PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ทศ จิราธิวัฒน์ ตั้งโจทย์ ศก.ติดหล่ม "ถ้าจีดีพีโต 3% ทุกปี จะอยู่กันได้อย่างไร"


ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ป็นอีกกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน "ประชารัฐ" แนวคิดที่ต้องการสร้างความร่วมมือภาครัฐ-ภาคเอกชน-ภาคประชาชน เพื่อร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น 

"ทศ จิราธิวัฒน์" ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ในฐานะหัวหน้าทีมภาคเอกชนคณะทำงานด้านการสร้างรายได้และการกระตุ้นการใช้จ่ายของประเทศ ฉายภาพการเข้ามาร่วมทำงานกับภาครัฐในครั้งนี้ว่า ที่ผ่านมาเมืองไทยการทำงานร่วมกันถือว่าน้อยมาก ต่างคนต่างทำของตัวเองแต่ตอนนี้มองว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องมาช่วยกัน เรื่องช่วยเหลือและพัฒนาชาวบ้าน เอกชนสามารถทำได้เลย ไม่ต้องรอภาครัฐ ซึ่งครั้งนี้จะเห็นว่าไม่เพียงแต่เซ็นทรัล ในทีมนี้ทุกคนช่วยกันหมด ทั้งกลุ่มค้าปลีก สถาบันการเงิน และธุรกิจต่าง ๆ 

ทิศทางการทำงานของคณะทำงานด้านการสร้างรายได้ฯ และกระจายรายได้ลงสู่ประชาชน นำร่องใน 3 กลุ่ม คือ การท่องเที่ยว รีเทล และภาคการเกษตร ซึ่งจะกลายเป็น 3 เซ็กเมนต์สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศ

พร้อมกันนี้ "ทศ" ยังสะท้อนมุมมองนักธุรกิจถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศว่า ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา จีดีพีประเทศโตได้เพียงเฉลี่ย 3% ต่อปี ถือว่าเติบโตน้อยมาก และจะกลายเป็นปัญหาสำคัญในอนาคต ถ้าโตในอัตรานี้ต่อไปเรื่อย ๆ

ประเด็นคือ ตอนนี้รายได้เฉลี่ยต่อหัวเมืองไทยอยู่ที่ 5-6 พันเหรียญ ขณะที่มาเลเซีย 1.2 หมื่นเหรียญ เกาหลีใต้ 1.7 หมื่นเหรียญ ขณะเดียวกัน เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ โตเร็วและโตมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วหากประเทศไทย ถ้าโต 3% อย่างนี้อีกกี่ปีจะไปถึงหมื่นเหรียญ 

"ถ้าเราโต 3% อย่างนี้ เท่ากับว่าต้องใช้เวลาถึง 20 ปี เพื่อเพิ่มรายได้ให้แตะหมื่นเหรียญ หรือโชคดีโต 6% ก็ต้องใช้เวลากว่า 6 ปี ตรงนี้ต่างหากที่น่าเป็นห่วงมาก" 

แล้วเมืองไทยจะเติบโตได้อย่างไร

หัวหน้าทีมภาคเอกชนคณะทำงานด้านการสร้างรายได้และการกระตุ้นการใช้จ่ายของประเทศขยายความว่า สิ่งที่ต้องทำคือการเร่งพัฒนาและเดินเครื่องใน 3 เซ็กเตอร์ที่มีสัดส่วนรายได้หลักของประเทศ คือ ท่องเที่ยว เกษตรกรรม และค้าปลีกค้าส่ง 

สำหรับด้าน "ท่องเที่ยว" เขาตั้งโจทย์ว่า จาก 30 ล้านคนในปีนี้ ทำอย่างไรจะขยับเป็น 60 ล้านคน แบบปารีสให้ได้ ซึ่งที่ผ่านมาจุดเด่นของเมืองไทย เรื่องสถานที่ท่องเที่ยว วัฒนธรรม ผู้คน แต่ขาดการลงทุนเพื่อยกระดับเมืองท่องเที่ยวและเพิ่มรายได้ 

โดยมีแผนจะทำโปรเจ็กต์นำร่อง คือการปั้น "อยุธยา" ด้วยการลงทุน 6,000-9,000 ล้านบาทใน 3 ปี สำหรับบูรณะโบราณสถาน พัฒนาอินฟราสตรักเจอร์ ปรับภูมิทัศน์รอบเกาะ สร้างรถรางวิ่งรอบเกาะ รวมถึงจัดโซนนิ่งโฮมสเตย์และร้านอาหาร เป็นต้น

เป้าหมายของโมเดลนี้คาดว่าจะสามารถเพิ่มรายได้การท่องเที่ยวของอยุธยา จาก 1.3 หมื่นล้านบาท เมื่อปี พ.ศ. 2557 ก้าวกระโดดเป็น 1 แสนล้านบาท ในปี พ.ศ. 2568

"ที่เริ่มด้วยอยุธยาเพราะเป็นเมืองมรดก ต่างชาติชอบ ต่างชาติรู้จัก เราจะมาพัฒนากัน ทำอย่างไรให้คนมามากขึ้น ใช้เวลาพักหลายคืนขึ้น และสเปนดิ้งในอยุธยามากขึ้น วัดเราสวย และเมืองมี History ต่างชาติชอบ นี่คือความศิวิไลซ์ ที่เราต้องสร้างเป็นจุดขาย"

ควบคู่กับการเพิ่มรายได้ในภาคเกษตรกรรม "ทศ" และทีมเอกชนวางเป้าหมายเพิ่มรายได้ครัวเรือนขึ้นเป็น 3 เท่า 

ภายในปี พ.ศ. 2560 และโมเดล 76 จังหวัด 76 สินค้าเด่น ที่พัฒนาและเข้ามาวางขายในช่องทางของบรรดาค้าปลีกที่พร้อมสนับสนุน โดย "กลุ่มเซ็นทรัล" ได้ประเดิมตั้งศูนย์พัฒนาประชารัฐ ด้วยเงินลงทุน 2.3 ล้านบาท เพื่อเป็นตัวกลางเชื่อมการทำงานร่วมกันระหว่างชุมชนและช่องทางร้านค้า 

"ตอนนี้ที่คุยกันมีเอกชนหลายรายที่พร้อมเข้ามาช่วยกัน โดยจะออกมาในรูปแบบของ "ฟันด์เรซซิ่ง" ได้เงินลงทุน 150-200 ล้านบาท และทุกคนมาช่วย ๆ กัน ตอนนี้เซ็นทรัลได้ทำอยู่ 8 พื้นที่ พูดคุยกันในภาคเอกชน ทุกคนอยากมาช่วยกันทำ" 

ไม่ต่างไปจากบทบาทด้านธุรกิจ "ค้าปลีกค้าส่ง" ซึ่ง "ทศ" และทีมเอกชน กำลังเวิร์กกันอย่างเต็มรูปแบบสำหรับการจัดตั้ง "แม่สอด" เพื่อเป็นศูนย์กลางค้าปลีกและค้าส่งไทย-เมียนมา ด้วยเป็นเขตเศรษฐกิจที่สำคัญและมีเม็ดเงินะพัดกว่าแสนล้านบาท ที่สำคัญแม่สอดเป็นเกตเวย์ที่เชื่อมเมียนมาทั้งประเทศ และสามารถเชื่อมต่อไปได้ถึงตลาดอินเดีย บังกลาเทศ และศรีลังกา 

ทั้งหมด "ทศ" และทีมได้นำเสนอผ่าน "ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" รองนายกรัฐมนตรี เพื่อจะเตรียมนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป

ช่วยกันคนละไม้คนละมือเพื่อทำให้ "เมืองไทย" ขับเคลื่อนและเติบโตต่อไปอย่างเข้มแข็ง

ลึกแต่ไม่ลับ “จรัญ พงษ์จีน” ฟันธง ถ้าไร้สถานการณ์พิเศษ ผบ.ทบ.คนใหม่จะชื่อ “พิสิทธิ์ สิทธิสาร”

ลึกแต่ไม่ลับ “จรัญ พงษ์จีน” ฟันธง ถ้าไร้สถานการณ์พิเศษ ผบ.ทบ.คนใหม่จะชื่อ “พิสิทธิ์ สิทธิสาร”

ห้วงเวลา 3 เดือนนับจากนี้ไป ถ้าไม่มีสถานการณ์ “พิเศษ” อื่นใดเข้าแทรกซ้อน ชื่อผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ที่จะขึ้นมาผงาดแทน “บิ๊กหมู” พล.อ.ธีรชัย นาควานิช คือ “บิ๊กแกละ” พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร เสนาธิการทหารบกคนปัจจุบัน
ทำไมต้องชื่อ “บิ๊กแกละ”
ถ้าเป็นอย่างนั้น “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกจะอยู่ตรงไหน?
นี่เป็นคำถามที่ตามมา
ก่อนเฉลยต้องย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์
เชื่อว่าทุกคนยังจดจำเหตุการณ์รัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
“บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ โค่นรัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” โดยมี “บิ๊กป็อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แม่ทัพภาคที่ 1 ในขณะนั้น และ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งคุมกำลังหลักร่วมทุ่มพลังอย่างเต็มที่
ปฏิวัติเสร็จเรียบร้อย “บิ๊กบัง” ปูนบำเหน็จให้ “บิ๊กป็อก” เป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ.
แต่หลังจากนั้น ปรากฏว่าเส้นทางของ “บิ๊กป็อก” ที่เข้าสู่ตำแหน่ง “ผบ.ทบ.” กลับกลายเป็นเรื่องสาหัสสากรรจ์ เพราะไม่ได้แรงหนุนจากสายวงศ์เทวัญหรือหน่วยรบพิเศษ
“บิ๊กป็อก” จับมือ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่แห่งสายบูรพาพยัคฆ์ และ “บิ๊กตู่” น้องรัก สร้างพลังต่อรองสู้กับสายวงศ์เทวัญและรบพิเศษ
“บิ๊กบัง” ซึ่งเป็น ผบ.ทบ. คนแรกที่มาจากหน่วยรบพิเศษ มีสัมพันธ์แนบแน่นกับ “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” พี่ใหญ่แห่งหน่วยรบพิเศษ มีชื่อ ผบ.ทบ. อยู่ในใจแล้วแต่กระนั้นไม่สามารถทัดทานพลังของ “3 ป.” ได้จึงต้องมอบตำแหน่ง ผบ.ทบ. ให้ “บิ๊กป็อก” อย่างจำใจ
ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา “บิ๊กป็อก” ปูฐานอำนาจด้วยการจัดนายทหารในสาย “บูรพาพยัคฆ์” ให้เป็นกำลังหลักสำคัญ
จาก “บิ๊กป็อก” ซึ่งครองตำแหน่ง ผบ.ทบ. 3 ปี มาเป็น “บิ๊กตู่” อีก 4 ปี สองพี่น้องช่วยกันถักทอพลัง โดยมี “บิ๊กป้อม” คุมจังหวะจนฐานอำนาจแน่นหนากว่ายุคใดๆ
“3 ป.” วาง “บิ๊กหมู” ให้คุมตำแหน่ง ผบ.ทบ. คนปัจจุบัน นอกจากเป็นการมอบรางวัลที่ช่วยสนับสนุนโค่นรัฐบาล “ปู” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้ว ยังเป็นเพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้ พลเอกปรีชา จันทร์โอชา น้องบิ๊กตู่นั่งตำแหน่ง “ผบ.ทบ.”
นับถึงวันนี้สาย “บูรพาพยัคฆ์” ยึดกองทัพบกไว้เหนียวแน่นรวมแล้ว 9 ปีเต็มๆ
ฉะนั้น ถ้าให้ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่ามาจากสายรบพิเศษ ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. คนใหม่ โอกาสที่ฐานกำลัง “บูรพาพยัคฆ์” จะถูกเขย่าจนโยกคลอนมีสูงยิ่ง
ที่สำคัญ “บิ๊กเจี๊ยบ” จะอยู่ในตำแหน่งนานถึง 2 ปี กว่าจะเกษียณในปี 2561
เวลา 2 ปีในตำแหน่ง ผบ.ทบ. ย่อมสร้างทั้งอำนาจและบารมีได้เต็มๆ

เมื่อย้อนดูประวัติศาสตร์อย่างนี้ น่าจะเป็นคำตอบ ทำไม ผบ.ทบ. คนใหม่ ต้องเป็น”บิ๊กแกละ”
ไม่เพียงเพราะ “บิ๊กแกละ” จะเป็นผู้สืบทอดสาย “บูรพาพยัคฆ์” หากยังเป็นน้องรักของ “3 ป.”
อีกทั้งในวันปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 “บิ๊กแกละ” ซึ่งในเวลานั้นยังเป็น “พ.อ.พิสิทธิ์” ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ นำกำลังร่วมโค่นรัฐบาล “ทักษิณ” ภายใต้การบังคับบัญชาของ “บิ๊กป็อก” แม่ทัพภาคที่ 1
พ.อ.พิสิทธิ์ ได้โบนัสรับตำแหน่ง ผบ.พล.ร.2 รอ. จากนั้นเข้าคุมกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ซึ่งเป็นหน่วยกำลังสำคัญ ไต่ขึ้นเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 รับยศ พล.ท. เดือนมีนาคมปีที่แล้วคว้าโบนัสอีกรอบเป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก กินตำแหน่ง พล.อ.
อีก 5 เดือนถัดมา พล.อ.พิสิทธิ์ เจอแจ๊กพ็อตขึ้นเป็นเสนาธิการกองทัพบก เข้าไลน์ “5 เสือ ทบ.”
ในการแต่งตั้งครั้งล่าสุดที่จะมีขึ้นในเดือนสิงหาคม ถ้า พล.อ.พิสิทธิ์ ได้ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. แม้มีเวลานั่งในตำแหน่งเพียงแค่ปีเดียว แต่เท่ากับฐานอำนาจ “บูรพาพยัคฆ์” ยังฝังแน่นในกองทัพบก
ฉะนั้น เหตุผลในการปูนบำเหน็จ “บิ๊กแกละ” เป็น “ผบ.ทบ.” จึงดูเป็นเรื่องเหมาะสมอย่างยิ่งในสายตาของ “บิ๊กป้อม-บิ๊กตู่”
“บิ๊กแกละ” คว้าเก้าอี้ ผบ.ทบ. แล้ว “บิ๊กเจี๊ยบ” จะไปไหน
ทางเลือกมีไม่มาก ดีที่สุดน่าเป็น “ปลัดกลาโหม”
จึงมีคำถามอีกว่า หลังปี 2560 ไป สายบูรพาพยัคฆ์จะสืบทอดอำนาจต่ออีกหรือไม่
คำตอบ สืบทอดแน่นอนถ้าไม่มีเหตุแทรกซ้อน ชื่อ ผบ.ทบ. คนต่อไปหลังบิ๊กแกละ ต้องเป็น “บิ๊กเข้” พล.ท.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ แม่ทัพภาคที่ 1 คนปัจจุบัน
“บิ๊กเข้” คือทายาท “บูรพาพยัคฆ์” ซึ่งมีความสัมพันธ์แนบแน่นทั้งบิ๊กตู่และบิ๊กป้อม
ก่อนเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 อยู่ในสายเดียวกับ “บิ๊กตู่” เคยเป็นผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 และแม่ทัพน้อยที่ 1
ส่วน บิ๊กตู่เล็ก “พล.ต.กู้เกียรติ ศรีนาคา รองแม่ทัพภาคที่ 1 เป็นทายาท “บูรพาพยัคฆ์” อีกคนที่น่าจับตา
ในระหว่างการชุมนุมคนเสื้อแดง พล.ต.กู้เกียรติ ยังดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ มีบทบาทสำคัญมากในการดูแลรักษาความสงบ
ผลงานของ พล.ต.กู้เกียรติ เข้าตา “บิ๊กตู่” และ “บิ๊กป้อม”
การวาง “บิ๊กตู่เล็ก” เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากเป็นการจัดวางให้เข้าที่เข้าทาง เหมือนรอเสียบเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แทน “บิ๊กเข้” จะเข้าอยู่ในไลน์ “5 เสือ ทบ.” รอคิว “ผบ.ทบ.” ปี 2560
ต้องดูว่าการโยกย้ายในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ “บิ๊กตู่เล็ก” จะคว้าตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 แทน “บิ๊กเข้” หรือไม่
ถ้าโผออกตามนั้น “บิ๊กตู่เล็ก” จะเข้าไลน์จ่อคิว 5 เสือ ทบ. ยาวถึงปี 2563 พร้อมจ่อเสียบ “ผบ.ทบ.”
แต่กระนั้นก็ไม่ควรมองข้าม “เสธ.แดง” พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ประธานบอร์ดกองสลากฯ
“เสธ.แดง” เป็นหนึ่งในคนสนิทของ “บิ๊กป้อม-บิ๊กตู่” ที่อาจย้อนกลับเข้ามาชิงดำเป็น “แม่ทัพภาคที่ 1” และกลายเป็นแคนดิเดต “ผบ.ทบ.” อีกคนก็เป็นได้

สังหารหมู่ในสหรัฐร้ายแรงที่สุดในรอบ50ปี

- พื้นที่โฆษณา -
แชร์ไปยัง Google Plus


เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2559 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุคนร้ายกราดยิงภายในไนท์คลับที่มีลูกค้าเป็นกลุ่มชายรักชายที่ชื่อ "The Pulse" ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองออร์แลนโด ในรัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์รายหนึ่งเปิดเผยว่า มือปืนเริ่มเปิดฉากกราดยิงเมื่อเวลา 02.00 น. ของวันอาทิตย์ ตามเวลาท้องถิ่น หรือเมื่อเวลา 15.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย

โดยช่วงเวลาประมาณ 02.00 น. ของวันอาทิตย์ ตามเวลาท้องถิ่น หรือเมื่อเวลา 15.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไนท์คลับใกล้จะปิดให้บริการ คนร้ายได้เดินเข้ามาในไนท์คลับและเริ่มกราดยิงผู้คนที่อยู่ภายใน ขณะที่มีนักท่องเที่ยวอยู่ราว 100 คน ทำให้นักท่องเที่ยวแตกตื่นรีบวิ่งหนีออกมา ในขณะที่บางคนก็หมอบอยู่กับพื้น หรือหลบซ่อน




ผู้อยู่ในเหตุการณ์บอกสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า เสียงปืนดังเหมือนกับการยิงซ้ำๆไม่หยุด จึงรีบออกจากบาร์ทันที และเห็นรถตำรวจราว 70 คันไปถึง เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมากจนต้องแยกย้ายกันไปคนละทาง หลายคนได้ยินเสียงปืนไม่ต่ำกว่า 20 นัด

ผู้อยู่ในเหตุการณ์อีกคนหนึ่งบอกสำนักข่าวสกายนิวส์ ว่า เห็นคนหมอบลงกับพื้น และเข้าใจว่ามือปืนยิงขึ้นไปบนเพดานด้วยเพราะมีเศษแก้วจากโคมไฟร่วงกราวลงมา เสียงปืนดังแบบไม่หยุดและกินเวลานานราว 1 นาทีแต่เขารู้สึกว่านานกว่านั้น แต่ชั่วขณะหนึ่ง เสียงปืนสงบลง ทำให้คนลุกขึ้นและวิ่งออกมา ขณะที่ไนท์คลับดังกล่าวได้โพสต์ลงเฟซบุ๊กว่า “ขอให้ทุกคนออกจากร้านและวิ่งอย่าหยุด”


ด้านคนร้ายได้รับการระบุชื่อว่า นายโอมาร์ มาทีน เป็นพลเมืองอเมริกันเชื้อสายอัฟกัน ซึ่งไม่มีประวัติอาชญากรรมมาก่อน อาศัยอยู่ที่เมือง พอร์ต เซนต์ ลูซี รัฐฟลอริดา ห่างจากเมืองออร์แลนโดโดยใช้เวลาขับรถราวสองชั่วโมง ได้เสียชีวิตจากการยิงปะทะตำรวจในระหว่างกราดยิงและยึดไนท์คลับ ซึ่งตำรวจเผยด้วยว่าคนร้ายเตรียมการก่อเหตุมาเป็นอย่างดี มีอาวุธปืนที่เตรียมมาจำนวนมาก สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (เอฟบีไอ) เปิดสอบสวนเป็นคดีก่อการร้ายภายในประเทศ และกำลังตรวจสอบว่า ผู้ต้องสงสัยมีแนวคิดเอนเอียงไปทางลัทธิสุดโต่งหรือไม่


โดยล่าสุด ตำรวจออร์แลนโด ของสหรัฐ แถลงข่าวว่ามีผู้เสียชีวิตถึง 50 คน บาดเจ็บอีกราว 53 คน เป็นยอดผู้เสียชีวิตที่สูงที่สุด นับจากการสังหารหมู่ที่เกินกว่าเหตุการณ์กราดยิงในสถาบันการศึกษาเวอร์จิเนีย เทค ที่มีผู้เสียชีวิต 32 ราย ในปี 2550

นับเป็นเหตุยิงสะเทือนขวัญซ้ำสองในเมืองออร์แลนโดในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง หลังจากเมื่อคืนวันศุกร์ ที่ คริสตินา กริมมี นักร้องดังที่เคยประกวด The Voice ในสหรัฐฯ ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต ขณะกำลังแจกลายเซ็นให้กับแฟนๆ หลังจบคอนเสิร์ตในเมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา อย่างไรก็ตาม ตำรวจยืนยันว่าทั้งสองเหตุการณ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน