PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2559

ผ่านพรบ.งบฯ3วาระอย่างไว2ชม.ครึ่ง

ไร้เสียงค้าน สนช.ไฟเขียว พ.ร.บ.งบฯปี 60 วงเงิน 2.7 ล้านล้าน

8 ก.ย. 2559 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 วงเงิน 2,733,000 ล้านบาทประกาศใช้เป็นกฎหมาย ด้วยคะแนนเห็นด้วย 183 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 2 เสียง

โดย อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 กล่าวว่า กมธ.ได้พิจารณารายละเอียดงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่น กองทุน และเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 20 กระทรวง 456 หน่วยงาน แผนบูรณาการ 25 แผนงาน แผนงานบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ 1 แผนงาน รวมทั้งรัฐวิสาหกิจ 10 หน่วยงาน โดยการพิจารณาได้ให้ความสำคัญในความสอดคล้อง เชื่อมโยงระหว่างเป้าหมายระดับชาติ ระดับกระทรวง หน่วยงาน รวมทั้งการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และตัวชี้วัดของหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานเชื่อมโยง ส่งผลถึงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรม สามารถวัดผลได้จริง สะท้อนถึงเป้าหมายระดับชาติ กระทรวง หน่วยงาน สามารถประเมินผลการดำเนินงานเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีในปีถัดไป ส่วนการจัดทำในลักษณะบูรณาการ หน่วยงานเจ้าภาพ หน่วยงานกลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องสร้างความเข้าใจในการกำหนดเป้าหมาย ผลลับและตัวชี้ร่วม ร่วมดำเนินงานแก้ไขปัญหาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้แผนบูรณาการเกิดผลสัมฤทธิ์

ภายหลังที่ประชุมผ่านวาระ 3 ประกาศใช้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 60 เป็นกฎหมาย วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกฯ ได้ติดตามการประชุมและชื่นชมการทำหน้าที่ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และในนามของรัฐบาลตนขอขอบคุณ กมธ.และสมาชิก สนช.ที่ผ่านความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัตินี้ การจะนำร่าง พ.ร.บ.นี้ไปใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 59 - 30 ก.ย. 60 ถือเป็นช่วงเวลาตามโรดแมป ระยะที่ 2 ก่อนเข้าสู่การจัดการเลือกตั้งซึ่งเป็นช่วงระยะที่ 3 ซึ่งช่วงนี้ถือว่าสำคัญมากอาจมีหลายเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น เช่น การประกาศใช้รัฐธรรมนูญ บทบัญญัติจะเริ่มมีผลใช้บังคับ การใช้จ่ายงบประมาณก็จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบและการใช้จ่ายตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งขณะนี้ได้มีมาตรการรองรับอยู่แล้ว คือ 1.ร่าง พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญ 2.ร่างพ.ร.บ.วิธีการงบประมาณฉบับใหม่ ซึ่งการใช้จ่ายงบประมาณตามร่าง พ.ร.บ.นี้จะแตกต่างจากที่เคยเป็นมา 3.ร่าง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังภาครัฐ ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมการยกร่าง ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า การใช้จ่ายงบจะอยู่ภายใต้วินัยการเงินการคลังตามกฎหมายข้างต้น จึงขอให้มั่นใจว่า การใช้จ่ายงบประมาณครั้งนี้จะเป็นแบบอย่างในการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลชุดต่อไป และขอให้คำมั่นสัญญาว่า การใช้จ่ายงบทั้งหมดจะเป็นไปตามกฎหมาย หลักเกณฑ์ คำแนะนำและข้อสังเกตของ สนช. และเชื่อว่าจะได้รับความร่วมมือและคำแนะนำที่ดีจาก สนช.ต่อไป

BRN ยอมรับก่อเหตุระเบิดหน้าโรงเรียนบ้านตาบา นราฯ คร่าชีวิต 2 พ่อลูก

(7 ก.ย.2559) เว็บไซต์ เบนาร์นิวส์ (http://www.benarnews.org) รายงานว่า เหตุลอบวางระเบิดจักรยานยนต์บอมบ์ หน้าโรงเรียนบ้านตาบา อ.ตากใบ จ.นราธิวาส จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายคน โดยอ้างถึงแหล่งข่าวแกนนำอาร์เคเค RKK ของกลุ่มขบวนการ BRN ที่ไม่เปิดเผยชื่อให้สัมภาษณ์โดยยอมรับว่า เหตุดังกล่าวเป็นฝีมือของกลุ่มตน
รวมถึงการโจมตีหลายพื้นที่ในจังหวัดภาคใต้ในช่วงวันที่ 10 - 12 ส.ค. ซึ่งต้องการแสดงความไม่พอใจต่อความไม่จริงใจของรัฐบาลในการพูดคุยสันติสุข และการก่อเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้เกี่ยวกับประชามติหรือเรื่องอื่น โดยเหตุที่เกิดขึ้นบริเวณหน้าโรงเรียนบ้านตาบา จนทำให้ 2 พ่อลูกเสียชีวิตเป็นเรื่องสุดวิสัยไม่ได้ต้องการให้เกิดกับประชาชนเพราะเป้าหมายคือเจ้าหน้าที่
แกนนำอาร์เคเค คนดังกล่าวยังระบุว่า "เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่อำเภอตากใบ ยอมรับว่าขบวนการก่อความไม่สงบทำ รวมทั้ง เหตุระเบิดรถไฟ และเหตุป่วน ใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนด้วย เพราะต้องการตอบโต้การเจรจาที่ไม่มีความคืบหน้า และเป็นการคุยเพียงเพื่ออำนาจทางการเมือง ไม่ได้หวังให้เกิดความสงบสุขจริง"
ด้านองค์การยูนิเซฟ แสดงความเสียใจพร้อมประณามการก่อเหตุรุนแรงดังกล่าวด้วยเช่นกัน โดยระบุว่า องค์การยูนิเซฟมีความเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย และผลกระทบของความรุนแรงที่มีต่อเด็กๆ รวมถึงเหตุระเบิดล่าสุดใน จ.นราธิวาสได้คร่าชีวิตเด็กหญิงวัย 4 ขวบพร้อมพ่อของเธอ
รายงานข่าวจากสื่อต่างๆ ระบุว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ย.เช้านี้ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่หน้าโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.นราธิวาส ส่งผลให้พ่อและลูกสาววัย 4 ขวบที่กำลังมาโรงเรียนเสียชีวิต แรงระเบิดยังทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 10 ราย ซึ่งเป็นครู ผู้ปกครอง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ยูนิเซฟรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะโรงเรียนควรเป็นสถานที่สำหรับการเรียนรู้ การค้นพบสิ่งใหม่ๆ ตลอดจนกิจกรรมสันทนาการสำหรับเด็ก นอกจากนี้ โรงเรียนทุกแห่งควรเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน โดยไม่ควรมีเด็ก ผู้ปกครอง หรือเจ้าหน้าที่การศึกษาคนใดต้องใช้ชีวิตและเรียนรู้ภายใต้ความหวาดกลัวต่อเหตุรุนแรง
ทั้งนี้ ยูนิเซฟขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้มั่นใจว่าเด็กๆ จะได้รับความคุ้มครอง และไม่มีเด็กคนใดต้องตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงอีกต่อไป
...............
s.news

ป.ป.ช. เอกฉันท์เชือด นริศร – อุดมเดช เสียบบัตรแทน

ป.ป.ช. เอกฉันท์เชือด นริศร – อุดมเดช เสียบบัตรแทน – สับร่างแก้ไข รธน. เตรียมส่ง สนช.ถอดถอน เสนอ อสส.ส่งฟ้องศาลฎีกาฯ เอาผิดอาญา “ขุนค้อน” โดนด้วย ผิดอาญา ไม่ตรวจร่าง คมเดช – ยุทธพงศ์ รอด
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 8 กันยายน ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการป.ป.ช. กรณีกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และร้องขอให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง กรณีเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่มาส.ว. ประเด็นเกี่ยวกับการใช้บัตรลงคะแนนแทนกัน การนับเวลาแปรญัตติโดยมิชอบ และการสับเปลี่ยนร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ชี้มูลความผิดนายนริศร ทองธิราช อดีตส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย กรณีใช้บัตรลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ลงคะแนนแทนบุคคลอื่น ลงคะแนนในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 9 และ 10 ซึ่งทำให้ผลการลงมติบิดเบือนไปจากความเป็นจริง จึงมีมูลความผิดทางอาญา ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามมาตรา 123 และมาตรา 123/1 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ป.ป.ช.) และมีมูลส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 68 วรรคหนึ่ง มาตรา 122 มาตรา 123 และมาตรา 126 วรรคสาม เห็นควรส่งรายงานและเอกสารที่มีอยู่พร้อมทั้งความเห็นไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินการฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป และส่งรายงานให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติถอดถอน ออกจากตำแหน่ง ตามพ.ร.บ.ป.ป.ช.
น.ส.สุภา กล่าวว่า นายอุดมเดช รัตนเสถียร อดีตส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย มีความผิดทางอาญาตามมาตรา 123/1 พ.ร.บ.ป.ป.ช. กรณีสลับร่างรัฐธรรมนูญโดยไม่มีสมาชิกรัฐสภาลงรายมือชื่อรับรอง เห็นควรส่งรายงานและเอกสาร พร้อมความเห็นไปยังอสส. เพื่อฟ้องคดีต่อศาลฎีกาฯ ต่อไป และส่งรายงานพร้อมความเห็นไปยังประธานสนช. เพื่อมีมติถอดถอนออกจากตำแหน่ง, นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร มีความผิดทางอาญา ตามมาตรา 123/1 พ.ร.บ.ป.ป.ช. กรณีรู้เห็นให้มีการสลับสับเปลี่ยนร่างรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีการตรวจสอบให้ถูกต้องตามหน้าที่ของประธานรัฐสภา ตามข้อ 90 ของข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ.2553 และไม่สั่งให้มีการนำไปเสนอให้สมาชิกรัฐสภาร่วมลงชื่อรับรองญัตติตามมาตรา 291 ของรัฐธรรมนูญ และกรณีจงใจนับระยะเวลาแปรญัตติย้อนหลังทำให้เหลือระยะเวลาให้สมาชิกรัฐสภาเสนอคำแปรญัตติเพียง 1 วัน ซึ่งกรณีดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่าเป็นการกำหนดระยะเวลาที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากไม่ให้โอกาสสมาชิกรัฐสภามีเวลาในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช.จึงเห็นควรส่งรายงานและเอกสารที่มีอยู่ พร้อมทั้งความเห็นไปยังอสส. เพื่อฟ้องคดีต่อศาลฎีกาฯ ต่อไป ทั้งนี้ กรณีนายสมศักดิ์ ป.ป.ช.เคยมีมติชี้มูลความผิดฐานส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และได้ส่งรายงานไปยังประธานสนช.แล้ว โดยสนช.ได้พิจารณาและมีมติไม่ถอดถอน จึงเห็นควรไม่ส่งรายงานในความผิดถอดถอนไปยังประธานสนช.อีก
น.ส.สุภา กล่าวอีกว่า ส่วนนายคมเดช ไชยศิวามงคล อดีตส.ส.กาฬสินธุ์ และนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีตส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย คณะกรรมการป.ป.ช.ได้พิจารณาอย่างละเอียดแล้ว พยานหลักฐานไม่เพียงพอเหมือนกรณีนายนริศร แม้ป.ป.ช.จะติดใจ แต่เมื่อไม่มีพยานเพียงพอ และทั้งสองคนได้ชี้แจงเหตุผลในการฝากบัตรไว้กับนายนริศร จึงยกประโยชน์ให้ โดยมีมติบุคคลทั้งสองไม่มีความผิด และเห็นควรให้ข้อกล่าวหาตกไป

ทำเนียบรัฐบาล เตรียมพร้อม ต้อนรับ"นาจิบ ราซัค"นายกฯมาเลเซีย เยือนไทย

ทำเนียบรัฐบาล เตรียมพร้อม ต้อนรับ"นาจิบ ราซัค"นายกฯมาเลเซีย เยือนไทย ถึงเย็นนี้ 18.00น. บิ๊กตู่ บินจากลาว มาเหมือนกัน มาต้อนรับ ที่บน.6 ดอนเมือง
โดยมี พิธีต้อนรับ9กย.ที่ทำเนียบฯ มีพิธีการลงนามร่วม อุตสาหกรรมยางพารา Rubber City ไทย-มาเลเซีย และมีงานเลี้ยงรับรอง. ที่เหลือ เป็น "กำหนดการส่วนตัว" โดยมีกำหนดกลับ เย็น 13กย.
ทั้งนี้ กต.เผยหัวข้อหารือ ของ นายกฯไทย และ มาเลเซีย ดังนี้
1.ความร่วมมือด้านความมั่นคง ได้แก่ การบริหารจัดการชายแดน การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การลักลอบการค้ามนุษย์ ความมั่นคงทางไซเบอร์ การก่อการร้ายระหว่างประเทศและแนวคิดสุดโต่ง
2. ความร่วมมือในการแก้ไขสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) และกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขใน จชต. โดยมีมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก
3.ความร่วมมือด้านการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว โดยหารือแนวทางให้มีการบรรลุเป้าหมายทางการค้ามูลค่า 3หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2561 การส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชนในการขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการจัดทำจุดหมายปลายทางร่วมด้านการท่องเที่ยว
4.การพัฒนาเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงในพื้นที่ชายแดนและอำนวยความสะดวกบริเวณพื้นที่ชายแดนเพื่อสร้างความกินดีอยู่ดีให้แก่ประชาชนในพื้นที่ เช่น การขยายด่านสะเดา-บูกิตกายูฮิตัม และการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลกสองแห่งเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดนราธิวาสกับรัฐกลันตัน
5.การเชื่อมโยงโครงการเมืองยางพาราระหว่างนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลากับโครงการเมืองยางพาราโกตาปุตรา รัฐเกดะห์
6.การเร่งรัดการหาข้อสรุปความตกลง/บันทึกความเข้าใจที่คั่งค้าง อาทิบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรและบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา
ภายหลังการประชุมฯ นายกรัฐมนตรีสองฝ่ายจะเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกความร่วมมือโครงการยางพาราที่นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลาและเมืองโกตาปุตราระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกับบริษัท Tradewinds Plantation Berhad

สนช.ผ่านร่างงบประมาณปี 2560 วงเงิน 2.73 ล้านล้านบาท ก.ศึกษาธิการได้งบสูงสุด

สนช.ผ่านร่างงบประมาณปี 2560 วงเงิน 2.73 ล้านล้านบาท ก.ศึกษาธิการได้งบสูงสุด
ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ใช้เวลา 2 ชั่วโมงเศษ ผ่านร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ ปี 2560 วงเงิน2.73 ล้านล้านบาท โดยกระทรวงที่ได้รับงบประมาณสูงสุดคือกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 493,000 ล้านบาท
วันนี้ (8 ก.ย.) ที่ประชุม สนช.มีมติเอกฉันท์เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ในวาระ 2 และ 3 วงเงิน 2.73 ล้านล้านบาท โดยใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงเศษ มีผู้อภิปราย 2 ราย ก่อนจะลงมติเห็นชอบด้วยคะแนน 183 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง และงดออกเสียง 2เสียง
จากนี้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะถูกประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป โดยจะเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2559 ถึงวันที่ 30 ก.ย. 2560
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณ สนช. และระบุว่านายกรัฐมนตรีติดตามการประชุมครั้งนี้มาโดยตลอด และขอให้มั่นใจว่าการใช้งบประมาณจะเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กำหนด ในส่วนของกระบวนการตรวจสอบนั้น เมื่อมีการประกาศใช้ร่างรัฐธรรมนูญในระยะเวลาที่สอดคล้องกันก็จะมีกระบวนการตรวจสอบและมีความโปร่งใส
สำนักข่าวไทยรายงานว่ากระทรวงที่ได้รับงบประมาณสูงสุด คือ กระทรวงศึกษาธิการ 493,051,854,800 บาท (4 แสน 9 หมื่น 3 พันล้านบาท) กระทรวงกลาโหม 210,777,461,400 บาท (2 แสน 1 หมื่นล้านบาท) กระทรวงสาธารณสุข 126,196,350,000 บาท (1 แสน 2 หมื่น 6 พันล้านบาท) กระทรวงมหาดไทย 73,624,831,600 บาท (7 หมื่น 3 พันล้านบาท) และกระทรวงคมนาคม 63,538,688,500 บาท ( 6 หมื่น 3 พันล้านบาท) #งบประมาณ2560