพื้นที่ใหม่ การให้ ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกตรวจสอบ และประโยชน์ของทางราชการประกอบกัน
ข้อ ๘ ในกรณีจะเสนอให้นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีเปลี่ยนแปลงคําสั่ง หากปรากฏว่าผู้ มีรายชื่อตามคําสั่งยังคงถูกดําเนินการตรวจสอบจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ให้ ศอตช. รอผลการตรวจสอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติจนกว่า จะแล้วเสร็จหรือได้รับแจ้งให้ดําเนินการเยียวยาไปก่อนได้ จึงจะสามารถเสนอนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี เปลี่ยนแปลงคําสั่งได้ เพื่อประโยชน์ในการดําเนินการในกรณีของผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คําว่า ผู้บังคับบัญชา ให้หมายถึงผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้อง และคําว่า รัฐมนตรี ให้หมายถึงรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย ในกรณีเยียวยาบุคคลดังกล่าว ซึ่งไม่อาจไปดํารงตําแหน่งอื่นนอกพื้นที่ได้ นายกรัฐมนตรี อาจเปลี่ยนแปลงคําสั่งนี้โดยให้ไปปฏิบัติงานในตําแหน่งเดิมได้
ข้อ ๙ ในกรณีที่ชื่อและตําแหน่งของผู้มีรายชื่อตามบัญชีแนบท้ายคําสั่งนี้ไม่ตรงตามทะเบียน ประวัติของทางราชการแต่เห็นได้ว่าเป็นบุคคลเดียวกัน ให้หน่วยงานต้นสังกัดแจ้งสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อดําเนินการแก้ไขให้ถูกต้องตรงตามที่เป็นจริงในปัจจุบัน
ข้อ ๑๐ การรับเงินเดือน สิทธิประโยชน์ หรือประโยชน์ตอบแทนใด ๆ ของผู้มีรายชื่อในกลุ่มต่างๆ ตามบัญชีแนบท้ายคําสั่งนี้ ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ
ข้อ ๑๑ ในกรณีมีปัญหา ให้สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนหรือส่วนราชการ เจ้าของเรื่องเสนอปัญหาและแนวทางดําเนินการให้นายกรัฐมนตรีวินิจฉัย คําวินิจฉัยของนายกรัฐมนตรี ให้เป็นที่สุด
ข้อ ๑๒ นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีแล้วแต่กรณี อาจมีคําสั่งหรือมติเปลี่ยนแปลง คําสั่งนี้ได้ตามที่เห็นสมควร ข้อ ๑๓ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาต

“คปป.”จี้“ประยุทธ”ให้ร่างรธน.ฉบับ“มีชัย”เป็นโมฆะ

“คปป.”จี้“ประยุทธ”ให้ร่างรธน.ฉบับ“มีชัย”เป็นโมฆะพร้อมขอบคุณ“นายกฯ-รมว.ศธ.” ยกเลิก “ระบบแอดมิชชั่น” กลับไปใช้ “ระบบเอ็นทรานซ์”

2 ก.ย. 59 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีเครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ ( คปป.) จำนวน 12 คน นำโดย พ.ท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี ได้ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผ่านนางสุปราณี จันทรัตนวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล) เป็นผู้รับเรื่องไว้โดยขอให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย เป็นโมฆะ และขอข้อมูลข่าวสารตลอดจนความคืบหน้าของหนังสือร้องเรียนที่เคยร้องมาก่อนหน้านี้ด้วย
หนังสือดังกล่าวระบุว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยมีที่มาโดยมิชอบ คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ปฏิบัติหน้าที่ขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 37 วรรค 6,7 คือไม่แจกร่างรัฐธรรมนูญถึงทุกครัวเรือนมากกว่า 80% และการเผยแพร่ไม่ทั่วถึง รวมทั้งผลประชามติมีเพียง 1 ใน 3 ของผู้มีสิทธิออกเสียง ซึ่งไม่มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงประชามติ ขัดต่อรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2557 แก้ไขครั้งที่ 1 มาตรา 37 วรรค 7
นอกจากนี้ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรมว.ศึกษาธิการ ที่มีความกล้าหาญเด็ดขาดในการประกาศยกเลิกการรับตรงและระบบแอดมิชชั่น ที่ทำร้ายคุณภาพการศึกษาไทยและสร้างตราบาป ภาระให้เด็กและเยาชน นักเรียน ผู้ปกครองมานานกว่า 10 ปี และกำลังจะใช้ระบบเอ็นทรานซ์ในปี 2551 ซึ่งเป็นระบบที่ดีกว่า แต่อย่ากำหนดวิชาที่ต้องสอบมากเกินจำเป็น ขอขอบคุณรมว.ศึกษาธิการที่พยายามแก้ไขปัญหาของประเทศ และจะเดินทางไปยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และปลัดกระทรวงศึกษาธิการต่อไป

ปรับครม.'บิ๊กตู่สไตล์'สงบสยบความเคลื่อนไหว : จัดแถว-ตอบแทน

 สำนักข่าวเนชั่น
ตามคิวที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จำเป็นต้องปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วยเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนชื่อ-โครงสร้างใหม่ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) มาเป็นกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทำให้ถูกโหมกระแสให้ปรับครม.ในตำแหน่งอื่นไปด้วย
ซึ่งหากจัดหมวดหมู่การปรับ ครม.นี้ มีไม่กี่ปัจจัยที่อยู่ในใจของ “บิ๊กตู่” 1.ปรับตามความจำเป็น 2.ปรับเพื่อเพิ่มมือทำงาน 3.ปรับคนเก่าที่ตอบแทนหมดแล้ว เพื่อเปิดทางตอบแทนน้องๆ ลายพราง
ตำแหน่งที่ต้องปรับตามความจำเป็นหนีไม่พ้น เจ้ากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยังเป็นคนเก่าหน้าเดิมอย่าง “อุตตม สาวนายน” รมว.ไอซีที ที่ถึงขั้นเอ่ยปากโชคดีได้เป็นเจ้ากระทรวงคนแรก นอนมาแบบแบเบอร์ไม่มีชื่อม้ามืดมาแข็งให้ต้องกังวลใจ
หากสังเกตดูปฏิกิริยาของ “บิ๊กตู่” ในช่วงสัปดาห์นี้จะเห็นความไม่แน่นอน ลังเลใจว่าจะปรับครม.ในตำแหน่งอื่นดีหรือไม่ เพราะหากมองในเชิงการบริหารงานแล้ว ยังไม่มีความจำเป็นต้องปรับครม.ในตำแหน่งอื่นแต่อย่างใด
แม้ช่วงต้นสัปดาห์กระแสข่าวปรับครม.มาแรง ยิ่ง “บิ๊กตู่” พูดออกจากปากตัวเองว่าต้องการปรับครม. โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ที่ต้องการให้มี “รัฐมนตรีช่วยว่าการ” ขึ้นมาอีกตำแหน่ง เพื่อแบ่งเบาภาระของ “บิ๊กฉัตร” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์
ชื่อตัวเต็งตั้งแต่ไก่โห่ที่ “บิ๊กฉัตร” การันตีพ่วงด้วยแรงโปรโมทผ่านสื่อคือ “โอฬาร พิทักษ์” อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ขึ้นชั้นเป็น รมช.เกษตรฯ หลังเกษียณอายุราชการ แต่จังหวะที่ยังไม่ได้เตี๊ยมกับ “บิ๊กตู่” จึงผิดคิวไล่ให้ “โอฬาร” กลับบ้านไปเลี้ยงหลาน ก่อนจะมาแก้ข่าว-แก้เก้อ หาว่า “สื่อ” รายงานข่าวคลาดเคลื่อน
นาทีนี้ชื่อของ “โอฬาร” จึงติดอยู่ในใจ-อยู่ในลิสต์ตัวเต็ง รมช.เกษตรฯ เพราะ “บิ๊กตู่” ออกลูกกั๊กว่าวันหน้าอะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่รู้ ส่งสัญญาณเปิดทางให้คนที่โดนปล่อยข่าวหลอก-ปล่อยข่าวบลั๊ฟ ให้มีกำลังใจเดินหน้าปิดดีลให้ได้ แม้บางที “บิ๊กตู่” อาจจะปากเร็วไปหน่อย แต่ประตู ครม.ยังเปิดอยู่เสมอ
หากดูประวัติของ “โอฬาร” แล้วก็ถือว่าไม่ธรรมดา สายสัมพันธ์กับขั้วอำนาจทางทหารแน่นปึ้ก แถมยังเป็นเพื่อนรัก-เพื่อนร่วมรุ่น ช่วงที่เรียนวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นเดียวกับ “บิ๊กฉัตร” เรียกได้ว่ารู้จักมักคุ้นกันมานาน หาก “บิ๊กฉัตร” จะไว้ใจใครสักคนที่มีความชำนาญรู้เรื่องราวเบื้องลึกหนาบางในกระทรวงเกษตรฯ ชื่อของ “โอฬาร” เพื่อนรักนอนมาเบอร์หนึ่ง
นอกจากนี้ บรรดา “รัฐมนตรี” ที่ต้องเสียวสันหลังพอสมควรคือ “บิ๊กทหาร” ที่ “บิ๊กตู่” อาจจะเห็นว่าตอบแทนมานานและถึงเวลาที่จะต้องปรับเปลี่ยนเพื่อลองของใหม่ เปลี่ยนเพื่อตอบแทน “บิ๊กทหาร” รุ่นน้องบ้าง เพราะต่างคนต่างทำงานกันหนักในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา
ลิสต์ชื่อ “รัฐมนตรีลายพราง” ที่โดนโพลล์เกือบทุกสำนักจัดอยู่ในจำพวกรัฐมนตรีโลกลืม คนแรกที่ต้องลุ้นหนักกว่าใครเพื่อน เพราะมีชื่อถูกปรับออกตั้งแต่การปรับครม.ครั้งที่แล้ว เต็งจ๋ามาเลยคงหนีไม่พ้น “บิ๊กน้อย” พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ว่ากันว่า “บิ๊กน้อย” มีอยู่ในครม. “บิ๊กตู่” ด้วยเหตุผลต่างตอบแทน โดยเฉพาะในช่วงที่ “บิ๊กน้อย” ต้องหลีกทางให้ “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้มีโอกาสขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 โดยไม่ฮืออือแม้แต่น้อย ทั้งที่ตามไลน์-ความอาวุโส “บิ๊กน้อย” ต้องขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 ทำให้ “บิ๊กตู่” จึงตอบแทน “บิ๊กน้อย” ด้วยการมอบเก้าอี้รัฐมนตรีปลอบใจ
เก้าอี้ที่ “บิ๊กน้อย” นั่งอยู่จึงไม่ได้มั่นคงที่ผลงาน แต่มั่นคงเพราะคำว่าบุญคุณ ระยะเวลา 2 ปี บุญคุณอาจจะตอบแทนกันหมดแล้ว ชื่อของ “บิ๊กน้อย” จึงเป็นเต็งจ๋าที่โดนปรับทิ้ง เพื่อเปิดทางให้ “บิ๊กทหารรุ่นน้อง” ได้มาเชยชมเก้าอี้รัฐมนตรี หลังช่วยงานมาตั้งแต่รัฐประหาร
อีกคนที่จัดอยู่ในข่ายตอบแทนบุญคุณเสร็จสิ้นแล้วคือ “พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว” รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งถือเป็นสีกากีคนเดียวในครม.บิ๊กตู่ “พล.ต.อ.อดุลย์” เป็นคีย์แมนคนหนึ่งที่ช่วย “บิ๊กตู่” ยึดอำนาจได้ง่ายขึ้น เพราะ “พล.ต.อ.อดุลย์” ในขณะที่ดำรงแหน่งผบ.ตร. เลือกที่จะไม่ต่อต้าน “บิ๊กตู่” ทั้งที่ถูกมองว่าเป็นผบ.ตร.สายตรงของ “พรรคเพื่อไทย”
ผลงานในรัฐบาลของ “พล.ต.อ.อดุลย์” จัดอยู่ในระดับพอไปได้ แต่ด้วยความที่ไม่ใช่เลือดแท้สายทหาร ก็ยากที่ “พล.ต.อ.อดุลย์” จะยืนระยะได้ยาวกว่านี้ ยิ่งช่วงขวบปีสุดท้ายของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” แล้ว ยิ่งทนกระแสกดดันจากเลือดแท้สายทหารได้ยาก
นอกจากนี้ กลุ่มตอบแทนเสร็จแล้วที่อยู่ในลิสต์ของ “บิ๊กตู่” คือกลุ่มเพื่อนรัก-น้องรักอย่าง “พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์” รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม “พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล” รมว.แรงงาน น้องรักของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม
ดังนั้นการปรับครม.ครั้งนี้โฟกัสหลักเน้นๆ ไปที่กลุ่มตอบแทนเสร็จแล้ว ที่อาจจะหลุดกันหลายคน-ปรับกันหลายตำแหน่งเลยทีเดียว
ส่วนกระทรวงเศรษฐกิจคนประเมินหลักคือ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ หาก “สมคิด” ลิสต์ให้ปรับใคร “บิ๊กตู่” พร้อมจะเชื่อใจ เพราะมอบอำนาจให้ดูแลด้านเศรษฐกิจทั้งหมด แต่ชื่อที่มาแรงหนีไม่พ้น “ชุติมา บุณยประภัศร” ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ที่จะเกษียณอายุราชการ อาจจะถูกหลังบ้าน “บิ๊กตู่” ดันให้นั่งตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ แทน “อภิรดี ตันตราภรณ์” รมว.พาณิชย์ คนปัจจุบัน
ทว่าการปรับครม.ครั้งนี้ “บิ๊กตู่” รวบอำนาจเบ็ดเสร็จไม่มีใครมาต่อ-ไม่มีใครมารองได้ ไม่มีบ้านมูลนิธิป่ารอยต่อที่เคยวิ่งเข้าออกกันคึกคัก ไม่เป็นเหมือนกัน ถนนทุกสายต้องวิ่งตรงมาที่ “ตึกไทยคู่ฟ้า” เท่านั้น
แต่ที่ “บิ๊กตู่” ทำยึกยักออกมาประกาศไม่ปรับครม. เพราะไม่ต้องการให้บรรดารัฐมนตรีที่ทำงานกันอยู่เสียขวัญ ไม่เป็นอันทำงานกัน และหากส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะปรับก็ยิ่งเพิ่มแรงกระตุ้นให้บรรดานักวิ่งได้ออกมาต่อรองกันอีกหลายคน-หลายตำแหน่ง
การปรับครม. “ตู่สไตล์” ต้องทำแบบรวดเร็ว-เฉียบขาด คนที่โดนปรับออกรู้ตัวก็เมื่อสายไปแล้ว ส่วนคนที่ถูกเลือกให้มาอยู่ในครม.รู้ตัวอีกทีก็เรียกมากรอกประวัติที่ตึกไทยคู่ฟ้าทันที
“บิ๊กตู่” ออกข่าวไม่ปรับครม.เพื่อสยบทุกความเคลื่อนไหว ฟันธงล่วงหน้าได้เลยว่าปรับครั้งนี้คือปรับใหญ่ เพราะเป็นโอกาสเดียวที่จะตอบแทนบุญคุณกัน รัฐบาลชุดหน้าหาก “บิ๊กตู่” ยังนั่งตำแหน่งนายกฯ ก็ไม่มีโอกาสตอบแทนพี่น้องเลือดทหารแล้ว เพราะจัดสรรเก้าอี้ให้ฝ่ายการเมือง

เปิดข้อพิรุธเหตุการตาย...‘ธวัชชัย อนุกูล’อดีตที่ดินพังงา

เปิดข้อพิรุธเหตุการตาย...‘ธวัชชัย อนุกูล’อดีตที่ดินพังงา : 
ปิยะนุช ทำนุเกษตรไชย สำนักข่าวเนชั่นรายงาน

หลังจากมีการร้องเรียนให้ตรวจสอบการทุจริตออกเอกสารสิทธิใน จ.ภูเก็ต ธวัชชัย อนุกูล ก็ถูกตั้งกรรมการสอบสวนถึงการเซ็นอนุมัติออกเอกสารสิทธิที่ดินโดยไม่ชอบและถูกย้ายไปเป็นที่ดินท้ายเหมือง จ.พังงา
ขณะนั้นข้าราชการที่ถูกย้ายมาปฏิบัติหน้าที่แทน “ธวัชชัย” ใน จ.ภูเก็ต ถูกอุ้มหายสาบสูญ ต่อมาพบเป็นศพถูกยิงเสียชีวิต เชื่อกันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ “ธวัชชัย” ตัดสินใจหลบหนีออกนอกพื้นที่ และไม่มีใครพบเห็นอีกเลย เนื่องจากข้าราชการจำนวนมากถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการทุจริตออกเอกสารสิทธิที่ดิน ทุกรายไม่มีใครหนี แต่ประกันตัวระหว่างต่อสู้คดี
เปิดข้อพิรุธเหตุการตาย...‘ธวัชชัย อนุกูล’อดีตที่ดินพังงา
จนกระทั่ง 29 สิงหาคม ชุดปฏิบัติการพิเศษดีเอสไอนำหมายจับเข้าจับกุม “ธวัชชัย” ได้ขณะเดินทางจากบ้านพักย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี ออกมาตัดผม ซึ่งเป็นการจับกุมก่อนหน้าที่หมายจับจะหมดอายุความเพียง 3 วัน โดยชุดจับกุมได้นำตัว “ธวัชชัย” ส่งให้พนักงานสอบสวนสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม เจ้าของสำนวนคดีสอบปากคำ ระหว่างนั้น “ธวัชชัย” ยังยิ้มแย้ม ระบุว่าจะขอใช้สิทธิประกันตัวในชั้นศาล แต่ไม่ทันข้ามวัน “ธวัชชัย” ผูกคอตาย เหตุเกิดภายในห้องควบคุมตัวของดีเอสไอ
ในช่วงแรกข้อเท็จจริงสับสนว่าใช้เสื้อผูกคอ ต่อมากลายเป็นใช้ถุงเท้าผูกคอ แต่ญาติผู้ตายระบุว่าบาดแผลที่คอเป็นรอยรัดขนาดเล็ก คาดเดาว่าเป็นรอยเชือกหรือลวดมากกว่าจะเป็นถุงเท้า ประกอบกับรายละเอียดในใบแจ้งการตายจากนิติเวชตำรวจ ซึ่งออกให้เพื่อนำศพไปประกอบพิธีทางศาสนา ระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่าตับแตก มีเลือดออกในช่องท้อง จากการถูกของแข็งไม่มีคมกระแทก ร่วมกับการขาดอากาศหายใจ จึงทำให้มีข้อพิรุธมากมายในการเสียชีวิตครั้งนี้
เปิดข้อพิรุธเหตุการตาย...‘ธวัชชัย อนุกูล’อดีตที่ดินพังงา
นอกจากนี้ การชี้แจงของ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ ที่ระบุว่า ดีเอสไอแจ้งเหตุมีคนเป็นลมหมดสติ ไม่ได้แจ้งว่ามีเหตุผูกคอฆ่าตัวตาย ส่วนการปั๊มหัวใจคนไข้เพื่อกู้ชีพก็ดำเนินการตามหลัก อีกทั้งอวัยวะภายในหัวใจ-ปอด ถูกกั้นด้วยกระบังลม จึงแยกส่วนออกจากตับ ไม่มีทางที่การปั๊มหัวใจจะส่งผลให้ตับแตก...!!!
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้ายการสอบสวน ให้ข้อมูลว่า อาการตับแตกไม่ใช่ผลข้างเคียงจากการปั๊มหัวใจ เพราะหัวใจอยู่ฝั่งซ้าย ตับอยู่ฝั่งขวา ตำแหน่งกดปั๊มอยู่คนละส่วน เคยมีการปั๊มหัวใจผิดวิธีโดยกดปั๊มอย่างแรง ทำให้กระดูกซี่โครงหักได้ แต่ไม่ส่งผลให้ตับแตก ดังนั้นคำตอบที่จะบอกเล่าเรื่องราวได้ดีที่สุด คือ รายงานชันสูตรพลิกศพอย่างเป็นทางการ ซึ่งต้องระบุถึงรอยช้ำรอบคอว่าเกิดจากถุงเท้าผูกคอ หรือเชือกรัดคอ ตับแตกมีความกว้างกี่เซนติเมตร และปริมาณเลือดออกในช่องท้องมีมากน้อยอย่างไร หากตับแตกเป็นแผลเล็กๆ อาจเกิดจากการกระแทกไม่รุนแรง มีเลือดค่อยๆ ไหล ก็ต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมงจึงเสียชีวิต แต่ถ้าตับเป็นแผลกว้าง เลือดไหลออกจำนวนมาก แสดงว่าถูกกระแทกอย่างรุนแรง เป็นผลให้เสียชีวิตทันทีได้
เมื่อคำชี้แจงสร้างข้อพิรุธบานปลาย ตอกย้ำให้ไม่เชื่อถือหนักขึ้นไปอีก แม้ว่าในส่วนของดีเอสไอจะไม่มีมูลเหตุจูงใจที่ต้องฆ่าตัดตอน เพราะเป็นหน่วยงานที่เข้าจับกุม มีกำหนดชัดเจนว่าจะนำตัวไปฝากขังที่ศาลอาญา ในเวลา 10.00 น. วันที่ 30 สิงหาคม พร้อมเตรียมทำเอกสารข่าวและแจ้งสื่อมวลชนให้มารอทำข่าวเสร็จสรรพ แต่ข้อสันนิษฐานต่างๆ นานายังผุดขึ้นเป็นระลอก ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าความเสียหายของเอกสารสิทธิที่ดิน ซึ่งอยู่ในข่ายต้องถูกเพิกถอน โดยเชื่อกันว่า “ธวัชชัย” มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิโดยไม่ชอบนับพันแปลง มูลค่าที่ดินนับหมื่นล้านบาท เนื่องจากที่ดินชายฝั่งทะเลในจังหวัดอันดามันมีราคาประเมินสูง เมื่อออกเป็นโฉนดสมบูรณ์มีราคาไร่ละไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท
ดังนั้น ถ้าจะถามหา “โจทก์” ก็ต้องยอมรับตรงๆ ว่า ธวัชชัยมี “โจทก์” เยอะ มีคู่กรณีรายสำคัญเป็นระดับเจ้าแม่ ซึ่งมีเบื้องหลังโยงใยกับคดีอื้อฉาวระดับประเทศ ปัจจุบันผันตัวไปทำธุรกิจบ้านจัดสรรในเกาะภูเก็ต ซึ่งมีข้อพิพาทการออกเอกสารสิทธิที่ดินจาก สค.1 ที่ไม่มีต้นขั้ว อ้างว่าปลูกยางพารา ทั้งที่สภาพพื้นที่เป็นโขดหินและชายทะเล ปลูกอะไรไม่ได้ และอาจเป็นเหตุผลสำคัญทำให้ “ธวัชชัย” ต้องหลบหนีออกจากบ้านพักใน จ.ภูเก็ต
ในทางการสืบสวนเชื่อว่า “ธวัชชัย” มีภรรยาและบุตรแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส และคาดว่า “ธวัชชัย” ได้ประโยชน์จากการทุจริตออกเอกสารสิทธิที่ดินไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท แม้คดีอาญาจะยุติลงจากการเสียชีวิตของผู้ต้องหา แต่ยังเป็นประเด็นที่ต้องขยายผลให้ได้ว่าทรัพย์สินถูกผ่องถ่ายไปเก็บไว้ในชื่อบุคคลใด บ้านพักที่ “ธวัชชัย” มาหลบซ่อนเป็นบ้านของใคร มีที่มารายได้ในการซื้อขายอย่างไร ส่วนคดีทุจริตออกเอกสารสิทธิยังต้องดำเนินการกับผู้ต้องหารายอื่นๆ ต่อไป โดยคดีนี้หลักฐานสำคัญเป็นพยานเอกสาร ไม่ใช่พยานบุคคล
โดยคดีที่ “ธวัชชัย” เข้าไปเกี่ยวข้อง ได้แก่ ร่วมกับนายบุ่นเก้ง ศรีแสนสุชาติ นำ สค.บินจากพื้นที่อื่นมาออกโฉนดที่ดิน ต.รัษฎา อ.เมืองภูเก็ต, ร่วมกันปลอมเอกสารยื่นขอออกโฉนดและออกหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินอันเป็นเท็จ ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต, ทุจริตออกเอกสารสิทธิที่ดิน ต.กมลา อ.กะทู้ และทุจริตออกเอกสารสิทธิในป่าสงวนสิรินาถ
ก่อนหน้านี้คณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 4/2559 เมื่อวันที่ 3 มีนาคม มีมติให้อายัดทรัพย์สิน (ที่ดิน) ของนายพานทอง ณ ระนอง กับพวก ไว้ชั่วคราว รวม 2 รายการ มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท ได้แก่ 1.โฉนดที่ดิน ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต เนื้อที่ 45 ไร่ 1 รายการ 2.โฉนดที่ดิน ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต เนื้อที่ 19 ไร่ 1 รายการ ตามที่ตำรวจกองปราบปรามนำหมายศาลเข้าจับกุมนายพานทอง ณ ระนอง ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา หลังคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการทุจริตที่ดิน จ.ภูเก็ต ตรวจสอบแล้วมีหลักฐานชัดเจนว่า นายธวัชชัย อนุกูล อดีตเจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดภูเก็ต กับพวก ใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตออกเอกสารสิทธิ
รวมทั้งการขยายผลของพนักงานสอบสวนกองปราบฯ พบว่า นายธวัชชัยได้ร่วมกับ นายพานทอง ออกโฉนดที่ดินปลอมเลขที่ 42650 และ 42651 ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต โดยมี นายพานทอง เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ มีการทุจริตสร้างโฉนดที่ดินและปลอมลายมือชื่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด ผู้ลงนามออกโฉนดที่ดินจำนวน 65 ไร่
ความซับซ้อนของกระบวนการทุจริตออกโฉนดที่ดินริมทะเลอันดามันมูลค่ากว่าหมื่นล้าน ยังคงรอความท้าทายการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการคลี่คลายปริศนาการเสียชีวิตของผู้ต้องหาคนสำคัญคนนี้ !!!

นายกฯ บิ๊กตู่ เผยสัปดาห์หน้า ไม่อยู่4-5วันนะ ไปประชุม G20 ที่ มณฑล เจ้อเจียงจีน 4-5กย



นายกฯ บิ๊กตู่ เผยสัปดาห์หน้า ไม่อยู่4-5วันนะ ไปประชุม G20 ที่ มณฑล เจ้อเจียงจีน 4-5กย.และ ประชุม Asean Summitที่ เวียงจันทร์ ลาว 6-8กย.
"อย่าคิดถึงผมนะ"
"ฝากประเทศชาติไว้กับสื่อ ด้วยแล้วกัน"
นายกฯ เตรียมนั่งเครื่องบิน กองทัพอากาศ บินยาว จีน เช้า 4 กย.นี้ ต่อ ลาว ยาวถึง8 กย.เลย

ใช้ล่าม 3 คน



ใช้ล่าม 3 คน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เราต้องไม่ให้ใครมาดูถูกคนไทยได้อีก ในเวทีต่างประเทศเราต้องมีที่ยืน ถ้าเราไม่แข็งแรงก็ไม่มีที่ยืน แต่วันนี้เรามีศักยภาพเพียงพอหลายอย่าง หลายประเทศก็สนใจประเทศเรา
วันนี้เราเป็นผู้นำประเทศ G77 ซึ่งผมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปเผยแพร่เขาก็ยอมรับ เราต้องทำอย่างไรให้ประเทศเข้มแข็งเพื่อนำไปสู่ารพัฒนาต่างๆ
ต่อไปผมต้องเดินทางไปประชุมต่างประเทศอีกหลายครั้ง ถามว่าทำไมเขาถึงต้องเชิญผม ซึ่งการแสดงวิสัยทัศน์ต่อต่างประเทศ ต้องมีการพูดเชิงรุก เชิงโน้มน้าว มีการใช้ศิลปะ ตรงนี้ทหารเก่งอยู่แล้ว ทุกคนต้องทำงานอย่างมีศิลปะ ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่ทำให้นายรัก ทำให้คนอื่นเข้ามาร่วมมือ ไม่ใช่ต้องเป็นใหญ่ตลอด หรือมีอำนาจทุกอย่าง แล้วเป็นยังไงเมื่อมีอำนาจ มันก็พร้อมที่จะไม่มีอำนาจ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ เกิดแก่เจ็บตายนั้นมีหมด ธรรมมะสอนอยู่แล้วก็นำมาใช้ ไม่ใช่สอนให้ขึ้นสวรรค์กันอย่างเดียว
นายกฯ เผยคิว เดือนนี้ไปจีน-ลาว-สหรัฐฯ คุยเขาเชิญผม เราต้องมีที่ยืนในเวทีโลก ไปคุยกับเขา เผยพูดภาษาไทย เพราะมันบอกตัวตนได้ เป็นการแสดงวิสัยทัศน์ ในเวที ตปท. แต่ใช้ล่าม 3 คนยังเอาไม่อยู่ หลุดกรอบ บางทีแปลตกหล่น บางทีผมก็พูดตกหล่น แต่โดน ถ้ามารู้ทีหลัง เพราะล่ามบอก "ผมเติมให้นายไปแล้วครับ" เฮ้ย ใครเป็นล่าม ใครเป็นนาย

บิ๊กป้อม ยัน คสช.ปล่อยเลย หลังเลือกตั้ง ยัน ดูแลได้ สถานการณ์ ช่วงเลือกตั้ง/ เบื่อถามเรื่อง นักการเมือง ให้ถามแต่เรื่องความมั่นคง

บิ๊กป้อม ยัน คสช.ปล่อยเลย หลังเลือกตั้ง ยัน ดูแลได้ สถานการณ์ ช่วงเลือกตั้ง/ เบื่อถามเรื่อง นักการเมือง ให้ถามแต่เรื่องความมั่นคง
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงข้อเสนอของ นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกสปท. เสนอให้กระทรวงมหาดไทย จัดการเลือกตั้ง แทน กกต.ว่า "คนถามก็คิดอย่างนี้ เรื่องนี้อย่ามาถามผม เพราะยังไม่เกิดขึ้น เป็นเรื่องของรัฐบาลชุดใหม่ ถ้าอยากจะคิดก็ให้คิดไป ผมอยู่กระทรวงกลาโหม
ส่วนที่จะให้คสช.ดูแลความปลอดภัยในช่วงการเลือกตั้ง พลเอกประวิตร กล่าวว่า คสช.มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของทั้งประเทศ ให้มีการเลือกตั้งได้อยู่แล้ว และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องดูแลการเลือกตั้ง
"หลังจากเลือกตั้งเสร็จแล้ว คสช.ก็จะปล่อย เลย ให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดใหม่ เป็นผู้ดูแล"
ทั้งนี้ ข้อเสนอนี้ คสช.ไม่มีใครพูดถึงประเด็นนี้เลย แต่ถ้าอยากทราบรายละเอียดในประเด็นนี้ ก็ต้องไปถามคนที่เสนอมาเอง เพราะผมไม่รู้
"ต่อไปนี้ ก็ห้ามถามแบบนี้ เพราะไม่ใช่เรื่องที่เอาเรื่องคนนั้นมาถามคนนี้ ซึ่งคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เนื่องจากนี้ไม่เกี่ยวกับความมั่นคง ถ้ามีอะไรเกี่ยวกับความมั่นคง แล้วเกิดความไม่สงบก็ให้มาถามผม" พลเอกประวิตร กล่าว

สาระ+ภาพ: ท.ทหาร Landlord ตัวจริงแห่งประเทศไทย และสิ่งที่เราจะได้จากที่ดิน 2.644 ล้านไร่


Landlord ตัวจริง เมื่อทหารไทยครอบครองที่ดินที่ใช้ประโยชน์เพื่อความลับเกี่ยกับความมั่นคงถึง 2.644 ล้านไร่ ถ้าเอาพื้นที่ขนาดนี้มาสร้างมหาวิทยาลัย โรงพยาบาล สวนสาธารณะ หรือบ้านเอื้ออาทรให้คนจนอยู่อาศัย เราจะสร้างได้มากขนาดไหน?
ปัทมาวดี โพชนุกูล อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวไว้ว่า ปัจจุบัน ร้อยละ 59 ของที่ดินทำกินทั้งประเทศตกอยู่ในมือของรัฐ (http://tdri.or.th/tdri-insight/posttoday-2014-11-12/) ข้อมูลจากเว็บไซต์ของกรมธนารักษ์  (http://www.treasury.go.th/ewt_news.php?nid=136&filename=index) ณ วันที่ 30 กันยายน 2558 ระบุว่า เฉพาะที่ดินราชพัสดุในมือกรมธนารักษ์มีทั้งหมด 176,467 แปลง รวมเป็นพื้นที่ 9.856 ล้านไร่
แต่เมื่อเลื่อนสายตาลงมาด้านล่างของตารางจะเห็น ‘หมายเหตุ’ ที่มีการขีดเส้นใต้และเครื่องหมายดอกจันทร์ไว้อย่างโดดเด่น พร้อมข้อความว่า
‘จำนวนที่ราชพัสดุ (ที่ดิน) เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ยังไม่รวมที่ราชพัสดุที่ใช้ประโยชน์เพื่อความลับเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศในราชการกระทรวงกลาโหมอีกประมาณ 2.644 ล้านไร่’
ด้วยเครื่องมือคณิตศาสตร์แบบง่ายๆ ถ้ารวมที่ดินราชพัสดุทั้งหมดในมือกรมธนารักษ์และในมือกระทรวงกลาโหมจะเท่ากับ 12.5 ล้านไร่ พอคิดเป็นสัดส่วนออกมา เท่ากับว่า ‘ที่ราชพัสดุที่ใช้ประโยชน์เพื่อความลับเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศในราชการกระทรวงกลาโหม’ คิดเป็นร้อยละ 21.152 ของที่ดินราชพัสดุทั้งหมด
งานศึกษาของดวงมณี เลาวกุล นักวิชาการคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ฉายภาพให้เห็นการกระจุกตัวของที่ดินในประเทศไทย ซึ่งจากการคำนวณของดวงมณี โดยอาศัยข้อมูลจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ปี 2556 พบว่า ส.ส. จากทุกพรรค ณ เวลานั้น ถือครองที่ดินรวมกัน 35,786 ไร่ (http://www.isranews.org/isranews-scoop/item/31125-0907571.html) แต่ตัวเลขนี้ยังห่างไกลจาก 2.644 ล้านไร่อยู่หลายช่วงตัว
สมมติว่าเรานำพื้นที่ 2.644 ล้านไร่ในกำมือกระทรวงกลาโหมหรืออีกนัยหนึ่งคือในการครอบครองของทหารมาใช้สร้างที่อยู่อาศัย มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล หรือสวนสาธารณะ (โดยเราเลือกจากสถานที่ที่เป็นที่รู้จักกันดีเป็นตัวเปรียบเทียบ เนื่องจากไม่มีเกณฑ์มาตรฐานว่า สถานที่แต่งละแห่งควรมีขนาดเท่าใด) เราจะได้สิ่งเหล่านี้เพิ่มขึ้นอีกแค่ไหน ไปดูกัน

สถานที่
เนื้อที่
จำนวนที่ได้หากนำพื้นที่ 2.644 ล้านไร่มาใช้ก่อสร้าง
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
1,759 ไร่ 
1,503 แห่ง 
โรงพยาบาลศิริราช
110 ไร่
24,036 แห่ง
สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ)
375 ไร่
7,050 แห่ง
บ้านเอื้ออาทร
23 ตารางวา
45,982,609 หลัง