PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์:ไม่มีครั้งไหนใช้สิทธิ์ 100%


ผมได้ฟังคุณอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ Jonathan Head สำนักข่าว BBC แกตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า "ผลการเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มาใช้สิทธิ์ไม่ถึง 50% แสดงให้เห็นว่าประชาชนคิดอย่างไร"

ผมเข้าใจว่าคุณอภิสิทธิ์และคุณสุเทพเป็นนักการเมืองผู้เชี่ยวชาญ แต่สงสัยทั้งสองคนคงตกวิชาคณิตศาสตร์ ผมจบบัญชีธรรมศาสตร์ ยุ่งเกี่ยวกับตัวเลข คณิตศาสตร์ของผมเก่งกว่าทั้งสองท่านมากอยู่ ขออธิบายให้ฟังดังนี้

1. คุณอภิสิทธิ์บอกว่าผู้มาใช้สิทธิ์ 47.72% แสดงว่ามาใช้สิทธิ์ "ไม่ถึงครึ่ง" ของผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด ตรงนี้คุณอภิสิทธิ์ต้องเข้าใจเสียก่อนว่า "ไม่มีการเลือกตั้งครั้งไหน ที่มีผู้มาใช้สิทธิ์ 100% เต็ม" การเลือกตั้งเมื่อปี 54 มีผู้มาใช้สิทธิ์ 74.85% แสดงว่าอีก 25.15% ที่ไม่ได้มา เป็นผู้ที่ไม่มีความปรารถนาทางการเมือง หรือไม่สนใจการเลือกตั้งอยู่แล้ว

ดังนั้น คุณอภิสิทธิ์จะไปยึดว่า 47.72% หมายความว่ามีประชาชนมาใช้สิทธิ์ไม่ถึงครึ่งของ 100% ไม่ได้ เพราะไม่มีการเลือกตั้งครั้งไหน มีผู้มาใช้สิทธิ์ 100% เต็มอยู่แล้ว

2. การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้คัดค้านขัดขวาง กระทำการทุกอย่างที่ละเมิด ลิดรอนผู้มาใช้สิทธิ์ ทั้งมีเหตุการณ์รุนแรง ดังนั้น คนไม่มาใช้สิทธิ์ เพราะไม่กล้าเสี่ยงออกมา อีกทั้งมีข่าวว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นโมฆะ จึงนอนอยู่บ้านเฉยๆดีกว่า

3. หากยึดเอาเกณฑ์ผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งปี 54 มีผู้มาใช้สิทธิ์ 74.85% ครึ่งหนึ่งคือ 37.43%

ครั้งนี้มา 47.72% ถือว่าเกินครึ่งของครั้งที่แล้วเสียด้วยซ้ำ ในสถานการณ์แบบนี้ถือว่ามากแล้วครับ

มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสถิติ (Statistic) คุณอภิสิทธิ์คงไม่รู้เรื่องมากนัก ตอนเรียนหนังสือผมสอบวิชาสถิติได้ A ตลอด

คุณอภิสิทธิ์ยังให้สัมภาษณ์อีกว่า ตัวแกกับคุณสุเทพมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน จึงเป็นเหตุผลให้คุณสุเทพลาออกจากพรรคมาต่อสู้ก่อม็อบปิดถนน

แต่ผมว่า คุณอภิสิทธิ์และคุณสุเทพ โดดลงไปในเรือลำเดียวกันแถมช่วยกันพายอีกต่างหาก เพราะทั้งสองปฏิเสธกระบวนการตามระบอบประชาธิปไตยในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง โดยใช้ข้ออ้างเรื่อง "ปฏิรูป" มาบังหน้า บอกว่า "ใครลงเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นผู้ต่ออายุให้ระบอบทักษิณ"

คุณอภิสิทธิ์ไม่ดีใจหรือครับ ที่มีผู้มาใช้สิทธิ์ถึง 20.53 ล้านคน? ไปกล่าวหาเขาว่า ทั้งหมดเป็นผู้สนับสนุนระบอบทักษิณได้อย่างไร? ส่วนพวกโหวตโนและโนโหวต จะมาเหมาเอาเป็นคะแนนของตัวเองไม่ได้ เพราะเขาอุตส่าห์ฟันฝ่ามาเลือกตั้ง เพื่อรักษากติกาประชาธิปไตยไว้ พวกเขาอาจต่อต้านระบอบทักษิณ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะชอบระบอบอภิสิทธิ์หรือสุเทพ

เรื่องแบบนี้ฝรั่งเขาไม่เข้าใจหรอกครับ ว่าทำไมคุณอภิสิทธิ์ถึงได้พูดจาเอาแต่ได้ แล้วยังโมโหโกรธาขนาดจะไปฟ้องผู้สื่อข่าวต่างประเทศอีก

เพราะแม้แต่ เลขาธิการสหประชาชาติ นายบันคีมูน ยังบอกว่า "Any action that undermines democratic processes and hinder the democratic right of the Thai people cannot be condoned.”

ผมแปลเป็นภาษาไทยแบบชาวบ้านง่ายๆว่า "การกระทำใดๆที่เป็นการขัดขวางกระบวนการประชาธิปไตยของคนไทย ไม่สามารถให้อภัยได้"

คุณอภิสิทธิ์จบอ็อกซ์ฟอร์ด เก่งภาษาอังกฤษกว่าผม เรื่องนี้ผมยอมแพ้ครับ เพราะผมไม่รู้จะแปลเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร?

กปปส. แจ้งวัฒนะ ผวาอีก !!! มือมืดซัด M79 2 ลูกซ้อน

หลังเกิดเหตุมือป่วนยิงล้อรถผู้ชุมนุมที่หน้าตึกศูนย์ราชการอาคารบี ล่าสุด มีการยิงเอ็ม 79 2 ลูก ตกที่สะพานข้ามเหนือเต้นพยาบาล และลงในห้องอาบน้ำหญิง หลังเต๊นท์พยาบาล ไม่พบผู้บาดเจ็บ
วันนี้ (6 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเพจ "กองทัพนิรนาม" โพสต์ภาพเมื่อเวลาประมาณ 20.26 น. ลูก M79 ลงที่แจ้งวัฒนะ โดยลูกแรกลงบนสะพานข้ามเหนือเต้นพยาบาล และลูกที่ 2 ลงในห้องอาบน้ำผู้หญิง หลังเต๊นท์พยาบาล ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อช่วงเย็น ได้เกิดเสียงดังขึ้นที่บริเวณหน้าตึกศูนย์ราชการอาคารบี ระหว่างที่นายสมชัย นำพระพุทธะอิสระ ขึ้นไปดูสถานที่ทำงานของเจ้าหน้าที่ กกต. บรรดาผู้สื่อข่าวที่มาปักหลักรอทำอยู่ด้านล่างกรูกันออกมาดู โดยที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนลูกซองตกอยู่ 1ปลอก และกระสุนลูกปลายตกเกลื่อนพื้นและด้านข้างล้อรถกระบะมิตซูบิชิ สีดำ 4 ประตู หมายเลขทะเบียน ชท 6734 กรุงเทพมหานคร ถูกยิงยางล้อรถด้านหลังขวา พร้อมทั้งมีไฟแช็คตกอยู่ใต้ท้องรถ

ทั้งนี้รถคันดังกล่าวทราบว่าเป็นของนาย วีระ ศรีพิทักษ์ แนวร่วมกปปส.ปทุมธานี ที่เดินทางมากับพระพุทธธอิสระ

ส่วนบรรยากาศภายในศูนย์ราชการ อาคารบี มีเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนหนึ่ง ดูแลรักษาความเรียบร้อยภายในพื้นที่เท่านั้น โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ อยู่ภายในอาคารแต่อย่างใด

เสธน้ำเงิน:โดน..หงอกคิดชั่วหมิ่นพ่อชายชุดเขียวให้ลากเข้าคุกไป ขวัญควายสั่น

แฉความจริง
6 ก.พ.57

จากที่พวกรัฐแดงอั้งยี่กร่างกันไปทั่ว จนโดนแฉเปิดโปงแผนร้ายหวังพลิกฟ้าแบ่งแยกดิน ต่อมาเจอถูกชาย 3 สี (เขียว ขาว ฟ้า ) ชายชุดดำฝ่ายดี และชายไร้สีนิรนาม ผนึกกำลังกันไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว สวนกลับด้วยหลากหลายยุทธการ ทั้งแบบที่มองเห็นได้และแบบไร้เงา ทำให้เกิดปรากฎการณ์ “ หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ให้แสงในที่มืด “ จนผีห่าซาตานแตกกระเจิดกระเจิง

แถมพ่วงซ้ำด้วยเขี้ยวพยัคฆ์ร้าย “ นกรบถุงป๊อบคอร์นกู้ชาติ “ ทวงคืนเอกราชให้ปวงชนชาวไทย !!! รุกไล่ขย้ำหมาขี้เรื้อนจนแผลเหวอะหวะ เลือดท่วมหนีตายกันยิ่งกว่านรกแตก ช่วงนี้จึงมีแต่ข่าว “สยอง “ ชวนถอดวิญญาณของพวกผีห่าซาตานชั่ว คือ
1. จากที่ขวัญควาย แกนนำฮาร์ดคอร์อั้งยี่แดงอีสาน ถูก BB Gun ยิงถล่มยับเยินที่สถานีวิทยุ จังหวัดอุดรฯ จนเป็นอัมพฤกซ้ายครึ่งซีก กินป๊อบคอร์นมากไปเลย "จุก" ต่อมาสิ่งเทียมตำรวจได้สืบสวนและแจ้งความคืบหน้าของคดีว่า คนร้ายที่ลอบยิงเป็น “ ชายชุดเขียวยศจ่า “ จำนวน 3 คน

รองโฆษกชายชุดเขียว จึงออกมาทิ่มหมัดสวนไปว่า คนร้ายที่ลอบยิงนายขวัญควายแดง ที่เป็นชายชุดเขียวยศจ่า 3 คนนั้น ยังไม่มีความชัดเจน หากเกี่ยวกับกองทัพจริงทางสิ่งเทียมตำรวจต้องมีหลักฐานที่แน่นอน ต้องบอกมาว่าอยู่เหล่าทัพไหน เป็นชายชุดเขียวเกษียณไปแล้ว หรืออยู่ในราชการ “ อย่ามาพูดลอยๆ" (ปากพล่อยๆ)

เสธ แนะนำสิ่งเทียมตำรวจว่า ชาย 3 สีเขามีธรรมเนียม “ ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน “ ถ้าคิดว่าการข่าวถูก ก็จัดหน่วยปฏิบัติการพิเศษเก่ง ๆ พร้อมอาวุธครบมือ ทำตามคำสั่งขวัญควายที่ให้จับมือยิงให้ได้ภายใน 3 วันไม่งั้นจะย้ายทั้งอุดร บุกเข้าไปในค่ายจับ 3 จ่าเล้ยย แต่ขอเตือนว่าเขตชาย 3 สีมีป้ายติดว่า “ ห้ามเข้า “ ถ้าฝ่าฝืนก็มีอำนาจตามกฎหมาย ที่จะระดมกำลังในค่ายหลายกองร้อย รุมถล่มสังหารทุกคนที่กล้าบุกรุก

และขืนมาลอบจับ 3 จ่า ตอนออกนอกค่าย ก็รู้ดีใช่ไหมว่าการจับชาย 3 สีไปที่โรงพักหนะ มันแสนจะเสี่ยง เพราะเคยมีการลากสิ่งเทียมอาวุธหนักไปยิงถล่มโรงพักจนนับรูไม่ถ้วนมาแล้วบ่อยๆ แต่เอาให้มันรู้ดำรู้แดงกันเลยก็ดีจะได้จบๆ ไป ช่วงนี้ไม่ได้ยิงเขมรมานานแล้ว ยิงป๊อบคอร์นใส่พวกปากพล่อยแทนนี่แหละ เอาให้หูดับตับไหม้ทั่วถึง ตกตลึงตายไปเลย !!!

2. จากการตรวจสอบเฟซบุ๊คของ "สมศักดิ์ หงอก" อาจารย์ชั่วช้านรกกินกบาล ที่มีการโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบันเบื้องสูงมาตลอดเวลา ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ขัดแย้งกับสังคมไทย และเข้าข่ายผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หมิ่นหรือจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันเบื้องสูง

รองโฆษกชายชุดเขียว จึงออกมาทิ่มหมัดน็อคไปอีกว่า ขายชุดเขียวเป็นส่วนราชการที่มีหน้าที่ในการปกป้องสถาบัน และดำรงพระเกียรติยศ การกระทำใดเป็นการใส่ความด้วยความเป็นเท็จ ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อถือเชื่อมั่นต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ชายชุดเขียวต้อง “เอาโทษตามกฎหมาย” ควบคู่กับการ “กดดัน “ ให้เลิกพฤติกรรมการกระทำ จึงขอให้ประชาชนช่วยกันดูแลเฝ้าระวัง อย่าให้ผู้ใดมาจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันอันเป็นที่รักของพวกเราได้

เสธ ว่าหงอกมันเลวชิงหมาขี้เรื้อนมาเกิด กล้าทำสิ่งระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เกิดมานอกจากจะเป็นสิ่งเทียมคนแล้ว ยังมีจิตใจสกปรกโสมม ต่อไปชีวิตมันจะต้องมาตรการทั้ง “ กด” และ “ดัน” จากชายไร้สีนิรนาม ที่นี่ประเทศไทยถ้าอยากจะหมิ่นนัก จะได้พาไปยืนตะโกนก้องร้องเอ๋งในอ่าวไทยกลางทะเลให้สมใจแน่ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง

การปราบคนพาลสันดานชั่วนั้น จะใช้รบตามตำราตรงไปตรงมาไม่ได้ผล มันต้องลับ ลวง พราง แยบยน พลิกแพลง ล้ำลึก ชาย 3 สี ฝ่ายดีล้วนแต่มีสติปัญญา คนพูดจะไม่ทำ คนทำจะไม่พูด รู้จักผิดชอบชั่วดีได้ด้วยตนเอง เนื่องจากได้รับข้าวปลาอาหารจากภาษีประชาชน ในการฝึกอบรมทั้งร่างกาย และภายในจิตใจ ทำให้มีความเข้มแข็งอดทน มีจิตใจที่ดี และมีความเสียสละสูงกว่าฝ่ายอธรรมชั่วร้าย

ชาย 3 สี นอกจากจะมีหน้าที่ปกป้องดินแดนชาติ ไม่ให้อริราชศัตรูมาย่ำยีต่อชาติไทย ไม่ว่าจะเป็นศึกภายนอกหรือภายใน ป้องกันไม่ให้อริราชศัตรู หรือเหล่าผีห่าซาตานชั่ว ที่คิดจะเผาบ้านเผาเมือง ทำความเสียหาย ทำลายชาติ ตนเอง ดูหมิ่นใส่ร้ายสถาบันเบื้องสูงทุกพระองค์

เลือดของบรรพชนเหล่าชาย 3 สี ที่ชโลมลงทาลงผืนแผ่นดินบนพื้นปฐพีไทยตลอดมา ก็เพื่อปกป้องสถาบันหลัก คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่เป็นที่เทิดทูนไว้เหนือเกล้า เลือดของบรรพชนแต่ละหยด จึงมีคุณค่าดั่งสายฝนเป็นหยาดทิพย์ชโลมแผ่นดินให้ชุ่มเย็น

ความมีเกียรติยศของคนในเครื่องแบบนั้น ไม่ใช่อยู่ที่อาภรณ์ ยศถาบรรดาศักดิ์ บั้ง ยศ ดาว มงกุฎ ประดับกาย เพราะนั่นคือมายาลวง แต่เกียรติยศนั้นจะมีได้ก็ต่อเมื่อได้ทำความดี ปราบหมู่มหาอเวจีชั่วช้าทั้งหลาย กระทืบมันให้จมธรณี ทดแทนบุญคุณข้าวปลาอาหาร จากหยาดเหงื่อ หยดไคล ของประชาชน ที่เขาทำงานเหนื่อยยาก เสียภาษีมาเป็นเครื่องค้ำจุนการทำหน้าที่ ประชาชนย่อมจะมอบเกียรติยศนั้นให้เอง

เกียรติยศจะเลื่องลือไปได้ ก็ด้วยชื่อเสียงและ “ คุณงามความดี ที่เสียสละ “ มุ่งมั่นทำประโยชน์ สร้างความหวังและพลังใจให้มวลมหาประชาชน ที่เขาต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ดีและรุ่งโรจน์ถาวร ชายชุดดำที่ซ่องสุมกันนั้นเราพี่น้องกันทั้งนั้น จะไปยอมเสียศักดิ์ศรีเป็นลูกไล่เป้ดเหลิมกักขละ ให้มันกดหัว โขกสับ ก่นด่า ดูถูก ดูแคลน อยู่ทำไม จะยอมเป็นไพร่ถูกกดหัวให้ทำงานหาส่วยส่งนาย เป็นขี้ข้าตลอดชาติหรือ!! ให้กลับใจเสีย “ ไปที่ชุมนุมยังได้เจอสาวๆ แต่อยู่ ศรส. ก็ได้เจอแต่เฉลิมๆ “ เดินออกมารวมกับพวกเราเลย

วันนี้เหล่าชาย 3 สีในเครื่องแบบ , ชายชุดดำฝ่ายดี , นักรบนิรนามไร้สี , นักรบสังหารโจรดำ , นักรบถุงป๊อบคอร์น , การ์ด ฯลฯ เข้าได้ออกมาปกป้องคุ้มครองประชาชน ผู้หญิง คนแก่ เด็ก ๆ แล้ว ในรอบ ๆ กายของผู้ชุมนุม ทั้งการแสดงตนเปิดเผย และไม่แสดงตน ดั่งบทพระราชนิพนธ์พระมหาชนก ที่เขียนไว้ว่า เมืองมิถิลา (เมืองไทย) ไม่สิ้นคนดี

และคำทำนายเมื่อปี 2518 หลังยุคนารีเป็นใหญ่ที่ว่า “ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฟ้าคร้ามลั่นครืน จะยืนได้ จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ “

สู้เข้าไป... อย่าได้ถอยมวลมหาประชาชน เลือดชั่วๆ ของอันธพาลแดงสันดานหยาบหนักแผ่นดินพวกนี้ มันเป็นอัปมงคล อย่าไปสนใจมัน ประชาชนของพระราชาจะหลับสบายและปลอดภัย ไว้ใจชาย 3 สีกล้า คอยปกป้องคุ้มกัน ส่วนพวกผีห่าซาตานแดงชั่ว ปล่อยเป็นหน้าที่เหล่านักรบนิรนาม จะจัดการเอาเลือดหัวพวกมันออกมา..ทาแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นี้เอง

" ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อ ชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ ผไท ของไทยทุกส่วน อยู่ดำรงคงไว้ ได้ทั้งมวล ด้วยไทยล้วนหมาย รักสามัคคี ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่ สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ไชโย"

ช่วงนี้มีลูกค้าหลายคนรีบให้ส่งของ “ ข้าวโพดกู้ชาติ “ ไปในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ให้มันรู้สำนึกเสียบ้างว่า ที่นี่คือแผ่นดินของพ่อ ถ้าไม่พอใจให้ไปอยู่ดูไบหรือเขมร

แต่ถ้าถูกจับได้ก็จะยอมปล่อยตัวให้ญาติไป..แต่ขอ “หัว” ชั่วไว้ดูต่างหน้าแทน

@เสธ น้ำเงิน
https://www.facebook.com/topsecretthai

สุเทพ เทือกสุบรรณ :สงสารพี่น้องชาวนา

เวทีราชดำเนิน
6/2/57 สุเทพ เทือกสุบรรณ "คำต่อคำ" ‪#‎เวทีปทุมวัน‬

นัดมวลชนเดินขบวนระดมทุนช่วยชาวนาพรุ่งนี้ (7 กพ.) 9.30 น. เริ่มจากใต้สะพานสาทร - สีลม - สวนลุม และวันจันทร์อีกหนึ่งวัน ตั้งเป้ายอด 10 ล้านบาท เพื่อให้ชาวนาใช้ต่อสู้ในการทวงเงินจำนำข้าว แนะบุกตรวจสต็อกข้าวว่ามีครบหรือไม่ ตั้งข้อสงสัยอาจโดนขโมยไปแล้ว

วันนี้ (6 ก.พ.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. กล่าวปราศรัยที่เวทีปทุมวัน ว่า สงสารพี่น้องชาวนาเป็นที่สุด 6 เดือนแล้วไม่ได้เงินจำนำข้าว มาทวงเงินก็โดนข่มขู่อีก จนต้องฆ่าตัวตาย มันไม่เห็นใจเลย ตนไม่กล้าไปเยี่ยมพี่น้องชาวนาที่มาชุมนุม เพราะกลัวรัฐบาลเอาไปบิดเบือนว่าชาวนาไม่เดือดร้อนจริง แต่ถูก กปปส.ยุยง กลัวการต่อสู้ของชาวนาจะเสียหาย

นายสุเทพ กล่าวต่อว่า ตนได้พูดคุยปรึกษากับพี่ๆน้องๆว่าถึงไม่ได้ไปร่วมกับชาวนา ไม่เชื้อเชิญให้ชาวนามาร่วมกับเรา แต่เราสมควรที่จะช่วยเหลือพี่น้องชาวนา อาจยกขบวนไปดูคลังเก็บข้าวว่าอยู่ดีหรือเปล่า ที่ว่ามีข้าว 18 ล้านตัน อยู่ครบหรือเปล่า เพราะเราแนะนำรัฐบาลหลายทีแล้วมีข้าวอยู่ก็ขายไป เพื่อเอาตังค์มาให้หนี้ชาวนา แต่มันไม่ทำ เลยสงสัยว่าข้าวเหลือจริงหรือเปล่า หรือมันขโมยไปหมดแล้ว ฉะนั้นวันนี้ขออนุญาตแนะนำให้ชาวนาไปตรวจโกดังข้าว ดูว่าครบตามที่ระบุในบัญชีมีหรือเปล่า วันไหนว่างๆจะไปเป็นเพื่อน ช่วยตรวจช่วยนับ

ตนตัดสินใจพรุ่งนี้ (7 ก.พ.) เดินขบวนใหญ่อีกครั้ง เที่ยวนี้ประกาศชัดไล่ยิ่งลักษณ์ ขจัดระบอบทักษิณ เรียกร้องปฏิรูปประเทศ เหมือนเดิม ถ้าพี่น้องให้ตังค์เรา เงินที่ได้ทั้งหมด ถือว่าระดมทุนช่วยชาวนา จะเดิน 2 หน วันศุกร์ (7 ก.พ.) กับ วันจันทร์ (10 ก.พ.) เดินไปตามท้องถนนต่างๆ จะเอาเงินที่ไหไปให้พี่น้องชาวนาเป็นทุนต่อสู้ติดตามหนี้

นายสุเทพ ได้กล่าวนัดการเดินขบวนว่า พรุ่งนี้ (7 ก.พ.) เริ่มตั้งแต่ใต้สะพานสาทร ที่ลงจากสถานีรถไฟฟ้าสะพานตากสิน เดินตามถนนเจริญกรุง ผ่านโรงแรมแชงกรีลา เลี้ยวขวาเข้าสีลม และไปจบที่สวนลุมฯ เริ่มเดิน 9.30 น. พี่น้องจากเวทีต่างๆให้ไปพร้อมกันที่ใต้สะพานสาทร ใครอยู่ใกล้รถไฟฟ้าให้นั่งมาลงสถานีสะพานตากสิน เสร็จภารกิจเดินเท้ากลับมา เวลาพี่น้องสองข้างทางให้เงิน ยกมือขอบคุณ แล้วบอกเอาไปช่วยชาวนา ตนอยากหาให้ชาวนาได้สัก 10 ล้านบาท พอให้เป็นทุนไปสู้ทวงหนี้ น่าสงสารเงินตั้ง 1.3 แสนล้านบาท ถูกรัฐบาลเบี้ยวไป แต่ไม่มีค่ารถไปตามทวงหนี้


เกษียร เตชะพีระ : สงครามความชอบธรรม

สงครามความชอบธรรม
%%%%%%%%%%%

เนื้อแท้ของความขัดแย้งต่อสู้ทางการเมืองในปัจจุบันระหว่างรัฐบาลพรรคเพื่อไทย, กปปส.&ปชป., "มวลมหาประชาชน", และประชาชนผู้ต้องการรักษาระบอบประชาธิปไตยและสันติภาพไว้ เป็น "สงครามความชอบธรรม" (war over legitimacy)

การเติบใหญ่ขยายตัวของมวลชนแต่ละฝ่ายขึ้นหรือลง ขยายใหญ่หรือหดตัวตามประเด็นความชอบธรรมของทั้งเป้าหมายและวิธีการของการต่อสู้ของแต่ละฝ่าย

อาจยกตัวอย่างได้ว่าช่วงตกต่ำที่สุดของฝ่ายรัฐบาลคือการผลักดันผ่านพรบ.นิรโทษกรรมเหมาเข่งทางสภาผู้แทนราษฎรออกมาอย่างไม่ฟังเสียงคัดค้านในสภาและในสังคมการเมือง

เล่นเอาเกือบตายคาเก้าอี้และถอยแทบไม่ทัน

ในทางกลับกัน ผมคิดว่าช่วงตกต่ำที่สุดของฝ่ายกปปส.&ปชป.คือการบอยคอตและขัดขวางการเลือกตั้งล่วงหน้า, การเลือกตั้งวันจริง, และการปะทะด้วยอาวุธสงครามโดยการ์ดกปปส.หรือแนวร่วมชายชุดดำของกปปส.บริเวณแยกหลักสี่จนพลเรือนผู้ปราศจากอาวุธตกเป็นเหยื่อบาดเจ็บทุพพลภาพ

เล่นเอากปปส.ต้องคืนพื้นที่ชุมนุม ๒ จุด, คืนสะพานพระราม ๘, ปรับเวทีจากเวทีประกาศอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ ตั้งสภาประชาชน กำหนดวาระปฏิรูปฝ่ายเดียว มาเป็นเวทีระดมความเห็นปฏิรูปจากสังคมวงกว้างแทน

ในสงครามความชอบธรรม พื้นที่สำคัญที่ต้องยึดให้ได้ คือใจประชาชน ใจของสังคม ไม่ใช่สถานที่ราชการ ถนน หรือกระชับพื้นที่ชุมนุม

เมื่อไหร่ถือการยึดสถานที่ถนน ฯลฯ เป็นสรณะ ละเลยความชอบธรรม เมื่อนั้นโดดเดี่ยวพลาดพลั้งพ่ายแพ้

ในสงครามต่อเนื่องนี้ หลัก "ความชอบธรรม" ที่คนในสังคมยึดมั่นถือมั่น ยินดีสละตัวเข้าปกป้อง จะค่อย ๆ เผยตัวออกมา (เช่น สิทธิเลือกตั้ง, หลักการคนเท่ากัน, สันติภาพ/สันติวิธี ฯลฯ) เพื่อค่อย ๆ ลงหลักปักฐานเป็นบรรทัดมาตรฐานของชีวิตทางการเมืองของสังคมต่อไปข้างหน้า

อยากชนะก็ต้องยึดหลักนี้ ใครละเมิด เสียความชอบธรรม โดดเดี่ยวพ่ายแพ้

แต่ในขณะเดียวกัน ด้านมืดที่อัปลักษณ์ของแต่ละฝ่ายการเมือง ก็จะค่อย ๆ เผยตัวออกมาด้วย ไม่ว่าการดูหมิ่นเกลียดชังบนฐานชนชั้น, เพศ, การศึกษา, การโหดร้ายไร้น้ำใจไม่เห็นค่าชีวิตฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง, การก่อการร้ายทางการเมือง, การละเมิดสิทธิเสรีภาพเหนือร่างกาย ชีวิต ทรัพย์สินของคนอื่นอย่างอหังการ ซึ่งหน้าและเลือดเย็นเพื่อบรรลุเป้าหมายการเมืองสุดโต่งของตัว ฯลฯ

สังคมไทยควรได้เรียนรู้ราคาแพงหูฉี่ของด้านมืดที่อัปลักษณ์ของตนเองนี้ หัดมองดูด้านมืดของตัวเองนี้ ทำความรู้จักมัน และหัดต่อสู้กับมันในฐานะส่วนหนึ่งที่อยู่ในตัวเราและเป็นไปได้ที่จะกำเริบร่านออกมา

นครราชสีมา-ธ.ก.ส.จ่ายเงินจำนำข้าวให้กับชาวนาโคราชและสุรินทร์ตามใบประทวน

เกษตรกรต่างพากันนำเอกสารใบประทวนจากโรงสี นำมาขึ้นทะเบียนต่อพนักงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา เพื่อขอรับเงินจากโครงการรับจำนำข้าวกันอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ในพื้นที่จ.นครราชสีมา มีโรงสีที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวในปีการผลิต 2556/2557 ทั้งสิ้น 46 จุด และมีเกษตรกรที่เข้าร่วมจำนำ ณ วันที่ 29 ม.ค.2556 แล้วกว่า 8 หมื่นราย มีใบประทวนที่ออกไปแล้ว 99,714 ใบ มีปริมาณข้าวที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 40,4049 ตัน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7.69 พันล้านบาท โดยได้ทยอยจ่ายเงินให้เกษตรกรเรื่อยมา

อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งเมื่อวันอังคารที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา ทาง ธ.ก.ส.นครราชสีมา เพิ่งได้เงินจากรัฐบาลเพิ่มอีก 138 ล้านบาท และกำลังเริ่มทยอยจ่ายเงินให้กับเกษตรกร ล่าสุดทาง ธ.ก.ส.ได้ดำเนินการในการจ่ายเงินแก่เกษตรกรตามใบประทวนแล้วทั้งสิ้น 15,793 ราย มีใบประทวนทั้งสิ้น 18,078 ใบ มีปริมาณที่เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 83,995 ตัน รวมเป็นเงินทั้งหมดที่ได้จ่ายให้แก่เกษตรกรไปแล้วกว่า 1,586 ล้านบาท แต่ส่วนเงินที่เหลืออีก 5,483 ล้านบาท นั้นต้องรอรัฐบาลอนุมัติเงินเพิ่มอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็จะคู่ขนานไปกับการตรวจสอบเอกการและใบประทวนต่างๆ

ขณะที่บรรยากาศ ธ.ก.ส. 21 สาขาใน 17 อำเภอของ จ.สุรินทร์ พบว่าวันนี้ตลอดทั้งวันเต็มไปด้วยความคึกคักเนื่องจากเกษตรกร ได้ทยอยรับเงินในโครงการรับจำนำข้าวฤดูกาลผลิต 2556/2557 ผ่าน ธ.ก.ส. โดยมีชาวนาที่นำข้าวเปลือกไปร่วมโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลและนำใบประทวนสินค้ามาขึ้นจำนำไว้กับ ธ.ก.ส.วันนี้ เป็นวงเงินจำนวนกว่า 1,864 ล้านบาท

นายไพโรจน์ รุ่งพนารัตน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานธ.ก.ส.สุรินทร์ กล่าวว่า ได้จ่ายเงินให้กับลูกค้า ธ.ก.ส.ในโครงการรับจำนำข้าวฤดูกาลผลิต 2556/2557 ตามใบประทวนสินค้า ไปแล้วจำนวน 21,005 ฉบับ โดยมีการโอนเข้าบัญชีของลูกค้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในส่วนของสำนักงานธ.ก.ส.สุรินทร์ เพิ่งได้รับวงเงินใหม่อีกจำนวน 155 ล้านบาท และเงินจำนวนนี้ก็จะจัดสรรโอนไปให้ ธ.ก.ส. สาขา ทั้ง 21 สาขา ในพื้นที่ จ.สุรินทร์ เพื่อให้แต่ละสาขา เรียกลูกค้ามาทำสัญญา และจะมีการโอนเงินเข้าบัญชีลูกค้าในโครงการรับจำนำข้าวอีกทีหนึ่ง
ยอดเงินจำรวนนี้เป็นการโอนเงินเข้ารอบที่ 13 ซึ่งรัฐบาลมีการโอนเงินเข้าในส่วนของ ธ.ก.ส.สุรินทร์ ดำเนินการจ่ายเงินตามใบประทวนเรื่อยมา และคาดว่าจะมีวงเงินโอนตามมาอีกเรื่อยๆ

อ้างสัญญาลับUSAทักษิณสร้างฐานทัพยึดแหล่งน้ำมันไทย

คนไทย.. โดนหลอก!!! (ถั่วต้มจนเปื่อย) 
เอกสารสำคัญจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา กรณีการตั้งฐานทัพเรือในประเทศไทยเนื้อความในเอกสารนี้ จะทำให้การชุมนุมที่มีคนออกมาร่วมเป็นล้านคน หรือเรื่องการปฎิรูปประเทศ กลายเป็นเรื่องเล็กๆไปเลย เนื่องจาก การที่เราให้ รมว. ต่างประเทศของเราเป็นคนลงนามในสัญญาจ้างนี้ ผูกพันกับไทย ตามกฎหมายระหว่างประเทศจ่ายเงินไปบางส่วน สัญญาจึงสมบูรณ์แล้ว ระยะเวลาของสัญญา 22 พ.ย. 2556 ถึง 28 ก.พ. 2557 ประมาน 3 เดือน สั้นมากสำหรับเรื่องใหญ่และสำคัญขนาดนี้แสดงว่าเตรียมการมาก่อนแล้ว

เนื้อหาสำคัญ รัฐบาลไทยโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ สุรพงศ์ โตวิจักรชัยกุล ได้ว่าจ้าง Davenport McKesson Corporation ให้เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยในการล๊อบบี้ให้สมาชิกสภาคองเกรส ของประเทศสหรัฐอเมริกา ให้อนุมัติ ให้กระทรวงกลาโหมสหรัฐ มาสร้างฐานทัพเรือ ในประเทศไทย รวมทั้งประเทศไทยจะช่วยเหลือทางทหารในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในอ่าวบริเวณน่านน้ำของราชอาณาจักรไทย "หมายความว่าเราจะเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ในอ่าวไทยทั้งหมดแก่สหรัฐทันที อย่างนี้จะไม่เรียกว่าขายชาติได้อย่างไร"

เหตุที่รัฐบาลไทยไปจ้างบริษัทล๊อบบี้ เช่นนี้เพราะอเมริกา มีความประสงค์ที่จะมาตั้งฐานทัพเรือในประเทศไทยมานานแล้วเนื่องจากเป็นจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์ และเป็นการปิดล้อมประเทศจีนไม่ให้แผ่อิทธิพลลงสู่ประเทศอาเซียน แต่กระทรวงกลาโหมสหรัฐ เสนอเรื่องเข้าสภาคองเกรสฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะจะถูกตั้งคำถามว่าทางประเทศไทยว่าอย่างไร จึงส่งสัญญานให้ฝ่ายไทย เสนอผ่านบริษัทล๊อบบี้ เขาก็จะรับลูกทันที หากสภาคองเกรส อนุมัติ ก็จะมีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศทันที

"เขาจึงออก พรบ. นิรโทษกรรมสุดซอย เพื่อเบี่ยงเบนประเด็น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม. 190 ซึ่งผ่านสภาในอีก 2 วันถัดจาก พรบ. สุดซอย"

จึงไม่แปลกใจที่ อดีตนายก สามารถเดินทางเข้าออกสหรัฐได้ โดยไม่กลัวว่าจะถูกจับกุม เพราะศาลประจำวอชิงตันได้รับฟ้องกรณีฆ่าตัดตอน 2,500 ศพ ไว้แล้ว

ทั้งหมดจึงเป็นการวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เป้าหมายน่าเป็นแหล่งพลังงานในอ่าวไทย เพราะถ้าจะสร้างฐานทัพเรือ ก็คงต้องใช้ที่สนามบินอู่ตะเภา เพราะสร้างเพิ่มเติมอีกไม่มาก และเป็นทั้งสนามบินและท่าเรือ แล้วประกาศเขตปลอดภัยของฐานทัพ อาจมีรัศมีถึง 300 กม. เพราะจะมีเรือบรรทุกเครื่องบิน เรือดำนำพลังนิวเคลียร์ เครื่องบินรบชนิดต่างๆ รวมทั้งต้องนำอาวุธนิวเคลียร์ติดมาด้วยแน่นอน พื้นที่ดังกล่าวครอบคลุมแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนไทย- เขมร ก็ไม่มีใครเข้ามาได้ เพราะต้องได้รับอนุญาติจากสหรัฐ เขาจึงขุดน้ำมันได้แต่เพียงผู้เดียว และขณะนี้ เซฟรอน ได้สัมปทานจากรัฐบาลไทยไปทั้ง 15 แปลงแล้ว

แต่พอศาลรัฐธรรมนูญรับฟ้อง กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม. 190 ทำให้ติดขัด เขาจึงเปลี่ยนตัว จากประชา พรหมนอก ไปเป็น สุรพงศ์ ที่ไม่มีบารมีในกองทัพ และตำรวจ เลยแปลกไหมครับ ก็เพราะให้สุรพงศ์ มาแล้วเรียกแขกอย่างเดียว เพื่อบีบให้เกิดการนองเลือด แล้วบีบให้ทหารปฎิวัติ , ม. 190 ก็จะหายไป ทางสหรัฐก็ลงมติอนุมัติทันที แล้วก็มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ ประเทศไทยก็จะสูญเสียเอกราชทางดินแดน เสียน่านน้ำในอ่าวไทย และอาจจะเลยไปถึงฝั่งอันดามันบางส่วนด้วย กองทัพสหรัฐก็จะเข้ามาควบคุมประเทศในอาเซียนได้มาขึ้น โดยใช้ไทยเป็นฐาน

นอกจากนั้นจะเสียความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับเพื่อนบ้าน และที่สำคัญกับประเทศจีน ซึ่งอาจถึงขั้นตัดความสัมพันธ์ ประเทศชาติก็จะเสียหายมากมาย เพื่อแลกกับผลประโยชน์ของใครบางคน บางกลุ่ม

ทั้งหมดถูกวางแผนและเตรียมการมาก่อนทั้งสิ้น!
คนไทย.. โดนหลอก!!! (ถั่วต้มจนเปื่อย) 

เอกสารสำคัญจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา กรณีการตั้งฐานทัพเรือในประเทศไทยเนื้อความในเอกสารนี้ จะทำให้การชุมนุมที่มีคนออกมาร่วมเป็นล้านคน หรือเรื่องการปฎิรูปประเทศ กลายเป็นเรื่องเล็กๆไปเลย เนื่องจาก การที่เราให้ รมว. ต่างประเทศของเราเป็นคนลงนามในสัญญาจ้างนี้ ผูกพันกับไทย ตามกฎหมายระหว่างประเทศจ่ายเงินไปบางส่วน สัญญาจึงสมบูรณ์แล้ว ระยะเวลาของสัญญา 22 พ.ย. 2556 ถึง 28 ก.พ. 2557 ประมาน 3 เดือน สั้นมากสำหรับเรื่องใหญ่และสำคัญขนาดนี้แสดงว่าเตรียมการมาก่อนแล้ว

เนื้อหาสำคัญ รัฐบาลไทยโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ สุรพงศ์ โตวิจักรชัยกุล ได้ว่าจ้าง Davenport McKesson Corporation ให้เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยในการล๊อบบี้ให้สมาชิกสภาคองเกรส ของประเทศสหรัฐอเมริกา ให้อนุมัติ ให้กระทรวงกลาโหมสหรัฐ มาสร้างฐานทัพเรือ ในประเทศไทย รวมทั้งประเทศไทยจะช่วยเหลือทางทหารในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในอ่าวบริเวณน่านน้ำของราชอาณาจักรไทย "หมายความว่าเราจะเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ในอ่าวไทยทั้งหมดแก่สหรัฐทันที อย่างนี้จะไม่เรียกว่าขายชาติได้อย่างไร"

เหตุที่รัฐบาลไทยไปจ้างบริษัทล๊อบบี้ เช่นนี้เพราะอเมริกา มีความประสงค์ที่จะมาตั้งฐานทัพเรือในประเทศไทยมานานแล้วเนื่องจากเป็นจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์ และเป็นการปิดล้อมประเทศจีนไม่ให้แผ่อิทธิพลลงสู่ประเทศอาเซียน แต่กระทรวงกลาโหมสหรัฐ เสนอเรื่องเข้าสภาคองเกรสฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะจะถูกตั้งคำถามว่าทางประเทศไทยว่าอย่างไร จึงส่งสัญญานให้ฝ่ายไทย เสนอผ่านบริษัทล๊อบบี้ เขาก็จะรับลูกทันที หากสภาคองเกรส อนุมัติ ก็จะมีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศทันที

"เขาจึงออก พรบ. นิรโทษกรรมสุดซอย เพื่อเบี่ยงเบนประเด็น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม. 190 ซึ่งผ่านสภาในอีก 2 วันถัดจาก พรบ. สุดซอย"

จึงไม่แปลกใจที่ อดีตนายก สามารถเดินทางเข้าออกสหรัฐได้ โดยไม่กลัวว่าจะถูกจับกุม เพราะศาลประจำวอชิงตันได้รับฟ้องกรณีฆ่าตัดตอน 2,500 ศพ ไว้แล้ว

ทั้งหมดจึงเป็นการวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เป้าหมายน่าเป็นแหล่งพลังงานในอ่าวไทย เพราะถ้าจะสร้างฐานทัพเรือ ก็คงต้องใช้ที่สนามบินอู่ตะเภา เพราะสร้างเพิ่มเติมอีกไม่มาก และเป็นทั้งสนามบินและท่าเรือ แล้วประกาศเขตปลอดภัยของฐานทัพ อาจมีรัศมีถึง 300 กม. เพราะจะมีเรือบรรทุกเครื่องบิน เรือดำนำพลังนิวเคลียร์ เครื่องบินรบชนิดต่างๆ รวมทั้งต้องนำอาวุธนิวเคลียร์ติดมาด้วยแน่นอน พื้นที่ดังกล่าวครอบคลุมแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนไทย- เขมร ก็ไม่มีใครเข้ามาได้ เพราะต้องได้รับอนุญาติจากสหรัฐ เขาจึงขุดน้ำมันได้แต่เพียงผู้เดียว และขณะนี้ เซฟรอน ได้สัมปทานจากรัฐบาลไทยไปทั้ง 15 แปลงแล้ว

แต่พอศาลรัฐธรรมนูญรับฟ้อง กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม. 190 ทำให้ติดขัด เขาจึงเปลี่ยนตัว จากประชา พรหมนอก ไปเป็น สุรพงศ์ ที่ไม่มีบารมีในกองทัพ และตำรวจ เลยแปลกไหมครับ ก็เพราะให้สุรพงศ์ มาแล้วเรียกแขกอย่างเดียว เพื่อบีบให้เกิดการนองเลือด แล้วบีบให้ทหารปฎิวัติ , ม. 190 ก็จะหายไป ทางสหรัฐก็ลงมติอนุมัติทันที แล้วก็มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ ประเทศไทยก็จะสูญเสียเอกราชทางดินแดน เสียน่านน้ำในอ่าวไทย และอาจจะเลยไปถึงฝั่งอันดามันบางส่วนด้วย กองทัพสหรัฐก็จะเข้ามาควบคุมประเทศในอาเซียนได้มาขึ้น โดยใช้ไทยเป็นฐาน

นอกจากนั้นจะเสียความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับเพื่อนบ้าน และที่สำคัญกับประเทศจีน ซึ่งอาจถึงขั้นตัดความสัมพันธ์ ประเทศชาติก็จะเสียหายมากมาย เพื่อแลกกับผลประโยชน์ของใครบางคน บางกลุ่ม

ทั้งหมดถูกวางแผนและเตรียมการมาก่อนทั้งสิ้น!
//////////////

หมายเหตุAdmin : ที่มาของข้อมูลนี้ มาจากดฟสบุ๊คเพส  
Warren Woo ที่ โพสผ่าน Warren Wooเพื่อภราดรภาพแห่งดินแดน  ในวันนี้ (6/2/57) 

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลนี้ น่าสนใจที่ อาจมีความสอดรับในท่าทีของสหรัฐฯระยะหลังกับรัฐบาลปัจจุบัน รวมไปถึงท่าทีของสื่อต่างประเทศสำนักต่างๆ ที่ดูให้"น้ำหนัก"กับ"รัฐบาลยิ่งลักษณ์"มากกว่า การเคลื่อนไหวของ มวลชน กปปส.

จตุพร จวก ธนาคารใจหมา ไม่ให้รัฐกู้จ่ายจำนำข้าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ดัง โพสต์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ขณะจัดทอร์คโชว์ เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ที่ผ่านมา กล่าวกรณีสถาบันการเงินหลายแห่งปฎิเสธปล่อยเงินกู้ให้รัฐบาลใช้ในโครงการรับจำนำข้าว

นายจตุพร กล่าว "เขาไม่สนใจว่าคนที่ได้รับผลกระทบคือคนที่มีความยากจน คนที่มีความเดือดร้อนมากที่สุดคือชาวนา แต่เป็นความชิงชังที่ต้องการไล่รัฐบาล ไปกดดันธนาคารไม่มีใครให้รัฐบาลกู้ ทั้งที่ทุกธนาคารโดยตัวตนแท้ๆ ใครก็อยากปล่อยเงินให้รัฐบาล เพราะรัฐบาลเป็นประกัน

แต่ปรากฎว่าธนาคารต่างๆ นั้น ที่อยู่ในเครือข่ายอำมาตยาธิปไตย ขานรับกันเป็นทางว่าทุกคนจะไม่ปล่อยกู้ให้กับชาวนา คือสมคบคิดว่าเมื่อชาวนาเดือดร้อนรัฐบาลจะอยู่ไม่ได้ แต่ไม่เคยคิดว่าคนที่อยู่ไม่ได้คือชาวนา และถ้าประชาชนคนไทยมีความรู้สึกอย่างเดียวกันบ้างว่า เมื่อธนาคารคุณไร้น้ำใจ คุณใจหมามากเกินไป ประชาชนพร้อมใจจะถอนเงินจากธนาคารของคุณบ้างคุณจะว่ายังไง" ‪#‎ข่าวข้นรับอรุณ‬‪#‎nationtv‬


จดหมายเปิดผนึกถึง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล

จดหมายเปิดผนึกถึง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล

สืบเนื่องจาก ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ได้ทำจดหมายเปิดผนึก ถึง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ นั้น เห็นว่าหลักคิดและการอธิบายความในปัญหาต่างๆ ที่สังคมทั่วไปในจดหมายเปิดผนึกเป็นข้อมูลที่รับรู้และรับทราบโดยทั่วไป ทั้งในเวทีระบบรัฐสภา ที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาล และมีการชี้แจงเสร็จสิ้นแล้วและเป็นข้อมูลที่มีการพูดจากัน ทั้งก่อนและหลังที่รัฐบาลได้ยุบสภา อีกทั้งเมื่อมีการชุมนุมของประชาชน ประชาชนก็ได้นำข้อมูลที่ มรว.ปรีดียาธร เทวกุล ได้นำมาเผยแพร่ เวทีผู้ชุมนุมโดยกล่าวหาเป็นรายวัน เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมือง

ณ วันนี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ก็กลับนำข้อมูลเดิมตามที่กล่าวมา มานำเสนอซ้ำอีก ในลักษณะแผ่นเสียงตกร่อง ทั้งสิ่งที่นำเสนอนั้น มิใช่ข้อคิด ความเห็น หรือข้อมูลใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ประเด็นเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และต่อสถานะของรัฐบาลในปัจจุบัน ซึ่ง มรว.ปรีดียาธรฯ ในฐานะอดีตรองนายกรัฐมนตรีสายเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลยุคหลังรัฐประหาร กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ได้เคยออกมาตรการควบคุมเงินทุนไหลออกจนตลาดหุ้นล่มถล่มทลายมาแล้ว ทราบดีว่า รัฐบาลนี้ได้ตัดสินใจคืนอำนาจให้กับประชาชนเพื่อตัดสินใจทางการเมืองในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยในการกำหนดอนาคตของประเทศโดยปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงำทางความคิด ไม่ว่าจะเป็นโดยบุคคลหรือคณะบุคคลใดก็ตาม

เพื่อให้สาธารณะได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง ผมขอถือโอกาสชี้แจงทำความเข้าใจในประเด็นที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

โครงการรับจำนำข้าว ดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี ๒๕๕๔ ต่อเนื่องมา ๔ ฤดูการผลิต คือ ๒๕๕๔/๕๕ (๒) นาปี ๒๕๕๕/๕๖ (๓) นาปี ๒๕๕๕/๕๖ และ (๔) นาปรัง ๒๕๕๖/๕๗ สามารถจ่ายเงินค่ารับจำนำแก่ชาวนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นจำนวนเงินกว่า ๖ แสนล้านบาท จนมาถึงฤดูกาลนาปี ๒๕๕๖/๕๗ ซึ่งได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการในวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๖ และรับจำนำมาตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ สามารถช่วยจ่ายค่ารับจำนำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วงต้นฤดูกาลและได้จ่ายเงินค่ารับจำนำไปแล้วเป็นจำนวนกว่า ๖ หมื่นล้านบาท โดยไม่ได้ล่าช้า แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดจากฝ่ายค้านโดยทำให้การอนุมัติใช้งบประมาณประจำปีล่าช้า การบุกยึดกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ และ ส.ส. ฝ่ายค้านลาออกยกพรรค ซึ่งนำไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎรทำให้รัฐบาลต้องปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายในการจัดหาเงินเพิ่มขึ้น และมีขบวนการในการข่มขู่ทั้งสถาบันการเงินและส่วนราชการที่ทำให้การจัดหาเงินมีความล่าช้าแต่กระทรวงการคลังยังคงเดินหน้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ตามมติคณะรัฐมนตรี และกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและรอบคอบ

ต่อประเด็นที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรฯ ยกเรื่องคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว มากล่าวหา นั้นไม่เป็นธรรม ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้น สิ่งที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรฯ รวมทั้งกลุ่มผู้โจมตีโครงการนี้มิได้พูดถึงเลยคือมูลค่าของข้าวที่อยู่ในสต๊อก ซึ่งมีมูลค่าอยู่ในตัวเอง รวมทั้งส่วนต่างที่ขาดหายไปนั้นแท้จริงแล้วอยู่ในมือชาวนา

สำหรับนโยบายพลังงานทางเลือก ตามยุทธศาสตร์พลังงาน (โครงการโซลาร์เซล) เป็นนโยบายที่ดำเนินการต่อเนื่องมาหลายรัฐบาล ซึ่ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธรฯ น่าจะทราบดีอยู่แล้วว่า ขั้นตอน กระบวนการในการดำเนินนโยบายนี้นั้น เกี่ยวข้องกับหน่วยงานหลายหน่วยงาน ทำให้มีปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานซึ่งท่านก็น่าจะเคยพบปัญหานี้มาก่อนในสมัยที่ท่านดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลที่ผ่านมา โดยเฉพาะขั้นตอนในระดับปฏิบัติในการออกใบอนุญาต รง.๔ ซึ่งรัฐบาลนี้ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้มีการจัดประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ที่ผ่านมานั้น ได้พยายามแก้ไขปัญหาการออกใบอนุญาตดังกล่าว โดยการขอยกเว้นจากกระทรวงอุตสาหกรรม แต่จำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ จึงต้องใช้เวลาในการดำเนินการ

ในประเด็นการปฏิรูปประเทศ นั้น มิได้เป็นปัญหาในการสร้างกระบวนการในการมีส่วนร่วมระหว่างประชาชน สถาบัน องค์กร ต่างๆ หรือการยอมรับ รวมทั้งปัญหาความเชื่อมั่นต่อประเด็นการปฏิรูปการเมือง ตามที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรฯ กล่าวอ้าง แต่แท้จริงแล้ว ในเรื่องนี้ เป็นประเด็นที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจว่าการปฏิรูปการเมือง สามารถดำเนินการคู่ขนานพร้อมไปกับการเลือกตั้ง โดยที่ไม่ต้อง “แช่แข็งประเทศ” อยู่กับการปฏิรูปการเมือง เพราะปัญหาของประเทศนั้น มีหลายมิติ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจมีลักษณะเป็นพลวัตรที่ไม่หยุดนิ่ง จำเป็นต้องมีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มเพื่อให้การบริหารราชการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และในตอนนี้ ประเทศไทยได้ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งจากความสำเร็จในการจัดการเลือกตั้งในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งมีหน่วยเลือกตั้งเกือบร้อยละ ๙๐ ที่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ และมีประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งถึงกว่า ๒๐ ล้านคน แม้ว่าการยังมีหลายพื้นที่ที่ยังจัดการเลือกตั้งไม่ได้ แต่เชื่อว่าในท้ายที่สุด กกต. รวมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคมจะร่วมมือกันช่วยประคับประคองรักษาระบอบประชาธิปไตยเพื่อให้สามารถจัดการเลือกตั้งได้จนครบทุกเขต การที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรฯ ยังยึดติดอยู่กับประเด็นเดิม ซึ่งเป็นประเด็นเดียวกับผู้ชุมนุมในลักษณะที่คล้ายจะเป็นแนวร่วม ด้วยท่าทีที่สิ้นหวังต่อระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนนั้น ไม่ต่างจากการไม่ให้ความเคารพต่อเจตนารมณ์ของประชาชนทั้ง ๒๐ ล้านคนที่ออกมาเลือกตั้ง ที่อดทนและยืนหยัดอยู่ข้างหลักการประชาธิปไตย

สุดท้ายนี้ การที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรฯ รวมทั้งผู้ชุมนุมที่มีข้อเรียกร้องในลักษณะเดียวกันคือให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้มีคนกลางมาดำเนินการปฏิรูป ตลอดจนบริหารประเทศ นั้น เห็นได้ชัดว่า แนวคิดดังกล่าวเป็นการละเลยการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ตลอดจนไม่คำนึงว่าการดำรงอยู่ของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี นั้น จะเป็นหลักประกันของการคงอยู่ซึ่งวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ทั้งยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อสังคมโลกว่าประเทศไทยมีระบอบการเมืองการปกครองที่เข้มแข็ง พลเมืองมีความเท่าเทียมกันภายใต้ระบอบประชาธิปไตย มีความอดทนพร้อมที่จะพัฒนาการเมือง การปกครองให้เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง
รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

2 ข้อเสนอที่ "ยิ่งลักษณ์" ปฏิเสธ กับ 2 คำถามที่ "สุเทพ" ตอบไม่ได้

03 ก.พ. 2557 เวลา 18:02:05 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ปรากฏการณ์ หลังการเลือกตั้งล่วงหน้าในวันที่ 26 ม.ค.อาจทำให้เห็นสมมติฐานความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในวันเลือกตั้งทั่วไป อย่างเป็นทางการ 2 ก.พ.นี้

เป็นความวุ่นวายหลังจากที่มีการเผชิญหน้าระหว่างประชาชน "ผู้เดินหน้า-ผู้คัดค้าน" การเลือกตั้ง ที่ยังไม่มีใครกล้าคาดเดาสถานการณ์ว่าจะรุนแรง-ดุเดือดเพียงใด อาจไม่ได้มีเพียง 83 เขตทั่วประเทศที่ไม่สามารถดำเนินการจัดการเลือกตั้งได้สำเร็จ อาจไม่ได้มีเพียงประชาชน 2 ล้านคนที่จำต้องตกอยู่ในสภาวะ "สุญญากาศ" หลังลงชื่อใช้สิทธิล่วงหน้า แต่ไม่สามารถฝ่ามวลมหาประชาชนเข้าสู่คูหาเลือกตั้งได้สำเร็จ

และยังไม่นับรวมถึงจำนวนประชาชนที่จะได้รับบาดเจ็บ-เสียชีวิต สืบเนื่องจากผลกระทบความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น

เพราะ เวลานี้แนวทางการต่อสู้ทั้งคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) และรัฐบาลที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ไม่มีทางจะยุติลงอย่างสงบ

ไม่เพียงแต่ที่ต่างฝ่ายจะเลือกเดินบนเส้น ทางที่ไม่มีวันบรรจบรวมกัน แต่เส้นทางเดินของ "คู่ขัดแย้ง" เดินถอยห่างจากความสันติ ปราศจากความรุนแรง

แม้ตลอดระยะเวลากว่า 90 วันจะมีผู้ยื่นข้อเสนอ ทางออก แผนถอย ที่นำไปสู่ข้อตกลงแบบ "วิน-วิน" บนโต๊ะเจรจาถึง 2 ครั้ง แต่การเจรจากลับไม่สำเร็จ และนำมาสู่สถานการณ์ความตึงเครียด

หนึ่ง คือ วงเจรจาระหว่างคู่ขัดแย้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาฯ กปปส. ซึ่งเป็นการเจรจาต่อหน้าผู้บัญชาการเหล่าทัพในฐานะคนกลาง

ข้อเสนอให้ กปปส.ยุติการชุมนุม แลกกับการยุบสภา-ลาออกจากตำแหน่งรักษาการของ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" เพื่อสร้างสุญญากาศทางการเมือง และนำไปสู่การจัดตั้ง "รัฐบาลคนกลาง" ส่งผลให้การเจรจาจึงไม่ประสบผลสำเร็จ

สอง ภายหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีเลื่อน-ไม่เลื่อนเลือกตั้ง วันที่ 2 ก.พ. และนำมาสู่การเปิดทางให้ "นายกรัฐมนตรี-คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)" หารือเพื่อข้อยุติถึงกรณีดังกล่าว

แม้ กกต.จะพยายามยกเหตุ-ผล ความจำเป็นเรื่องตรา พ.ร.ฎ.เลือกตั้งฉบับใหม่ แต่ทว่าท้ายที่สุดก็ไม่ได้รับการตอบรับ และนำมาสู่ผลของการเจรจาที่มีลักษณะ "คงเดิม" คือเดินหน้าการเลือกตั้ง 2 ก.พ.

การปฏิเสธข้อเสนอทั้ง 2 ครั้ง โดย "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ที่เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามยื่นทางออกแบบ "ถอยสุดทาง" จึงส่งผลให้มิอาจตอบรับข้อเสนอดังกล่าวได้

ทั้งหมดจึงนำมาสู่สถานการณ์ความตึงเครียดและเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงได้ทุกนาที

ขณะที่ฟาก กปปส.ที่แม้จะต่อสู้มากกว่า 90 วัน และยกระดับการต่อสู้เรื่อยมา จนสร้างแรงกดดันให้ฝ่ายรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง และถึงแม้จะประกาศชัยชนะได้อยู่หลายหน แต่ทุกครั้งไม่มีใครหาญกล้าพอที่จะสรุปเป็นชัยชนะของประชาชนอย่างสมบูรณ์

และในห้วงเวลาที่ผ่านมาก็ใช่ว่าชัยชนะของ กปปส. จะไร้ข้อผิดพลาดเสียทีเดียว

หลายครั้งที่ประเด็นที่ถูกปล่อยข้อมูลจาก "สุเทพ" ในฐานะผู้นำ กลับสร้างทางตันให้กับ กปปส.ที่มิอาจอธิบายความชอบธรรมให้กับสังคม

ทั้งการประกาศจัดตั้ง "สภาประชาชน" และการเดินหน้าเรียกร้องให้รัฐบาล "เลื่อนเลือกตั้ง" เพื่อเปิดทางสู่การปฏิรูปประเทศ

เป็น 2 ข้อเสนอที่ถูกใช้เป็นเพียงวาทกรรมการต่อสู้ โดยไม่สามารถอธิบายที่มา-ที่ไปได้

ข้อ เสนอจัดตั้ง "สภาประชาชน" แม้ผลลัพธ์ทางหนึ่งจะทำให้มวลมหาประชาชนจะเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ของการต่อสู้ ว่าประเทศจะเดินหน้าไปต่ออย่างไร หลังล้มล้าง "ระบอบทักษิณ" ได้สำเร็จ

แต่อีกทางหนึ่งกลับกลายเป็นลิ่มทิ่มอกแกนนำ กปปส. ทุกครั้งที่ถูกถามถึงว่า จะดำเนินการด้วยวิธีการใดให้ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น เดียวกันกับเหตุ-ผลของการ "เลื่อนเลือกตั้ง" ที่ กปปส. ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่า วิธีการทางกฎหมายแบบใดที่จะนำไปสู่การปฏิรูปอย่างจริงจัง

หนึ่งในนัก คิด-ทีมวิชาการ กปปส.เปิดเผยว่า ความสำเร็จในการจัดตั้งสภาประชาชนจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อ ต้องทำให้การเมืองเกิดสุญญากาศ โดยต้องเริ่มจากการที่คณะรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งรักษาการ นำมาสู่การมีรัฐบาลคนกลาง และออกกฎหมายเพื่อตั้งสภาประชาชนในที่สุด

"ถ้ากลัวว่าสภาประชาชนจะถูกใช้เป็นเครื่องมือของคุณสุเทพ ก็กำหนดในกฎหมายให้เขามีสถานะเป็นเพียงสภาที่ปรึกษาและมีหน้าที่จัดทำแผน ปฏิรูป เพื่อนำไปสู่การตัดสินโดยประชาธิปไตยทางตรงอย่างกระบวนการทำประชามติ"

"และ ในช่วงที่ กปปส.เปิดเรื่องสภาประชาชนใหม่ ๆ ก็ทำให้เราเองต้องเพลี่ยงพล้ำ เพราะเราเปิดเรื่องนี้เร็วเกินไป ทำให้เสียเวลาไปกับการอธิบายแนวทางที่จะเกิดขึ้น ซึ่งตอนนี้เรายังล้มระบอบทักษิณไม่สำเร็จเลยด้วยซ้ำ"

และทุกข้อเสนอของ กปปส.ต่างก็จำเป็นที่ต้องเจรจาให้ "ยิ่งลักษณ์" ที่กุมอำนาจฝ่ายบริหารร่วมมือ โดยการลาออกจากตำแหน่งรักษาการเมื่อห้วงเวลากว่า 90 วัน ทั้ง "ยิ่งลักษณ์-สุเทพ" ต่างเจอเส้นทางที่นำไปสู่ทางตันทางการเมือง สถานการณ์ความขัดแย้งจึงเดินหน้าเข้าสู่สถานะ Deadlock อย่างเต็มตัว และประวัติศาสตร์การเมืองจำต้องสลักชื่อผู้แพ้ ผู้ชนะไว้อย่างชัดเจน

แต่ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ แต่ผู้ที่แพ้ที่ปรากฏชัดเจนในเวลานี้คือคนไทยทั้งประเทศที่มิอาจหลบหนีความรุนแรงได้อีกต่อไป

ภัยคุกคามต่อสถาบันพระ มหากษัตริย์




... จากประวัติศาสตร์ประเทศไทยในห้วงหลายสิบปีที่ ผ่านมา จะเห็นได้ว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ ได้ถูกคุกคามโดยกลุ่ม บุคคลที่มีแนวความคิดต่อต้านสถาบันฯ และต่อต้านการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข จากการเผยแพร่แนวความคิดและข้อมูลที่เป็นเท็จ ซึ่งเกิดจากการแต่ง/สร้างขึ้น เพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริง, พาดพิง, ดูหมิ่น, ให้ร้าย และบ่อนทำลายสถาบันฯ อย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่ประเทศไทย เผชิญกับภัยคุกคามจาก ลัทธิคอมมิวนิสต์ ในห้วงปี พ.ศ.๒๕๑๐ - ๒๕๒๕ ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์มอง ว่าสถาบันฯ เป็นอุปสรรคและเป็นเป้า หมายสำคัญลำดับแรกที่จะต้องโค่นล้ม เพื่อเปลี่ยนแปลงการปก ครองไปสู่ระบอบคอมมิว นิสต์ ดังข้อมูลจากพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเคยให้ข้อคิดต่อพรรค คอมมิวนิสต์ในประเทศ ไทยว่า
... “การเปลี่ยนแปลงการปก ครองจะไม่สำเร็จได้เลย หากไม่โจมตีสถาบันพระ มหากษัตริย์ก่อน เนื่องจากกษัตริย์พระองค์นี้เป็นที่รักของคนไทยทั้ง ประเทศ และชาวนาชาวไร่ที่เห็น ด้วย/เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ก็เพราะความไม่พอใจต่อเจ้าหน้าที่รัฐและรัฐบาล เป็นสำคัญ ไม่ใช่ไม่พอใจพระมหา กษัตริย์”

... แม้ว่าภายหลังประเทศไทยจะผ่านพ้นภัยคุกคามจาก ลัทธิคอมมิวนิสต์มาได้ แต่อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการบ่อนทำลายสถาบันฯ ของกลุ่มบุคคลที่หลงเชื่อ การใส่ร้ายป้ายสีของพรรคคอมมิวนิสต์ในขณะนั้น ยังคงมีปรากฏอยู่อย่างต่อ เนื่อง เมื่อมีโอกาส (อาทิ การทำหนังสือปกเหลือง โจมตีสถาบันฯ ในโอกาสครบรอบ ๒๐๐ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ แต่การดำเนินการไม่ประ สบผล) ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ภัยคุกคามต่อสถาบันฯ ยังคงมีเรื่อยมาจนถึง ปัจจุบัน
การหมิ่นสถาบันพระมหา กษัตริย์ในปัจจุบัน
... ในปัจจุบัน กลุ่มบุคคลที่มีแนวความ คิดต่อต้านสถาบันฯ และต่อต้านการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข ได้พยายามเผยแพร่แนว ความคิดและข้อมูลที่เป็น เท็จ ซึ่งเกิดจากการแต่ง/สร้างขึ้น และ/หรือข้อมูลที่เกิดจากการอนุมานขึ้นเอง ทั้งในรูปแบบข้อความตัว อักษร, รูปภาพ, เสียง และวีดีทัศน์/คลิปวีดีโอ เพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริง, พาดพิง, ดูหมิ่น, ให้ร้าย และบ่อนทำลายสถาบันฯ อย่างรุนแรงและกว้างขวางมากขึ้น ทั้งในรูปการจัดกิจกรรม/การปราศรัย ตลอดจนการเผยแพร่ข่าวสารผ่านสื่อต่างๆ อาทิ วิทยุ, โทรทัศน์ และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยแสวงประโยชน์จาก ความรวดเร็วในการแพร่ กระจายข่าวสารในยุค เทคโนโลยีข่าวสารข้อมูล ในปัจจุบัน ตลอดจนความยากของเจ้าหน้าที่ที่ต้องใช้เทคนิคและเวลามากขึ้นในการตรวจ สอบและติดตามตัวผู้ กระทำผิดมาลงโทษ ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อภาพ ลักษณ์ของสถาบันฯ และอาจส่งผลกระทบต่อ ความมั่นคงของประเทศ อย่างรุนแรงได้

'พิเชษฐ'ลั่นอย่าหวัง!ร่วมหนุนม็อบ

'พิเชษฐ พันธ์วิชาติกุล' ลั่นไม่หนุนระดมคร่วมม็อบ ประกาศอำลาการเมือง แจงอิ่มตัว ชี้ การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ แนะ ปชป.อย่าขัดขวาง

6 ก.พ.57 นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล อดีตส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เขียนข้อความโพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ “พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล (พระอภัยมณี)” เกี่ยวกับคำกล่าวปราศรัยในงานประชุมเลือกกรรมบริหารพรรค เขต 3 จังหวัดกระบี่ เมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า ตนอำลาการเมือง เนื่องจากอายุ 70 ปี และอิ่มตัวทางการเมืองแล้ว ตนเป็น ส.ส.คนแรกของจังหวัดกระบี่ที่เป็นส.ส.เขตติดต่อกันถึง 22 ปีโดยไม่เคยสอบตก ไม่เคยทิ้งประชาชนและพื้นที่ไปเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ ทั้งที่เป็นอดีตรัฐมนตรี และงานสบายกว่า

นายพิเชษฐ ยังกล่าวถึงการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.ด้วยว่า ตนได้มาที่หน่วยเลือกตั้ง เพื่อลงคะแนนแต่หน่วยเลือกตั้งปิด ที่มาเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ต้องการละทิ้งหน้าที่ในโอกาสสุดท้ายที่กำลังจะจบชีวิตการเมือง ไม่ได้ตั้งใจจะกระทำการขัดกับหัวหน้าพรรคที่ประกาศไม่ไปเลือกตั้งและไม่แจ้งเหตุผลต่อเจ้าหน้าที่ โดยส่วนตัวรักและชื่นชมหัวหน้าพรรคมาโดยตลอด

“การไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสิทธิ แต่การไปลงคะแนนเลือกตั้งเป็นหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตย ต่อไปการเมืองเป็นประการใดก็ตาม ขอสมาชิกอย่าไปขัดขวางการเลือกตั้งเด็ดขาด เพราะเราไม่เคยทำเช่นนี้ “นายพิเชษฐ กล่าว

นอกจากนี้ นายพิเชษฐ ยังได้กล่าวถึงเหตุการณ์การชุมนุมของกปปส.ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บว่า ไม่อยากเห็นภาพแม่นายวสุ สุฉันทบุตร ที่ประคองใบหน้าลูกชายคนเดียวมองหน้าด้วยความอาลัย พร้อมหยาดน้ำตาที่ไหลจับขอบแว่นดำพรางดวงตาที่แดงกร่ำ หญิงม่ายผู้อดออมส่งเสียลูกคนเดียวจนจบการศึกษาชั้นปริญญาโทจากออสเตรเลีย หวังได้พึ่งพายามแก่เฒ่าฝากผีฝากไข้ แต่นายวสุ กลับทิ้งให้แม่ต้องมาทำศพลูกชายเสียเอง นายวสุจะเป็นวีระบุรุษของใครก็ตาม แต่เป็นคนใจดำกับแม่ตนเองเกินไป ตนจึงไม่ไปงานศพเขา ขณะที่ ภรรยานายสุทิน มีบุตรอายุเพียง 5 ขวบ ดูเหมือนชื่อแก้วตา แต่วันนี้แม่ของแก้วตาต้องเป็นหญิงม่าย และแก้วตาต้องกำพร้าพ่อตั้งแต่ 5 ขวบ ส่วนนายประคอง มีลูกคนเล็กอายุเพียง 3 ขวบ ไม่รู้ว่าพ่อตายแปลว่าอะไร และดาบตำรวจผู้ตายคนหนึ่ง ลูกชายที่อุ้มอยู่ในมือแม่ พยายามโยนตัวไปหาศพพ่อที่นอนตายอยู่ พร้อมปลุกพ่อให้ตื่นกลับบ้าน รวมทั้งน้องสาวที่เป็นแพทย์หญิงประจำ รพ. 2 แห่งใกล้ รามคำแหง แจ้งให้ทราบว่า ศพที่รามคำแหงมีสองศพ ผ่านมือเธอที่โรงพยาบาล ซึ่งศูนย์นเรนทรรายงานว่า จนถึงวันนี้คนบาดเจ็บเกิน 600 คนแล้ว คนเจ็บที่ผ่านสายตาเธอต้องพิการตลอดชีวิตในลักษณะต่างๆ หลายสิบราย

“ผมยอมให้คนกระบี่โกรธผมที่ไม่สนับสนุนให้ใครไปเสี่ยงความตายความพิการเช่นนั้น และจนบัดนี้ ใครก็อย่ามาขอสนับสนุนการเดินทางไปชุมนุมที่กรุงเทพฯ จากผมเด็ดขาด บอกกล่าวไว้ก่อน จะได้ไม่ต้องมาเสียใจกัน”นายพิเชษฐ กล่าว
http://www.komchadluek.net/detail/20140206/178370.html#.UvM9oG9qkrt


การเปิดให้บริการหนังสือเดินทาง (๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗)

การเปิดให้บริการหนังสือเดินทาง (๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗)

๑. ตามที่ระบบการผลิตหนังสือเดินทางของกรมการกงสุลที่อาคารถนนแจ้งวัฒนะต้องปิดลงเนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ได้ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๗ และได้เปิดให้บริการด้วยระบบสำรอง
ที่สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราวบางนา ปิ่นเกล้า และต่อมาได้เปิดให้บริการเพิ่มที่สำนักงานฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น และสงขลานั้น

จากการหารือและมีข้อตกลงร่วมกันกับ กปปส. เวทีแจ้งวัฒนะ ได้ตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องการมีหนังสือเดินทาง กรมการกงสุลจึงจะส่งเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคเข้าไปเปิดระบบรับคำร้องอัตโนมัติ/ระบบออนไลน์ของหนังสือเดินทางตั้งแต่วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เพื่อทดสอบการเชื่อมโยงกับเครือข่ายรับคำร้องอัตโนมัติทั่วประเทศและทั่วโลก โดยจะทดสอบการเชื่อมโยงดังกล่าวระหว่างวันที่ ๗ – ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะต้องเข้าไปเปิดระบบที่อาคารกรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ จึงของดการเปิดให้บริการในวันเสาร์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

๒. เมื่อระบบเชื่อมโยงอัตโนมัติเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว กรมการกงสุลจะสามารถเปิดรับคำร้องหนังสือเดินทางแก่ประชาชนได้ที่สำนักงานหนังสือเดินทางทั่วประเทศ ยกเว้นที่อาคารกรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ศูนย์ที่กระทรวงแรงงาน สำนักงานฯ สุราษฏร์ธานี และภูเก็ต

๓. การเปิดระบบที่อาคารถนนแจ้งวัฒนะจะทำให้กำลังการผลิตหนังสือเดินทางเพิ่มขึ้นจากวันละ ๓,๖๕๐ เล่มในปัจจุบันเป็นวันละประมาณ ๗,๐๐๐ เล่ม หรือเท่ากับการฟื้นฟูประสิทธิภาพการผลิตหนังสือเดินทาง
ได้ร้อยละ ๘๕ ซึ่งเพียงพอกับความต้องการของประชาชนโดยเฉลี่ย

๔. เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนให้มากยิ่งขึ้น กรมการกงสุลได้เปิดศูนย์บริการชั่วคราวแก่ประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ห้องโลตัส ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ ตั้งแต่วันจันทร์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เป็นต้นไป โดยสามารถรองรับได้วันละ ๖๐๐ ราย

๕. กรมการกงสุลขอย้ำว่าจากสถานการณ์ในปัจจุบัน กรมการกงสุลยังมีหนังสือเดินทางสำรองอีก ๕ ล้านเล่มเพื่อให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึง และยังสามารถผลิตได้วันละ ๖,๕๐๐ เล่มเป็นเวลาอีก ๔ ปี

๖. โดยที่การบริการหนังสือเดินทางยังไม่กลับสู่ภาวะปกติอย่างเต็มรูปแบบในช่วงนี้ จึงใคร่ขอความร่วมมือจากประชาชนที่ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการเดินทางหรือมีกำหนดเดินทางในเดือนเมษายนเป็นต้นไป ได้โปรดชะลอการขอหนังสือเดินทางไว้ก่อน เพื่อให้ผู้ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนได้รับโอกาสการมีหนังสือเดินทางก่อน


จม.เปิดผนึกจาก"หม่อมอุ๋ย"ถึง"นายกปู"จี้ลาออก

6ก.พ.2557 : จดหมายเปิดผนึก "ปรีดิยาธร เทวกุล" ชี้บริหารล้มเหลว.. แนะให้ "ยิ่งลักษณ์" ลาออกจากรัฐบาลรักษาการณ์










ผบ.ทบ.เตรียมเล่น"อ.สมศักดิ์ เจียมธีรกุล"โพสต์หมิ่นสถาบันจาบจ้วง

เริ่มแล้ว บิ๊กตู่....
ทบ.จะเสนอให้เอาผิด"สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล"โพสต์Facebook หมิ่นสถาบันฯจาบจ้วง พาดพิงสถาบันหลายข้อความ รองโฆษก ทบ.เรียกร้องให้ลงโทษทางสังคม ยันทบ.มีหน้าที่ปกป้องสถาบัน เผยโพสต์ข้อความไม่เหมาะสมกับสังคมไทย พร้อมเรียกร้องให้ลงโทษทางสังคม นาย สมศักดิ์ ปลุกกระแส อย่ายอมให้ใครจาบจ้วง สถาบันฯอันเป็นที่รักของคนไทย

พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษก ทบ. แถลงว่า ทบ.ตรวจพบการโพสต์ข้อความผ่าน Facebook ของนาย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ในช่วงที่ผ่านมา มีบางข้อความอาจมีเนื้อหาไม่ค่อยเหมาะสมต่อสังคมไทย โดยเฉพาะบางข้อความอาจมีโอกาสเข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 

"ทบ.จะได้ให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาว่าข้อความใดเข้าข่ายเป็นการหมิ่นสถาบันฯ หรือจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันฯ เนื่องจาก ทบ. เป็นส่วนราชการที่มีหน้าที่ในการปกป้องสถาบันและดำรงพระเกียรติยศ การกระทำใดเป็นการใส่ความด้วยความเป็นเท็จ ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อถือเชื่อมั่นต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ทบ. จำเป็นต้องให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาดำเนินการ ควบคู่กับการใช้มาตราการทางสังคมเพื่อกดดัน และ ปฏิเสธพฤติกรรมการกระทำที่ไม่ถูกต้อง"

กองทัพบกอยากเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนได้ช่วยกันดูแลเฝ้าระวัง อย่าให้ผู้ใดมาจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันอันเป็นที่รักของพวกเราได้"