PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ตั้ง War room เขื่อนลาวแตก

ตั้ง War room เขื่อนลาวแตก
“บิ๊กป้อม” สั่ง ตั้งวอร์รูมติดตามสถานการณ์เขื่อนแตกในลาว ที่บก.ทัพไทย มอบ”บิ๊กกบ” เสธ.ทหารคุม ทัพฟ้าเตรียมส่งเครื่องบิน C-130 และ ฮ.กู้ภัย EC725 พร้อม ใช้กองบิน 21 อุบลฯ เป็นฐานปฏิบัติการ ต่อระยะ ไปยัง สนาม ปากเซ
พลโท คงชีพ ตันตระวานิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เผยว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แม้จะไม่ได้ร่วมประชุมสภากลาโหมแต่ได้สั่งการผ่าน พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วย กลาโหม อยู่ในระหว่างการประชุมสภากลาโหมร่วมกับผบ. เหล่าทัพในการส่งความช่วยเหลือไปยังลาวหลังเกิดเหตุเขื่อนแตก
โดยมอบหมายให้กองบัญชาการกองทัพไทย จัดตั้งวอร์รูมและมี บิ๊กกบ พลเอกพรพิพัฒน์ เบญญศรี เสนาธิการทหาร ในฐานะ ผอ.ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย บก.กองทัพไทย เป็น ผอ.วอร์รูม
ขณะที่ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพภาคที่2 ได้เตรียมทางกำลังพลเครื่องมือบรรเทาสาธารณภัย เรือท้องแบนพร้อม สำหรับการให้ความช่วยเหลือ
ทั้งนี้ กองทัพอากาศ ได้เตรียมเครื่องบินลำเลียง C-130 และเฮลิคอปเตอร์กู้ภัยEC-725 พร้อม โดยจะใช้กองบิน 21 อุบลราชธานีเป็นฐานปฏิบัติการต่อระยะในการบินปฏิบัติการไปยังสนามบินปากเซ ประเทศลาว

"ผบ.สูงสุด "สั่ง "หน่วยทหารพัฒนา อิสาน" เตรียมพร้อมเคลื่อนย้ายใน 3 ชั่วโมง

"ผบ.สูงสุด "สั่ง "หน่วยทหารพัฒนา อิสาน" เตรียมพร้อมเคลื่อนย้ายใน 3 ชั่วโมง ช่วยลาวเขื่อนแตก จัดตั้ง "บก.ศบภ.ส่วนหน้า"ที่ นพค.56 อุบลฯ
จากสถานการณ์ที่เกิดภัยพิบัติจากเหตุการณ์อุทกภัยขนาดใหญ่ในเมืองสนามไช แขวงอัตตะปือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปปล.)ซึ่งทำให้มวลน้ำจำนวนมากไหลท่วมบ้านเรือนของประชาชนได้สร้างความเสียหายกับชีวิตและทรัพย์สินอย่างรุนแรงกว่า 4,000 ครอบครัวเป็นบริเวณกว้างนั้น
พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผบ.ทหารสูงสุด.มีนโยบายให้การเตรียมการด้านความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติแก่ สปป.ลาว ให้ทันต่อสถานการณ์
จึงมอบให้ พล.อ.ธงชัย สาระสุข ผบ.นทพ.จัดการประชุมเร่งด่วนเพื่อเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือ โดยให้มีการเตรียมความพร้อมของหน่วยบรรเทาสาธารณภัยเคลื่อนที่เร็วทั้งในด้านกำลังพล และยุทโธปกรณ์สำคัญที่เกี่ยวข้อง สั่งการให้ สนภ.5นทพ.เตรียมจัดหน่วยบรรเทาสาธารณภัยจำนวน 2 ชุด (จาก นพค.56 ฯและ นพค.51) จัดตั้ง บก.ศบภ.ส่วนหน้าที่ นพค.56ฯ เพื่อติดตามและประสานงานกับทาง อุบลรสชธานี .อย่างใกล้ชิดเพื่อติดตามสถานการณ์และรายงานเหตุการณ์ให้ ศบภ.นทพ.ทราบตามห้วงระยะเวลา
พร้อมทั้ง เตรียมยานพาหนะเพื่อสนับสนุนการลำเลียงถุงยังชีพพระราชทาน และสิ่งของจำเป็นอื่นๆที่ได้รับการบริจาคทุกภาคส่วนให้เข้าถึงพื้นที่เมื่อได้รับการร้องขอ ซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบัน ทาง สปปล.คงระดมความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วนจากภายในประเทศของตนก่อน
และจะขอรับความช่วยเหลือจากภายนอกประเทศในเรื่อง เครื่องนุ่งห่ม อาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค และเงินบริจาค โดยผ่านทางสถานทูตไทยประจำ สปปล.ในโอกาสต่อไป
ทั้งนี้ นทพ.มอบให้ สนภ.5นทพ.เป็นหน่วยสนับสนุนหลัก และให้ สนภ.2นทพ.เป็นหน่วยสนับสนุนรอง โดยเตรียมความพร้อมในการสนับสนุนพร้อมเคลื่อนย้ายเมื่อสั่งภายใน 3 ชม.
โดยมี พล.ท.ณัฏฐพัชร สกุลรังสฤษฏ์ เสธ.นทพ.เป็นประธานการประชุม ห้องประชุมห้วยทราย บก.นทพ.

ไทยนิยมยั่งยืน : เสียงสะท้อนจากท้องถิ่น

ไทยนิยมยั่งยืน : เสียงสะท้อนจากท้องถิ่น


เมื่อต้นสัปดาห์มีข่าวเล็กๆ สะท้อนภาพใหญ่น่าสนใจ
ยกเครดิตให้กับประชาชน 3 หมู่บ้าน ชาวต.น้ำจวง อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก ประชากรประมาณ 4 พันคน
พวกเขาทำประชาคมตัดสินใจ เอายังไงกับงบประมาณ 2.8 ล้านบาทกับโครงการไทยนิยมยั่งยืน
ภายใต้โครงการย่อยที่มีชื่อว่า “ท่องเที่ยวโอท็อป นวัตวิถี”
เป้าหมายเสริมแกร่งเศรษฐกิจชุมนุม ผ่านภาคท่องเที่ยวและสินค้าโอท็อป
คนน้ำจวงลงความเห็นด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง ซื่อสัตย์ ขอส่งเงินก้อนนี้คืนหลวงด้วยความเกรงใจ
เอาไปให้ถิ่นอื่นที่ต้องการ จะเป็นประโยชน์กว่า
เหตุผลแสนง่ายประสาชาวบ้าน “เกาไม่ถูกที่คัน”

เขาคิดตรงกัน ต้องการสิ่งจับต้องได้ ถาวรยั่งยืน มองเห็นอนาคต
ศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พระราชา
ปรับปรุงถนน ขอแค่ซื้อหินคลุกไปพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว
สร้างห้องน้ำห้องส้วมตามแหล่งท่องเที่ยวที่น่าจะเป็นจุดขาย
โชคไม่ดีสิ่งที่ “ใช่” ตรงข้ามกับสิ่งที่ฝ่ายราชการตีกรอบ ท่านบอกให้เอาไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายอบรมสัมมนา ฝึกฝนพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน
ไปเรียนรู้การจัดการ ศึกษาดูงาน ปั้นสินค้าโอท็อปออกมาขายนักท่องเที่ยว
ชาวบ้านที่นั่นสงสัย สมมติรู้การตลาด รู้ความต้องการผู้บริโภค รู้ผลิตสินค้าดีมีคุณภาพ

ถามว่า แล้วใครจะมาเที่ยว ใครจะมาซื้อ ในเมื่อไม่มีถนนหนทางดีเพียงพอให้นักท่องเที่ยวเข้าถึง
ขาดสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานตามจำเป็น
โหมประโคมแหล่งท่องเที่ยว สินค้าโอท็อปที่สู้อุตส่าห์ผลิตกันมา
เอาไปขายใคร?
เรื่องของเรื่อง ไม่ควรด่วนสรุปกันแบบ “ไก่” กับ “ไข่” อะไรเกิดก่อน
แต่โจทย์อยู่ที่ว่า ไล่ตั้งแต่รัฐบาลลงมาถึงระดับปฎิบัติ “เข้าใจ เข้าถึง เข้าพัฒนา” รู้ความต้องการแต่ละพื้นที่กี่มากน้อย
หรือแค่รับนโยบาย ผลักงบประมาณ เปิดโครงการ แล้วปิดจ๊อบกันไป
ไม่ต่างกับแจกเบ็ดให้ไปตกในบ่อที่ไม่มีปลา
“หัวมังกุท้ายมังกร” ทำนองนี้ พนันกันสิบเอาหนึ่ง เชื่อเหลือเกินว่าไม่ใช่ชาวน้ำจวงเดี่ยวไมโครโฟนอยู่เจ้าเดียว มีอีกไม่รู้อีกร้อยกี่พันชุมชนก็ตกที่นั่งเดียวกัน
เพียงบางพื้นที่ก็เกรงใจเจ้านาย
หรือไหนๆงบประมาณหล่นมาแล้ว เอาไว้ก่อนดีกว่าปล่อยทิ้งตกน้ำ
ชั่วดีถี่ห่างยังไง เดี๋ยวท่านก็จัดมาอีก วนกันไป
ต้องขอบคุณชาวบ้านน้ำจวงสะท้อนรูปธรรมปัญหา
ไม่รู้ได้ให้บทเรียนใครบ้างหรือเปล่า

ล้างสต๊อก 2 ปี

ล้างสต๊อก 2 ปี




ในที่สุด พ.ร.บ. ป.ป.ช. หนึ่งในกฎหมายลูกรัฐธรรมนูญฉบับสำคัญ ก็เริ่มมีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา
พ.ร.บ. ป.ป.ช.ฉบับใหม่ ที่ประโคมโหมโรงว่าเป็น “ฉบับปราบโกงแบบขุดรากถอนโคน” มีสาระสำคัญอยู่ 5 ประเด็นคือ...
1, คดีทุจริตที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ส่งฟ้องคดีอาญา ถ้าผู้ถูกกล่าวหา หรือ จำเลยหลบหนีจะไม่นับอายุความ และไม่สิ้นสุดอายุความ
2, นักการเมืองและข้าราชการระดับสูง ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินภรรยา หรือสามีที่ไม่จดทะเบียนสมรส เพื่อป้องกันการยักย้ายถ่ายโอน
3,ข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ จะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดของตัวเอง
4, ให้อำนาจ ป.ป.ช.ส่งหนังสือแจ้งเตือนรัฐบาล หากเห็นว่าโครงการใดส่อเค้าว่าจะเกิดทุจริต และเมื่อ ป.ป.ช.แจ้งเตือนแล้ว รัฐบาลไม่ปฏิบัติตามจะมีความผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยเจตนา
5,กำหนดให้ ป.ป.ช.ต้องเร่งสอบสวนคดีทุจริตที่ค้างลำกล้องให้เสร็จภายใน 2 ปี (ขอขยายเวลาได้อีก ไม่เกิน 1 ปี) ถ้าหากครบ 2 ปีแล้วยังสอบสวนไม่เสร็จ ให้ถือเป็นความบกพร่องของ ป.ป.ช.
“แม่ลูกจันทร์” เห็นด้วยสองพันเปอร์เซ็นต์ ที่กำหนดเส้นตายให้ ป.ป.ช.ต้องสอบสวนสะสางคดีทุจริตทุกเรื่องให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 2 ปี!!
เพื่อแก้ปัญหาคดีทุจริตหมักหมมอยู่ใน ป.ป.ช.มากมายก่ายกอง
และเพื่อแก้ปัญหา ป.ป.ช.ถูกโจมตีว่าเลือกปฏิบัติ เร่งสอบบางคดี แต่ดึงช้าบางคดี
ดังนั้น การที่ พ.ร.บ. ป.ป.ช.ฉบับใหม่ กำหนดกรอบเวลาให้ ป.ป.ช.ต้องสอบสวนคดีทุจริตทุกเรื่องภายใน 2 ปี จะช่วยป้องกันไม่ให้ ป.ป.ช.ดองเค็มคดีทุจริตบางคดีจนหมดอายุความ
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า เมื่อ พ.ร.บ.ป.ป.ช.ฉบับใหม่เริ่มมีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา
แสดงว่าคดีทุจริตที่ค้างเป็นพันระดึกอยู่ใน ป.ป.ช.จะต้องปิดจ๊อบล้างสต๊อกหมดเกลี้ยงในเวลา 2 ปีจากนี้ไป
ข้อมูลล่าสุด ยังมีคดีทุจริตค้างท่ออยู่ใน ป.ป.ช.กว่า 2,800 คดี
แยกเป็นคดีทุจริตจัดซื้อจัดจ้างเกือบ 1,000 คดี คดีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ คดีเรียกรับสินบน คดีร่ำรวยผิดปกติอีกราว 1,500 คดี
ดังนั้น ถ้า ป.ป.ช.จะเร่งสะสางคดีทุจริตค้างสต๊อกกว่า 2,800 คดี ให้เสร็จภายใน 2 ปี
ป.ป.ช.จะต้องเร่งสอบสวนคดีทุจริตให้เสร็จวันละ 4 คดี
ไม่เว้นวันหยุดราชการ ไม่เว้นวันพระวันโกน
ยังไม่นับคดีทุจริตใหม่ๆที่จะทยอยเข้าคิวให้ ป.ป.ช.เช็กบิลอีกปีละหลายร้อยคดี
ป.ป.ช.จะปิดจ๊อบให้เสร็จทันเส้นตายหรือไม่??
“แม่ลูกจันทร์” จะติดตามข่าวคืบหน้ามารายงานให้ทราบต่อไป
อนึ่ง...ใน พ.ร.บ. ป.ป.ช.ฉบับใหม่ ยังมีประเด็นสำคัญยัดไส้ซาลาเปาเอาไว้ ในบทเฉพาะกาล
คือการต่อวีซ่าให้ประธาน ป.ป.ช.และกรรมการ ป.ป.ช.ชุดเดิม 7 คน ซึ่งขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ยังปฏิบัติหน้าที่ ป.ป.ช.ต่อไปได้อีก 7 ปี
เมื่อบวกกับที่ดำรงตำแหน่งมาแล้ว 2 ปี ก็เท่ากับได้ผูกขาดเก้าอี้ ป.ป.ช.ยาวสุดติ่ง 9 ปีเต็มๆ
หมายความว่าต้องรอไปอีก 7 ปี จึงจะมีประธาน ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหม่ที่มีคุณสมบัติถูกต้อง และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้แลเฮย.
"แม่ลูกจันทร์"

แค่อย่าสะดุดขาตัวเอง

แค่อย่าสะดุดขาตัวเอง



ยิ่งใกล้เลือกตั้ง ยิ่งต้องลงพื้นที่ให้มากขึ้น
แบไต๋ไม่กั๊ก ในอารมณ์แบบที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. เปิดทางนำร่องล่วงหน้า พร้อมจัดเต็มคิวเดินสายต่างจังหวัดนับแต่นี้เป็นต้นไป
ไม่สนเสียงวิจารณ์ ครม.สัญจร เดินสายดูด ส.ส.
ต่อให้นักการเมืองยี่ห้อเพื่อไทย ค่ายประชาธิปัตย์ โหวกเหวกโวยวายจนคอแตก
ก็ไม่มีผลแต่อย่างใด
เพราะถึงยังไงบวกลบคูณหารแล้วมันก็ได้มากกว่าเสีย
กับมุก ครม.สัญจรเก็บแต้มสะสม ทีมงาน “นายกฯลุงตู่” ใช้ยุทธศาสตร์การบริหารแบบเข้าถึงเกาะติดพื้นที่ อัดฉีดงบประมาณและโครงการช่วยเหลือแบบยิงตรงถึงประชาชนตามภาคต่างๆ หาเสียงด้วยงบประมาณแผ่นดินอย่างชอบธรรม
นายกฯเอาของไปมอบให้ถึงบันไดบ้าน ใครบ้างไม่ชอบ
เอาเป็นว่า ประมวลผลตอบรับทางการเมืองจากการประชุม ครม.สัญจรที่ผ่านมา นับตั้งแต่คิวแรกที่ประเดิมกันจังหวัดสุพรรณบุรีจนมาถึงคิวจังหวัดอุบลราชธานี ที่เปิดให้นักการเมืองเข้าร่วมเวที
มันคือ “อีเวนต์การตลาด” ที่สร้างกระแสให้ “นายกฯลุงตู่” แบบได้เนื้อได้หนัง
เบียดกระแสรัฐบาลชิงพื้นที่ข่าวได้ทุกครั้ง
ในฉากบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกว่า กำลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ผู้คนในสังคมรับรู้หมดแล้วว่า “นายกฯลุงตู่” จะตีตั๋วไปต่อภายใต้ยี่ห้อ “พลังประชารัฐ” เป็นฐานสนับสนุน
และถึงจะโดนประจานเกมดูด ดักคอดักทาง
แต่ถึงเวลาก็มีนักการเมืองในพื้นที่ทุกป้อมค่ายเปิดหน้าเปิดตัวออกมาต้อนรับนายกฯและ ครม.
นั่นก็เพราะมันคือภาพที่ชาวบ้านประชาชนในพื้นที่เฝ้าจับตาดูบรรดาว่าที่ผู้แทนฯ ของตัวเอง จะมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน มีบทบาทในการผลักดันโครงการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่อย่างไร
หรือจ้องแต่จะเล่นเกมการเมือง ฝักใฝ่แต่การแบ่งสี แยกขั้วอำนาจ
ถ้าโจมตีด่าทอท่าเดียว ไม่สนใจ ไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลแม้ในมุมที่เป็นประโยชน์กับชาวบ้าน
พานเจอกระแสตีกลับหน้าม่านเอาง่ายๆ
โดยสถานการณ์ลากถูมาถึงตรงนี้ มันก็อย่างที่ “นายกฯลุงตู่” สะท้อนความมั่นใจผ่านการปราศรัย “ยิ่งใกล้เลือกตั้ง ผมยิ่งต้องลงพื้นที่ให้มากขึ้น เพื่อชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ และการเลือกตั้งครั้งต่อไปเมื่อมีรัฐบาลใหม่ จะต้องเป็นรัฐบาลที่ไปได้ทุกที่ ยิ่งมีคนเกลียด ผมก็ต้องวิ่งไปหา ใครจะไม่ชอบผมก็ไม่เป็นไร แต่ทหารทุกคนรักชาวบ้าน ทุกที่มีทั้งคนดีและคนไม่ดีตอนนี้เราแบ่งฝ่ายกันไม่ได้”
อารมณ์ใกล้เคียงกับที่ “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม แสดงความมั่นใจหลังการลงพื้นที่ตรวจงานการดูแลความมั่นคงในจังหวัดอุบลราชธานี
เรียบร้อยดี ไม่มีความขัดแย้ง พร้อมที่จะมีการเลือกตั้ง
“บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ประสานเสียงพร้อมลุยทุกพื้นที่ ทีม คสช.คุมเกมความมั่นคงได้ เอาเกมการเมืองอยู่
“นายกฯลุงตู่” แรงไม่ตก สถานการณ์เป็นใจ ปัจจัยเอื้อให้ตีตั๋วต่อ
ในจังหวะที่คู่แข่งส่อแพ้ภัยตัวเอง ทั้งเพื่อไทยที่คะแนนนิยมยังนำ แต่วิบากกรรมหนักอึ้ง แม่ทัพนอมินียังหาไม่ได้ ขณะที่ประชาธิปัตย์เร่งเครื่องไม่ขึ้น หล่นไปอยู่อันดับสามตามหลังยี่ห้อ “พลังประชารัฐ”
เรียกว่า “ตัด” คู่ชิงที่สมน้ำสมเนื้อออกไปได้
ไฟต์เดิมพันอำนาจเลือกตั้ง “ลุงตู่” อย่าสะดุดขาตัวเองหัวทิ่มเป็นพอ
ตามสภาพหัวเชื้อ “สนิมเนื้อใน” ที่แฝงอันตรายอยู่ตลอดเวลา
ล่าสุดกับสถานภาพของ “พี่รอง” อย่าง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่กำลังเผชิญกระแสคลื่นใต้น้ำกระแทกเข้าใส่อย่างเงียบๆ แต่หนักหน่วงและรุนแรงกว่าครั้งไหนๆ
จากควันหลงคำสั่งโยกย้าย “ฮีโร่หมูป่า” นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร จากผู้ว่าฯเชียงราย ลดชั้นไปนั่งเป็นผู้ว่าฯพะเยา แบบขัดสายตาผู้คนในสังคม
อธิบายยากกับประเด็นเหตุผลความชอบธรรม
อะไรก็ไม่เท่ากับมีการขยายผลในสื่อค่ายพันธมิตรฯ กัดติดปมลึกลับซับซ้อน ขุดเบื้องหน้าเบื้องหลังการโยกย้าย “พ่อเมืองน้ำดี” เพราะขวางลำ “ลูกชายขาใหญ่” ขายตั๋วโรงไฟฟ้าขยะ
ตามทิศทางกระแส มีโอกาสไหลไปถึงจุดยากฝืนชะตาฟ้าลิขิต
โดยรูปเกมบีบไฟต์บังคับก่อนเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์อาจต้องปรับ ครม.อีกรอบ ผ่องถ่ายสัมภาระ
ลดโหลดให้ “ลุงตู่” ไปต่อแบบเบาตัว.
ทีมข่าวการเมือง