5ม.ค.62
กกต.ต้องรับผิดทั้งทางอาญาและแพ่ง รับผิดชอบต่อค่าใช้จ่าย ๕,๘๐๐ ล้านที่เสียไป (หาร ๗ แค่คนละ ๘๐๐ กว่าล้าน)
ข่าวมหามงคลประเดิมศักราชใหม่
วันที่ 1 มกราคม 2562 สำนักพระราชวังได้เผยแพร่ประกาศสำนักพระราชวัง เรื่องทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ตามใจความ เลขาธิการพระราชวังรับพระราชโองการเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ให้ประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า โดยที่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทร เทพยวรางกูร ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย ตามคำกราบทูลเชิญของประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภา กราบบังคมทูลในนามของปวงชนชาวไทยนั้น
ทรงพระราชดำริว่า เป็นโอกาสอันควรที่จะได้ประกอบการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามพระราชประเพณี เพื่อความเป็นสวัสดิมงคลของประเทศชาติ และราชอาณาจักร ให้เป็นที่ชื่นชมยินดีของประชาชนผู้มีความหวังตั้งใจอยู่ทั่วกัน
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นดังนี้
วันที่ 4 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562 พระราชพิธีบรมราชาภิเษก และเสด็จออกมหาสมาคม พระบรมวงศานุวงศ์ คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล จากนั้นพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร
วันที่ 5 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562 พระราชพิธีเฉลิมพระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย และสถาปนาฐานันดรศักดิ์พระบรมวงศานุวงศ์ จากนั้นเสด็จเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารค
วันที่ 6 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562 เสด็จออก ณ สีหบัญชร พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท พสกนิกรเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล จากนั้นเสด็จออก ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท คณะทูตานุทูต และกงสุลต่างประเทศ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวาย พระพรชัยมงคล
ส่วนการเสด็จเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีขึ้นในช่วงการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ปลายปีพุทธศักราช 2562
พิธีเปลี่ยนผ่านแผ่นดินตามโบราณราชประเพณี
ตามสถานการณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตามแถลงการณ์สำนักนายกรัฐมนตรี ถือเป็นโอกาสสำคัญที่รัฐบาลจะได้ร่วมกับพสกนิกรชาวไทย เตรียมการจัดงานสนองพระราชดำริและพระมหากรุณาธิคุณให้สมพระเกียรติตามพระราชประเพณี
รัฐบาลจะแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
โดยจะมีการกราบบังคมทูลเชิญ สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธาน เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
ถือเป็นห้วงเวลาสุดพิเศษของพสกนิกรชาวไทย
อย่างไรก็ตาม โดยเงื่อนไขสถานการณ์ที่คาบเกี่ยวกันกับปฏิทินทางการเมือง เรื่องของโรดแม็ปเลือกตั้งที่กระชั้นขึ้นตามลำดับขั้นตอนที่ล็อกไว้ในรัฐธรรมนูญ
และเริ่มนับถอยหลังตั้งแต่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มีผลบังคับใช้ ณ วันที่ 11 ธันวาคม 2561 ปลายปีที่ผ่านมา
โดยไฟต์บังคับ ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 150 วัน
ประกอบกับตุ๊กตาที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้วางโปรแกรม ล็อกคิววันเลือกตั้ง อย่างเร็วสุดคือวันที่ 24 กุมภาพันธ์ หรืออย่างช้าสุด คือวันที่ 9 พฤษภาคม 2562
และด้วยเหลี่ยมเขย่าของนัก การเมืองอาชีพรุมแห่กระแสกดดัน
เร้าบรรยากาศคืนอำนาจ บีบคั้นรัฐบาล คสช. จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ต้องคล้อยตามแรงกระแทก
ส่งสัญญาณเป็นที่เข้าใจตรงกันทั้งประเทศ
ล็อกคิวแรก 24 กุมภาพันธ์ คือวันดีเดย์เข้าคูหากาบัตร
แต่เมื่อมีความชัดเจนเกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ห้วงเวลาพิเศษที่สำคัญเหนืออื่นใด นั่นก็ทำให้ต้องมีการ
พูดถึงเงื่อนเวลาที่เหมาะสมกันใหม่
คิวเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ ที่รับรู้กันทั้งประเทศ แต่ในวงเล็บ “อย่างไม่เป็นทางการ”
ตามสถานการณ์แนวโน้มสูงที่ต้อง “ยก” ออกไป
ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์จำเป็นแบบที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ต้องหอบปฏิทินเดินทางเข้าพบหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
เพื่อกำหนดวันเลือกตั้งที่เหมาะสม ไม่กระทบต่อพระราชพิธีสำคัญ
โดยมีการกางหมายกำหนดการ รายละเอียดขั้นตอนพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เทียบกับกำหนดเวลาในกระบวนการเลือกตั้งที่ล็อกไว้ในรัฐธรรมนูญ
พบว่ามีความกระชั้นชิดในเชิงปฏิบัติอย่างมาก กล่าวคือ จะมีพระราชพิธีระหว่างวันที่ 4–6 พฤษภาคม แต่ในรายละเอียดก่อนหน้านั้นก็จะมีพิธีการสำคัญที่จำเป็นต้องดำเนินการ รวมถึงหลังพระราชพิธีแล้วจะยังมีกิจกรรมต่างๆอีกประมาณ 15 วันเช่นกัน
ถ้ายึดวันเลือกตั้งเป็นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ กกต.ต้องประกาศผลภายใน 60 วัน คือไม่เกิน 24 เมษายน จากนั้นภายใน 15 วัน จะต้องเสด็จเปิดการประชุมรัฐสภานัดแรก โดยจะตรงกับวันที่ 8 พฤษภาคม 2562
เหนืออื่นใด โดยขั้นตอนเวลา ไม่ใช่แค่ กกต.หรือรัฐบาลเท่านั้น
แต่ต้องคำนึงถึงจุดบังควรมิบังควรที่รัฐบาลและ กกต.ไม่สามารถกำหนดได้ด้วย
เอาเป็นว่า ความเป็นไปได้น้อยมาก ถ้าจะล็อกคิวเลือกตั้งวันที่ 24 กุมภาพันธ์ โดยต้องควบคุมบรรยากาศการหาเสียงไม่ให้กระทบพระราชพิธี และต้องลุ้นประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งเร็วหรือช้า
มีเวลาให้นักการเมืองอาชีพหาเสียงแบบด่วนจี๋ไม่กี่วัน
โดยที่ กกต.ต้องร่นระยะเวลาในการประกาศรับรองผลเลือกตั้ง เพิ่มขีดความสามารถในการตรวจจับทุจริตใบแดง ใบเหลือง ใบส้ม ปล่อยผีกันง่ายๆ
เพื่อให้เปิดสภาฯตั้งรัฐบาลใหม่ได้ทันก่อนพระราชพิธี
เช่นเดียวกับระดับความเป็นไปได้ “น้อยที่สุด” กับขบวนการสุดโต่งที่เสนอให้เลื่อนคิวเลือกตั้งออกไปภายหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ลากยาวไปหลังเดือนพฤษภาคม ซึ่งนั่นจะเกินเงื่อนเวลา 150 วัน หลังบังคับใช้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.
ส่อบานปลายใหญ่ โดยที่ดาบสารพัดนึกมาตรา 44 ไม่สามารถผ่าทางตันได้
อาจต้องถึงขั้นแก้รัฐธรรมนูญกันเลย
เรื่องของเรื่อง ตามรูปการณ์ที่เป็นไปได้มากที่สุดนั่นคือ “ยก” คิวเลือกตั้งออกไปอีก 1 เดือนกำหนดคิวเข้าคูหากาบัตรในวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม
โดยนับวัน “ย้อนถอยหลัง” ตามที่นายวิษณุ “ไกด์ไลน์” วันเหมาะสมในการประกาศรับรองผลเลือกตั้ง คือวันที่ 20 พฤษภาคม เพื่อจะตั้งรัฐบาลใหม่ในเดือนมิถุนายน
เลือกตั้งก่อน แต่ตั้งรัฐบาลใหม่ภายหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เป็นหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลปัจจุบัน ดูแลรับผิดชอบกระบวนการเปลี่ยนผ่านสำคัญนั่นก็จะได้ไม่ต้องเร่งรีบ กระชั้นชิดจนเกินไป
มันคือความเหมาะสม ไม่ใช่เหลี่ยมที่ใครจะได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองแต่อย่างใด
เป็นเรื่องที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ทั้งประเทศรับรู้ตรงกัน รวมทั้งต่างชาติ นานาประเทศเองก็เข้าใจเงื่อนไขสถานการณ์แบบไทยๆ
ที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
จะเห็นมีก็แต่บรรดานัก การเมืองอาชีพ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย ขบวนการเคลื่อนไหวม็อบอยากเลือกตั้ง ที่ยังสนุกสนานกับการเล่นเกมชิงกระแส แห่เกมจี้เลือกตั้งกดดันรัฐบาลและ กกต.
ส่อพฤติการณ์เหมือน “แกล้งไม่รู้”
พระราชพิธีเปลี่ยนผ่านแผ่นดินตามโบราณราชประเพณี สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
ไม่มีอะไรจะพิเศษไปกว่า “ปีมหามงคล”
เป็นเรื่องที่คนไทยทุกคน ประชาชนทุกภาคส่วน ต้องรวมพลังสามัคคี
ยิ่งเป็นอะไรที่สัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่ “เปราะบาง” ตามธรรมชาติในห้วงสุญญากาศอำนาจเลือกตั้ง จังหวะการ บริหารงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนมีรัฐบาลใหม่
ระดับความอ่อนไหวด้านความมั่นคงท่ามกลางความเสี่ยงที่ปมขัดแย้งการเมืองกลับมาคุกรุ่น
ขั้วอำนาจเก่า ขั้วขัดแย้งเดิมๆรอทวงแค้นอำนาจ
ในสภาวการณ์ล่อแหลมทางเศรษฐกิจที่ต้องเผชิญวิกฤติภายนอก สงครามการค้าสหรัฐอเมริกากับจีน สะเทือนเศรษฐกิจทั่วโลก หนีไม่พ้นส่งแรงกระแทกต่อการส่งออกของไทย
อารมณ์แบบที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ พยายาม “กัดฟัน” ปลุกขวัญ ปลุกใจ ไม่ห่วงข่าวเลื่อนเลือกตั้งกระทบตลาดหุ้น นักลงทุนไม่ต้องกังวลเพราะรัฐบาลดูแลอยู่
ดูจากรูปการณ์เศรษฐกิจ “ปีหมู” เจอ “หมูป่าเขี้ยวตัน” แน่
ไม่นับเหตุฉุกเฉิน ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ยากคาดการณ์ล่วงหน้า อย่างที่เห็นการระดมรับมือพายุโซนร้อน “ปาบึก” ที่พัดถล่มพื้นที่ภาคใต้ จำกัดวงความเสียหายให้น้อยที่สุด
ถ้าไม่มีรัฐบาลเป็นหลักคุมสถานการณ์ เลือกตั้งแล้วการเมืองตีกันป่วนช่วงเปลี่ยนผ่านประเทศ
หลับตานึกภาพไม่เห็น เพราะฝุ่นควันมันจะตลบอบอวลไปหมด.