PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

คนกรุงเบี้ยวจ่ายภาษีพุ่งกว่า 8.6 พันราย กว่า 410 ล้าน

เศรษฐกิจซบเซาหนัก คนกรุงเบี้ยวจ่ายภาษีพุ่งกว่า 8.6 พันราย กว่า 410 ล้าน เผยธุรกิจอพาร์ตเมนต์ หอพัก โรงเรียนมากสุด กทม.กุมขมับ หวั่นจัดเก็บรายได้ 3 ภาษี โรงเรือน-ที่ดิน บำรุงท้องที่ และป้ายไม่เข้าเป้า 6.5 หมื่นล้านหลังยอดจัดเก็บ 10 เดือนยังติดลบเล็งรีดภาษีใหม่เพิ่ม ดีเดย์ ต.ค.นี้เก็บภาษีน้ำมัน 800 ปั๊ม 50 สตางค์/ลิตร ปี"59 เตรียมใช้แผนที่ภาษีมาสแกนทุกตารางนิ้ว หวังเก็บรายได้เพิ่ม หาเงิน 7 หมื่นล้านลงทุนโครงการปีหน้า สร้างสารพัดโครงการ ทั้งรถไฟฟ้าโมโนเรล อุโมงค์น้ำยักษ์ และถนน
นางสมรรัตน์ อรรถนิตย์ ผู้อำนวยการกองรายได้ สำนักการคลัง กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปีงบประมาณ 2558 กทม.ได้ตั้งเป้ารายรับไว้จำนวน 65,000 ล้านบาท ขณะนี้ได้มีการจัดเก็บไปแล้วประมาณ 90% หรือประมาณกว่า 57,000 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเร่งรัดการเก็บได้ครบ 100% ก่อนหมดปีงบประมาณ 2558 ยังเหลือเวลาอีก 2 เดือนนับจากนี้



เบี้ยวจ่ายภาษีพุ่งกว่า 8 พันราย

อย่างไรก็ตาม จากภาวะเศรษฐกิจไม่ค่อยดีทำให้การจัดเก็บรายได้ในช่วงที่ผ่านมาของ กทม.ต่ำกว่าเป้า โดยสะท้อนจากการจัดเก็บภาษี โดยพบว่าสถิติการจัดเก็บรายได้ 3 ภาษี ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2557-วันที่ 30 มิถุนายน 2558 ประกอบด้วย 1.ภาษีโรงเรือนและที่ดินจัดเก็บได้ 9,356.24 ล้านบาท ต่ำจากเป้ากำหนด 11,132 ล้านบาท อยู่ประมาณ 15.95% 2.ภาษีบำรุงท้องที่จัดเก็บได้ 118.04 ล้านบาท ต่ำจากเป้ากำหนด 133 ล้านบาท อยู่ประมาณ 11.25% และ 3.ภาษีป้ายจัดเก็บได้ 709.68 ล้านบาท ต่ำจากเป้ากำหนด 783.5 ล้านบาท อยู่ประมาณ 9.42%

ผู้อำนวยการกองรายได้กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังพบว่าปีนี้มีผู้ไม่มาชำระภาษีมากขึ้น ซึ่งจากการสำรวจข้อมูลเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาปรากฏว่ามีจำนวนลูกหนี้ค้างชำระอยู่หลายรายในแต่ละสำนักงานเขตเนื่องจากปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจนทำให้ประชาชนขาดสภาพคล่องจำนวนรวม 8,691 ราย คิดเป็นจำนวนเงิน 410.77 ล้านบาท

ธุรกิจอพาร์ตเมนต์-หอพักมากสุด

แบ่งเป็นภาษีโรงเรือนและที่ดินจำนวน 2,267 ราย จำนวนเงิน 393.42 ล้านบาท ภาษีบำรุงท้องที่จำนวน 6,334 ราย จำนวนเงิน 3.09 ล้านบาท และภาษีป้ายจำนวน 81 ราย จำนวนเงิน 14.26 ล้านบาท โดยธุรกิจส่วนใหญ่ที่ค้างชำระ อาทิ ธุรกิจอพาร์ตเมนต์ หอพัก โรงเรียน เป็นต้น

สำหรับพื้นที่เขตมีการจัดเก็บภาษีได้มากที่สุด 10 ลำดับแรก ได้แก่ 1.เขตวัฒนา จำนวนกว่า 652 ล้านบาท 2.เขตลาดกระบัง 295 ล้านบาท 3.เขตพระนคร 197 ล้านบาท 4.เขตบางกอกน้อย 152 ล้านบาท 5.เขตมีนบุรี 144 ล้านบาท 6.เขตบางพลัด 129 ล้านบาท 7.เขตราษฎร์บูรณะ 102 ล้านบาท 8.เขตดุสิต 85 ล้านบาท 9.เขตหนองจอก 62 ล้านบาท และ 10.เขตทวีวัฒนา 41 ล้านบาท

ปีหน้าใช้แผนที่มาสแกนภาษี

ด้านนายกฤษฎา ศิริพิบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักการคลัง เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2559 กทม.มีโครงการจะจัดทำแผนที่ภาษีเพื่อให้การจัดเก็บภาษีครบถ้วนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงนำมาเป็นข้อมูลเพื่อจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน เนื่องจากแผนที่ภาษีจะมีการลงรายละเอียดว่าพื้นที่ไหนที่มีการจัดเก็บภาษีไปแล้วและเป็นจำนวนเท่าไหร่ โดย กทม.จะประสานไปยังกรมที่ดินเพื่อขอรายละเอียดโฉนดที่ดิน แล้วนำพื้นที่ที่ต้องการเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินใส่ลงไปในแผนที่

"พื้นที่ไหนหากมีการจัดเก็บแล้วก็จะเป็นสีแดง ยังไม่ได้จัดเก็บก็จะเป็นสีเหลือง จะมีความสอดคล้องกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของรัฐบาลที่มีนโยบายจะจัดเก็บด้วย"

รีดภาษีเพิ่ม-ประเดิมน้ำมันต.ค.นี้

นายกฤษฎากล่าวต่อว่ามีแนวโน้มปีนี้การจัดเก็บรายได้ของกทม.จะไม่เข้าเป้า 65,000 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไม่ค่อยดีทำให้การจัดเก็บภาษีต่าง ๆ ลดลง ทั้งนี้ได้เร่งรัดให้สำนักงานเขตทั้ง 50 เขตจัดเก็บภาษีให้ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงเพิ่มการจัดเก็บรายได้และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ให้มากขึ้น และเพื่อเป็นการเพิ่มรายได้มากขึ้น จะมีการจัดเก็บภาษีใหม่เพิ่มคือภาษีน้ำมันและก๊าซปิโตรเลียมในอัตรา 5 สตางค์ต่อลิตร จากสถานประกอบการค้าปลีก จำนวน 800 แห่ง จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 400-500 ล้านบาทต่อปี และยังมีการจัดเก็บค่าที่จอดรถยนต์ที่สาธารณะด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับงบประมาณปี 2559 กทม.ได้ยื่นเสนอขอจัดสรรงบประมาณต่อสภาไว้จำนวน 70,700 ล้านบาท มากกว่าปีงบประมาณปี 2558 ประมาณ 5,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาอนุมัติจากสภา กทม. คาดว่าจะแล้วเสร็จในวันที่ 28 สิงหาคมนี้ โดยแบ่งเป็นงบประมาณสำหรับดำเนินการจำนวน 53,000 ล้านบาท และงบลงทุนจำนวน 17,000 ล้านบาท

เร่งลงทุนโมโนเรล-อุโมงค์ยักษ์ 

โดยแผนงานโครงการใหม่ที่สำคัญคือโครงการรถไฟฟ้ารางเดี่ยว(โมโนเรล) สายสีเทาระยะแรก ช่วงวัชรพล-ลาดพร้าว-ทองหล่อ และเส้นทางบางนา-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำจากบึงหนองบอนลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา, โครงการก่อสร้างถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า เป็นต้น

สำหรับหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณมากที่สุดใน 5 ลำดับแรก คือ 1.สำนักการระบายน้ำ จำนวน 8,700 ล้านบาท 2.สำนักสิ่งแวดล้อม จำนวน 8,400 ล้านบาท 3.สำนักการโยธา จำนวน 5,400 ล้านบาท 4.สำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) จำนวน 4,320 ล้านบาท และ 5.สำนักการคลัง จำนวน 3,430 ล้านบาท

อุปทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยแนะวิธีไม่ถูกคว่ำบาตร

อุปทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย  ขอให้ไทยเร่งแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง จะได้ไม่ถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ
นายแพทริค เมอร์ฟี อุปทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย  เห็นว่า เรื่องเร่งด่วนที่ประเทศไทยจะต้องทำขณะนี้เพื่อไม่ให้ถูกคว่ำบาตรและได้รับการยกระดับ คือ ต้องเร่งแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง เพราะการประเมินจัดอันดับจะประเมินปีต่อปีเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 31มีนาคมของทุกปี ซึ่งประเทศไทย ยังมีเวลาที่จะแก้ปัญหาอย่างจริงจัง 
แต่เท่าที่เห็น ในช่วง3 เดือนหลังจากวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่และรัฐบาลไทยทำงานได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกกฎหมายการเปลี่ยนแปลง ปราบปราม กวาดล้าง และจับกุม แม้แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เข้ามาเกี่ยวพันก็หวังว่าจะไปถึงขั้นการฟ้องศาล จึงขอบคุณรัฐบาลไทยที่ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านทำได้ดี เชื่อว่า การประเมินรอบใหม่น่าจะดีขึ้น

ลาว ฟิลิปปินส์ เมียนมาร์ และอินเดีย ได้รับรางวัลแมกไซไซปีนี้



ลาว ฟิลิปปินส์ เมียนมาร์ และอินเดีย ได้รับรางวัลแมกไซไซปีนี้
นายอันชู กุปตะ ชาวอินเดียผู้ก่อตั้งจิตอาสามูลนิธิหนึ่งเพื่อช่วยเหลือคนจนในอินเดีย เป็นหนึ่งในผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ ประจำปีนี้ โดยมูลนิธิของเขาผลิตผ้าอนามัยราคาถูก ที่ทำมาจากเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว เพื่อช่วยเหลือผู้หญิงอินเดียราว 70% ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินค้าดังกล่าวได้ ผู้ได้รับรางวัลอีกคนจากอินเดียคือนายซันจีฟ จาตุรเวที ในความพยายามรณรงค์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น นางคำมาลี ชนะทาวง วัย 71 ปี จากประเทศลาว ได้รับรางวัลจากบทบาทการเป็นแกนนำจัดตั้งกลุ่มทอผ้าให้กับหญิงที่ยากจนในชนบทที่ห่างไกล ที่ตอนแรกเริ่มจากกลุ่มเล็ก ๆ จนกลายเป็นโครงการขนาดใหญ่
นายจอ ตู จากเมียนมาร์ ดาราภาพยนตร์และผู้กำกับชื่อดังได้รับรางวัลจากงานจิตอาสาที่เขาก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2544 ในการช่วยจัดงานศพให้กับผู้ยากจนในกรุงย่างกุ้ง นางลิกายา เฟอร์นันโด-อามิลบังสา จากฟิฟิปปินส์ ได้รับรางวัลจากความพยายามส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปะการฟ้อนรำของชาวฟิลิปปินส์มุสลิมที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ

แรงกระแทกทางเศรษฐกิจในระยะยาว



เตรียมรับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจในระยะยาวกันได้แล้วครับ เรากำลังเข้าสู่สงครามเศรษฐกิจอีกครั้งไม่ต่างกับหลายๆ ครั้งที่เราต้องเผชิญมาแล้วในอดีต

ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ที่ออกมาเมื่อวันก่อนนั้น การส่งออกของไทยเดือน มิ.ย.2558 ยังคงหดตัวโดยมีมูลค่า 18,161.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 7.87% ไทยเกินดุลการค้า 150 ล้านเหรียญ นั้นผมมองว่าเรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับการเมืองสักเท่าไรเพราะมันไปในทิศทางเดียวกับสภาพเศรษฐกิจโลกที่กำลังซื้อต่ำมาต่อเนื่อง ถ้าจะดูย้อนหลังไปหกเดือน ม.ค.-มิ.ย.58 มีมูลค่า 106,855.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 4.84% ไทยเกินดุลการค้า 3,472.7 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าตัวหลักภาคอุตสาหกรรมที่เคยสร้างเงินเข้าประเทศก็ขายได้น้อย ลงเป็นเพราะการชลอตัวทางเศรษฐกิจของยุโรปและอเมริกาเอง ไม่กี่ยวกับการเมืองของไทยสักเท่าไร แต่มันก็บอกได้อย่างหนึ่งว่าเรายังไม่ฟื้น และมีโอกาสที่ยังจะดิ้น ประงาบ ประงาบ ต่อไปอีกนานพอสมควร

ผมคงไม่แจงรายละเอียดให้อ่านว่าเราส่งออกอะไรแล้วติดลบบ้าง ลองไปหาอ่านเอาจากหน้าเว็บกระทรวงพานิขเอากันเองครับ เวลานี้เรายังไม่โดนกำแพงภาษีจากยุโรปและอเมริกา เรายังไม่โดนแบ็กลิสต์ทางการค้า แต่ในอนาคตเรายังไม่แน่ ถึงเวลานี้เราคงวางแผนของธุรกิจระดับองค์กรจนถึงระดับประเทศใหม่จากเป้าหมายของการโดนเล่นงานในช่วงเวลาข้างหน้าที่เราจะโดนต่อไปในบางเรื่อง เราคงต้องโดนอยู่ในกลุ่ม Tier 3 ที่โดนลากขาไปถึงธุรกิจส่งออกผลิตภัณฑ์ประมง และเรื่องปัญหาธุรกิจการบิน ไปอีกนานจนกว่าเราจะมีรัฐบาลใหม่ที่ถูกใจอเมริกาและยุโรป ซึ่งเวลานี้ผมก็ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลใหม่ตามรัฐธรรมนูญใหม่นั้นยังจะปลอดทหารหรือไม่ นายกจะเป็นใคร รูปแบบการเมืองในอนาคตจะอย่างไรก็ไม่อาจจะคาดเดาได้ ถ้าอุตสาหกรรมประมงของเราโดนเล่นงาน ปลาทูน่ากระป๋องของเราที่ส่งออกเป็นอันดับหนึงของโลกก็คงต้องกลายเป็นอดีต อาหารทะเลแช่แข็ง กุ้งสดแช่แข็งและแปรรูป ที่เคยครองตลาดเป็นเจ้าใหญ่คงต้องลดปริมาณลงแบบน่าตกใจ และน่าจะรวมถึงข้าวด้วยที่เราเคยส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของโลกก็น่าจะมีผลกระทบไม่ใช่น้อย

เวลานี้รัสเซียก็ยังไม่เอาผ้าพันแผลออกจากการที่โดนโจมตีค่าเงินปีที่แล้ว เงินรายได้หลักเข้าประเทศจากการขายพลังงานก็ลดต่ำลงไปตลอดเวลา จีนก็ฟองสบู่แตก และยังแตกไปเรื่อยๆ ไม่หยุดง่ายๆ แม็คคินซีย์ แอนด์ โค ได้เคยให้ตัวเลขเมื่อต้นปีว่า หนี้โลกใบนี้รวมกันแล้วทะลุ 200 ล้านล้านดอลลาร์ไปไกลพอสมควร ซึ่งส่วนมากคือหนี้จากอเมริกา

ส่วนจีนนั้น จีนยังมีหนี้สินภาคครัวเรือนเกือบครึ่งหนึ่งที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเสี่ยงต่อปัญหาซับไพร์ม และมีการกู้ยืมเงินในประเทศเพิ่มขึ้น 4 เท่า ตั้งแต่ปี 2550 ทำให้ปัจจุบันจีน มีหนี้สินสูงถึง 282% ของจีดีพี หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากปี 2550 ดังนั้นการชลอตัวของภาคเศรษฐกิจของจีนตั้งแต่ปีหน้านั้นอาจจะเห็นจีนเบรคหัวทิ่มเอาง่ายๆ

เรามีปัญหาเรื่องตลาดในอนาคตแน่ๆครับ เรามีสินค้าแต่ไม่มีตลาดจะขาย ผมคิดว่าเวลานี้รัฐบาลของเราคงต้องตั้งวอร์รูมในเรื่องนี้เป็นการเร่งด่วนเป็นวาระแห่งชาติอีกเรื่องหนึ่งในการหาตลาดใหม่มาทดแทนตลาดเก่าที่เราอาจจะต้องเสียไป

ผมสงสารเด็กไทยที่จะจบการศึกษาในปีนี้และปีหน้าไปอีกสามปีครับ เหมือนที่ผมสงสารพวกเขาในปี 41 ว่าพวกเขาจบการศึกษามาก็จะเจอสภาพตกงานไปกว่าครึ่ง หรือมีงานทำแต่ก็เงินน้อยงานหนักเหมือนทาส แต่ไม่มีโอกาสที่จะเลือกทางเดินที่ดีกว่านี้

เครดิตภาพ ฟรีดิจิตอลโฟโต้

บิ๊กตู่ วอนอย่าโทษรัฐบาล ขอน้อมรับไทยอยู่Tier 3



บิ๊กตู่ วอนอย่าโทษรัฐบาล ขอน้อมรับไทยอยู่Tier 3 ชี้ไม่เกี่ยวไทยไม่ได้เข้าร่วมTPP ขออย่าโทษสหรัฐ ยันทำมากกว่ารัฐบาลเลือกตั้ง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงข้อสังเกตที่ไทยไม่ได้เป็นสมาชิกหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ TPPส่งผลให้ของสหรัฐจัดให้อยู่ในTier 3 ในรายงานด้านค้ามนุษย์ว่า หากเป็นสมาชิกแล้วเราจะได้อะไร รู้หรือไม่ว่าเป็นแล้วจะได้หรือเสียอะไร เพราะถ้าหากเราเป็นสมาชิกก็จะถูกกดดันหลายอย่าง ซึ่งรัฐบาลก่อนอาจแสดงความต้องการเข้าเป็นสมาชิก แต่เมื่อกลับมาดูแล้ว ก็พบว่ามีปัญหาเรื่องสิทธิบัตรยา และสิ่งต่างๆ ตรงนี้จะทำให้คนไทยเสียโอกาส เราได้ชะลอไปก่อน ไม่ใช่ไม่เห็นด้วย เพียงแต่ต้องดูแลคนไทยและประเทศไทยว่ามีความเสียหายอย่างไรบ้าง
“ผมว่าอย่าไปโทษเขาเลยดีกว่า อย่าไปโทษว่าเป็นเพราะการเมืองหรือเพราะอะไร มันไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ท่านไม่สังเกตหรือว่าผมพูดอะไรบ้าง ผมก็พูดแต่เพียงว่าเรายอมรับ สิ่งต่างๆเหล่านี้มันผิดเพราะเราผิด เขามีกติกาออกมาแล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่แก้ไข ในเมื่อเขาจะลงโทษแบบนี้ก็ลงโทษไป เราก็ต้องทำของเราให้ดีที่สุด วันหน้ายังไงก็ต้องเป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว ทะเลาะกันไปยิ่งวุ่น แทนที่เขาจะให้ ก็กลับไม่ให้เลย เราบังคับเขาไม่ได้ เราไม่ได้เป็นประเทศมหาอำนาจ ยิ่งทะเลาะกันอยู่แบบนี้ยิ่งไม่มีทางจะได้เป็น เราต้องให้เขาเข้าใจเรา แต่เราก็ต้องมีศักดิ์ศรีโดยต้องดูแลประเทศไทยให้ได้ การค้ามนุษย์รัฐบาลได้ดำเนินการจับกุมและดำเนินคดีกว่าร้อยราย อยากให้ไปดูว่าประเทศอื่นๆที่ได้เลือกจากเทียร์ 3 มีการดำเนินคดีมากน้อยเท่าเพียงใด ก็รู้อยู่แล้ว จะไปไล่ให้มันจนกันไปมาทำไม เราก็เอาประเทศเราเป็นหลัก เขาจะให้หรือไม่ให้ก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ได้เกี่ยวกับเรา” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ภาคส่วนอื่นๆระบุว่าไม่ได้รับความเดือนร้อนจากการที่ไทยอยู่ในอันดับเทียร์ 3 ซึ่งที่ผ่านมาหลายๆประเทศก็เคยอยู่ในอันดับนี้ ทั้งยังเคยโดนใบเหลืองเรื่องประมงผิดกฏหมายมาแล้ว และเมื่อมีการแก้ไขก็สามารถกลับสู่อันดับที่ดีกว่า จึงขออย่ามาเหมาว่าเป็นเพราะตนเป็นรัฐบาล ถามว่าหากตนไม่ได้มาเป็นรัฐบาลทุกอย่างจะหนักกว่านี้หรือไม่ เพราะปัญหาไม่ได้แก้ไข วันนี้เมื่อรัฐบาลแก้ไขแล้วยังไม่ถูกเลื่อนจากเทียร์ 3 ก็มาโทษตนอีก หาว่าเป็นเพราะรัฐบาลไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นทำหรือไม่ ปัญหาจึงมาถึงวันนี้ ส่วนตัวไม่ต้องการเเตะต้องคนอื่น แต่คนเรามีปากก็พูดไปเรื่อยเรื่อย

อินไซด์ห้องประชุมเพื่อไทย ไขรหัส "คุณหญิงหน่อย" ขึ้นเบอร์ 1

29ก.ค.2558
รายงาน
ชื่อคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เจ้าแม่ ส.ส. "ก๊ก กทม." ถูกโยนขึ้นใน "วงลับ" และ "วงสว่าง" พร้อมๆ กันอย่างเป็นกระบวนการ ทั้งในวงลึก-ที่เกิดเหตุ "เขาใหญ่" ในเครือข่ายคอนเน็กชั่นผู้มีบารมีในรัฐบาล คสช. และวงเล็ก-ที่ห้องประชุมพรรคเพื่อไทย ทุกวันพุธ บนตึกโอเอไอถนนเพชรบุรี 

แม้ว่า "คุณหญิงหน่อย" จะออกตัวปฏิเสธอย่างนิ่มๆ ถึงวาระแห่งชาติ-หลังโรดแมปขั้นที่ 3 ถูกตั้งเป็น "วาระเพื่อพิจารณา" ที่เขาใหญ่อันมีองค์ประชุม ประกอบด้วย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผู้ที่เคยเป็นแกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน และเป็นบุคคลที่พรรคพลังประชาชนเคยสนับสนุนเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง เพราะเหตุแห่งการ "ยุบพรรค" 

วาระในวงลับระหว่างฝ่าย "คุณหญิงหน่อย" กับ พล.ต.อ.ประชา กับฝ่ายผู้มีบารมีใน คสช.ที่ถูกอ้างถึง คือบันไดไปสู่การปรองดอง 2 ขั้ว ระหว่างฝ่าย "ชินวัตร" กับฝ่ายรัฐบาล "คสช." โดยมีคดีถอดถอนอดีต ส.ส. 248 ในเป็นเครื่องมือในการต่อรอง 


วาระดังกล่าวนี้มีข้อบันทึกแนบท้ายอย่างไม่เป็นทางการด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร "เห็นชอบ" โดยมอบหมายให้ "คุณหญิงหน่อย" ชูธงเพื่อไทยไปเจรจา ด้วยความเชื่อมั่นว่า "ผู้มีบารมีแห่งบ้านเกษะโกมล คนสำคัญใน คสช." จะช่วยร่วมเจรจากับผู้มีอำนาจอีกแรง 

ขณะที่ขั้วของฝ่าย "เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์" ต่อสายถึงเครือข่าย แกนนำในพรรค มีท่วงทำนองว่า "มีคนมาอาสา ขอเป็นคนเจรจา" ซึ่งฝ่าย "ชินวัตร" อนุมัติเฉพาะเรื่องเจรจา "ช่วยชีวิตอดีต ส.ส.เพื่อไทย 248 คน ให้พ้นจากวาระถอดถอน" แต่ไม่เห็นชอบให้ถือธง "เบอร์ 1" ของฝ่ายเพื่อไทย

ท่ามกลางแสงสปอตไลต์ ในงานมงคลของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ฉายส่อง "คุณหญิงหน่อย" ตามคำที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พาดพิงถึง

แต่เป็นคำพาดพิงที่มีหางเสียงสะบัด และรักษาระยะห่างเป็นอย่างยิ่ง ระหว่างนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 ที่ปรากฏตัวในงานมงคล อาทิ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน, พินิจ จารุสมบัติ, สุวัจน์ ลิปตพัลลภ และสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ฯลฯ 

"...ไม่รู้จะทะเลาะเอาอะไรกันนักหนา วันนี้ทุกอย่างต้องเดินหน้าไปให้ได้เพื่อพวกเราทุกคน เราทะเลาะกันไม่ได้อีกต่อไปแล้ว มันต้องมีกติกาที่ทำให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า แสดงความยินดีโดยเฉพาะคุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้กับผมและคณะรัฐมนตรีโดยตรงอยู่แล้ว ช่วงที่ผ่านมาก็ทำหลายๆ อย่างช่วยให้ผมสามารถทำงานได้ ก็ร่วมมือกันโดยตลอด เพียงแต่ทุกคนมีหน้าที่เหตุผลที่แตกต่างกันออกไป" 


ถ้อยคำที่พาดพิง "คุณหญิงหน่อย" ทำให้เหล่าเซเลบริตี้ในวงธุรกิจ-การเมือง ฟังแล้วนิ่ง-อึ้ง คือ "เหตุผลทั้งหมดคนไทยเก่งทุกคน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ก็มาเห็นแวบๆ รู้จักกันมาตั้งแต่ผมเป็นพันตรี วันนี้ทุกคนต้องรักษากติกา เดินหน้าประเทศแบบนี้ แล้วนึกถึงคนรุ่นใหม่ เราต้องเตรียมการทำประเทศให้สำหรับคนรุ่นใหม่เข้ามาสร้างความเจริญเติบโตในวันหน้า เราทำให้ทุกอย่างช้าไปไม่ได้อีกแล้ว ทำอะไรก็ตามวันนี้นึกถึงคนที่ยังไม่ได้เกิดบ้าง ประเทศไทยวันนี้ทะเลาะเฉพาะกับคนที่เกิดอยู่ก็วุ่นกันพอสมควรแล้ว วันหน้าลูกหลานต้องเกิดอีกเท่าไหร่ มีอะไรเหลือที่เป็นอนาคตให้เขาบ้าง ผมคิดอย่างนั้น"

คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี ยังมีหางเสียง ต่อท้ายโยงฝากไปถึงคนการเมืองที่อยู่ต่างประเทศด้วย "ผมเป็นห่วงอนาคตบ้านเมือง สองคนนี้ไปเรียนเมืองนอก อย่าลืมกลับมานะ ช่วยไปตามคนเก่งๆ กลับมาเยอะๆ ด้วย แต่ไอ้พวกที่หนีไปไม่ต้องเรียกกลับมา" สิ้นเสียงนี้ มีเสียงปรบมือและเสียงเฮดังทั้งงาน 

ต่อด้วยประโยคที่ว่า "วันนี้ต้องมากกว่าเดิม ต้องจับมือกันมากกว่าเดิม ลืมความบาดหมางเสียบ้าง แล้วหาอะไรที่มันทำให้ดีขึ้น ก็คือกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมก็ไปว่ามา ผมไม่สามารถไปยุ่งเกี่ยวได้ ขออนุญาตบอกทางคุณหญิงหน่อยไปด้วย" 

ถ้อยคำเหล่านี้จึงอาจเป็นที่มา และเป็นบันได ให้ชื่อ "คุณหญิงหน่อย" ไต่ขึ้นสูงถึง "เบอร์ 1 เพื่อไทย" 

เมื่อหันไปฟังเสียงแหล่งข่าวจากวงประชุมพรรคเพื่อไทย ก็มีเสียงก้องออกมาว่า "เรื่องการให้คุณหญิงสุดารัตน์ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันภายในพรรค เพราะยังไม่ถึงเวลาการพิจารณา แต่คุณหญิงสุดารัตน์ถือเป็นบุคคลสำคัญของพรรค ทำงานให้กับพรรคตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน" 

ส่วนเรื่อง "รัฐบาลแห่งชาติ" ที่เป็นทั้งข่าวลับ-ข่าวรั่ว ก่อนหน้านี้นั้น แกนนำเพื่อไทยกรองให้ฟังว่า "มีสัญญาณจาก คสช.ที่พยายามให้จัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติเพียงครั้งเดียว แต่ถูกปฏิเสธจากแกนนำพรรค โดยเฉพาะนายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรค นายสามารถ แก้วมีชัย ไม่เห็นด้วย"

แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่อยู่วงใน-อินไซด์วง "ชินวัตร" วิเคราะห์ด้วยว่า "การที่ คสช.พยายามเสนอทางออกทางการเมืองโดยให้มีรัฐบาลแห่งชาติ เป็นเพราะ คสช.ไม่สามารถบริหารประเทศต่อได้ เพราะระบบการเมืองไม่เอื้อให้อยู่ยาว เนื่องจากเป็นรัฐบาลทหาร จึงเห็นความพยายามปล่อยข่าวเรื่องรัฐบาลแห่งชาติมากขึ้นในช่วงนี้ ผ่านสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นคนของรัฐบาล และเครือข่าย น.พ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส" 

ข่าวปรับคณะรัฐมนตรี ยังคลุกอยู่ในฝุ่นควันการเมืองที่แหลมคม ท่ามกลางการเคลื่อนไหวขึ้นเป็น "หัว" ของพรรคเพื่อไทย และเกมวัดใจระหว่าง "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" กับผู้มีบารมีใน คสช.

ที่มา : ประชาติธุรกิจ
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1438169438

ปตท.ยื่นฟ้อง "นิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา" อดีตผู้บริหารปตท.สผ. ซื้อที่อินโดปลูกปาล์มมิชอบ เสียหาย 2 หมื่นล้าน



ปตท.ยื่นฟ้อง "นิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา" อดีตผู้บริหารปตท.สผ. ซื้อที่อินโดปลูกปาล์มมิชอบ เสียหาย 2 หมื่นล้าน
Cr:ผู้จัดการ

สำนักข่าวอิศรา เผย ปตท.และ PTTGE ยื่นฟ้อง "นิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา" รอง ผจก.ปตท.สผ. ฐานเป็นพนักงานในหน่วยงานรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พบซื้อที่ดินอินโดนีเซียทับซ้อนป่าสงวน ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิเกษตรกรรมได้ ส่วนที่เหลือก็ไม่คุ้ม แถมพบค่านายหน้าแพงผิดปกติถึง 40 % พบ 5 โครงการเสียหายรวม 20,307 ล้าน

วันนี้ (29 ก.ค.) สำนักข่าวอิศรา นำเสนอข่าว "ฟ้องบิ๊ก ปตท.สผ.เรียก 2 หมื่นล.กล่าวหาทุจริตคดีปลูกปาล์ม อินโดฯ" โดยอ้างว่า บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีทีที.กรีน เอ็นเนอร์ยี่ พีทีอี ลิมิเต็ด หรือ PTTGE ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องต่อนายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองผู้จัดการบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ซึ่งต่อมาถูกดึงตัวมาเป็นผู้อำนวยการโครงการพัฒนาธุรกิจน้ำมันปาล์ม ในนามของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

โดยนายนิพิฐ ถูกกล่าวหาว่า เป็นพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีทีที กรีน เอ็นเนอร์ยี่ฯ หรือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เนื่องจากมีการซื้อที่ดินเป็นที่ดินทับซ้อนพื้นที่ป่าสงวนเป็นส่วนมาก ทำให้ไม่สามารถขอให้หน่วยงานในประเทศอินโดนีเซียออกเอกสารแสดงสิทธิในการทำเกษตรกรรมได้ ส่วนที่ดินที่เหลือไม่ทับซ้อนป่าสงวนก็เหลืออยู่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน นอกจากนี้ยังมีค่านายหน้าในการจัดซื้อที่ดินที่สูงกว่าผิดปกติถึงร้อยละ 40 เป็นต้น นอกจากนี้ สำนวนคำฟ้องดังกล่าว ตอนหนึ่งยังระบุว่า การจัดหาที่ดินเพื่อปลูกปาล์มในโครงการและการดำเนินโครงการนี้ มีความเสี่ยงที่จะเกิดการเสียหาย และสูญเสียเงินในการลงทุน

โดยโครงการที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ลงทุนในนามบริษัท พีทีที กรีน เอ็นเนอร์ยี่ฯ มี 5 โครงการ คือ 1.โครงการ พีที อัซ ซารา แพลนเตชั่น (“PT.Az Zhara”) เข้าลงทุนกับ PT.Az Zhara และบริษัท พีที มิตรา อาเนคา เรเซกิ (“PT.MAR”) ลงทุนปลูกปาล์มในพื้นที่ใหม่บริเวณตอนกลางของเกาะกาลิมันตัน รวม 1.7 แสนเฮกตาร์ แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรก 1.1 แสนเฮกตาร์ ราคาเฮกตาร์ละ 550 เหรียญสหรัฐ ปตท.เข้าลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 55 ส่วนที่สองมีพื้นที่ 6 หมื่นเฮกตาร์ ราคาเฮกตาร์ละ 485 เหรียญสหรัฐ ปตท. ลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 95 โดยพบความเสียหาย 1,642,563,599 บาท
2.โครงการ พีที มาร์ (พอนเทียนัค) หรือ PT.MAR (Pontianak) ลงทุนกับ PT.Az Zhara และ PT.MAR ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเกาะกาลิมันตัน ในบริเวณที่เรียกว่า พอนเทียนัค ประกอบธุรกิจน้ำมันปาล์มในพื้นที่ทั้งหมด 14,000 เฮกตาร์ คิดราคาซื้อหุ้นในพื้นที่ร้อยละ 100 เป็นเงิน 15,500,000 เหรียญสหรัฐ 3.โครงการ พีที มาร์ (บันยัวซิน) หรือ PT.MAR (Banyuasin) ลงทุนในธุรกิจปลูกปาล์มและผลิตน้ำมันปาล์มดิบ โดยการซื้อหุ้นบริษัท PT.Surya hutama suwit (“PT.SHS”) ซึ่งประกอบธุรกิจปลูกปาล์มน้ำมันบริเวณที่เรียกว่า บันยัวซิน จำนวนเงินไม่เกิน 21.5 ล้านเหรียญสหรัฐ มีพื้นที่ปลูกที่เมืองปาเลมบัง ทางตอนใต้ของเกาะสุมาตรา ประมาณ 22,000 เฮกตาร์ พบความเสียหาย รวม 5,248,699,946 บาท
4.โครงการ พีที เฟิร์ส บอร์เนียว แพลนเตชั่น หรือ PT.First Borneo Plantations (“PT.FBP”) ลงทุนกับ PT.FBP ซึ่งมีพื้นที่เพาะปลูกอยู่ในเขตกะลิมันตันตะวันตก รวม 108,000 เฮกตาร์ ซึ่งพื้นที่ทั้งหมดได้รับอนุญาตประกอบกิจการปาล์มน้ำมัน พบความเสียหาย 5,290,456,378 บาท และ 5.โครงการ คัลปาตาลู อินเวสต์ตามา หรือ Kalpataru Investama (“KPI”) ลงทุนกับ PT.KPI เพื่อศึกษาการเข้าลงทุนในโครงการแห่งใหม่ มีพื้นที่ประมาณ 80,000 เฮกตาร์ ตั้งอยู่บริเวณเกาะกาลิมันตะวันออก พบความเสียหาย 7,297,508919.64 บาท รวมค่าความเสียหายทั้ง 5 โครงการรวมทั้งค่าบริหารจัดการรวมทั้งสิ้น 624,850,887 เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 20,307,653,844 บาท

ทั้งนี้ บริษัท พีทีที กรีน เอ็นเนอร์ยี่ หรือ PTTGE ตั้งขึ้นเพื่อลงทุนพัฒนาสวนปาล์มและโรงงานสกัดปาล์มดิบที่ประเทศอินโดนีเซีย จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อ ก.ย. 2550 ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 10,860 ล้านบาท รับนโยบายจากปตท.ปลูกปาล์มในอินโดนีเซีย 3.1 ล้านไร่ หรือ 5 แสนเฮกตาร์ เพื่อส่งออกน้ำมันปาล์มไปขายในตลาดโลก ขณะที่การลงทุนธุรกิจดังกล่าว เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ฝ่ายบริหารปตท. หยิบยกขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง เนื่องจากการดำเนินการพบความผิดปกติ โดยเฉพาะการเข้าไปซื้อที่ดินจำนวนมากเพื่อปลูกปาล์ม และการสร้างโรงงานสกัดน้ำมัน จนกระทั่งมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องในโครงการนี้ และได้ส่งเรื่องดังกล่าวไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ตรวจสอบข้อเท็จจริง

ซึ่งทาง พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีทุจริตเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินเพื่อปลูกปาล์มน้ำมันที่อินโดนีเซียของ บริษัท ปตท. กรีน เอ็นเนอร์ยี่ ให้สัมภาษณ์ 17 ม.ย. ระบุว่า คณะอนุกรรมการฯ ได้รวบรวมพยานหลักฐานจากผู้ที่เกี่ยวข้อง และเอกสารจำนวนมากจึงมีความคืบหน้าพอสมควร แต่ ปตท.ส่งข้อมูลให้ ป.ป.ช.สอบเฉพาะ 5 โครงการที่มีการดำเนินการไปแล้ว อย่างไรก็ดี ป.ป.ช. ยังเสาะหาพยานหลักฐานก่อนที่จะเริ่มโครงการด้วยว่าเป็นมาอย่างไร เบื้องต้นพบความผิดปกติหลายอย่าง เช่น การดำเนินการตามโครงการไม่เป็นไปตามที่บอร์ด ปตท. อนุมัติ และก่อนริเริ่มโครงการนี้มีข้อผิดปกติหลายส่วนทั้งเรื่องที่ดิน ข้อตกลง หุ้นส่วน แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ประเมินว่าสร้างความเสียหายให้รัฐเท่าไหร่ เพราะต้องดูผลประกอบการเทียบกับการลงทุน อีกทั้งยังมีการขายโครงการเพื่อลดภาวะขาดทุนไปหลายโครงการด้วย จึงต้องดูผลลัพธ์จากการขายกับเงินลงทุนที่เสียไปแตกต่างกันอย่างไร ส่วนการไต่สวนอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเพราะมีเอกสารจำนวนมาก แต่ในขณะนี้พบว่ามี 2 โครงการที่สามารถชี้มูลความผิดได้ ซึ่งจะสรุปออกมาก่อน ส่วนโครงการที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งผู้ที่ต้องรับผิดชอบก็เป็นไปตามที่ ปตท. กล่าวหามา อีกทั้งยังต้องดูเรื่องบอร์ดและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งไม่คิดว่าบอร์ดกำลังตัดตอนความรับผิดชอบด้วยการยื่นให้สอบการดำเนินธุรกิจปาล์มของบริษัท ปตท. กรีน เอ็นเนอร์ยี่ เพราะ ป.ป.ช. ดูทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องบอร์ด ปตท.กรีน เอ็นเนอร์ยี่ ที่เป็นผู้รับผิดโครงการที่ 5 หรือบอร์ดใหญ่ของ ปตท. ว่ามีการดำเนินการอย่างไร

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 นายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (PTTGE) เคยกล่าวตอบโต้กรณีฝ่ายค้านตั้งกระทู้สดในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีการพาดพิงถึงการลงทุนของ ปตท. ในธุรกิจปาล์มน้ำมันในประเทศอินโดนีเซียว่าไม่โปร่งใส โดยระบุว่า ทำทุกขั้นตอนตามแผน "กระทรวงพลังงาน" ฟุ้ง ปตท.มีรายได้จากธุรกิจดังกล่าวจำนวนมาก ส่วนสาเหตุที่เลือกจดทะเบียน "สิงคโปร์" เพราะเป็นศูนย์กลางการเงินและธุรกิจค้าน้ำมัน (อ่านข่าวทั้งหมด : บิ๊ก "PTTGE" โต้ลงทุนน้ำมันอินโดฯโปร่งใส โกยเงินเข้า ปตท.เพียบ วันที่ 11 มีนาคม 2554)

ไทยตกขบวนเข้าร่วมเป็นคู่สัญญาความตกลงการค้าใหญ่สุดในภูมิภาคอย่าง Trans-Pacific Partnership (TPP)



ผลการถูกจัดอันดับรั้งท้ายในแง่การแก้ปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานทาส ทำให้ไทยตกขบวนเข้าร่วมเป็นคู่สัญญาความตกลงการค้าใหญ่สุดในภูมิภาคอย่าง Trans-Pacific Partnership (TPP) แน่นอน เพราะกฎหมายของสหรัฐฯ (Trade Promotion Authority - TPA) ที่แก้ไขล่าสุด ห้ามไม่ให้รัฐบาลสหรัฐฯ เจรจากับประเทศที่ติดแบล็คลิสต์ Tier 3 ตามรายงาน TIP ไม่ต้องแปลกใจ มาเลย์เร่งแก้ไขปัญหานี้เพื่อให้หลุดจากแบล็คลิสต์ Tier 3 เพื่อจะได้เดินหน้าเจรจาเงื่อนไข TPP กับสหรัฐฯ
TPP เป็นสัญญาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับอีกหลายสิบประเทศ มูลค่าการค้าประเทศเหล่านี้รวมกันเกือบครึ่งหนึ่งของโลก ประเทศที่เข้าร่วม TPP แถว ๆ นี้ นอกจากมาเลย์ ก็มีเวียดนาม สิงคโปร์ บรูไน ฟิลิปปินส์ “quid pro quo” ประเทศที่เข้าร่วม TPP ต้องปรับปรุงมาตรฐานด้านแรงงาน ส่งเสริมเสรีภาพคนงาน เพื่อแลกกับการส่งสินค้าไปขายในสหรัฐฯ ด้วยอัตราภาษี 0% เวียดนามเป็นประเทศหนึ่งที่น่าจะได้ประโยชน์มาก (จากการส่งออกเสื้อผ้าและรองเท้าปีละกว่าหมื่นล้านเหรียญไปสหรัฐฯ)
ส่วนไทยฝันหวานไปก่อน อย่างน้อยต้องให้หลุดจาก Tier 3 ที่แย่คืออุตสาหกรรมส่งออกอาหารทะเล ซึ่งเราเป็นหนึ่งในสิบผู้ส่งออก seafood รายใหญ่สุดของโลก ปีหนึ่งมีมูลค่าส่งออก 7 พันล้านเหรียญ จ้างงานกว่าสามแสนคน สหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่สุดของเรา (1.7 พันล้านเหรียญ/ปี) แต่ที่ผ่านมาเพราะปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานทาสนี่แหละทำให้การนำเข้าขอสหรัฐฯ ไม่กระเตื้องขึ้นมา รายงาน TIP รอบนี้ กระทบหนักแน่นอน ยิ่งถ้าเจอคว่ำบาตรด้วยละก็...
อธิบดีอัยการต่างประเทศโพสต์เฟสบุ๊ก แสดงความเห็นสหรัฐฯ กดดันtier 3 ต้องการทำลายการส่งออก เชื่อเรื่องต่อไปเล็งโจมตีเรื่องมาตรฐานการบิน
นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีอัยการสำนักต่างประเทศ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องการค้ามนุษย์ ได้โพสต์เฟสบุ๊คแสดงความเห็นกรณี ที่สหรัฐฯ เปิดเผยรายงานสถานการณ์ค้ามนุษย์ของไทยปีนี้ (พ.ศ.2558) โดยไทยคงอยูในระดับต่ำสุดหรือประเทศที่มีปัญหาการค้ามนุษย์รุนแรงที่สุด หรือ Tier 3 ว่า ตอนนี้เป็นเรื่องการเมืองไปแล้ว ถ้าไม่ปฏิวัติก็คงขึ้นtier 2 WL ไปแล้ว สหรัฐฯต้องการกดดันไทยต่อไปทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ เพราะรัฐบาลนี้ได้ทำทุกอย่างที่จะทำได้อย่างเต็มที่แล้ว แต่การพิจารณาไม่ได้ทำกันอย่างตรงไปตรงมาตามเนื้อหา ซึ่งสหรัฐฯใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำลายเศรษฐกิจไทยต่อไป แล้วจะตามมาด้วย EUในเรื่องประมง IUUรวมทั้งเรื่องมาตรฐานการบินสหรัฐฯและยุโรปต้องการกดดันการส่งออกของไทยให้ถึงที่สุด เป็นการแซงชั่นรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ นอกเหนือจากการตัดGSP การไม่เจรจาทำข้อตกลงทางการค้าการจัดเป็น tier 3 เพื่อให้ประเทศสหรัฐฯและยุโรปรณรงค์ไม่ให้ประชาชนซื้อสินค้าไทย ปัญหาอยู่ที่ว่าเราจะแก้เกมอย่างไรจะพึ่งจีนคงไม่ไหว เพราะจีนก็เอาเปรียบชนิดพม่ากับลาวยังถอยหนีและจีนกำลังทำสงครามเศรษฐกิจกับสหรัฐฯอยู่อย่างรุนแรง ทั้งนี้ สหรัฐต้องการทุบเศรษฐกิจไทย เพราะ1. เรามีรัฐบาลที่มาจากปฏิวัติ 2. เราหันไปพึ่งพิงทางเศรษฐกิจจากจีนมากขึ้น สหรัฐต้องการแสดงให้เห็นว่า จีนไม่สามารถช่วยเราได้ 3. การส่งพวกอุยกูร์กลับจีนก็มีส่วนด้วยเช่นกัน  
นายวันชัย ยังโพสต์เพิ่มเติมอีกว่า เรื่องการจัดอับดับการค้ามนุษย์ของสหรัฐ Tier 1 คือ ประเทศที่ไม่มีปัญหา หรือมีแต่แก้ได้แล้ว Tier 2 คือ ประเทศที่มีปัญหา ยังแก้ไม่ได้ แต่ได้พยายามแก้ปัญหาอย่างจริงจังTier 3 คือ ประเทศที่มีปัญหามาก แต่ไม่แก้ หรือไม่พยายามแก้ปัญหาอย่างจริงจังในเรื่องนี้ รัฐบาลนี้พยายามแก้ปัญหามากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมาในทุกด้านซึ่งอยู่ในหลักเกณฑ์ มาตรฐานและคำนิยามของ tier 2ไม่มีทางที่จะอยู่ใน tier 3 เลย สหรัฐก็รู้มาตลอดว่าประเทศไทยทำเยอะมากมายขนาดไหน เรียกว่าพยายามแก้ปัญหากันอย่างจริงจัง ตามหลักเกณฑ์ มาตรฐาน และคำนิยามของ tier 2 ถ้าไม่มีเรื่องทางการเมืองที่ต้องการกดดันทางเศรษฐกิจกับประเทศไทย ชนิดที่มีการตั้งธงไว้แล้วนี่ อย่างไรประเทศไทยก็ต้องขึ้น tier 2 หรือ tier 2 watch list การจัดอันดับปีนี้จึงไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง แต่เป็นการตัดสินใจด้วยประเด็นทางการเมืองล้วนๆ 
การจัดอันดับประเทศไทยอยู่ในอันดับ 3 จะเปิดโอกาสให้ยุโรป และพรรคพวก อ้างเป็นเหตุไม่ซื้อสินค้าไทย เพื่อทำลายอุตสาหกรรมประมง อาหารทะเลอาหารทะเลแช่แข็ง อาหารกึ่งสำเร็จรูปจากอาหารทะเลและไม่ใช่เฉพาะอาหารทะเล แต่ลามปามไปสินค้าอื่นๆด้วยคิดประเมินความเสียหายไว้ประมาณ สองแสนล้านบาทการส่งออกจะตกต่ำไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องสหรัฐโจมตีการส่งออก เพราะรู้ว่าเราพึ่งพิงการส่งออกมาก เป้าคือให้เศรษฐกิจตกมากๆ ให้ประชาชนเดือดร้อนแล้วลุกฮือต่อต้านรัฐบาลเพราะเดือดร้อนทางเศรษฐกิจรัฐบาลจะอยู่ยาก 
อีกส่วนที่กำลังโจมตีคือ เรื่องมาตรฐานการตรวจสอบการบิน อันนี้เป็นอีกเรื่องที่เรามีจุดอ่อน เป็นการทำลายการเป็นศูนย์กลางการบินของไทยในระยะยาวทำลายสายการบินต่างๆ ของไทย และเป้าหมายสุดท้ายคือทำลายการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักอีกเส้นของไทยทำนายได้เลยว่า เรื่องการบิน ไทยจะถูกใบแดงทั้งจากยุโรปและสหรัฐ การบินไทยเจ๊งแน่ๆ รวมทั้งสายการบินสัญชาติไทยด้วย
"เราต้องเผยแพร่ในประเด็นกฎหมายครับ คือยกคำนิยาม และเอาอะไรที่เราทำมาเรียบเรียงว่าเราทำตามคำนิยามใน tier 2 ให้ชัดเจนแล้วเผยแพร่แถลงข่าวออกไปอย่างเป็นทางการของ กต. รวมทั้งชี้แจงไปทั่วโลก จุดอ่อนคือเรื่อง อุยกูร์ จะโดนโจมตีมากแต่เรื่องอุยกูร์ไม่ใช่เรื่องค้ามนุษย์ เป็นเรื่องผู้ลี้ภัย คนละประเด็นกัน แต่สหรัฐมั่วจับมารวมกัน"

พ.ร.บ.อุ้มบุญบังคับใช้ 30 ก.ค. เอาผิดครบกระบวนการ ทั้งหมอ นายหน้า หญิงจ้างท้อง

พ.ร.บ.อุ้มบุญบังคับใช้ 30 ก.ค. เอาผิดครบกระบวนการ ทั้งหมอ นายหน้า หญิงจ้างท้อง สธ.เผยทำอุ้มบุญทุกรายต้องขออนุญาต กคทพ. ช่วยสกัดทำผิดกฎหมาย ย้ำคู่รักต่างชาติอุ้มบุญในไทยไม่ได้ เว้นทำกิฟต์เพื่อตั้งท้องเอง ด้านคู่รักร่วมเพศต้องรอไทยคลอด กม.แต่งงานเพศเดียวกันได้ สบส.แนะคู่รักเกย์มะกันยื่นฟ้องศาลขอเป็นผู้ปกครอง "น้องคาร์เมน" พม.รับอุ้มบุญผิด กม.กระทบภาพลักษณ์ไทยค้ามนุษย์ ระบุเด็กอุ้มบุญจากพ่อยุ่นบางรายป่วย

วันนี้ (29 ก.ค.) ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้วันที่ 30 ก.ค. 2558 เป็นต้นไป หลังประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2558 ว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นการคุ้มครองประชาชนที่มีบุตรยากความจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีช่วย รวมถึงเด็กที่จะเกิดขึ้นด้วยเทคโนโลยี เพราะมีการกำหนดข้อห้ามที่สำคัญ ได้แก่ ห้ามสามีและภรรยาที่ทำอุ้มบุญปฏิเสธรับเด็กเป็นบุตร ห้ามรับตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า ห้ามเป็นนายหน้าจัดการหรือชี้ช่องให้มีการรับตั้งครรภ์แทน ห้ามโฆษณาว่ามีหญิงรับตั้งครรภ์แทน และห้ามซื้อ เสนอซื้อ ขาย นำเข้าหรือส่งออก อสุจิ ไข่หรือตัวอ่อน โดยสถานประกอบการ แพทย์ คู่สามีภรรยา ผู้รับตั้งครรภ์จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย หากกระทำผิดจะมีโทษทั้งจำและปรับ

น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า ตาม พ.ร.บ.จะมีการตั้งคณะกรรมการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ (กคทพ.) ทำหน้าที่เสนอนโยบาย ออกประกาศ พัฒนาและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ และพิจารณาอนุญาตให้มีการตั้งครรภ์แทนและควบคุมกำกับให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งคู่สามีภรรยาที่ต้องการให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทนทุกรายจะต้องยื่นขออนุญาตต่อ กคทพ. ตรงนี้จะช่วยป้องกันในเรื่องการอุ้มบุญผิดฎหมายได้ เพราะมีการตรวจสอบทุกราย โดยคู่สมรสที่ต้องการให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทนจะต้องจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายไทย หากเป็นคนไทยสมรสกับชาวต่างชาติต้องจดทะเบียนสมรสไม่น้อยกว่า 3 ปีและมีประจักษ์พยานว่าใช้ชีวิตร่วมกันฉันท์สามีภรรยา และต้องผ่านการตรวจประเมินโดยแพทย์ที่มีคุณสมบัติตามที่แพทยสภากำหนด สำหรับหญิงที่รับตั้งครรภ์แทน ต้องมีสัญชาติไทย ไม่ใช่พ่อแม่หรือลูกแต่จะต้องเป็นพี่น้องท้องเดียวกันของสามีหรือภรรยาผู้ที่ต้องการมีบุตร และเคยมีบุตรมาก่อนต้องได้รับความยินยอมจากสามี

“โทษของผู้ฝ่าฝืน เช่น แพทย์ที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานแพทยสภา มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากกระทำเชิงการค้า รับจ้างอุ้มบุญ มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หากเป็นนายหน้ามีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ กรณีขายอสุจิหรือไข่ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนกรณีที่มีการดำเนินการอุ้มบุญมาก่อนกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้สามารถยื่นรับรองบุตรได้” อธิบดี สบส. กล่าว

ด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ รองอธิบดี สบส. กล่าวว่า หากสามีและภรรยาเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้องโดยสายโลหิต พ.ร.บ.เปิดช่องให้สามารถมีการตั้งครรภ์แทนได้แต่ต้องมีหลักฐานมายืนยันชัดเจน โดยหญิงที่จะมารับตั้งครรภ์แทน คู่สามีภรรยาต้องจัดหามาเอง และต้องผ่านการพิจารณาอนุญาตจาก กคทพ.ก่อนเช่นเดียวกัน ซึ่งจะมีการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดทั้งอายุ การตรวจเลือด ข้อตกลง การประเมินสุขภาพจิต การยินยอมของคู่สมรส รวมถึง กระบวนการรู้จักกับหญิงที่ตั้งครรภ์แทนจนถึงเหตุผลที่รับดำเนินการด้วย ทั้งหมดนี้ต้องดำเนินการก่อนการตั้งครรภ์แทน ซึ่งจะมีการออกประกาศ สธ.บังคับใช้ต่อไป

รศ.นพ.กำธร พฤกษานานนท์ คณะอนุกรรมการเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ กล่าวว่า พ.ร.บ.นี้อนุญาตให้มีการตั้งครรภ์แทนได้โดยที่คู่สมรสที่ต้องการมีบุตรต้องเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายไทยเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันรับรองเฉพาะคู่สามีภรรยาที่เป็นหญิงกับชาย แต่หากอนาคตไทยมีกฎหมายให้คู่รักเพศเดียวกันแต่งงานกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย พ.ร.บ.ฉบับนี้ก็จะครอบคลุมด้วย ส่วนการใช้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์โดยไม่มีการตั้งครรภ์แทนนั้น เช่น ทำกิฟต์ เด็กหลอดแก้ว คู่สมรสชาวต่างชาติสามารถเข้ามาดำเนินการได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความเป็นไปได้ที่คู่รักเกย์ชาวอเมริกันและสเปนจะสามารถนำ "น้องคาร์เมน" ที่เกิดจากการอุ้มบุญไปรับเลี้ยงได้หรือไม่ นพ.ธเรศ กล่าวว่า กรณีนี้เกิดขึ้นก่อนมีการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีฯ ซึ่งตามกฎหมายที่มีอยู่คือ หญิงตั้งครรภ์เป็นผู้ปกครองของเด็ก แต่หากคู่รักเกย์ดังกล่าวต้องการเป็นผู้ปกครองก็ต้องยื่นต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เพื่อเรียกร้องสิทธิในการเป็นผู้ปกครองเด็ก ซึ่งศาลจะพิจารณาในเรื่องที่ว่าฝ่ายใดมีความพร้อมในการเลี้ยงดูเด็กมากกว่ากันด้วย ก็มีความเป็นไปได้ที่คู่รักเกย์อาจได้สิทธิเป็นผู้ปกครอง

เมื่อถามถึงความคืบหน้าในการดูแลเด็กอุ้มบุญที่เกิดจากพ่อชาวญี่ปุ่น นางระรินทิพย์ ศิโรรัตน์ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน พม. กล่าวว่า เด็กทั้ง 13 รายอยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์ โดยพบว่าเด็กบางรายไม่แข็งแรงเท่าเด็กปกติ เช่น มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งอาจเกิดจากการคลอดก่อนกำหนด แต่ทางสถานสงเคราะห์ก็มีการดูแลอย่างดี ทั้งพยาบาล นักกายภาพบำบัด ส่วนเรื่องการรับเด็กดังกล่าวไปเลี้ยงนั้นยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากต้องรอให้การพิจารณาทางศาลสิ้นสุดเสียก่อน ซึ่งยังต้องใช้เวลา

เมื่อถามว่าที่ผ่านมาการทำอุ้มบุญผิดกฎหมายในประเทศไทย ส่งผลต่อเรื่องการค้ามนุษย์ของไทยด้วยหรือไม่ นางระรินทิพย์ กล่าวว่า อาจมีส่วนบ้าง แต่เชื่อว่าเมื่อมีการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีฯ ก็จะช่วยป้องกันเรื่องการซื้อขายไข่ การทำอุ้มบุญเพื่อการค้า ซึ่งถือเป็นเรื่องการค้ามนุษย์ได้

วันเข้าพรรษา 2558 ตรงกับวันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม



ประวัติวันเข้าพรรษา 

"วันเข้าพรรษา" ซึ่งเป็นวันที่พระสงฆ์เถรวาทจะอธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น หรือที่เรียกติดปากกันโดยทั่วไปว่า "จำพรรษา" นั่นเอง

"เข้าพรรษา" แปลว่า "พักฝน" หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่นๆ จนเสียหายพระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน คือ เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี เรียกว่า "ปุริมพรรษา"
ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือนแปดหลัง และออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เรียกว่า"ปัจฉิมพรรษา" เว้นแต่มีกิจธุระคือเมื่อเดินทางไปแล้วไม่สามารถจะกลับได้ในเดียวนั้น ก็ทรงอนุญาตให้ไปแรมคืนได้ คราวหนึ่งไม่เกิน 7 คืน เรียกว่า "สัตตาหะ" หากเกินกำหนดนี้ถือว่าไม่ได้รับประโยชน์แห่งการจำพรรษา จัดว่าพรรษาขาด

สำหรับข้อยกเว้นให้ภิกษุจำพรรษาที่อื่นได้ โดยไม่ถือเป็นการขาดพรรษา เว้นแต่เกิน 7 วัน ได้แก่
1.การไปรักษาพยาบาลภิกษุ หรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย
2.การไประงับภิกษุสามเณรที่อยากจะสึกมิให้สึกได้
3.การไปเพื่อกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิที่ชำรุด
4.หากทายกนิมนต์ไปทำบุญ ก็ไปฉลองศรัทธาในการบำเพ็ญกุศลของเขาได้

หากระหว่างเดินทางตรงกับวันหยุดเข้าพรรษาพอดี พระภิกษุสงฆ์เข้ามาทันในหมู่บ้านหรือในเมืองก็พอจะหาที่พักพิงได้ตามสมควร แต่ถ้ามาไม่ทันก็ต้องพึ่งโคนไม้ใหญ่เป็นที่พักแรม ชาวบ้านเห็นพระได้รับความลำบากเช่นนี้ จึงช่วยกันปลูกเพิง เพื่อให้ท่านได้อาศัยพักฝน รวมกันหลาย ๆ องค์ ที่พักดังกล่าวนี้เรียกว่า "วิหาร" แปลว่า ที่อยู่สงฆ์ เมื่อหมดแล้ว พระสงฆ์ท่านออกจาริกตามกิจของท่านครั้ง ถึงหน้าฝนใหม่ท่านก็กลับมาพักอีก เพราะสะดวกดี แต่บางท่านอยู่ประจำเลย บางทีเศรษฐีมีจิตศัรทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็เลือกหาสถานที่สงบเงียบไม่ห่างไกลจากชุมชนนัก สร้างที่พัก เรียกว่า "อาราม" ให้เป็นที่อยู่ของสงฆ์ดังเช่นปัจจุบันนี้ ทั้งนี้ โดยปกติเครื่องใช้สอยของพระตามพุทธานุญาตให้มีประจำตัวนั้น มีเพียงอัฏฐบริขาร อันได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำ และมีดโกน และกว่าพระท่านจะหาที่พักแรมได้ บางทีก็ถูกฝนต้นฤดูเปียกปอนมา ชาวบ้านที่ใจบุญจึงถวายผ้าอาบน้ำฝนสำหรับให้ท่านได้ผลัดเปลี่ยน และถวายของจำเป็นแก่กิจประจำวันของท่านเป็นพิเศษในเข้าพรรษา นับเป็นเหตุให้มีประเพณีทำบุญเนื่องในวันนี้สืบมาอย่างไรก็ตาม แม้การเข้าพรรษาจะเป็นเรื่องของพระภิกษุ แต่พุทธศาสนิกชนก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำบุญรักษาศีล และชำระจิตใจให้ผ่องใส ก่อนวันเข้าพรรษาชาวบ้านก็จะไปช่วยพระทำความสะอาดเสนาสนะ ซ่อมแซมกุฏิวิหารและอื่น ๆ พอถึงวันเข้าพรรษาก็จะไปร่วมทำบุญตักบาตร ถวายเครื่องสักการะบูชา ดอกไม้ ธูปเทียน และเครื่องใช้ เช่น สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น พร้อมฟังเทศน์ ฟังธรรม และรักษาอุโบสถศีลกันที่วัด บางคนอาจตั้งใจงดเว้นอบายมุขต่างๆ เป็นกรณีพิเศษ เช่น งดเสพสุรา งดฆ่าสัตว์ เป็นต้น อนึ่ง บิดามารดามักจะจัดพิธีอุปสมบทให้บุตรหลานของตน โดยถือกันว่าการเข้าบวชเรียนและอยู่จำพรรษาในระหว่างนี้จะได้รับอานิสงส์อย่างสูง

นอกจากนี้ ยังมีประเพณีสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย คือ "ประเพณีหล่อเทียนเข้าพรรษา"ประเพณีที่กระทำกันเมื่อใกล้ถึงฤดูเข้าพรรษา ซึ่งมีมาตั้งแต่โบราณกาล การหล่อเทียนเข้าพรรษานี้ มีอยู่เป็นประจำทุกปี เพราะในระยะเข้าพรรษา พระภิกษุจะต้องมีการสวดมนต์ทำวัตรทุกเช้า เย็น และในการนี้จะต้องมีธูป-เทียนจุดบูชาด้วย พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันหล่อเทียนเข้าพรรษาสำหรับให้พระภิกษุจุดเป็นการกุศลทานอย่างหนึ่ง เพราะเชื่อกันว่าในการให้ทานด้วยแสงสว่าง จะมีอานิสงฆ์เพิ่มพูนปัญญาหูตาสว่างไสว ตามชนบทนั้น การหล่อเทียนเข้าพรรษาทำกันอย่างเอิกเกริกสนุกสนานมาก เมื่อหล่อเสร็จแล้วก็จะมีการแห่แหน รอบพระอุโบสถ 3 รอบ แล้วนำไปบูชาพระตลอดระยะเวลา 3 เดือน บางแห่งก็มีการประกวดการตกแต่ง มีการแห่แหนรอบเมืองด้วยริ้วขบวนที่สวยงาม โดยถือว่าเป็นงานประจำปีเลยทีเดียว

"ใครนะ ผมลืมไปชื่อนี้ไปแล้ว" ...จาก ประยุทธ์ ถึง ทักษิณ....



"บิ๊กตู่" วอนทุกคนให้เวลา ขรก.ทำงานบอกไม่ใช่สั่งปุ๊บได้ปั๊บ เพราะต้องเห็นใจเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านประเทศทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ยันไม่รู้เรื่อง "สมคิด" แจ้งไม่เข้าร่วม ครม. ส่วน "แม้ว"อาสา เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ บอกลืมชื่อนี้ไปแล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า ที่ก.อุตสากกรรม
โดยได้กล่าวชื่นชมการดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยระบุว่าเรื่องบางเรื่องต้องให้เวลาข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทำงานด้วย ที่สำคัญต้องเข้าใจวัฒนธรรมและธรรมเนียมการปฏิบัติของข้าราชการเพราะเขาต้องรักษากฎกติกาให้มากที่สุด เพราะจะให้พลาดพลั้งไม่ได้ ถ้าจะพลาดพลั้งก็เป็นเพราะใครเป็นคนสั่งให้เขาทำพลาด และโทษต่างๆ ก็ตกมาอยู่ที่ข้าราชการประจำทั้งสิ้น
"ก็ต้องเห็นใจและเราต้องปรับความเข้าใจกันทั้งหมด เพราะช่วงนี้เป็นช่วงแห่งการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่อนาคตที่รุ่งโรจน์ เพราะฉะนั้นอย่าไปฟังไอ้คนที่ออกมาพูด ที่เคยอยู่มาแล้ว แล้วไม่ทำ ทำไม่สำเร็จแล้วมาพูดว่าเราอยู่ทุกวันก็ไปว่าคนพวกนั้นบ้างสิ คนทำงานโดนทุกวันมันไม่ได้"

พล.ประยุทธ์ กล่าวว่า การทำงานต่อจากนี้ทุกคนต้องร่วมมือกันไม่ว่าจะเป็นข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ ประชาชน ทุกคนต้องเตรียมความพร้อมเพราะในวันหน้าการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยเขาต้องมาอยู่แล้ว ทุกคนจึงต้องเตรียมความพร้อม
"ผมไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร เราต้องเร่งสร้างประเทศให้มีความเข้มแข็งไม่ว่าจะใครนักการเมือง ข้าราชการ ประชาชนทุกหมู่เหล่าเป็นเจ้าของประเทศนี้ทั้งนั้น เราจะมาทำลายประเทศนี้กันทำไม ที่ผ่านมาเราก็แย่อยู่แล้ว วันนี้ต้องช่วยกันเร่งทำทุกอย่างให้ดีขึ้น
โดยเร็ว ยอมรับว่ามันไม่ทันใจไม่เหมือนกันกับพอกลับไปบ้าน นอนตื่นขึ้นมาแล้ว เอาตังค์จากกระเป๋าซ้ายย้ายไปกระเป๋าขวาแล้วจบ มันไม่ใช่"

การทำงานเรามีหลายกระทรวง หลายหน่วยงาน กฎหมายกี่พันฉบับก็ต้องทำงานด้วยความระมัดระวัง แต่ก็ต้องเร็วเข้มงวดว่าจะลดขั้นตอนตรงไหนได้บ้าง อันไหนที่ต้องร่วมมือกันต้องมาคุยกัน
"แต่วันนี้เป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่านมันอาจจะติดขัดบ้างและข้าราชการก็ไม่ใช่คอมพิวเตอร์ พอกดปุ๊บแล้วจะออกมาเลย แต่ถือว่ารัฐบาลนี้ทำเร็วที่สุดกว่าทุกรัฐบาล"

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษา คสช.ด้านเศรษฐกิจ ได้แจ้งว่าไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ ในการปรับ ครม.ครั้งนี้กับผมว่า 

"ใครแจ้ง ผมยังไม่เห็นเลย ไม่รู้เรื่องว่าจะรับหรือไม่รับ แล้วยังไม่เห็นว่าผมจะตั้งใครเข้ามาเลยที่มีข่าวออกมาขอถามว่า ใครแจ้ง แล้วแจ้งกับใคร ผมเองยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาแจ้งผ่านสื่อมาหรือ ข่าวเรื่องนี้มาจากไหน แหล่งข่าวเป็นใคร ประเภทแหล่งข่าวสภากาแฟของพวกสื่อ อย่าไปสนใจมากนัก มันพูดเรื่อยเปื่อย ตั้งได้ทุกวันนั่นแหละ ถ้ามีข่าวปลดนายกฯ เมื่อไหร่แล้วค่อยมาถามผม"

เมื่อถามถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เสนอตัวเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้หันมาหาผู้สื่อข่าวแล้วทำท่าเป็นไม่ได้ยิน ก่อนจะยกมือป้องหูพร้อมถามกลับว่า "ใครนะ ผมลืมไปชื่อนี้ไปแล้ว"

ก่อนที่จะเดินออกจากวงให้สัมภาษณ์ไปทันที

Fbวาสนา นาน่วม

ประเทศไทยไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว “Thailand’s New Normal” หน้าตาเป็นอย่างไร แล้วเราควรทำอะไร

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ประธานคณะกรรมการบริหาร สถาบันอนาคตไทยศึกษา
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ประธานคณะกรรมการบริหาร สถาบันอนาคตไทยศึกษา
วันที่ 29 กรกฎาคม 2558 สถาบันอนาคตไทยศึกษาเปิดเผยผลการศึกษาเรื่อง “เศรษฐกิจไทยภายใต้บริบทใหม่: Thailand’s New Normal”โดยดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ประธานคณะกรรมการบริหาร สถาบันอนาคตไทยศึกษากล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในอัตราที่ต่ำลง และช้าลงกว่าเมื่อก่อน เพราะเรากำลังเข้าสู่บริบทใหม่ หรือ “New normal” เช่น เศรษฐกิจไทยจากที่เคยโตเฉลี่ย 5% ในทศวรรษนี้จะโตเฉลี่ยเหลือ 3% ต่อปีเท่านั้น งบประมาณจากที่เคยใช้งบประชานิยมได้เต็มที่ก็กลายเป็นรัฐที่ต้องรัฐเข็มขัดมากขึ้น ทิศทางการลงทุนจะเปลี่ยนไปจากเงินลงทุน “จาก” ต่างประเทศ ก็เปลี่ยนเป็นนำเงินลงทุน “ไปยัง”ต่างประเทศมากขึ้น ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจที่จะโตช้าลง แต่ยังมีมลภาวะมากขึ้นและมีความมั่นคงด้านพลังงานน้อยลง
สาเหตุเพราะปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ได้เปลี่ยนไปแล้ว ประชากรไทยเข้าสู่วัยชรารวดเร็วจนกำลังแรงงานแทบไม่เพิ่ม ค่าจ้างโตเร็วจนแซงผลิตภาพการผลิต ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง หนี้ครัวเรือนที่สูงเกือบ 80% ของจีดีพีจะยังทำให้การบริโภคเพิ่มได้ยากอีกพักใหญ่
นอกจากนี้ ยังมีปัญหารายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่สูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้เวียดนาม การส่งออกปิโตรเคมีชะลอตัวเพราะลูกค้ารายใหญ่อย่างจีนขยายการผลิตจนกลายมาเป็นผู้ส่งออกเสียเอง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็เจอภาวะอุปทานล้นตลาด เป็นต้น
“ตัวอย่างที่ชัดเจนของโครงสร้างที่เปลี่ยนไปและทำให้เกิดบริบทใหม่ คือการส่งออกที่ชะลอตัว หลายฝ่ายเชื่อว่าเกิดจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้คิดไปว่าน่าจะเกิดขึ้นชั่วคราว แต่ความจริงการส่งออกมีปัญหาเชิงโครงสร้าง ด้วยรูปแบบการค้าโลกก็เปลี่ยนไป ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะกลับมาโตเท่าเดิมก็จะไม่ทำให้เกิดการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นมากเหมือนก่อน รวมทั้งยังเจอสภาพการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน และปัจจัยเฉพาะของประเทศ เช่น ปัญหาค่าแรง ทำให้ภาคส่งออกที่เคยโต 12% ต่อไปก็จะเหลือไม่ถึง 4% ต่อปีในทศวรรษนี้”ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
สิ่งที่เราควรทำมีอย่างน้อย 3 เรื่อง คือ หนึ่ง อย่ากระตุ้นด้านอุปสงค์จนเกินไปเพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาโตเหมือนเก่า เพราะศักยภาพของเราได้เปลี่ยนไปแล้ว สอง สร้างระบบความคุ้มครองทางสังคมที่เป็นระบบ ครอบคลุม และครบถ้วน เพื่อไม่ให้เกิดการเยียวยาแบบไม่มีที่สิ้นสุด และสาม มุ่งสู่ “แม่โขง” ไม่ใช่แค่ AEC
ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวเพิ่มเติมว่า “ลุ่มแม่น้ำโขงเป็นพื้นที่ที่เติบโตเร็วมาก ส่วนไทยเองก็มีบทบาทสำคัญในพื้นที่นี้ เราส่งออกสินค้าไปที่กัมพูชา พม่า ลาว เวียดนาม ด้วยมูลค่ามากใกล้เคียงกับที่ส่งออกไปประเทศญี่ปุ่นแล้ว ที่ผ่านมาเราให้ความสำคัญกับการสร้างถนน หรือรางรถไฟเชื่อมกัน แต่ที่จริงควรมุ่งส่งเสริมสิ่งที่จะอำนวยความสะดวกให้เกิดการค้าการลงทุนมากขึ้นด้วย เช่น บริการให้คำปรึกษากฎหมายและภาษี ที่สำคัญคือการพัฒนาคนให้มีทักษะต่างๆ ที่จำเป็น”

นายกฯ บอกลืม ‘ทักษิณ’ แล้ว-อุบ ‘สมคิด’ ร่วมครม.



นายกรัฐมนตรี บอกลืมทักษิณแล้ว อุบสมคิดไม่ร่วม ครม. สุเทพ ต้อง ขอ คสช. ก่อนแถลง ยันไม่ปิดกั้นทุกกลุ่มแต่ต้องเป็นไปตามกติกาเดียวกัน ขณะ ไทยอยู่เทียร์ 3 อย่าโทษการเมือง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกระแสข่าวที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขอเข้ามาเป็นที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจให้กับรัฐบาล ว่า ตนลืมไปแล้ว

ขณะเดียวกันยังไม่เห็น และไม่ทราบเรื่องที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษา คสช. ทำหนังสือไม่ขอรับตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี โดยระบุว่า เป็นเพียงกระแสข่าว เพราะขณะนี้ยังไม่มีการแต่งตั้งใครในคณะรัฐมนตรี

ส่วนการเคลื่อนไหวของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชน ในวันที่ 30 ก.ค. นี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าว่า ต้องให้ คสช. พิจารณา ยืนยันว่าไม่ปิดกั้นทุกกลุ่ม แต่จะต้องเป็นไปตามกติกาเดียวกัน ซึ่งหากเป็นการแถลงที่มีผลประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ไม่มีการเมืองก็สามารถทำได้

ส่วนการปฏิรูปจะเดินหน้าไปพร้อมมูลนิธิฯ หรือไม่นั้น เป็นเรื่องของมูลนิธิฯ ที่จะเสนอไปยังสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. เพราะตนไม่มีอำนาจในการพิจารณาเรื่องนี้ แต่ยอมรับว่าเป็นกังวลกับการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น กับคนที่ไม่รู้เรื่อง ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดได้

พร้อมกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้กล่าวถึงกระแสการจัดอันดับการค้ามนุษย์ของไทย ที่ยังอยู่ในระดับเทียร์ 3 เนื่องจากไม่ได้เข้าร่วมในความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ ทีพีพี ว่า การเข้าร่วมเป็นสมาชิกอาจเสียผลประโยชน์ และถูกกดดัน เช่น สิทธิบัตรยาที่จะทำให้คนไทยเสียโอกาส รัฐบาลจึงได้ชะลอไว้ก่อน ขออย่าโทษการเมือง

ตนยอมรับว่า ไทยทำผิดในเรื่องของการค้ามนุษย์และต้องแก้ไข แต่ไทยไม่สามารถบังคับใครได้ เพราะไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจ ไทยต้องมีศักดิ์ศรีของตัวเอง ขอให้ยึดประเทศเป็นหลัก นอกจากนี้นักธุรกิจก็ออกมายืนยันว่าไม่ได้รับผลกระทบ ขออย่าเอาเรื่องที่ตนไม่ได้มาจากการเลือกตั้งมาเป็นเหตุผลที่ทำให้ไทย ได้เทียร์ 3 เพราะรัฐบาลที่มาจากการเลือก ก็ไม่ได้แก้ไขปัญหา หรือทำได้อย่างรัฐบาลนี้

ไทยหือสหรัฐ

ไทย...'จะหือสหรัฐฯได้แค่ไหน?'
Wednesday, July 29, 2015 - 00:01


ดูเหมือนตอนนี้คนไทย "งงๆ-ตื่นๆ" กับคำว่า Tier 3 พอสมควร ฉะนั้น วันนี้มาทำความรู้จัก Tier กันซักหน่อย!

ผู้ที่จะมาให้ความรู้ "กระชับ-ตรงเป้า" ที่สุด ชั่วโมงนี้ ต้องยกให้ "คุณวันชัย รุจนวงศ์" อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการค้ามนุษย์

คือหลังจากสหรัฐฯ เปิดรายงานการค้ามนุษย์ประจำปี ๕๘ ไปวานซืน (๒๗ ก.ค.๕๘) ไทยยังอยู่ Tier 3 เหมือนเดิม ส่วนเพื่อนบ้านที่อยู่ Tier 3 ด้วยกัน คือมาเลเซีย

ได้เลื่อนชั้น ขึ้น Tier 2!

คุณวันชัยได้โพสต์ fb แสดงความเห็นส่วนตัวไว้ชนิด "ตีโจทย์แตก" อ่านแล้วซี้ดซ้าดเหลือหลาย

ฉะนั้น ขออนุญาตก๊อบปี้คำ "ตีโจทย์ Tier 3" ของคุณวันชัยมาให้นักเรียนลอกกันทั้งประเทศไปพร้อมๆ กันเลย

ท่านโพสต์ไว้ดังนี้..........

เรื่องการจัดอันดับการค้ามนุษย์ของสหรัฐ

Tier 1 คือ ประเทศที่ไม่มีปัญหา หรือมีแต่แก้ได้แล้ว

Tier 2 คือ ประเทศที่มีปัญหา ยังแก้ไม่ได้ แต่ได้พยายามแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

Tier 3 คือ ประเทศที่มีปัญหามาก แต่ไม่แก้ หรือไม่พยายามแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

ในเรื่องนี้ รัฐบาลนี้พยายามแก้ปัญหามากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมาในทุกด้าน ซึ่งอยู่ในหลักเกณฑ์ มาตรฐานและคำนิยามของ tier 2 ไม่มีทางที่จะอยู่ใน tier 3 เลย

สหรัฐก็รู้มาตลอดว่า ประเทศไทยทำเยอะมากมายขนาดไหน เรียกว่าพยายามแก้ปัญหากันอย่างจริงจัง ตามหลักเกณฑ์ มาตรฐาน และคำนิยามของ tier 2

ถ้าไม่มีเรื่องทางการเมืองที่ต้องการกดดันทางเศรษฐกิจกับประเทศไทย ชนิดที่มีการตั้งธงไว้แล้วนี่ อย่างไรประเทศไทยก็ต้องขึ้น tier 2 หรือ tier 2 watch list

การจัดอันดับปีนี้จึงไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง แต่เป็นการตัดสินใจด้วยประเด็นทางการเมืองล้วนๆ

การจัดอันดับประเทศไทยอยู่ในอันดับสาม จะเปิดโอกาสให้สหรัฐ ยุโรป และพรรคพวก อ้างเป็นเหตุไม่ซื้อสินค้าไทย

เพื่อทำลายอุตสาหกรรมประมง อาหารทะเล อาหารทะเลแช่แข็ง อาหารกึ่งสำเร็จรูปจากอาหารทะเล

และไม่ใช่เฉพาะอาหารทะเล........!

แต่ลามปามไปสินค้าอื่นๆ ด้วย คิดประเมินความเสียหายไว้ประมาณสองแสนล้านบาท การส่งออกจะตกต่ำไปเรื่อยๆ ต่อเนื่อง

สหรัฐโจมตีการส่งออก เพราะรู้ว่าเราพึ่งพิงการส่งออกมาก เป้าคือให้เศรษฐกิจตกมากๆ ให้ประชาชนเดือดร้อน แล้วลุกฮือ ต่อต้านรัฐบาลเพราะความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ

รัฐบาลจะอยู่ยาก.........!

อีกส่วนที่กำลังโจมตีคือ เรื่องมาตรฐานการตรวจสอบการบิน อันนี้เป็นอีกเรื่องที่เรามีจุดอ่อน

เป็นการทำลายการเป็นศูนย์กลางการบินของไทยในระยะยาว ทำลายสายการบินต่างๆ ของไทย

และเป้าหมายสุดท้าย คือทำลายการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักอีกเส้นของไทย

ทำนายได้เลยว่า เรื่องการบินไทยจะถูกใบแดงทั้งจากยุโรปและสหรัฐ การบินไทยเจ๊งแน่ๆ รวมทั้งสายการบินสัญชาติไทยด้วย

โพสต์ที่ ๒ ของคุณวันชัย.......

. อันนี้คาดหมายไว้แล้ว

ตอนนี้เป็นเรื่องการเมืองไปแล้ว ถ้าไม่ปฏิวัติ (หมายถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังอยู่-เปลว) ก็คงขึ้น tier 2 WL ไปแล้ว สหรัฐต้องการกดดันไทยต่อไปทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ เพราะรัฐบาลนี้ได้ทำทุกอย่างที่จะทำได้อย่างเต็มที่แล้ว

แต่การพิจารณาไม่ได้ทำกันอย่างตรงไปตรงมาตามเนื้อหา สหรัฐใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำลายเศรษฐกิจไทยต่อไป แล้วจะตามมาด้วย EU ในเรื่องประมง IUU

รวมทั้งเรื่องมาตรฐานการบิน.....!

สหรัฐและยุโรปต้องการกดดันการส่งออกของไทยให้ถึงที่สุด เป็นการแซงชั่นรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ นอกเหนือจากการตัด GSP การไม่เจรจาทำข้อตกลงทางการค้า การจัดเป็น tier 3 เพื่อให้ประเทศสหรัฐและยุโรป รณรงค์ไม่ให้ประชาชนซื้อสินค้าไทย

ปัญหาอยู่ที่ว่าเราจะแก้เกมอย่างไร?

จะพึ่งจีนคงไม่ไหว เพราะจีนก็เอาเปรียบชนิดพม่ากับลาวยังถอยหนี และจีนกำลังทำสงครามเศรษฐกิจกับสหรัฐอยู่อย่างรุนแรง

สหรัฐทุบตลาดจีนอย่างหนัก จีนยังเป๋ไปมา ต้องดูว่าจีนจะตั้งตัวได้อย่างไร รัสเซียยังพังมาแล้ว

ครับ...ท่านอธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ "ถอดรหัส" ถึงการที่สหรัฐฯ คง Tier 3 ไว้กับไทยล่อนจ้อนครบทุกด้าน ไม่เหลืออะไรให้ผมอวดฉลาด-อวดโง่ได้อีก

ทำได้เพียง อยาก "ขยายความ" ตรงที่ท่านโพสต์ว่า..........

"ในเรื่องนี้ รัฐบาลนี้พยายามแก้ปัญหามากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมาในทุกด้าน....." สักนิด

คือผมเห็น "ธาตุแท้" พูดชัดๆ "สันดานแท้" คนพวกหนึ่ง เมื่อทราบว่าไทยไม่หลุด Tier 3 แทนที่จะมีความรู้สึก "เจ็บร่วมกัน" บนความเป็นไทยร่วมชาติ

กลับแสดงอาการกระหยิ่ม-ยิ้มย่อง พูดจาถากถาง หยามหยันรัฐบาล คสช. ทำเหมือนว่า Tier 3 นี้ เพราะรัฐบาล คสช.ทำให้มันเกิดขึ้น

ทักษิณ ซุกหัวอยู่ดูไบ ซ่อนความสะใจแสดงบท "ความปรารถนาดีของจิ้งจอก" ต่อไทย ต่อรัฐบาล ต่อประชาชน ให้พวกทาสเงินโกงนำมาออกข่าวบลัฟนายกฯ ประยุทธ์

"ห่วงประเทศ สงสารคนไทยที่ลำบากยากจนตอนนี้ ถ้าอยากให้ไปช่วย...ก็บอกมา"

ขอโทษ...ทุ้ย!

กอบขี้ตีนไอ้กันฉาบหน้าอวดนวล ทำนองว่า.....มั้ยล่ะ ลูกพี่ข้ามะริกันกระทืบด้วย Tier 3 กระอักเลือด ข้าไปช่วยพูดให้เลื่อนชั้นได้นะ เอามั้ย...ถ้าเอาก็บอกข้าได้นะ ประมาณนั้น

ดูเถอะพี่น้อง......

เรื่อง Tier 3 ไม่ใช่เรื่องเหลือง-แดง-คสช.-นปช.-กปปส.หรือใครคนใด-คนหนึ่ง แต่เป็นเรื่อง "ผลประโยชน์ร่วมกัน" ของประเทศ ของพี่น้องไทยด้วยกันทั้งชาติ

แต่ทักษิณ กับสมุน "บางคน" กลับสะใจ-ดีใจ-สมน้ำหน้า ที่เห็นสหรัฐฯ เล่นบท "หมาป่ากับลูกแกะ" ขย้ำ...หยาบหยาม-ย่ำเหยียบประเทศไทย-คนไทย

ด้วยคิดเพียงว่า...

"ใครทำให้ 'ประเทศไทย-คนไทย' ฉิบหายล่มจมไปได้ นั่นคือ ความสุขที่ข้าแสนจะสะใจ"

ตามคติที่ว่า..."เมื่อกูอยู่ไม่เป็นสุข ใครก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่เป็นสุข"!?

กรณี Tier 3 นี้ ความเป็นจริง ทักษิณ และนักการเมืองเพื่อไทยทุกคน คนที่มีสำนึก...ควรนิ่ง ระดับวิญญูชน ควรแสดงทัศนะ "ร่วมทุกข์-ร่วมสุข"

ก็จำกันไม่ได้หรือ...........?

Tier 3 นี้ มันเหตุเกิดในรัฐบาลนางยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่ในรัฐบาล คสช. เป็นกากเดนแห่งความเลวร้ายด้านค้ามนุษย์ ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทิ้งไว้ให้ "รัฐบาล คสช." ชำระล้าง

ตัวเล็ก-ตัวใหญ่ ที่ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ไปลากคอมาเข้าคุกฐานค้ามนุษย์ โดยเฉพาะแถวภาคใต้ ยิ่งไอ้ตัวการที่ยังหลบหนี...มันพวกไหนล่ะ เป็นพวกที่ปล่อยให้ค้า แล้วเอาเงินมาหนุนเผาบ้าน-เผาเมืองใช่หรือเปล่า?

๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗.......

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นำคณะ คสช.เข้าควบคุมอำนาจปกครองประเทศ

๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๗...........

นายจอห์น แคร์รี รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงรายงานเรื่องการค้ามนุษย์ ประจำปี ๒๕๕๗ จัดอันดับไทยอยู่ Tier 3

เนี่ย...วัน-เวลา มันยืนยันชัด วันยึดอำนาจกับวันประกาศ ห่างกันไม่ถึงเดือน

สหรัฐฯ เขาเก็บตัวเลขไปทำรายงานประจำปี เริ่มแต่ เม.ย.๕๖ จนถึง มี.ค.๕๗ เป็นช่วงรัฐบาลระบอบทักษิณบริหารโดยตรง ดังนั้น ทั้งทักษิณ ทั้งไอ้พวกขี้ตีนทักษิณ

จะเป็นคน หรือไม่ใช่คนก็ตาม ควรมีสำนึกว่า Tier 3 ที่สหรัฐฯ คงไว้วันนี้ ไม่ใช่จาก คสช. หากแต่เป็นอย่างที่คุณวันชัย รุจนวงศ์ โพสต์ไว้

"ในเรื่องนี้ รัฐบาลนี้ (คสช.-เปลว) พยายามแก้ปัญหามากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมาในทุกด้าน....."

เอาล่ะ...แล้วจะเป็นอย่างไรต่อ เมื่อสหรัฐฯ จับไทยขึงหลักประหาร? นายแพทริก เมอร์ฟี อุปทูตสหรัฐฯ ประจำไทย บอกให้รอฟังการตัดสินใจของโอบามาภายใน ๙๐ วัน จะใช้มาตรการคว่ำบาตรไทยหรือไม่อย่างไร?

ผมว่า นายกฯ ลุงตู่ ตอบสนองการเป็น "จ้าวเข้าครอง" ของสหรัฐฯ ด้วยปฏิปทา "พระป่า" คือปิดวาจาและนิ่งเฉย นั้น ถูกทางแล้ว

ถามว่า....โอบามาจะกล้า "คว่ำบาตร" ทางเศรษฐกิจ-การค้าไทย เหมือนที่ทำกับอิหร่าน-รัสเซียมั้ย?

๓ คำ คือ............

"จริงไม่กลัว....กลัวไม่จริง"!
http://www.thaipost.net/?q=ไทยจะหือสหรัฐฯได้แค่ไหน

หุ้นจีนตกต่อเนื่องหลังจากที่ร่วงหนักในรอบแปดปีเมื่อวานนี้



หุ้นจีนตกต่อเนื่องหลังจากที่ร่วงหนักในรอบแปดปีเมื่อวานนี้
ทางการจีนพยายามฟื้นความเชื่อมั่นด้วยการบอกว่าจะใช้นโยบายการเงินสร้างเสถียรภาพ ธนาคารชาติของจีนระบุว่าจะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบกว่า 8,000 ล้านดอลลาร์ แต่ธนาคารยืนยันว่าตัวเลขเศรษฐกิจบ่งชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจจีนกำลังดีขึ้น
วันนี้ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตกลงกว่า 4% ในการซื้อขายช่วงแรก ขณะที่เมื่อวานนี้ดัชนีร่วงหนักที่สุดในรอบแปดปีคือลงมามากกว่า 8% ทั้งนี้หลังจากที่มีการเปิดตัวเลขดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจผลกำไรของภาคอุตสาหกรรม ทางการจีนบอกว่าจะเข้มงวดเรื่องการซื้อขายระยะสั้น แต่นักวิเคราะห์ยังไม่ค่อยเชื่อประสิทธิภาพของมาตรการนี้เท่าใดนัก เอเวนส์ ลูคัส แห่งบริษัทไอจีระบุว่า ตลาดหุ้นจีนอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถสนับสนุนตัวเองได้ เพราะต้องรับผลกระทบจากปัจจัยหลายอย่างรวมกัน
ที่ฮ่องกง ดัชนีหั่งเส็งตกเช่นเดียวกัน ในช่วงแรกของการซื้อขายดัชนีลงไปครึ่งเปอร์เซ็นต์ ตลาดหุ้นอื่นๆในเอเชียก็ล้วนได้รับผลกระทบจากหุ้นจีน เช่นดัชนีนิเคอิของตลาดหุ้นญี่ปุ่นตกลง 1.1% ขณะที่ที่เกาหลีใต้ นักลงทุนได้แรงหนุนจากการที่ทางการสามารถจัดการกับการระบาดของไวรัสเมอร์สได้ดีขึ้น ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเกาหลีขยับขึ้น 0.9%