PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ลักลั่นโกยกันเนียนๆ

ลักลั่นโกยกันเนียนๆ

ท่าทางจะเจอ “โจทย์ยาก”

จับอาการที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. เม้งแตกใส่สื่อมวลชนที่รายงานโผโยกย้ายทหารประจำปี

ฟันธงชื่อนั้น ชื่อนี้ จองตำแหน่งกันตาม “พลังภายใน”

ทำให้ “บิ๊กตู่” พูดเป็นเชิงเหน็บ ถ้าไม่ได้ขึ้นมาก็ให้ไปฟ้องสื่อเลยแล้วกัน

อารมณ์บ่งบอกถึงภาวะกดดัน จากการจัดโผที่ยากอยู่แล้ว ยิ่งสื่อมาเสนอข่าวล็อกโพยกันล่วงหน้า มันยิ่งทำให้สร้างความ “ลำบาก” ในการตัดสินใจเข้าไปใหญ่

ที่แน่ๆจากที่ดูราบรื่นไม่มีอะไร กลายเป็นต้องจับตาปมที่ซ่อนอยู่ในกอไผ่

โผทหารรอบนี้ “ขบเหลี่ยม” กันตรงไหนหรือไม่ ตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่จำเป็นต้องโยงกับการคุมความมั่นคงในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของโรดแม็ป คสช.

กองทัพต้องนิ่งไว้ก่อน เท่าที่จะนิ่งได้

ภายใต้โหมดปรองดองทางการเมืองที่คืบหน้าไปตามลำดับ

ล่าสุด พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม ในฐานะประธานอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ ความคืบหน้าในการจัดทำร่างสัญญาประชาคม ที่ได้ปรับความเหมาะสมของเนื้อหาตามคำแนะนำของคณะกรรมการเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) เรียบร้อยแล้ว

เตรียมนำไปเปิดเวทีชี้แจงกับประชาชนในภูมิภาคต่างๆระหว่างวันที่ 17–20 กรกฎาคม 2560 นี้ เริ่มจากกรุงเทพฯ นครราชสีมา พิษณุโลก และนครศรีธรรมราช ตามลำดับ

และนั่นก็หมายถึงแนวโน้มการเลือกตั้งที่ผูกโยงอยู่กับสัญญาประชาคม

อย่างไรก็ตาม โดยภาวะที่เต็มไปด้วย “ตัวแปร” เต็มไปหมด

สถานการณ์เลือกตั้งใหญ่ยังต้องลุ้น

แต่ที่มาก่อนแน่ๆ ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ ส่งสัญญาณชัด จะปล่อยไฟเขียวการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นภายหลังพระราชพิธีสำคัญ 2 พระราชพิธี ให้เตรียมการเตรียมตัวกันไว้

แนวโน้มปีหน้า 2561 คงได้ว่ากันกับการเลือกตั้งสนามเล็ก

นั่นหมายถึงต้องจบปัญหาลักลั่นสักที ตามเงื่อนไขที่กระบวนการบริหารงานท้องถิ่นต้องตกอยู่ในสถานการณ์ “ติดล็อก” ผู้บริหารท้องถิ่นหลายจังหวัดหมดวาระ หมดสภาพ แต่จัดเลือกตั้งไม่ได้เพราะอยู่ในห้วงอำนาจพิเศษ

ทำให้การบริหารขาดช่วง การพัฒนาท้องถิ่นทำได้ไม่เต็มสูบ

แต่ที่ “ลักลั่น” ยิ่งกว่านั้น กับปัญหาของนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่โดนหัวหน้า คสช.ใช้อำนาจตามมาตรา 44 สั่งพักงาน เพราะถูกตรวจสอบความโปร่งใสในการบริหารงาน ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดสมุทรปราการ อุบลราชธานี หนองคาย ภูเก็ต ยโสธร นครพนม ฯลฯ

ส่วนใหญ่ก็สลับฉากให้รองนายก อบจ.ที่เป็น “นอมินี” นั่งบริหารแทน

แน่นอนว่าในทางปฏิบัติ มันก็ไม่ต่างจาก “ตัวจริง” เข้ามานั่งบริหารเอง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ บุคลากรในพื้นที่ก็รู้กันอยู่ว่า ใครเป็นใคร ไม่มีใครกล้าหือ

นั่นหมายถึงคำสั่งพักงานตามมาตรา 44 ก็ไม่ได้มีความหมาย แต่อย่างใด

เจ้าตัวนายก อบจ.ที่มีปัญหาเรื่องความโปร่งใสก็ยังชี้นิ้วสั่งงานได้ตามอำเภอใจ โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการต่างๆ ก็ยังทำได้แบบเต็มไม้เต็มมือ

และตามรูปการณ์ที่เดาทางกันได้ ในอารมณ์ของคนที่ไม่มีอะไรจะเสีย

จังหวะนี้ก็ต้องกอบโกยให้เต็มที่

เพราะกว่าคดีจะมีผลก็อีกหลายปี

ยิ่งสัญญาณชัดว่า การเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นต้องทอดเวลา ไปถึงปีหน้า นั่นหมายถึงช่วงเวลาที่เหลืออยู่ 6–7 เดือนนี้ มันคือโอกาสทองสุดท้าย

ถ้า คสช.ไม่ชิงอุดรูรั่วไว้ก่อน ปล่อยช่อง “ลักลั่น” กันตามสบาย

เงินหลวงคงหายไปอีกบาน.
ทีมข่าวการเมือง

ทัพฟ้า งัด รัฐธรรมนูญ โต้"ศรีสุวรรณ"แจงเหตุต้องซื้อ เครื่องบินฝึก "กิมจิ"T-50TH



ทัพฟ้า งัด รัฐธรรมนูญ โต้"ศรีสุวรรณ"แจงเหตุต้องซื้อ เครื่องบินฝึก "กิมจิ"T-50TH เตรียมกำลังทหารปกป้องประเทศ ยันชะลอ ไม่ได้กระทบแผนทดแทน เครื่องL39ที่จะปลด
จากกรณีที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ออกแถลงการณ์คัดค้านการจัดซื้อเครื่องบิน T-50TH ให้กับกองทัพอากาศนั้น
พลอากาศตรี พงษ์ศักดิ์ เสมาชัย
ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน 
กรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ 
ในฐานะ โฆษกกองทัพอากาศ ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริง ว่า
1. ข้อกล่าวหา ที่ว่า การจัดซื้อเครื่องบินอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 62 ประกอบมาตรา 75 และมาตรา 76 นั้น
กองทัพอากาศขอเรียนว่า ในฐานะที่เราเป็นชาติที่มีเอกราชและอธิปไตย การจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพที่เหมาะสม เพียงพอ และที่จำเป็นเพื่อใช้ในการป้องกันประเทศ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่กำหนดให้รัฐต้องมีกำลังทหารไว้เพื่อการป้องกันประเทศ และสอดคล้องกับพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 ที่กำหนดให้กองทัพมีหน้าที่ในการเตรียมกำลังและป้องกันราชอาณาจักร ดังนั้นไม่มีทางสรุปง่ายๆ ได้เลยว่าการจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพเพื่อการป้องกันประเทศเป็นการขัดรัฐธรรมนูญ
ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 3 วรรค 2 บัญญัติว่า หน่วยงานของรัฐซึ่งรวมถึงกองทัพอากาศต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม ประกอบมาตรา 52 รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราชอธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขต และเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิ และผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพื่อประโยชน์แห่งการนี้ รัฐต้องจัดให้มีการทหารที่มีประสิทธิภาพ
2 ส่วนที่กล่าวหาว่า. การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ขัดต่อหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สะท้อนว่ารัฐบาลไม่รักษาวินัยทางการเงินการคลัง นั้น
...ในส่วนของประเด็นที่กล่าวถึงการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ขัดต่อหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนั้น กองทัพอากาศขอชี้แจงว่า โครงการจัดหาเครื่องบินฝึกนักบินขับไล่ขั้นต้นของกองทัพอากาศในครั้งนี้ ได้ดำเนินการโดยคำนึงถึงหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญคือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และความมีภูมิคุ้มกัน ซึ่งโครงการดังกล่าวมีความโปร่งใส และมีขั้นตอนที่สามารถตรวจสอบได้ อีกทั้งเป็นไปตามยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ กระทรวงกลาโหม พ.ศ.2555 ซึ่งกำหนดโครงสร้างกำลังรบของกองทัพอากาศให้มีฝูงบินฝึกนักบินขับไล่ขั้นต้น
โดยการจัดหาเครื่องบิน T-50TH ในครั้งนี้ จะเข้าประจำการทดแทนเครื่องบินฝึกนักบินขับไล่ขั้นต้นแบบ L-39 (ในฝูงบินเดิม) ซึ่งปัจจุบันได้ทยอยปลดประจำการเนื่องจากครบอายุการใช้งาน หากไม่มีการจัดหาทดแทนจะส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติภารกิจของกองทัพอากาศ
3 เรียกร้องให้ ครม.ชะลอการจัดซื้อฯ
...สำหรับประเด็นข้อเสนอให้ชะลอการจัดซื้อฯ นั้น กองทัพอากาศขอชี้แจงว่า การจัดทำงบประมาณประเทศเป็นกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้ได้ผ่านขั้นตอนตามกระบวนการจนเป็นรายการตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2560 ซึ่งการจัดทำงบประมาณเป็นไปตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณประจำปีของรัฐบาล โดยรายการดังกล่าวมีการวางแผนผูกพันงบประมาณข้ามปี และแบ่งชำระเป็น 4 ปี (พ.ศ.2560 - 2563) ซึ่งเป็นการทยอยจ่ายภายใต้กรอบงบประมาณที่กองทัพอากาศได้รับการจัดสรรในแต่ละปี ตามแผนยุทธศาสตร์เสริมสร้างความมั่นคงฯ ทำให้ไม่สามารถชะลอการจัดซื้อฯ ได้เพราะจะกระทบต่อการฝึกนักบินขับไล่ขั้นต้นของกองทัพอากาศ ส่งผลต่อการเตรียมกำลังกองทัพอากาศเพื่อการป้องกันประเทศตามที่ระบุในรัฐธรรมนูญ

"บิ๊กตู่" สั่ง "บิ๊กเจี๊ยบ" คุม รับเรื่องร้องเรียนทุจริต

ปราบทุจริต...
"บิ๊กตู่" สั่ง "บิ๊กเจี๊ยบ" คุม รับเรื่องร้องเรียนทุจริต เรียกรับผลประโยชน์ ก่อนส่งตรวจสอบ-ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน เปลี่ยนประเทศไทยให้ใสสะอาด/มอบ คสช.และกองทัพ รับผิดชอบ/ สั่ง เปิดตู้ ปณ.และสายด่วน
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ หัวหน้า คสช. มีคำสั่งให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และกองทัพบก ซึ่งรวมไปถึงกองทัพภาคและหน่วยทหารของกองทัพบกในพื้นที่ เป็นช่องทางรับเรื่องร้องเรียนการทุจริตประพฤติมิชอบ เรียกรับสินบนหรือผลประโยชน์ทุกรูปแบบ ที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง

ด้วยการเปิดตู้ ปณ.และสายด่วนให้ประชาชนแจ้งข้อมูลเบาะแสต่าง ๆ โดยมอบหมายให้ พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบกและเลขาธิการ คสช. เป็นผู้รับผิดชอบ

พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล ระบุว่า นายกฯ กำชับให้ คสช.และกองทัพเร่งดำเนินการ และแจ้งให้ประชาชนทราบ เนื่องจากการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะมีความเกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรงและเชื่อมโยงไปสู่ปัญหาอื่น ๆ เช่น ปัญหาการค้ามนุษย์ การขาดความศรัทธาในหน่วยงานของรัฐ ประเทศชาติสูญเสียงบประมาณแผ่นดินมหาศาล และกระทบต่อความเชื่อถือของต่างประเทศ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องร้องเรียนทั้งหมดจะถูกรวบรวมส่งไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด

โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่ฝังรากลึกในสังคมมายาวนาน เปลี่ยนประเทศไทยให้ใสสะอาด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน

"บิ๊กป้อม'"ชี้ คนร้ายแต่งกายแบบทหาร แต่จะใช่ทหาร หรือเปล่า ไม่รู้



"บิ๊กป้อม'"ชี้ คนร้ายแต่งกายแบบทหาร แต่จะใช่ทหาร หรือเปล่า ไม่รู้ เพราะคนแต่งแบบทหาร มีเยอะ รอ ตร. สอบ ยังไม่ตัดปมไหนทิ้ง
พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงความคืบหน้าคดีฆ่ายกครัว 8 ศพ ที่ จ.กระบี่ ว่า ตำรวจได้ลงไปตรวจสอบทุกประเด็นว่ามีเรื่องอะไรบ้าง
ส่วนบุคคลต้องสงสัยเป็นคนมีสีหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ไม่รู้และยังไม่แน่ แต่เขาแต่งตัวแบบทหาร แต่คนแต่งตัวแบบทหารก็เยอะ"
"คนแต่งกายคล้ายทหารก็ยังไม่รู้ ว่าเป็นทหารหรือไม่. ตำรวจเขาทำอยู่ ตรวจสอบอยู่"
ทั้งนี้มันมีหลายปม เราไม่ได้ตัดประเด็นอะไรเลย เพราะเราตรวจสอบทุกประเด็น
ส่วนจะรับประกันได้หรือไม่จะจับคนร้ายได้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า จะรับประกันยังไงแต่ตำรวจทำเต็มที่ อยู่ที่จะได้มากน้อยขนาดไหน คดีอื่นๆที่ผ่านมา เราก็ทำได้

คสช. เด้งรับ คำสั่ง "บิ๊กตู่" เปิด hotline 1299 และ ตู้ปณ.444

คสช. เด้งรับ คำสั่ง "บิ๊กตู่" เปิด hotline 1299 และ ตู้ปณ.444 และศูนย์ฯในค่ายทหาร ทั่วประเทศ รับเรื่องร้องเรียน จนท.รัฐ ทุจริต เรียกรับผลประโยชน์
แจ้งเบาะแส แก่ทหารได้เลย....

พันเอก วินธัย. สุวารี โฆษก คสช. เผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า
คสช.สั่งการ พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการ คสช. ให้จัดตั้ง "ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ" เพื่อให้ ปชช.ได้ใช้เป็นช่องทางแจ้งเบาะแสในพฤติกรรมเกี่ยวกับการเรียกรับผลประโยชน์รูปแบบต่างๆ ทั้ง กรณีที่เป็น จนท.จริงๆ หรือเป็นกรณี บุคคลใดไปแอบอ้างเป็น จนท.ก็ตาม
ซึ่งจะได้รวบรวมทั้งหมดส่งให้สำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ตรวจสอบหากพบว่าน่าเชื่อหรือมีมูล. จะมีการดำเนินการอย่างจริงจัง และเด็ดขาด เป็นการเฉพาะเร่งด่วน กับผู้มีพฤติกรรมดังกล่าว ตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม
จึงขอความร่วมมือพี่น้อง ปชช. หากพบเบาะแสสามารถแจ้งมาที่ได้ที่เบอร์ Hot line 1299 ซึ่งจะเปิดให้บริการตั้งแต่เช้าวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป
หรือหากอยากส่งมาเป็นเอกสารหลักฐานสามารถส่งผ่านมาได้ทาง ตู้ ปณ.444 หรือ แจ้งตรงที่ ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ภายในหน่วยทหารพี่ประจำอยู่ในแต่พื้นที่ของกองทัพภาค ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

โดย รูปแบบวิธีการระบุหน้าซองสามารถทำได้ใน 2 รูปแบบ คือ
กรุณาส่ง
(๑.)ตู้ ปณ.๔๔๔
ปณ.ราชดำเนิน
กรุงเทพฯ
๑๐๒๐๐
หรือ
(๒.)สำนักงานเลขาธิการ คสช.
ตู้ ปณ.๔๔๔
ปณ.ราชดำเนิน
กรุงเทพฯ
๑๐๒๐๐

ใช้ ทหาร ปราบ ข้าราชการ-จนท.รัฐ โกง



ใช้ ทหาร ปราบ ข้าราชการ-จนท.รัฐ โกง
“คสช.” เปิดศูนย์รับเรื่องเรียน ข้าราชการ จนท.รัฐเรียกรับผลประโยชน์ ในค่ายทหารทั่วประเทศ เปืดตู้ปณ.444 และโทรสายด่วน 1299 /ทุกศูนย์ฯรวบรวมเรื่อง ทุกวันจันทร์ ส่งมายัง"สำนักงานเลขาธิการคสช." ก่อนส่ง"สำนักนายกฯ"
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) แถลงข่าวเปิดศูนย์รับเรื่องร้องเรียนการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามที่พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ได้สั่งการให้ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาร ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะเลขาธิการคสช. จัดตั้ง "ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ" เพื่อเป็นอีกช่องทางนึ่งที่ให้ประชาชน ได้แจ้งเบาะแส พฤติกรรมเกี่ยวกับการเรียกรับผลประโยชน์รูปแบบต่างๆ ทั้งของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือ บุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ไปแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ

ทั้งนี้เพื่อจะได้รวบรวมข้อเท็จจริงที่ได้รับแจ้งส่งไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ตรวจสอบ หากพบว่ามีความน่าเชื่อถือหรือมีข้อมูลที่ส่อไปในทางทุจริต ก็จะเร่งดำเนินการอย่างจริงจังทันที และเด็ดขาด เป็นการเฉพาะเร่งด่วน กับผู้มีพฤติกรรมดังกล่าว ตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม

พ.อ.วินธัย กล่าวว่า คสช.ขอความร่วมประชาชน หากพบเบาะแสการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ สามารถแจ้งเบาะแสได้ 2 ช่องทาง คือ ตู้ปณ.444 ปณ.ราชดำเนิน กรุงเทพฯ 10200 หรือ สำนักงานเลขาธิการคสช. ตู้ปณ.444 ปณ.ราชดำเนิน กรุงเทพ 10200 และที่ได้ที่เบอร์ Hot line 1299 ซึ่งจะเปิดให้บริการตั้งแต่เช้าวันพรุ่งนี้ (14 ก.ค.) เป็นต้นไป

หรือหากต้องการส่งเอกสารหลักฐานทางไปรษณี สามารถส่งผ่านมาได้ทาง ตู้ ปณ.444 หรือ แจ้งตรงที่ ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ภายในหน่วยทหารประจำอยู่ในแต่พื้นที่ของกองทัพภาคทั่วต่างๆประเทศ ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

เมื่อถามว่าการเปิดศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเพื่อให้คอบคุม การแจ้งเบาะแสการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐใช่หรือไม่ พ.อ.วินธัย กล่าวว่า เป็นข้อห่วงใยจากทางหัวหน้าคสช. ที่ต้องการให้การทุจริตประพฤติมิชอบ หมดไปจากสังคมไทย เลยเพิ่มช่องทางพิเศษตรงนี้ขึ้นมา เพื่อกวดขันเอาจริงเอาจังกับเรื่องดังกล่าวให้มากขึ้น

ที่ผ่านมาการเข้าถึงในการแจ้งเบาะแสของประชาชน ทำได้ค่อยข้างลำบาก จึงใช่ช่องทางของหน่วยทหารที่มีอยู่ทั่วประเทศ เป็นอีกช่องทางหนึ่งเพื่อเสริมให้มีประสิทธิภาพ

ซึ่งที่ผ่านมาทางประชาชนได้ส่งเรื่องร้องเรียนการทุจริต ของทางเจ้าหน้าที่รัฐมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ส่งผลกระทบต่อภาครัฐ และประเทศชาติ

ส่วนเรื่องที่เน้นเป็นพิเศษคือเรื่องที่ประชาชนสัมผัสได้โดยตรง การตรวจสอบในเรื่องโครงการที่ทุจริตก็มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงตรวจสอบอยู่แล้ว แต่ในเรื่องของการเรียกรับผลประโยชน์กับประชาชนเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า หากประชาชนแจ้งเบาะแสมาแล้วจำเป็นต้องมีข้อมูลหลักฐานที่ชัดเจนหรือไม่ พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ถ้าหากมีรายละเอกสารหรือหลักฐาน ที่ชี้นำไปสู่การดำเนินการต่อไปจะทำให้เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการได้ง่ายยิ่งขึ้น

สำหรับการแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลการทุจริตประพฤติมิชอบ ทางผู้แจ้งสามารถเปิดเผยตัวได้ หรือจะแจ้งเป็นแบบความลับก็สามารถทำได้

ในส่วนของข้อมูลที่ประชาชนส่งมาให้นั้น ทางเจ้าหน้าที่ก็จะนำมาคัดแยกออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งจะนำไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบ และอีกส่วนหนึ่งส่งไปที่สำนักนายกรัฐมนตรี

พ.อ.วินธัย กล่าวต่อว่า พลเอกเฉลิมชัย เลขาธิการ คสช. ได้กำชับไปยังกองทัพภาคให้เตรียมความพร้อมในการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐทางกองทัพภาค ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ต้องการเข้าไปบอกเล่า หรือให้ข้อมูลสามารถเข้าไปพูดคุยได้ทันที
นอกเหนือจากโทรศัพท์เข้ามาหาทางเจ้าหน้าที่ หรือการส่งเอกสารเข้ามา

สำหรับหน่วยทหารที่รับเรื่องร้องทุกข์ของประชาชนก็จะรวบรวมในทุกวันจันทร์ ก่อนที่จะส่งมายังสำนักงานเลขาธิการคสช. เพื่อคัดแยกเรื่องราวร้องทุกข์กรณีต่างๆส่งไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีต่อไป

ปมฆ่าล้างครัว8ศพ

" 3-4 เดือน หลังมานี้ เค้าจะระวังตัวมาก ไปไหนมาไหน จะไม่ใช้เวลาอยู่ที่เดิมนานๆ มาประชุมก็ เซ็นต์ชื่อแล้วออกไปเลย. บางครั้ง ผมต้องช่วยเซ็นต์ชื่อให้ และ ตั้งแต่เป็นผู้ใหญ่บ้าน ระยะหลัง เดินทางบ่อย ไปกรุงเทพฯ ก็บ่อยมากจนผิดปกติ กว่างานราชการผู้ใหญ่บ้าน' .... เป็นส่วนหนึ่งของคำบอกเล่า จากเพื่อนร่วมงาน
...ชื่อตัวละคร เหล่านี้ ใช้นามสมมติ
-นายเชษฐดนัย / ประเสริฐศักดิ์
-นายวรยุทธ
-นายนรินทร์
-นายบรรฑิต
-นายสวัสดิ
-โรงโม่ตรังภูทอง
-บริษัทอ่าวลึกศิลาทอง
-กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติบ้านกลาง
-เขามโนราห์ หรือ เขาขาว อ่าวลึก กระบี่
..... ที่ หมู่2 บ้านกลาง อ่าวลึก เมื่อปี2553 มีกลุ่มทุนชื่อว่า 'โรงโม่ตรังภูทอง' มีประสบการณ์อ้างถึงจากคำให้การในการประชุมสภา อบต. บ้านกลางว่า ทำเหมืองหินมาแล้วจากหลายแห่ง. มีความพยายามจะขอสัมปทาน และประทานบัตร ทำเหมืองโรงโม่หิน บริเวณเขาขาว หรือ เขามโนราห์ ตามชื่อที่ชาวบ้านเรียกขาน
ไม่นานหลังจากผ่านขั้นตอนทางราชการ ห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงโม่ตรังภูทอง ของ'นายนรินทร์' ก็ได้รับประทานบัตร บริเวณเขาขาว และได้รับใบอนุญาตให้ทำโรงโม่บด เมื่อปี 2555 แต่ใบประทานบัตร .... มีอายุ เพียง 10 ปี และจะหมดอายุใบประทานบัตร .... ในปี 2565 อีก แค่ 3 ปี
ที่สำคัญ.. การขออนุญาตใบประทานบัตร .. ปฏิเสธไม่ได้ ที่ชาวบ้านอ่าวลึก ใช่คำว่า ' วิ่งเต้น' หลายหน่วยงานราชการจนได้ใบอนุญาตประทานบัตร
ปี 2556 ชาวบ้านอ่าวลึก หมู่2 .. มีตัวแทนชาวบ้านจำนวน7 คน ยื่นคัดค้านการทำเหมือง-โรงโม่หิน เพราะเกรงกระทบสิ่งแวดล้อม ยื่นคำร้องคัดค้านไปที่ศูนย์ดำรงธรรมกระบี่ และอ้างถึงการถูก'ผู้มีอิทธิพล'
การคัดค้านทำเหมือง-โรงโม่หิน ในช่วงเวลานั้น นายวรยุทธ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็สนับสนุนการคัดค้านเชียงเดียวกัน เนื่องจากอยู่ระหว่างการสมัครเลือกตั้ง เป็นผู้ใหญ่บ้าน ..
การเดินหน้าเพื่อให้ได้ทำเหมือง-โรงโม่หิน จึงสะดุดลง... แต่ใบประทานบัตรยังอยู่
หลังจากนั้นไม่นาน นายนรินทร์.. จึงได้รับการติดต่อพูดคุยกับ นายทุน อีกคนหนึ่ง ขณะนั้นใช้ชื่อว่า 'นายประเสริฐศักดิ์'
นายประเสริฐศักดิ์ .. เป็นนายทุน ทำธุรกิจหลายอย่าง รวมทั้งรีสอร์ต ที่เกาะลันตา
นายประเสริฐศักดิ์... เป็นคนท้องถิ่น มีบ้านเดิม อยู่หมู่บ้าน บ้านกลาง
นายประเสริฐศักดิ์.. เป็นเพื่อนสนิท ตั้งแต่วัยเด็ก กับ นายวรยุทธ
เมื่อนายทุนโรงโม่หิน. .. ต้องการจะพยายามดำเนินกิจการโรงโม่หินให้ได้ จึงคงต้องหาคนท้อ่งถิ่น ช่วยประสานงานและจัดการปัญหา
การพูดคุยในลักษณะร่วมงานกันเพื่อให้โรงโม่หิน ดำเนินการได้ จึงเริ่มขึ้นใหม่ ภายใต้การร่วมลงทุนใหม่ ระหว่างนายนรินทร. กับ นายประเสริฐศักดิ์ ในชื่อบริษัท'อ่าวลึกศิลาทอง' และนายประเสริฐศักดิ์ เปลี่ยนชื่อใหม่ เป็น 'นายเชษฐดนัย'
ความพยายามแก้ปัญหาการคัดค้านของชาวบ้าน เริ่มที่... ความพยายามจะพลิกเสียงคัดค้านให้เป็นการสนับสนุน และการกว้านหาซื้อที่ดิน
การกว้านซื้อดิน บริเวณใกล้เคียงจุดที่โรงโม่หินต้องใช้เป็นเส้นทางผ่าน ที่ดินนี้แปลงนี้ มี'นายบรรฑิต'เป็นเจ้าของ
การซื้อขายที่ดิน.. พบว่า มีการเจรจาซื้อขาย ผ่านนายหน้า ชื่อว่า 'นายสวัสดิ์' และ นาย'วรยุทธ' ซึ่งขณะนั้นได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว
มูลค่าที่ดิน กว่า 20 ล้านบาท ทั้งที่ราคาจริง ต่ำกว่ามาก ...
การซื้อขายที่ดิน .. ได้วางมัดจำกันแล้ว 10 ล้านบาท.. แต่จนถึงวันนี้ ยังไม่ได้โอน ..!
การซื้อขายที่ดิน .. ที่มี'นายวรยุทธ' และนายสวัสดิ์' ช่วยเดินเรื่องให้ ทำให้' นายวรยุทธ' จึงเสมือนอยู่คนละข้างกับการคัดค้านโรงโม่ แต่ทำหน้าที่ ที่ชาวบ้านพูดตรงกันว่า ' เป็นผู้จัดการโรงโม่' ส่วน'นายสวัสดิ์ ก็เริ่มห่างหายไปจากการคัดค้าน
การเดินหน้าทางเหมือง-โรงโม่หิน ดูมีแนวโน้ม จะไปได้สวย เพราะเสียงคัดค้าน เกิดเสียงแตก .. ผู้นำชุมชนในท้องถิ่น ก็เสมือนเป็น'ผู้จัดการ' ทุกอย่าง และ นายทุน ร่วมทำโรงโม่หิน ก็เป็นคนพื้นที่เดิม ทุกอย่างจึงสอดคล้องกัน ไปกับการลงทุน ' วิ่งเต้น' มากมาย
ในเวลาเดียวกัน ..ฐานะของ'นายวรยุทธ' ก็ ร่ำรวยขึ้นอยางเด่นชัด ทั้งบ้านและการซื้อที่ดิน สวนปาล์ม
แต่....อุปสรรคระลอกใหม่ เกิดขึ้น
เมื่อ เจ้าหน้าที่กรมศิลปากร เข้ามาสำรวจ 'เขาขาว' หรือ 'เขามโนราห์'
และพบว่า .. ที่นี่ พบลูกปัดโบราณ 2 ลูก และพบภาพเขียนโบราณ ภายในถ้ำภูเขาที่ได้รับสัมปทาน-ประทานบัตร
กรมศิลปากร จึง ออกประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้เป็นเขตสำรวจแหล่งโบราณสถาน เมื่อปี 2559
นี่จึงเป็นอุปสรรคสำคัญ ขวางทางชิ้นใหญ่ทำให้ โรงโม่หิน เดินหน้าไม่ได้
การ'วิ่งเต้น' ระลอกใหม่ ก็เริ่มอีกครั้ง
การเดินทาง ของ'นายวรยุทธ' ก็บ่อยขึ้น .. ขึ้น-ลง กรุงเทพฯบ่อยขึ้น
บางรายงานข้อมูลอ้างถึงการเข้าพบหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องหลายครั้ง
บางรายงานข้อมูล อ้างถึง การเข้าพบอธิบดีบางหน่วยงาน
บริษัทอ่าวลึกศิลาทอง จำกัด ยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้คุ้มครอง เนื่องจากเป็นผู้ได้รับประทานบัตร 'นายวรยุทธ'ก็ไปช่วยยื่นคำร้อง คดียังไม่มีคำสั่งใดๆ จากศาลปกครอง
แต่ก่อนจะมีคำสั่งศาล.. ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ' นายวรยุทธ' และ ครอบครัว- เครือญาติ เสียชีวิต รวม 8 คน ..!
คำให้การเบื้องต้นจากคน ใกล้ชิด'นายเชษฐดนัย'
'ประมาณ 3 ทุ่มครึ่งในคืนวันเกิดเหตุ 'นายวรยุทธ' ได้โทรศัพท์ พูดคุยกับ'คนหนึ่ง' ' เป็นเวลานาน กว่า ครึ่งชั่วโมง.!!
****
ปล. วิ่งเต้น ต้องใช้เงินจำนวนมาก
ซื้อที่ดิน ประมาณ 20 ล้านบาท
ค่านายหน้า.. ไม่ทราบตัวเลขแน่นอน
การเป็นผู้จัดการ.. เพื่อประสานงานทุกอย่างเพื่อให้มีโรงโม่หิน ในบ้านกลาง อ่าวลึก ก็ใช้เงิน
ค่าเดินทาง ประสานหน่วยงานราชการ
..."เพื่อนรัก หักเหลี่ยมโหด' บ้านกลาง อ่าวลึก กระบี่....?

"สอบเส้นทางเงินผู้ใหญ่บ้าน 50 ล้าน

เรื่องโดย Nation TV |
13 กรกฎาคม 2560 12:05 น.

ขณะที่ชุดสืบสวน เตรียมตรวจสอบเส้นทางเงินผู้ใหญ่บ้านกว่า 50 ล้านบาท และพุ่งเป้าไปที่ซุ้มมือปืน 3 จังหวัดใหญ่ภาคใต้มีข้อมูลจากชุดสืบสวน ถึงประเด็นสังหาร 8 ศพ ได้พุ่งปมให้น้ำหนัก สองประเด็นสำคัญ คือเรื่องความขัดแย้งเรื่องสร้างโรงโม่หินและเรื่องยาเสพติด 

โดยเรื่องความขัดแย้งเรื่องสร้างโรงโม่หิน มีการร้องเรียนการสร้างโรงโม่หิน มีกรณีพิพาทกัน และทวีความรุนแรงมากว่า 1 เดือน ซึ่งประเด็นนี้ มีข้อมูลว่า ผู้ใหญ่บ้านให้การสนับสนุน โรงโม่หินแห่งหนึ่งในพื้นที่หมู่ 2 ต.บ้านกลาง โดยมีเรื่องผลประโยชน์ 50 ล้านบาท เรื่องการทำประชาพิจารณ์ แต่กลับถูกชาวบ้านคัดค้าน จนมีการฟ้องร้องกันอยู่ในขณะนี้

ส่วนประเด็นเรื่องยาเสพติด เนื่องจากในพื้นที่ มีเรื่องยาเสพติดเข้ามา ประกอบกับผู้ตายเป็นคนพูดจาโผงผาง จึงต้องตรวจสอบว่าทางผู้ใหญ่บ้านไปขัดเรื่องนี้หรือไม่ ส่วนเหตุผลที่ทำไมต้องฆ่ายกครัวนั้น ชุดสืบสวนคาดการณ์ตามคำให้การของพยานผู้รอดชีวิต ว่ากลุ่มคนร้ายได้ใช้ปืนจ่อแล้วเกิดปืนลั่น ซึ่งกลุ่มคนร้ายคิดว่าเสียชีวิต จึงอาจเป็นสาเหตุจูงใจอีกข้อหนึ่งที่ทำให้ต้องฆ่ายกครัว เพื่อไม่ให้สาวมาถึงตัวชุดสืบสวนได้มีการนำแผนประทุษกรรมของกลุ่มคนร้ายมาตรวจสอบอย่างละเอียดว่า กลุ่มคนร้ายเป็นกลุ่มใด

โดยขณะนี้ได้พุ่งเป้าไปที่ซุ้มมือปืนหรือกลุ่มคนร้ายในพื้นที่ จ.ตรัง จ.พัทลุง และจ.นครศรีธรรมราช พร้อมกับนำคดีที่เกิดขึ้นในลักษณะใกล้เคียงมาตรวจสอบหาความเชื่อมโยง

ส่วนปมเรื่องชู้สาว ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งหลังพบข้อมูลว่านายวรยุทธมีความสนิทสนมลึกซึ้งกับเศรษฐีนีชาวอ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ถึงขนาดที่ว่าซื้อบ้านและรถให้นายวรยุทธ ซึ่งหลังพบข้อมูลได้สั่งการให้ชุดสืบสวนกระจายกำลังไปที่บ้านพักที่อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี และในพื้นที่จ.กระบี่ โดยพบว่าเศรษฐีนี คนนี้มีความสนิทสนมกับผู้ตายมาหลายปี และไปมาหาสู่กันหลายครั้ง รวมทั้งได้ประสานข้อมูลประวัติของกลุ่มผู้ตาย โดยเฉพาะผู้ใหญ่บ้าน และเศรษฐีนี ว่ามีการขึ้นบัญชียาเสพติดหรือไม่ แต่เบื้องต้นไม่พบข้อมูล"
อ่านต่อที่: http://www.nationtv.tv/main/content/crime/378556418/