PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

อันวาร์ จี้รื้อฟื้นคดีการเสียชีวิตของสาวมองโกเลียพัวพัน นาจิ๊บ

Sermsuk Kasitipradit
งานเข้าอดีตนายกมาเลย์นาจิ๊บ ราซัก อีกดอก หลังอันวาร์ อิบราฮิม ออกมาเรียกร้องให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ กรณีการเสียชีวิตของสาวมองโกเลีย Altantuya Shariibuu ที่ถูกสังหารโหด ตค. 2549 คนในมาเลย์จำนวนมากยังเชื่อว่าอดีตนายกนาจิ๊บมีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์
นอกจากอดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นาจิ๊บ ราซัก จะถูกกล่าวหาเรื่องการทุจริตในกองทุน 1MDB และเงินบริจาคเข้าบัญชีส่วนตัวกว่า 20,000 ล้านบาท ที่กำลังจะเป็นข่าวใหญ่ตามมาอีกเรื่อง อาจถูกกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้องหรืออยู่เบื้องหลังการสังหารโหด Altantuya Shariibuu สาวมองโกเลียที่เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอดีตนายกนาจิ๊บ หลัง Sirul Azhar Umar อดีตตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษที่เคยทำงานใกล้ชิดกับอดีตนายกมาเลย์ และถูกศาลสูงมาเลย์ตัดสินประหารชีวิต ในข้อหามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารโหด Altantuya ซึ่งถูกลอบสังหารด้วยระเบิด C-4 ที่มีอานุภาพทำลายล้างรุนแรง ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อพร้อมเปิดเผยรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่ามีใครอยู่เบื้องหลัง โดยมีข้อแลกเปลี่ยนให้รัฐบาลพิจารณาอภัยโทษในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
การลอบสังหาร Altantuya กลายเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ออกมาเรียกร้องให้มีการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาสอบสวนใหม่
เหตุผลที่ Altantuya ถูกลอบสังหารโหด ข่าวจากวีกีลีควิแคะมีส่วนรับรู้ในเรื่องของเงินใต้โต๊ะซื้อเรือดำน้ำ scoropene จากฝรั่งเศส ในปี 2548 มูลค่ากว่า 1 พันล้านเหรียญยูโร และมีค่านายหน้า 114 ล้านยูโรเข้าบัญชีบริษัทที่มีอดีตนายกนาจิ๊บเป็นเจ้าของ Altantuya ซึ่งพูดฝรั่งเศสได้ดี ได้ทำหน้าที่ล่ามในการเจรจาซื้อขายเรือดำน้ำ และมีรายงานว่าพยายามต่อรองเรียกร้องเงินค่าปิดปาก ในเรื่องเงินใต้โต๊ะซื้อเรือดำน้ำ จำนวน 500,000 ดอลล่าร์สหรัฐ และอาจเป็นสาเหตุทำให้ถูกสังหารปิดปากโดยตร.ที่ใกล้ชิดอดีตนายกนาจิ๊บสองนาย
เมื่ออำนาจเปลี่ยนมืองานนี้นาจิ๊บมีเสียวแน่นวล
(According to reports by the French newspaper Liberation, Altantuyaa found out that one of the parties involved in negotiations, French company Armaris, paid out commissions of 114 million euros for the deal (reportedly one billion euros or RM4.7 billion for the purchase of three submarines). The commission was credited in the accounts of a company controlled by Abdul Razak, Perimekar. A letter written by Altantuyaa and found after her death shows that she had been blackmailing Mr. Baginda, seeking a $US500,000 cut to remain silent about her knowledge of the deal.)

รากฐาน ของ “รัฐบาลเฉพาะกาล” รากฐาน ของ ชวลิต ยงใจยุทธ

09.00 INDEX รากฐาน ของ “รัฐบาลเฉพาะกาล” รากฐาน ของ ชวลิต ยงใจยุทธ



ต้องยอมรับว่า ข้อเสนอว่าด้วย “รัฐบาลเฉพาะกาล” อันมาจากปาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มากด้วยความแหลมคม
เป็นความแหลมคมจาก 2 องค์ประกอบ
องค์ประกอบ 1 ฐานเดิมของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ทั้งในด้านการทหารและในด้านการเมือง
การทหารเคยเป็น “ผบ.ทบ.” และ “ผบ.ทสส.”
ยิ่งกว่านั้น ระยะก่อนเป็น “ผู้บังคับบัญชา” ก็ดำรงอยู่ในจุดอันเป็น “เสนาธิการ”มาอย่างต่อเนื่อง มีส่วนในคำสั่งที่ 66/2523
ในทางการเมืองก็ดำรงตำแหน่งทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและนายกรัฐมนตรี
จึงนำไปสู่องค์ประกอบ 1 ซึ่งสำคัญคือ ทาง”การข่าว”

จากพื้นฐานสำคัญอันก่อรูปขึ้นเป็น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในทาง การเมือง การทหาร เช่นนี้ ทำให้ข้อเสนอว่าด้วย “รัฐบาลแห่งชาติ”มีความแหลมคม
แหลมคม 1 จากฐาน”การข่าว” อันกว้างขวางและไม่เคยสะดุดหยุดนิ่ง
ทั้งจากด้าน”การทหาร” ทั้งจากด้าน “การเมือง”

แหลมคม 1 จากวิธีวิทยาในการวิเคราะห์ด้วยการประสานข้อมูลด้าน “การข่าว” กับความจัดเจนที่ผ่านประสบการณ์ทั้งในด้าน “การทหาร” และ “การเมือง”
เป็นประสบการณ์ตามฉายาที่ว่า “ขงเบ้ง” แห่ง”กองทัพบก”
เป็นสมองก้อนโตเสริมความสำเร็จให้กับรัฐบุรุษระดับ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ มาแล้วอย่างเป็นที่ประจักษ์
คำว่า “รัฐบาลเฉพาะกาล” จึงมิได้ดำรงอยู่อย่าง”ว่างเปล่า”
น่าจะเป็นที่มาจากสภาพความเป็นจริงในทาง “ความคิด”ของสังคมซึ่งมีต่อผลงาน 4 ปีของ”คสช.”
การเสนอขึ้นมาจึงเท่ากับเป็นการจุดประกาย

ประเด็นที่จะต้องร่วมกันพิจารณาก็คือ 1 รากฐานที่มาแห่งคำว่า”รัฐบาลเฉพาะกาล”ที่เสนอโดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
เป็นไปได้หรือไม่ว่าดำเนินในลักษณะ “ตัวแทน”
เป็น “ตัวแทน” จากหลายๆกลุ่มในทางสังคมที่เริ่มรู้สึกว่าเวลาของ “คสช.”น่าจะเพียงพอได้แล้ว
เป็นการเสนอขึ้นมาในวาระ 4 ปีแห่ง “รัฐประหาร”

ผ่า 4 ปี คสช.รอเวลา “ประชาชน” ตอบคำถาม : ดีพอไหม? “ประยุทธ์” ไปต่อ

ผ่า 4 ปี คสช.รอเวลา “ประชาชน” ตอบคำถาม : ดีพอไหม? “ประยุทธ์” ไปต่อ



บรรยากาศคึกคัก ห้วงเวลาโรงเรียนทั่วประเทศเปิดเทอมใหม่
ในห้วงจังหวะสถานการณ์ทางการเมืองก็เวียนมาบรรจบใกล้ครบเทอม 4 ปี กับการที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำกองทัพ “รัฐประหารเงียบ” เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
ยึดอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินจากรัฐบาลนักการเมือง
ดำรงสถานะ “รัฏฐาธิปัตย์” เป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ควบตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจพิเศษควบคุมเกมอำนาจประเทศไทยมาอย่างยาวนานกว่ารัฐบาลทหารโดยทั่วไป
เทียบกับรัฐบาลเลือกตั้งถือว่าอยู่ครบเทอม 4 ปีเลยทีเดียว
ท่ามกลางเสียงเจี๊ยวจ๊าววุ่นวาย ห้วงท้ายเทอมได้เวลาตรวจการบ้าน คสช.
โดยเฉพาะฝ่ายของนักการเมืองอาชีพที่ตั้งป้อมรุมถล่มตั้งแต่หัววัน ตามอารมณ์แบบที่ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง “เต็งหนึ่ง” ผู้ถือธง “นอมินี” หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนต่อไป กับ “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นเวทีเสวนาของคณะกรรมการพฤษภา 35
ประสานโจมตีรัฐบาลทหารของ พล.อ.ประยุทธ์ พูดเหมือนนัดกันมา
อัด 4 ปี คสช.พาประเทศถอยหลัง แย่กว่า “พฤษภาทมิฬ”
“เจ๊หน่อย–เดอะมาร์ค” สคริปต์เดียวกัน คสช.สืบทอดอำนาจ ปฏิรูปไม่ได้คืบไปไหน
แทบจะเขียนข่าว เดาสคริปต์ล่วงหน้าได้ ตามฟอร์มนักการเมืองทั้งเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ต้องโจมตีรัฐบาลคสช. ล่อเป้า พล.อ.ประยุทธ์ ตามไฟต์บังคับ
เพราะถ้าชื่นชมสมยอม ก็เท่ากับการันตีความชอบธรรมให้ทหาร
ยอมรับสภาพนักการเมืองคือ “ตัวปัญหา”
ตามรูปการณ์แบบที่เห็นๆกันอยู่ทนโท่ ตอนมีสภาผู้แทนราษฎรแล้วไม่รักษาไว้เอง ทั้งเพื่อไทย ทั้งประชาธิปัตย์พฤติกรรมฉาวโฉ่ แก่งแย่งอำนาจผลประโยชน์
ยื้อยุดฉุดกระชาก ลากเกมในสภาไปเล่นกันบนถนน ปลุกม็อบมาประจันหน้า ทำให้บ้านเมืองติดล็อก ถ้าทหารไม่ออกมา คนไทยมีหวังฆ่ากันตาย ประเทศไทยต้องกลายเป็นรัฐล่มสลาย
พูดง่ายๆเพิ่งทำฉิบหายกันมา 4 ปี คนยังไม่ลืม ลำพังเสียงของนักการเมือง ยี่ห้อเพื่อไทย ค่ายประชาธิปัตย์พูดไปก็ไร้น้ำหนัก ด่า คสช.ก็ยิ่งย้อนมาเข้าเนื้อ คนไม่เชื่อน้ำยา
รังแต่จะโดนสมน้ำหน้าเสียมากกว่า
จะดูมีพลังขึ้นมาหน่อยก็บรรดานักวิชาการ นักศึกษาในขบวนการกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่เคลื่อนไหวกดดันรัฐบาล คสช.มาอย่างต่อเนื่อง และนัดชุมนุมใหญ่กันในวันที่ 22 พฤษภาคม จ่อลากยาวแบบข้ามวันข้ามคืน
เป็นจุดที่ฝ่ายความมั่นคง คสช.ต้องเฝ้าระวัง
แต่พลังแท้จริงยังปลุกไม่ขึ้นสักเท่าไหร่ เพราะตามเงื่อนไขสถานการณ์เคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ทั้งในมุมของข้อเรียกร้อง ทั้งแนวร่วมที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นขาประจำกลุ่มฝักใฝ่เสื้อแดง นปช.
มันก็ตรงกับธงของ “นายใหญ่” ที่กำกับเกมอยู่ต่างประเทศ
เรื่องของเรื่องทั้งนักการเมือง ทั้งมวลชนคนอยากเลือกตั้ง ยังสลัดไม่พ้นวาระแฝง
จุดสำคัญมันอยู่ที่มุมของประชาชนเสียงส่วนใหญ่มากกว่า ในฐานะเจ้าของฉันทามติที่มอบให้ พล.อ.ประยุทธ์ใช้อำนาจพิเศษในการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการปฏิรูป
นี่ต่างหากคือคนที่จะตรวจการบ้านครบเทอม 4 ปี คสช.
เบื้องต้นเลย ยึดเอาตามโจทย์สถานการณ์ ณ นาที พล.อ.ประยุทธ์แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจในวันทำรัฐประหาร ในช่วงบ่ายของวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
“ตามสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ กทม. เขตปริมณฑล และพื้นที่ต่างๆของประเทศในหลายพื้นที่เป็นผลให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บและเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง และเหตุการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มขยายตัวจนอาจจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยรวม
เพื่อให้สถานการณ์ดังกล่าวกลับเขาสู่สภาวะปกติโดยเร็ว ประชาชนในชาติเกิดความรักความสามัคคีเช่นเดียวกับห้วงที่ผ่านมา ตลอดจนเพื่อเป็นการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและอื่นๆ เพื่อให้เกิดความชอบธรรมกับทุกพวกทุกฝ่าย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วย กองทัพบก กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีความจำเป็นต้องเข้าควบคุมอำนาจในการปกครองประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 2557 เวลา 16.30 น.เป็นต้นไป”
ท่ามกลางบรรยากาศบ้านเมืองกำลังลุกเป็นไฟ
แต่พลันที่ พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจยึดอำนาจเงียบ ล็อกแกนนำฝ่ายต่างๆทั้งฝั่งรัฐบาลรักษาการของพรรคเพื่อไทย ฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์ แกนนำม็อบ กปปส. หัวขบวนเสื้อแดง นปช.
ทำให้บรรยากาศลดโทนวิกฤติลงทันที ม็อบสลายตัวกลับบ้าน
ไร้ความรุนแรง ไม่มีเหตุปะทะ ไม่มีการสูญเสียเลือดเนื้อ
นี่คือเครดิตความเชื่อมั่นในตัวของ พล.อ.ประยุทธ์และทีม คสช.ทำให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบ
ขณะเดียวกัน ก็ต้องยอมรับว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาล คสช.สามารถคุมสถานการณ์ความมั่นคงในประเทศได้ดีระดับหนึ่ง ทั้งในมุมของม็อบป่วนเมือง การสร้างสถานการณ์ท้าทายอำนาจรัฐของกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้าน คสช. รวมถึงเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่ลดลงไป
มันคือฟอร์มที่ได้เปรียบของรัฐบาลทหารกับงานด้านความมั่นคง
ซึ่งนั่นก็ตรงกันข้ามกับแรงเสียดทานจากนานาชาติ ตามเงื่อนไขสถานการณ์โลกเสรีประชาธิปไตยจะไม่คบค้าสมาคมกับรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจ ประเทศไทยภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกยกเลิกความร่วมมือทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง รวมถึงการฝึกร่วมทางทหาร โดยเฉพาะจากพี่เบิ้มสหรัฐอเมริกา
แต่นั่นก็แค่สถานการณ์สั้นๆในห้วงปีแรกเท่านั้น
เพราะหลังจากนั้น รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ได้พยายามชี้แจงแสดงให้เห็นความจำเป็นในการเข้าควบคุมสถานการณ์ขัดแย้ง แก้ปัญหาประชาธิปไตยในแบบฉบับของประเทศไทย พร้อมทั้งใช้อำนาจพิเศษเชิงบวกในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ การประมง การยกระดับคุณภาพการบินพาณิชย์ ทลายปมปัญหาสะสม
จนปลดล็อกธงแดงองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) รวมถึงการกลับมาอยู่ในบัญชีเทียร์ 2 ประเทศที่เฝ้าจับตาปัญหาการค้ามนุษย์ ทำให้สินค้าประมงยังส่งออกยุโรป-สหรัฐฯได้
และถึงจุดหนึ่งที่เป็นไฮไลต์ ถึงขั้นที่ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” แห่งสหรัฐอเมริกา ต่อสายตรงเชิญให้พล.อ.ประยุทธ์เดินทางไปเยือนกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
เป็นผู้นำทหารจากการยึดอำนาจที่ได้รับเกียรตินั่งในห้องรูปไข่ ทำเนียบขาว
เท่านี้ พล.อ.ประยุทธ์ก็สลัดทิ้ง “ปมด้อย” ผู้นำรัฐประหารได้หรูเกินคาด
หันไปทางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ติดลบจากวิกฤติ ม็อบอาละวาดยึดเมือง นักลงทุนหนีกระเจิง แต่หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ดึงมืออาชีพอย่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มานั่งรองนายกฯ
เศรษฐกิจก็กลับมาติดเครื่อง รัฐบาลเดินหน้าเมกะโปรเจกต์เรือธง ทั้งโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้า มอเตอร์เวย์ ดันภาพรวมตัวเลขจีดีพีโตขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 4 และแนวโน้มโตได้ต่อเนื่อง การส่งออกเป็นบวก ความสามารถในการแข่งขัน ความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับคืนมา
แม้จะมีเสียงท้วงเรื่องเศรษฐกิจฐานราก ปัญหาปากท้อง แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่โดนกันทุกรัฐบาล เพราะมันเป็นปัญหาสะสมในเชิงระบบทุนนิยม ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยที่ต้องใช้เวลา
ขณะที่การสร้างความปรองดอง แม้จะยังไม่มีอะไรออกมาเป็นรูปเป็นร่าง แต่อย่างน้อยนายกรัฐมนตรีก็เดินทางไปได้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ไม่มีม็อบมาต่อต้าน
เทียบกับสถานการณ์ก่อนที่ คสช.จะเข้ามา ผู้นำต้องหลบๆซ่อนๆหนีม็อบไล่ล่า
พล.อ.ประยุทธ์นำประเทศกลับสู่ภาวะปกติสุขแล้วเป็นส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม จุดที่เป็นปมค้างคาใจหนีไม่พ้นปัญหาทุจริต ตามสภาพรัฐบาลทหารที่ตรวจสอบไม่ได้
แต่บังเอิญยุคนี้เป็นโลกของสังคมโซเชียลมีเดียทรงอิทธิพล ทำอะไรหลบๆซ่อนๆในมุมมืดไม่ได้
ท่ามกลางปรากฏการณ์ไล่จับโกงงบประมาณช่วยเหลือคนยากไร้ในกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ การโกงเงินทอนพระ การทุจริตเงินกองทุนการศึกษาของเด็กด้อยโอกาสในกระทรวงศึกษาธิการ ฯลฯ
ที่เรื่องแดงขึ้นมาประจานพร้อมๆกันในยุคของรัฐบาลทหาร คสช.
แต่อีกมุมก็เพราะรัฐบาล “ลุงตู่” ที่เดินหน้าลุย
ล้างบางเจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการเลว ขบวนการทุจริตที่ผูกปีโกงกันมาจนกลายเป็นวัฒนธรรม ผ่านมาไม่รู้กี่รัฐบาลต่อรัฐบาล
โดยรูปการณ์มันชัดว่า ทีม “นายกฯลุงตู่” เอาจริงเอาจังกว่ายุคอื่น
ซึ่งนั่นก็สวนทางกับปรากฏการณ์ “หยิกเล็บเจ็บเนื้อ” ในหมู่เพื่อนพ้องน้องพี่ ที่ถูกฝ่ายไล่ล่าทุจริตตามแกะรอยประจาน ไม่ว่าจะรายการ “แหวนพ่อ นาฬิกาเพื่อน” ของพี่ใหญ่ สถานการณ์ “เสือซุ่ม สิงห์เงียบ” ของพี่รอง หรือปมไม่ชอบมาพากลของเพื่อนรัก
และโดยธรรมชาติทหารอาชีพ “บิ๊กตู่” ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง บวกกับความเกรงใจพี่ๆน้องๆ
ทำให้ต้องเหนื่อยกับภาระการกระเตงตัวถ่วงมาตลอด
ดูแล้วก็ไม่ยังไม่ถึงขั้นพระพุทธรูป “บิ๊กตู่” มีทั้งด้านสวยงามและรอยตำหนิ
เอาเป็นว่า ตรวจการบ้านครบ 4 ปี คสช. มีทั้งด้านลบ ด้านบวก เพียงพอที่ประชาชนจะให้คำตอบกับการขอโอกาสคุมอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่านอีก 5 ปี ไม่ให้นักการเมืองพาประเทศย้อนกลับไปลงเหววิกฤติ
“ประยุทธ์” ดีพอหรือไม่ ที่จะตีตั๋วไปต่อ.
“ทีมการเมือง”

เตรียมกำลังรับม็อบ

ระดมตำรวจ-ทหาร ราบ11-ทหารเสือฯ ร.21 รอ.  วางกำลังเข้มคุม ทำเนียบ เตรียมรับมือ "กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง" 22พค./ผู้กำกับฯทำเนียบ เผย สถานการณ์ไม่น่ากังวล ยันเตรียมพร้อมทุกด้าน
 

ว่าที่ พ.ต.อ.กัมปนาท   ณ วิชัย ผู้กำกับกอง 4 กองบังคับการตำรวจสันติบาล 3 (ผกก.4 บก.ส.3 ) เรียกประชุม การเตรียมพร้อมรับมือ"กลุ่มคนเลือกตั้ง"ที่จะเคลื่อนขบวนมาชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 22 พ.ค.

พร้อมเผยว่า ได้มีการประสานกองสถานที่ทำเนียบรัฐบาล กองกำกับการตำรวจสันติบาล 3 ทำเนียบรัฐบาล รวมถึงกองกำกับการตำรวจสันติบาล 4 ในการดูแลความเรียบร้อยภายในทำเนียบรัฐบาล  

ทั้งนี้ตำรวจในทำเนียบฯ มีจำนวน 104 นาย และได้รับการสนับสนุนกำลังเสริมจากกองบัญชาการตำรวจสันติบาล รวมเป็น 200 นาย และใช้ตำรวจควบคุมฝูงชน 4 กองร้อย แบ่งเป็นการดูแลโดยรอบนอกทำเนียบรัฐบาล 3 กองร้อย ซึ่งจะดูแลบริเวณถนนราชดำเนิน ถนนพิษณุโลก เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยมีการวางกำลังตั้งแต่สะพานอรทัย สะพานชมัยมรุเชษฐ์ ประตู 3 ประตู 4 และประตู 5 และเลียบคลองผดุงกรุงเกษม 

 ขณะที่อีก 1 กองร้อยดูแลในทำเนียบรัฐบาล โดยจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำทุกตึกอย่างหนาแน่น 

โดยพรุ่งนี้(22 พ.ค.)เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจะเข้าประจำจุดตั้งเวลา 06.00 น.เป็นต้นไป
 
นอกจากนี้ยังมีในส่วนของหน่วยข่าวกรองและทหารจากกรมทหารราบ ที่ 11 รักษาพระองค์(ร.11 รอ.) และ กรมทหารราบที่21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.)ช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดูแลด้วย 

ขณะเดียวกันทางกทม.ก็จะมีการสนับสนุนรถดับเพลิงและไฟส่องสว่างเพื่อเตรียมพร้อมในการรับมือกลุ่มผุ้ชุมนุม 
 

ว่าที่พ.ต.อ.กัมปนาท กล่าวต่อว่า วันที่ 22 พ.ค.ต้องขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาล และสื่อมวลชน ติดบัตรประจำตัวเพื่อง่ายต่อการตรวจตรา เนื่องจากเจ้าหน้าที่จะมีการตรวจเข้มบุคคลที่จะเข้ามาภายในทำเนียบฯ

ส่วนการอำนวยความสะดวกประชาชนด้านการจราจรภายนอกทำเนียบฯ ได้มีการประสานตำรวจ สน.ดุสิต สน.นางเลิ้ง มาช่วยดูแล 

ทั้งนี้เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้สถานการณ์ยังไม่มีอะไรน่ากังวล และที่สำคัญตำรวจและเจ้าหน้าที่ทุกคนพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นแล้วอย่างเต็มที่  
 

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้มีการนำรั้วเหล็กมาวางกั้นชิดขอบทางเท้าโดยรอบทำเนียบฯไว้ทั้งหมดแล้ว

ข้ามช็อตไปไกลแล้ว!

ข้ามช็อตไปไกลแล้ว!



ใส่เกียร์ถอยกันทันทีทันใด
ตามฉากล่าสุดที่ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และ นายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เตรียมหั่นลดงบประมาณด้านไอที การก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ วงเงิน 8,135 ล้านบาท
ยอมลดสเปกเลิกจัดซื้ออุปกรณ์แพงเว่อร์อย่างไมโครโฟนเครื่องละ 120,000 บาท และนาฬิกาเรือนละ 70,000 บาท หันมาใช้ระบบที่มีราคาปกติ
ภายหลัง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. แสดงอาการไม่สบอารมณ์ กลางวง ครม. ในการจัดซื้อจัดจ้างระบบเทคโนโลยีด้านไอทีในราคาไม่สมเหตุสมผล ชวนให้เกิดข้อสงสัยเรื่องความไม่โปร่งใสในยุครัฐบาลทหารที่เน้นจุดขายรังเกียจการทุจริตเป็นอันดับต้นๆ
ท้ายที่สุดสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรต้องพับแผนซื้ออุปกรณ์ไฮเทคด้านไอทีเก็บใส่ลิ้นชัก
ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้ “บิ๊กตู่” ที่สกรีนการใช้งบประมาณของส่วนราชการละเอียดยิบ เบรกการใช้งบอีลุ่ยฉุยแฉกเกินความจำเป็น ช่วยเซฟเงินประเทศไว้ได้ก้อนโต
เป็นคิวที่ผู้นำ คสช.ได้แต้มไปเต็มๆแสดงให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจัง ใส่ใจมาตรฐานป้องกันกลโกง
กระตุ้นเรตติ้งผู้นำให้ติดลมบนยิ่งขึ้น หลังจากที่ผลโพลของ “นิด้า” ออกมาเป็นใจ ชาวบ้านเทใจสนับสนุนให้ “บิ๊กตู่” ได้ต่อตั๋วอำนาจเบิ้ลเก้าอี้ผู้นำ โดยมีคะแนนเหนือกว่า 2 คู่แข่งอย่าง “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย และ “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
แถมพรรคพลังประชารัฐ ว่าที่พรรคผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของ “ลุงตู่” ยังทำคะแนนนิยมแซงพรรคประชาธิปัตย์ เบียดขึ้นมาไล่ตามพรรคเพื่อไทย
รูปการณ์ดีวันดีคืนขึ้นเรื่อยๆ ผิดกับขั้ว 2 ค่ายใหญ่ “เพื่อไทย–ประชาธิปัตย์” ที่ยังมีปัญหาเรื้อรังเรื่องตัวผู้นำพรรค ทั้งคุณหญิงสุดารัตน์และนายอภิสิทธิ์ยังติดปัญหาการยอมรับจากลูกทีม จะเทใจให้เต็มร้อยในการถือธงนำลงสนามเลือกตั้งหรือไม่
สถานการณ์สองพรรคใหญ่ไม่สู้ดี ปัจจัยทางบวกไหลไปอยู่กับขั้วอำนาจพิเศษหมด
เพราะมาถึงตอนนี้แนวโน้มสูงหลังการเลือกตั้งจะได้ผู้นำหน้าเดิมชื่อ “ลุงตู่” ตามต้นทุนที่สะสมทำงานมาร่วม 4 ปี ยังมีดีพอที่จะได้ไปต่อ
สามารถจัดแถวนักเลือกตั้งให้อยู่ในระเบียบ และทำท่าจะต่อยอดเปิดทางให้ทหารมีบทบาทมากขึ้นในการดำรงตำแหน่งสำคัญต่างๆเพื่อคุมเกมความได้เปรียบในอนาคต
ตามเค้าลางที่เห็นในกรณีรัฐบาลและ สนช.เตรียมคลอดกฎหมายฉบับใหม่ ร่าง พ.ร.บ.การเทียบตำแหน่งของข้าราชการทหารกับข้าราชการพลเรือน
หลักใหญ่ใจความคือ การปรับระดับให้นายทหารยศ “พลตรี” มีสถานะเทียบเท่ากับซี 10 หรือระดับ “อธิบดี” ในตำแหน่งทางข้าราชการพลเรือน
เห็นเนื้อหาสาระ ก็อ่านไต๋กันออก นำร่องเคลียร์ทางให้ระดับหัวแถวท็อปบูตลงสนามเข้ามาเป็นกรรมการองค์กรอิสระได้ โดยไม่ติดกฎเหล็กเรื่องคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญปี 2560
ปลดล็อกให้เกิดความชัดเจนเรื่องการเทียบเคียงยศทางทหารกับตำแหน่งข้าราชการพลเรือน ให้ระดับ พล.ต.มีสิทธินั่งแท่นองค์กรอิสระได้ ไม่ใช่ผูกขาดอยู่แค่ระดับ พล.อ.ที่เป็น ผบ.เหล่าทัพเพียงอย่างเดียว
เนื่องจากที่ผ่านมาชั้นยศ “พลตรี” ถูกตีความไม่ได้อยู่ในข่ายเทียบเท่า “อธิบดี”
แม้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พยายามชี้แจง จะต้องดูทั้งตำแหน่งและชั้นยศเทียบเคียงประกอบกันไปด้วย จึงจะชี้ขาดได้ว่า ชั้นยศ พล.ต.ตามกฎหมายใหม่จะมีศักดิ์เทียบเท่าอธิบดีหรือไม่
แต่อย่างน้อยก็มีแนวโน้มให้ทหารเข้าไปนั่งในองค์กรอิสระระดับหัวกะทิ อาทิ กกต. ป.ป.ช. สตง. ได้ง่ายขึ้น เพราะที่ผ่านมามีนายพลหลายรายที่ถูกมองเป็นเด็กปั้นฝ่ายอำนาจพิเศษตกม้าตาย วืดเก้าอี้องค์กรอิสระ
จึงมีความจำเป็นต้องหาช่องให้ท็อปบูตได้แทรกตัวไปอยู่ในองค์กรอิสระ คอยประคองเสถียรภาพ “บิ๊กตู่” ในการต่อตั๋วอำนาจนั่งเก้าอี้นายกฯรอบสองช่วงเปลี่ยนผ่าน
ช่วยระวังหลังให้รัฐบาลไปได้ตลอดรอดฝั่ง
นาทีนี้ “ลุงตู่” มองข้ามช็อตไปไกลกว่าการเลือกตั้งแล้ว.
ทีมข่าวการเมือง

บิ๊กป้อมใต้

"บิ๊กป้อม" คาด "รัฐบาลมหาเธร์" ตั้ง ทีมผู้อำนวยความสะดวก พูดคุยสันติสุขใต้ ใหม่ ต้องรอก่อน เชื่อ ระเบิด เจาะไอร้อง safety zone ไม่กระทบแผนพื้นที่ปลอดภัย/ชี้ โจรใต้ มุ่งเขตเมือง เศรษฐกิจ ตู้ เอทีเอ็ม หวัง ให้ ปชช.เดิอดร้อน  

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดหลายจุดใน4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า เป็นไปตามที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ เคยประกาศไว้ว่า จะมีระเบิดในช่วงเดือนรอมฎอน ซึ่งหน่วยงานความมั่นคงจะต้องแก้ไขปัญหา เพื่อให้เกิดความสงบให้ได้ 

โดยขณะนี้รู้ตัวผู้ก่อเหตุแล้ว ว่ากลุ่มไหน ในพื้นที่เขารู้

ส่วนจะเชื่อมโยงกับการที่จนท.ตรวจค้น รร.ปอเนาะ ก่อนหน้านี้ หรือไม่ นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ถ้าทำผิด กฎหมาย ก็ต้องดำเนินการ

ซึ่งหลังจากนี้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป โดยจะต้องควบคุมพื้นที่ให้ได้

โดยพบว่า กลุ่มก่อความไม่สงบ มีการใช้ โซเชี่ยลฯ มีเดีย นัดแนะ ในการก่อเหตุ ในเวลาเดียวกัน 

เบื้องต้นผู้ก่อเหตุต้องการทำลายตู้เอทีเอ็ม ทำลายระบบเศรษฐกิจ เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบ

พลเอกประวิตร ยันไม่กระทบ เจาะไอร้อง นราธิวาส เซฟตี้โซน  แม้จะเกิดเหตุ

ส่วนการพูดคุยสันติสุข ตัองรอ รัฐบาลมาเลเซีย ตั้ง ชุดทำงานใหม่ มาก่อน

แรงกว่าฟ้าร้อง

"แรงกว่า ฟ้าร้อง"!!!!!!!!!!!!

"นายกฯบิ๊กตู่" ช่างกล้า พูดไล่หลัง "ฟ้าผ่า" เสียงสนั่น ทำเนียบฯว่า  “เห็นมั้ย ฟ้าผ่าแล้ว " ก่อนจะชี้ตัวเอง และกล่าวว่า “แต่นี่!!แรงกว่าฟ้า ร้อง ” !!! หลังนักข่าวถาม การรับมือ ม็อบ"อยากเลือกตั้ง

พล.อ.ประยุทธ์  เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี – เจ้าพระยา – แม่โขง (ACMECS) ที่ ตึกภักดีบดินทร์

ท่ามกลาง ฝนตกภายนอก และเกืดฝนฟ้าคะนอง และมีเสียงฟ้าร้อง ฟ้าแลบ ดังเป็นระยะๆ

โดย นายกฯ และ บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ได้เข้าหารือเป็นการส่วนตัว ในห้องรับรองวนาสิริ ตึกภักดีบดินทร์ 

จากนั้น ได้ออกจากห้องรับรอง เพื่อเดินกลับไปยังห้องทำงานตึกไทยคู่ฟ้า 

ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามถึงการรับมือกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ที่จะมาทำเนียบฯ แต่ตอนนั้น เกิดมีฟ้าผ่าเสียงดังสนั่น

นายกฯ จึงกล่าวว่า “เห็นมั้ย ฟ้าผ่าแล้ว"

 ก่อนที่จะชี้มา ที่ตัวเองและกล่าวว่า “แต่นี่แรงกว่าเสียงของฟ้า ร้อง อีก” 

แล้วเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ไป