PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

จาตุรนต์ ฉายแสง :วรเปิดให้มีการลงประชามติ

จาตุรนต์ ฉายแสง

ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นธรรมนูญการปกครอง ได้เห็นแต่ข่าวจากแหล่งข่าวซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะจริงสักกี่เปอร์เซนต์ ก็เลยยังวิจารณ์อะไรไม่ค่อยถูก จะแสดงความเห็นได้บ้างก็คงเป็นเรื่องที่มีการพูดถึงและวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่บ้างแล้ว

การร่างรัฐธรรมนูญที่จะมีขึ้นนั้นผมเข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยไม่ว่าสำหรับใครหรือไม่ว่าใครจะมาร่าง เพราะรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมาก็ถือว่าเอียงกะเท่เร่เต็มทีแล้ว แถมศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยไว้ในทางที่ยิ่งเอียงเข้าไปใหญ่ แล้วความเห็นของคนในสังคมโดยเฉพาะที่ให้ความสนใจและเสียงดังหน่อยก็ยังเห็นต่างกันอีก คือฝ่ายหนึ่งเห็นว่าต้องดึงกลับมาจากที่เอียงเกินไป แต่อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าที่ว่าเอียงนั้นไม่ได้เอียง และยังต้องมีการแก้ไขไปในทางปฏิรูปอีก ปฏิรูปแบบที่บอกว่าปฏิรูปก่อนเลือกตั้งนั่นแหละ

เมื่อเห็นต่างกันไปคนละทางอย่างนี้จึงเป็นปัญหาว่าผู้ร่างจะมีกระบวนการอย่างไร ความจริงต้องตั้งปัญหาก่อนด้วยซ้ำว่าควรตั้งใครเป็นผู้ร่าง แล้วก็ถามต่อไปว่าจะมีกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญกันอย่างไร จะให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการร่างมากน้อยแค่ไหน และสุดท้ายคือจะให้ประชาชนได้มีโอกาสตัดสินด้วยการลงประชามติหรือไม่

ในความเห็นผม ผู้ร่างควรจะเป็นผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ที่มาจากหลายๆฝ่ายคละกัน เวลาร่างควรเปิดรับฟังความคิดเห็นอย่างกว้างขวางให้แสดงความคิดเห็นกันได้เต็มที่และสุดท้ายควรเปิดให้มีการลงประชามติซึ่งควรกำหนดให้ชัดเจนแต่ต้นเพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศได้รู้ว่าจะมีการลงประชามติและจะได้ให้ความสนใจติดตามและมีส่วนร่มอย่างเต็มที่ในขั้นตอนรับฟังความคิดเห็น

สิ่งที่จะเสนอต่อไปคือหัวข้อสำคัญๆในการร่างรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มีความเห็นต่างกันอยู๋และมีความหมายต่อการบริหารปกครองและการแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมคืออะไรเป็นต้น แต่คงต้องขอไว้เป็นวันต่อไปหรือวันต่อๆไปนะครับ

คืนนี้ต้องพยายามนอนหัวค่ำ พรุ่งนี้จะได้นอนหัวค่อได้แล้วตื่นมาดูบอลโลกตอนตีสาม มาถึงรอบนี้ถึงดึกก็ต้องดู เพียงแต่ต้องพยายามนอนให้พอ จะได้ไม่ป่วย
สวัสดีทุกท่านครับ

"ปลัดพณ." เครื่องร้อน !!! สั่งเด้ง 2 อธิบดี รับผิดชอบ "ข้าวเน่า-ล่องหน" อื้อ

"ปลัดพณ." เครื่องร้อน !!! สั่งเด้ง 2 อธิบดี รับผิดชอบ "ข้าวเน่า-ล่องหน" อื้อ
"ปลัดพณ." เพิ่งรับตำแหน่งมาไม่นาน !!! ลงนามคำสั่งย้าย 2 อธิบดี หลังไม่ตอบสนองนโยบายคสช. ปล่อยข้าวเสื่อมคุณภาพเต็มสต็อก
วันนี้ ( 7 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเพิ่งมาดำรงตำแหน่งนี้ตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ที่ผ่านมา ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายข้า ราชการกระทรวงพาณิชย์วันที่ 4 ก.ค. จำ นวน 2 ราย คือ ย้ายนายสุรศักดิ์ เรียงเครือ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ และแต่งตั้งนางดวงพร รอดพยาธิ์ ที่ปรึกษาการพาณิชย์ มารักษาการอธิบดีกรมการค้าต่างประ เทศ และย้ายนายสมชาติ สร้อยทอง อธิบดีกรมการค้าภายใน ไปเป็นผู้ตรวจ ราชการกระทรวงพาณิชย์ และแต่งตั้งนางจินตนา ชัยยวรรณาการ รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ รักษาการอธิบดีกรมการค้าภายใน
สำหรับนายสุรศักดิ์และนายสมชาติ ได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิบดีในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อให้เข้ามาแก้ไขปัญหาโครงการรับจำนำข้าวในเรื่องของการระบายข้าว
ด้านนายสุรศักดิ์ยอมรับว่า ได้รับแจ้งทางวาจาจาก น.ส.ชุติมาแล้ว แต่ยังไม่เห็นคำสั่งอย่างเป็นทางการ ซึ่งอยู่ที่ไหนก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสม
ขณะที่นางประภาศรี บุญวิเศษ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะทำงานตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวของรัฐชุดที่ 1 เปิดเผยว่า วันที่ 10 ก.ค.นี้ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะทำงานจะลงพื้นที่ ต.พระแก้ว อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อตรวจสอบโกดังของ หจก.ศิริอโยธยา หลังที่ 1 ซึ่งเป็นโกดังเก็บข้าวชนิดข้าวขาว 5% จำนวน 18,559 กระสอบ โดยเป็นไปตามแผนการตรวจสอบโกดังกลางของคณะทำงานตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวของรัฐ ชุดที่ 1 ที่รับผิดชอบในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จากทั้งหมด 14 จุด ทั้งนี้ จากการเข้าตรวจสอบโกดังกลางไปแล้ว 8 จุด ไม่พบสิ่งผิดปกติ ยังคงเหลืออีก 5 จุด คือที่ อ.ลาดบัวหลวง, อ.ท่าเรือ และ อ.บ้านแพรก
พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนของตำรวจเข้าร่วมดูแลด้านการจัดกำลังกับทุกภาคส่วนเพื่อลงไปดำเนินการตรวจสอบ ส่วนกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบข้าวในโกดัง จ.ปทุมธานี พบข้าวหายกว่า 9 หมื่นกระสอบนั้น ได้มีการกล่าวโทษ และสั่งการให้พนักงานสอบสวนในพื้นที่ลงไปตรวจสอบเพื่อหาความชัดเจนอีกครั้งในวันที่ 7 ก.ค.นี้
ที่ จ.พิจิตร นพ.สุวรรณชัย วัฒนา ยิ่งเจริญชัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าชุดตรวจโกดังเก็บ ข้าว ได้ทำการตรวจโกดังข้าวของ บจก. ศิริชัยอินเตอร์เทรด อ.เมืองพิจิตร ซึ่งเป็นโกดังข้าวขององค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) โดยในโกดังแห่งนี้มีข้าวขาว 5% จำนวน 214,196 กระสอบ แต่ในขณะนี้เหลือเพียง 13,123 กระสอบ โดยข้าวในโกดังแห่งนี้ได้ขายให้กับผู้ซื้อไปแล้ว และอยู่ระหว่างการขนส่ง แต่ต้องปิดเพื่อรอการตรวจสอบไว้ก่อน
ส่วนแห่งที่ 2 เจ้าหน้าที่อีกชุดได้ไปตรวจสอบ ที่คลังเก็บข้าว บจก.เคทีบีอะโกร เลขที่ 25/3 ต.หอไกร อ.บางมูลนาก ในไซโลหมายเลข 17 ซึ่งแสดงบัญชีว่าเป็นข้าวขาว 5% เป็นข้าวในโครงการรับจำนำข้าวปี 2556/57 จำนวน 13,986 ตัน แต่ตรวจพบเพียง 8,928 ตัน และยังพบอีกว่าข้าวที่เหลือทั้งหมดเป็นข้าวท่อนและข้าวปลาย แทนที่จะเป็นข้าวขาว 5% ตามบัญชี นอกจากนั้น คณะกรรมการตรวจข้าวยังระบุว่าน่าจะเป็นข้าวที่เก่ากว่าปี 2556/57 คล้ายกับการสวมข้าว ซึ่งจะตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับแห่งที่ 3 เจ้าหน้าที่อีกชุดหนึ่งได้ไปตรวจสอบที่คลังเก็บข้าวย่งฮงเส็ง หลังที่ 2 เลขที่ 58 หมู่ 8 ต.ตำบลท่าบัว อ.โพทะเล พบว่ากองข้าวกองที่ 6 ล้ม จำนวน 2,000 กระสอบ จึงได้ทำการหยุดตรวจสอบและให้ทำการเรียงกระสอบใหม่ และให้เจ้าหน้าที่ทหารเฝ้าโกดังไว้ก่อน และจะมาตรวจสอบซ้ำในวันที่ 7 ก.ค.อีกครั้ง
นายปิ่นชาย ปิ่นแก้ว ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งเป็นหัว หน้าชุดที่ 84 ได้นำกำลังทหารและฝ่ายพลเรือนเข้าตรวจที่คลังสินค้า บจก.พิจิตรผลิตภัณฑ์ข้าว ซึ่งตั้งอยู่ที่ 9/4 ต.หอไกร อ.บางมูลนาก ซึ่งเป็นข้าวสารในโครงการรับจำนำข้าวขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ปี 55/56 จาก 28 โรงสีใน จ.พิจิตร มีปริมาณข้าวสาร 250,281 กระสอบตั้งเรียงอยู่ 14 กอง จึงทำการสุ่มตัวอย่างในกองที่ 1 และกองที่ 6 พบว่าคุณภาพข้าวสารมีปลอมปนที่ไม่ใช่ข้าวสาร 5% ตามที่ระบุไว้
นอกจากนี้ยังพบว่าข้างกระ สอบข้าวสารระบุว่าเป็นข้าวที่มาจาก จ.นครปฐม จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.สระ บุรี จ.อ่างทอง จ.สุพรรณบุรี แต่ยังไม่สามารถบอกจำนวนได้ จึงตั้งข้อสังเกตของลักษณะที่พบว่าเป็นการบ่งชี้ถึงการสวมสิทธิ์จำนำข้าวโดยเอาข้าวสารจากจังหวัดอื่นมาเวียนเทียนจำนำ ซึ่งจะได้รายงานให้แม่ทัพภาคที่ 3 และหัวหน้า คสช. ตั้งชุดสืบสวนหาข้อเท็จจริงเพื่อเอาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ที่ จ.เชียงราย นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะทำ งานตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวชุดที่ 54 พ.อ.ภาณุวัฒน์ เหนียวแน่น รองผู้บังคับการจังหวัดทหารบก เชียงราย นำคณะกรรมการและผู้เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบคลังสินค้าของ อคส.ตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2556/2557 ของบริษัท ผางาม อัลไลแอนซ์ โลจิสติกส์ จำกัด หลังที่ 1 ตั้งอยู่เลขที่ 59 ม.14 ต.ผางาม อ.เวียงชัย พบว่าคลังสินค้าแห่งนี้ได้เก็บข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 เอาไว้เต็ม โดยแบ่งเป็น 2 กอง และมีจำนวนรวมทั้งหมด 18,000 กระสอบ น้ำหนักทั้งหมด 1,802,796.266 กิโลกรัม ซึ่งข้าวทั้งหมดยังคงอยู่ครบ โดยมีการกองเป็นชั้นสูงตาม ส่วนความผิดปกติโดยทั่วไปยังไม่พบ
นายสมศักดิ์กล่าวว่า จะมีการตรวจสอบคลังสินค้ากลางจำนวน 27 คลัง ไซโล 2 แห่งรวมทั้งหมด 29 แห่งในพื้นที่ 6 อำเภอของ จ.เชียงราย คือ อ.เวียงชัย อ.แม่จัน อ.เวียงป่าเป้า อ.ป่าแดด อ.แม่สาย และ อ.เชียงแสน ปริมาณข้าวรวมกันทั้งหมด 842,223 กระสอบ น้ำหนักรวม 7,657.30 ตัน คาดว่าจะใช้ระยะเวลาตรวจสอบทั้ง หมดไม่เกิน 5 วัน เมื่อแล้วเสร็จจะรายงานต่อ คสช.ต่อไป
ที่ จ.กำแพงเพชร นางนันทิยา อุ่นประเสริฐ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานชุดตรวจที่ 60 พร้อมด้วย พ.ท.ชัยธัช ยิ้มทิม ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 4 นำกำลังทหารและเจ้าหน้าที่ทั้ง 4 ฝ่ายเข้าตรวจสอบโกดังเก็บข้าวของบริษัทเพชรภูผา เขาสว่าง ต.หนองปลิง อ.เมืองฯ โดยมีนายสุรพล วานิชเสนี ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร ได้เดินทางมาสังเกต การณ์ด้วย
สำหรับโกดังแห่งนี้ อคส.ได้มาเช่านำปลายข้าวนาปรังปี 2555 มาเก็บเป็น 7 กอง จำนวน 87.129 กระสอบ รวมน้ำหนัก 8.7 ตัน เมื่อเปิดโกดังเข้าไปภายใน พบว่ามีกองข้าวล้มปิดขวางทางเดินจำนวน 5 กอง และที่กำลังจะสไลด์ลงมาอีก ส่วนสภาพกระสอบข้าวส่วนใหญ่มีมอดขึ้นเต็มไปหมด และบางกระสอบมีสภาพหลวมข้าวไม่เต็มกระสอบ นอกจากนี้ตามพื้นมีตัวมอดไต่กันยั้วเยี้ย และมีบางส่วนที่บินกันว่อนทั่วโกดัง ทำให้คณะกรรมการตรวจนับไม่สามารถจะตรวจนับได้ จึงได้สั่งปิดโกดังแห่งนี้ไว้ก่อน เพื่อที่จะให้ อคส.นำคนงานมาเรียงข้าวให้ขึ้นกองเรียบร้อยก่อนจะกลับมานับจำนวนใหม่อีกรอบ
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจนับจำนวนข้าวในพื้นที่ จ.กำแพงเพชร ที่ผ่านมาทั้ง 3 วัน ไม่พบการทุจริตข้าวหาย พบแต่ข้าวที่เสื่อมสภาพเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ข้าวต้องเสื่อมคุณ ภาพไประยะเวลาของการเก็บ
วันเดียวกัน นางทยา ทีปสุวรรณ อดีตแกนนำ กปปส. ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในหัวข้อ "น้ำลด..ต่อผุด ตอน: มหกรรมการโกงจำนำข้าว" ว่า ผลการตรวจสอบโกดังข้าวทั่วประเทศพบข้าวเสียหายจำนวนมาก มีทั้งข้าวเน่า ข้าวปลอม เวียนเทียนข้าว ทั้งหมดนี้ คือภาษีของประชาชนและหยาดเหงื่อแรงงานของชาวนาทั้งสิ้น ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโครงการจำนำข้าวถึงขาดทุนย่อยยับถึง 5 แสนล้านบาท และข้าวหายไปกว่า 3 แสนตัน และที่สำคัญนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่รับผิดชอบสมัยนั้นไม่สามารถตอบคำถามอะไรได้เลย และพยายามเลี่ยงการตรวจสอบทุกรูปแบบ จึงหวังว่าคดีทุจริตคอร์รัปชันเชิงนโยบายเช่นนี้จะต้องมีการดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างถึงที่สุด เพื่อเป็นบทเรียนให้กับผู้ที่จะมาบริหารประเทศต่อไป.

ทบ.พรึบซื้อ“เครื่องแบบ-รองเท้าทหาร”ร้านเดียว วันเดียว 6 ครั้ง 52.7 ล.

ทบ.พรึบซื้อ“เครื่องแบบ-รองเท้าทหาร”ร้านเดียว วันเดียว 6 ครั้ง 52.7 ล.

กองทัพภาค 3 ส่วนหน้า ทบ.พรึบจัดซื้อเครื่องแบบ-เสื้อยืด-รองเท้าทหารจาก ร้านเดียว วันเดียวกัน 6 ครั้ง 52.7 ล้านแยกสัญญา
PIC-army-11
กองกองทักบก โดยกองทัพภาค 3 ส่วนหน้า ได้ทำสัญญาจัดซื้อเครื่องแบบ เสื้อยืดและรองเท้ากำลังพลและอาสมัครทหารราน จากห้างหุ้นส่วนจำกัด นำพลอินเตอร์เทรด คู่ค้ารายใหญ่ของกองทัพ ในวันเดียวกัน 6 ครั้งรวมวงเงิน 52,723,943 บาท
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 57 กองทัพภาค 3 ส่วนหน้าได้ทำสัญญาจัดซื้อจาก ห้างหุ้นส่วนจำกัด นำพลอินเตอร์เทรด จำนวน 6 ครั้ง
1.จ้างผลิตเครื่องแบบสนาม วงเงิน 15,992,972 บาท
2.ซื้อเสื้อยืดคอรูปตัววี (สีพราง ลายดิจิตอล) จำนวน 9,118 ตัวและถุงเท้าสีดำจำนวน 9,118 คู่ วงเงิน 
1,933,016 บาท
3.รับจ้างผลิตรองเท้าทรงสูงครึ่งน่องจำนวน 4,559 คู่ วงเงิน 5,001,223 บาท
4.ซื้อขายเสื้อยืดคอกลม ถุงเท้า กางเกง รองเท้าผ้าใบ เข็มขัด หมวกทรงอ่อน ผ้าขาวม้า ฯลฯ วงเงิน 
7,851,226 บาท
5.จ้างผลิตเครื่องแบบสนามอาสาสมัครทหารพราน(ชนิดป้องกันยุง) จำนวน 9,328 ชุด วงเงิน 15,405,192 บาท 
6.รับจ้างผลิตรองเท้าทรงสูงครึ่งน่อง จำนวน 5,926 คู่ วงเงิน 6,540,314 บาท
ทั้งนี้ ห้างหุ้นส่วนจำกัด นำพลอินเตอร์เทรด เดิมชื่อ ห้างหุ้นส่วนจำกัด สยามเอเชียเครื่องมือแพทย์ จดทะเบียน วันที่15 มิถุนายน 2527 ทุนปัจจุบัน 50 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 90/1-4 ถ.พระร่วง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก มีร่วมผู้เป็นหุ้นส่วน 4 คน คือ นางจุฬาลักษณ์ ตันติมาสกุล นายพชรพล ตันติมาสกุล นายศักดิ์ชัย ศักดิ์ศรีสุวรรณ และ นายสมศักดิ์ ตันติมาสกุล แจ้งผลประกอบการ ปี 2555 รายได้  293,318,050 บาท กำไรสุทธิ 11,814,846 บาท 
ก่อนหน้านี้กองทัพบกจัดซื้อจากเอกชนรายนี้ ประมาณ 90 ครั้ง รวมวงเงินประมาณ 1,338 ล้านบาท

30กันยา 57 พลเอกประยุทธ์ จะอยู่ในสภาพเดียวกับพลเอกเกรียงศักดิ์ ..?

อยากให้อ่านอันนี้จากมติชนกันนะครับ เพราะสภาวการณ์นี้ กำลังจะเกิดกับ พลเอกประยุทธ์ ในห้วงหน้านี้ เหมือนๆกันเป๊ะๆเลย..กรณีขึ้นเป็นนายกฯโดยไม่ต่ออายุราชการ ผบ.ทบ.

สภาวะ ตีนลอย พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ทาง "การทหาร"

ถามว่าตอนที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็น "ผบ.ทบ." เมื่อเดือนตุลาคม 2521 พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นึกถึงตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี" หรือไม่

หากใครไปถามตอนนั้นท่านคง "ปฏิเสธ"

เป็นการปฏิเสธด้วยความสุภาพ ด้วยความนุ่มนวล ตามแบบฉบับของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่สำคัญ ห้วงเวลาของการดำรงตำแหน่งนี้ เป็นห้วงเวลาที่พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นทั้ง "ผู้บัญชาการทหารสูงสุด" และ "นายกรัฐมนตรี"

รู้ทั้งรู้ว่าทำไมจึง "แต่งตั้ง"

ทาง 1 โยก พล.อ.เสริม ณ นคร จากกองทัพบกไปเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ทาง 1 ดัน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จากผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก เพราะในเดือนเมษายน 2522 ก็จะมีการเลือกตั้ง

เป็นการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2521 ซึ่ง พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ มาดหมายจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยมี "กองทัพ" เป็นฐานค้ำยันสำคัญ

กองทัพในที่นี้เป็นผลจากการร่วมกันทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ในนาม "คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน" และกระชับยิ่งขึ้นในการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2520

รัฐประหารเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 นายกรัฐมนตรีอาจคือ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร แต่รัฐประหารเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2520 แม้ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ จะต้องการอำนาจในฐานะหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน

แต่อย่าลืมว่า พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ คือ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน

ขณะเดียวกัน รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2521 ก็เป็นการร่างบนพื้นฐานที่ต้องการสืบทอดอำนาจของทหาร ไม่ว่าจะในนามคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน หรือในนามอื่นใดก็ตาม เพราะบทเฉพาะกาลยังให้อำนาจวุฒิสภาเหนือกว่าสภาผู้แทนราษฎร

พล.อ.เสริม ณ นคร จึงเป็นรองนายกรัฐมนตรีขณะที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด
และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จึงเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมขณะที่เป็นผู้บัญชาการทหารบก อำนาจของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ จึงมาจาก "กองทัพ" มิใช่ "พรรคการเมือง"

แม้ว่า พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ จะเสนอชื่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ให้เป็นผู้บัญชาการทหารบก เพื่อหวังให้เป็นฐานะ 1 ทางการเมือง แต่ความเป็น "อนิจจัง" ก็ดำรงอยู่อย่างเที่ยงแท้ แน่นอน

ด้าน 1 กำลังทางการทหารก็ค่อยๆ เหออกจาก พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ไปทางยัง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ เป็นการเหออกเมื่อความนิยมในตัว พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ลดลง
ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกที่ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ หยิบยื่นให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นั่นแหละคือแม่เหล็กแท่งมหึมา ขณะเดียวกัน ด้าน 1 กำลังทางด้านการเมืองก็แปรเปลี่ยน

ไม่เพียงแต่ พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร และ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ จากพรรคชาติไทยเท่านั้นที่เข้ามาห้อมล้อม หาก นายเกษม ศิริสัมพันธ์ จากพรรคกิจสังคม ตลอดจน นายวีระ มุสิกพงศ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ ก็เข้ามาห้อมล้อมเห็นว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เหมาะในตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี"

ที่สำคัญเป็นอย่างมาก บรรดาสมาชิกวุฒิสภา "สายทหาร" และ "สายข้าราชการ" ก็เริ่มเข้าไปห้อมล้อม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เช่นเดียวกับฝ่ายการเมืองแม้ว่าคนเหล่านั้นจะได้รับแต่งตั้งจาก พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ก็ตาม

สภาวะอันไม่จีรัง ยั่งยืนในตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี" ของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ จึงดำเนินไป
ด้วย 1 เพราะการผงาดขึ้นมาของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ขณะเดียวกัน ด้วย 1 เพราะการเสื่อมลงตามกฎแห่งอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้ ของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ในทางการเมือง

ที่สำคัญเพราะไม่ได้มี "ตำแหน่ง" ใดๆ ในทาง "การทหาร" อยู่อีกแล้ว
หมายเหตุ : 30กันยา 57 พลเอกประยุทธ์ ก็จะอยู่ในสภาพเดียวกับพลเอกเกรียงศักดิ์ เช่นกัน ..

ระเบิดเวลาชื่อ "วีระ สมความคิด"


ระเบิดเวลาชื่อ "วีระ สมความคิด"
การเมืองร้อนขึ้นมาทันที หลังจากที่ "วีระ สมความคิด" ทิ้งบอมบ์ไปที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์และอภิสิทธิ์ ว่าไม่มีความ "จริงใจ" ในการช่วยเหลือ แถมบอกพร้อมจะแฉว่าใครทำอะไรกับเขาไว้บ้างในช่วง 3 ปีครึ่งในคุกเขมร
เมื่อรวบรวมข่าวสารจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ พอจะมองออกว่าปมที่คาใจและกลายเป็นไฟในทรวงของ "วีระ สมความคิด" มีอยู่ประมาณนี้
เริ่มตั้งแต่ตอนโดนจับใหม่ๆ
-ตอนที่ไปบ้านหนองจาน ตัวเองไม่ได้เป็นตัวตั้งตัวตี แต่เป็นพนิช ส.ส.ปชป.ที่คุยกับพ่อท่านโพธิรักษ์ แล้วชวนวีระไปดูพื้นที่
-แต่พอถูกจับรัฐบาลอภิสิทธิ์ กลับเมินเฉยไม่ยอมช่วยเหลือ จนคนไทยทั้งหมดถูกพาตัวไปที่พนมเปญ
-ตลอดสมัยรัฐบาลมาร์ค คนกลุ่มนี้เหมือนถูกลอยแพ ไม่มีมาตรการกดดันเพื่อบีบให้เขมรปล่อยตัว ทั้งที่รู้ว่าการตัดสินใจทั้งหมดอยู่ที่ฮุนเซน ขั้นตอนทั้งหมดเป็นแค่ข้ออ้าง
-พนิช ถูกปล่อยตัวก่อน วีระ ยิ่งคิดมากว่าปชป.ช่วยแต่คนของตัวเอง
-ส่วนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็สร้างความเจ็บแค้นเพราะช่วยจริง แต่ช่วยแบบมีเงื่อนไข
-สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เคยเจรจาให้ปล่อยตัววีระ แลกกับการห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง และที่สำคัญให้ถอนการฟ้องคดีที่ดินรัชดา ซึ่งเป็นหมัดน็อคทักษิณ ชินวัตร
-วีระเคยบอกเคยมีคนมาเจรจาให้ปล่อยตัว แบบมีเงื่อนไขก็คือเรื่องนี้แหล่ะ ซึ่งแกยืนยันว่ารับไม่ได้ เพราะยังต้องการเคลื่อนไหวปกป้องดินแดนต่อไป
ในสายตาวีระ ทั้งสองรัฐบาลล้วนไม่จริงใจ และนี่คือไฟที่สุมทรวงวีระ สมความคิด
ข้อมูลที่พร้อมจะเปิดเผย คือระเบิดเวลาที่รอวันทำงาน ไม่ช้าไม่นานจะได้รู้กัน