PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ทศ จิราธิวัฒน์ ตั้งโจทย์ ศก.ติดหล่ม "ถ้าจีดีพีโต 3% ทุกปี จะอยู่กันได้อย่างไร"


ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ป็นอีกกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน "ประชารัฐ" แนวคิดที่ต้องการสร้างความร่วมมือภาครัฐ-ภาคเอกชน-ภาคประชาชน เพื่อร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น 

"ทศ จิราธิวัฒน์" ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ในฐานะหัวหน้าทีมภาคเอกชนคณะทำงานด้านการสร้างรายได้และการกระตุ้นการใช้จ่ายของประเทศ ฉายภาพการเข้ามาร่วมทำงานกับภาครัฐในครั้งนี้ว่า ที่ผ่านมาเมืองไทยการทำงานร่วมกันถือว่าน้อยมาก ต่างคนต่างทำของตัวเองแต่ตอนนี้มองว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องมาช่วยกัน เรื่องช่วยเหลือและพัฒนาชาวบ้าน เอกชนสามารถทำได้เลย ไม่ต้องรอภาครัฐ ซึ่งครั้งนี้จะเห็นว่าไม่เพียงแต่เซ็นทรัล ในทีมนี้ทุกคนช่วยกันหมด ทั้งกลุ่มค้าปลีก สถาบันการเงิน และธุรกิจต่าง ๆ 

ทิศทางการทำงานของคณะทำงานด้านการสร้างรายได้ฯ และกระจายรายได้ลงสู่ประชาชน นำร่องใน 3 กลุ่ม คือ การท่องเที่ยว รีเทล และภาคการเกษตร ซึ่งจะกลายเป็น 3 เซ็กเมนต์สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศ

พร้อมกันนี้ "ทศ" ยังสะท้อนมุมมองนักธุรกิจถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศว่า ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา จีดีพีประเทศโตได้เพียงเฉลี่ย 3% ต่อปี ถือว่าเติบโตน้อยมาก และจะกลายเป็นปัญหาสำคัญในอนาคต ถ้าโตในอัตรานี้ต่อไปเรื่อย ๆ

ประเด็นคือ ตอนนี้รายได้เฉลี่ยต่อหัวเมืองไทยอยู่ที่ 5-6 พันเหรียญ ขณะที่มาเลเซีย 1.2 หมื่นเหรียญ เกาหลีใต้ 1.7 หมื่นเหรียญ ขณะเดียวกัน เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ โตเร็วและโตมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วหากประเทศไทย ถ้าโต 3% อย่างนี้อีกกี่ปีจะไปถึงหมื่นเหรียญ 

"ถ้าเราโต 3% อย่างนี้ เท่ากับว่าต้องใช้เวลาถึง 20 ปี เพื่อเพิ่มรายได้ให้แตะหมื่นเหรียญ หรือโชคดีโต 6% ก็ต้องใช้เวลากว่า 6 ปี ตรงนี้ต่างหากที่น่าเป็นห่วงมาก" 

แล้วเมืองไทยจะเติบโตได้อย่างไร

หัวหน้าทีมภาคเอกชนคณะทำงานด้านการสร้างรายได้และการกระตุ้นการใช้จ่ายของประเทศขยายความว่า สิ่งที่ต้องทำคือการเร่งพัฒนาและเดินเครื่องใน 3 เซ็กเตอร์ที่มีสัดส่วนรายได้หลักของประเทศ คือ ท่องเที่ยว เกษตรกรรม และค้าปลีกค้าส่ง 

สำหรับด้าน "ท่องเที่ยว" เขาตั้งโจทย์ว่า จาก 30 ล้านคนในปีนี้ ทำอย่างไรจะขยับเป็น 60 ล้านคน แบบปารีสให้ได้ ซึ่งที่ผ่านมาจุดเด่นของเมืองไทย เรื่องสถานที่ท่องเที่ยว วัฒนธรรม ผู้คน แต่ขาดการลงทุนเพื่อยกระดับเมืองท่องเที่ยวและเพิ่มรายได้ 

โดยมีแผนจะทำโปรเจ็กต์นำร่อง คือการปั้น "อยุธยา" ด้วยการลงทุน 6,000-9,000 ล้านบาทใน 3 ปี สำหรับบูรณะโบราณสถาน พัฒนาอินฟราสตรักเจอร์ ปรับภูมิทัศน์รอบเกาะ สร้างรถรางวิ่งรอบเกาะ รวมถึงจัดโซนนิ่งโฮมสเตย์และร้านอาหาร เป็นต้น

เป้าหมายของโมเดลนี้คาดว่าจะสามารถเพิ่มรายได้การท่องเที่ยวของอยุธยา จาก 1.3 หมื่นล้านบาท เมื่อปี พ.ศ. 2557 ก้าวกระโดดเป็น 1 แสนล้านบาท ในปี พ.ศ. 2568

"ที่เริ่มด้วยอยุธยาเพราะเป็นเมืองมรดก ต่างชาติชอบ ต่างชาติรู้จัก เราจะมาพัฒนากัน ทำอย่างไรให้คนมามากขึ้น ใช้เวลาพักหลายคืนขึ้น และสเปนดิ้งในอยุธยามากขึ้น วัดเราสวย และเมืองมี History ต่างชาติชอบ นี่คือความศิวิไลซ์ ที่เราต้องสร้างเป็นจุดขาย"

ควบคู่กับการเพิ่มรายได้ในภาคเกษตรกรรม "ทศ" และทีมเอกชนวางเป้าหมายเพิ่มรายได้ครัวเรือนขึ้นเป็น 3 เท่า 

ภายในปี พ.ศ. 2560 และโมเดล 76 จังหวัด 76 สินค้าเด่น ที่พัฒนาและเข้ามาวางขายในช่องทางของบรรดาค้าปลีกที่พร้อมสนับสนุน โดย "กลุ่มเซ็นทรัล" ได้ประเดิมตั้งศูนย์พัฒนาประชารัฐ ด้วยเงินลงทุน 2.3 ล้านบาท เพื่อเป็นตัวกลางเชื่อมการทำงานร่วมกันระหว่างชุมชนและช่องทางร้านค้า 

"ตอนนี้ที่คุยกันมีเอกชนหลายรายที่พร้อมเข้ามาช่วยกัน โดยจะออกมาในรูปแบบของ "ฟันด์เรซซิ่ง" ได้เงินลงทุน 150-200 ล้านบาท และทุกคนมาช่วย ๆ กัน ตอนนี้เซ็นทรัลได้ทำอยู่ 8 พื้นที่ พูดคุยกันในภาคเอกชน ทุกคนอยากมาช่วยกันทำ" 

ไม่ต่างไปจากบทบาทด้านธุรกิจ "ค้าปลีกค้าส่ง" ซึ่ง "ทศ" และทีมเอกชน กำลังเวิร์กกันอย่างเต็มรูปแบบสำหรับการจัดตั้ง "แม่สอด" เพื่อเป็นศูนย์กลางค้าปลีกและค้าส่งไทย-เมียนมา ด้วยเป็นเขตเศรษฐกิจที่สำคัญและมีเม็ดเงินะพัดกว่าแสนล้านบาท ที่สำคัญแม่สอดเป็นเกตเวย์ที่เชื่อมเมียนมาทั้งประเทศ และสามารถเชื่อมต่อไปได้ถึงตลาดอินเดีย บังกลาเทศ และศรีลังกา 

ทั้งหมด "ทศ" และทีมได้นำเสนอผ่าน "ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" รองนายกรัฐมนตรี เพื่อจะเตรียมนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป

ช่วยกันคนละไม้คนละมือเพื่อทำให้ "เมืองไทย" ขับเคลื่อนและเติบโตต่อไปอย่างเข้มแข็ง

ไม่มีความคิดเห็น: