PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ยิ่งลักษณ์’ร่ำไห้กลางศาล เเถลงปิดคดียันบริสุทธิ์เป็นผู้หญิงธรรมดาระบุ หน.คสช.ชี้นำ!!

ยิ่งลักษณ์’สะอื้นร่ำไห้กลางศาล
เเถลงปิดคดียันบริสุทธิ์เป็นผู้หญิงธรรมดาทำเพื่อ
กระดูกสันหลังชาติ’ระบุ หน.คสช.ชี้นำ!!

••••••••••••••••••••••
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 1 สิงหาคม ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถนนแจ้งวัฒนะ นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีจำนำข้าวคดีหมายเลขดำ อม.22/2558 พร้อมองค์คณะรวม 9 คน ได้นัดแถลงปิดคดีด้วยวาจา คดีที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อายุ 50 ปี อดีตนายกรัฐมนตรี 28 เป็นจำเลย ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้รัฐเสียหายนับแสนล้านบาท

โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ใช้เวลาแถลงปิดคดี 1 ชั่วโมงเต็มตั้งแต่ 09.30-10.30 น. ซึ่งเนื้อหายาวทั้งหมด 19 หน้า โดยการแถลงปิดคดีด้วยวาจานั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้อ่านถ้อยคำจากเอกสารดังกล่าวต่อหน้าศาล กล่าวยืนยันว่า ไม่ได้ละเลยหรือเพิกเฉยในการตรวจสอบเมื่อเกิดปัญหาโครงการจำนำข้าว และไม่ได้สมยอมปล่อยให้มีการทุจริตระบายข้าว และรู้ดีว่า เป็นเหยื่อของเกมการเมืองที่ลึกซึ้ง โดยชี้ให้ศาลเห็นถึงความบริสุทธิ์และความตั้งใจดำเนินโครงการจำนำข้าว ซึ่งเป็นนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่ได้แถลงต่อสภาอันมีผลผูกพันให้ต้องปฏิบัติตามและยังได้มีมติ ครม.รวม 6 ประเด็น

1.ข้อกล่าวของ ป.ป.ช.ที่ชี้มูลความผิด และฟ้องของอัยการโจทก์มีพิรุธ ไม่ชอบด้วยกฎหมายเริ่มกล่าวหาตนด้วยเอกสาร 329 แผ่น ใช้เวลาไต่สวน 79 วันและเร่งชี้มูลความผิดหลังจากศาล รธน.วินิจฉัยให้ตนพ้นจากตำแหน่งเพียง 1 วัน ทั้งที่ข้อกล่าวหาต่อคนอื่นเรื่องทุจริตระบายข้าวยังไม่มีข้อสรุป แล้วยังนำเอกสารกว่า 60,000 แผ่นในสำนวนคดีระบายข้าวเสมือนมาเป็นหลักฐานใหม่กล่าวหาตนทั้งที่ครั้งแรกในชั้น ป.ปช.ที่กล่าวหาตนยังไม่มีเอกสารส่วนนี้กระทั่งฟ้องตนแล้วจึงนำมาเสนอศาล
2.นโยบายจำนำข้าว เป็นนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่ต้องปฏิบัติตามและเป็นนโยบายสาธารณะที่ทำเพื่อชาวนา
3.ยืนยันไม่ได้เพิกเฉยเพราะมีการตั้งคณะกรรมการและอนุกรรมการต่างๆ เพื่อปฏิบัติการและถ่วงดุลอำนาจ ดังนั้นการดำเนินนโยบายจึงเป็นไปในรูปแบบของคณะกรรมการ มิใช่ตนในฐานะนายกฯ ใช้อำนาจตามอำเภอใจ ที่นึกจะทำก็ทำ หรือนึกจะยกเลิกก็เลิก
4.โครงการจำนำไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายตามฟ้อง แต่เกิดประโยชน์และความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจทั้งโดยตรงและทางอ้อม คือ ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนาให้มีรายได้สูงขึ้น และยังส่งผลให้รัฐเก็บภาษีได้มากขึ้นจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งสภาพัฒน์ ได้ยืนยันข้อมูลตรงกันว่าควรดำเนินโครงการไปจนถึงปี 2558 ซึ่งไทยกำลังขะเข้าสู่เออีซี
5.ยืนยันไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา157 และกฎหมาย ป.ป.ช. ซึ่งกรณีที่ ป.ป.ช.และสตง.เคยมีหนังสือท้วงติงโครงการตนก็รับไว้ ไม่ได้ละเลยเพิกเฉยข้อเสนอแนะนั้นแต่ส่งให้คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาตามสายบังคับบัญชากระทั่งมีการตั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบ และยังให้หน่วยงานในจังหวัดดูแลเรื่องการสวมสิทธิ
แต่การยับยั้ง ก็ไม่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลเข้าซึ่งการบริหารราชการแผ่นดินในฐานะนายกฯ ก็ต้องรับฟังหน่วยงานของรัฐที่มีความเชี่ยวชาญ
6.ไม่ได้ปล่อยปละให้ทุจริตระบายข้าว ซึ่งข้อกล่าวหานั้นเป็นเรื่องระดับปฏิบัติการมีคณะกรรมการรับผิดชอบและเป็นเรื่องกรมการค้าต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์ดูแล โดย ครม.ใช้ความระมัดระวังใส่ใจเรื่องการระบายข้าวโดยมีมติกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรการป้องกันการทุจริตในการนะบายข้าวให้เข้มงวดขึ้นซึ่งการดำเนินการนั้นเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องระบายข้าวแบบจีทูจี
ทั้งนี้ ระหว่างการแถลงปิดคดีด้วยวาจา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึงกับสะอื้นเมื่อกล่าวถึงการเป้าหมายการดำเนินนโยบายเพื่อประโยชน์ชาวนา
โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า “ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิด แต่สิ่งที่ทำคือ ใช้ประสบการณ์ของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่เกิดในต่างจังหวัดมีโอกาสได้รับรู้สัมผัสความทุกข์ยากแสนสาหัสของชาวไร่ชาวนา ซึ่งประเทศนี้เคยเรียกว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติและเรียกร้องให้คนไทยทุกคนเกื้อหนุนดูแล และดิฉันก็ได้ทำแล้วในโครงการรับจำนำข้าว แม้การผลักดันนโยบายสาธารณะเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชาวนาครั้งนี้จะทำให้ดิฉันต้องเจ็บปวดก็ตามในการต้องอดทนต่อสู้คดีกับฝ่ายโจทก์ ที่พยายามบิดเบือนและกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม สุดท้ายก่อนที่ศาลจะตัดสินคดีนี้ดิฉันใคร่ขอวิงวอนศาลได้โปรดพิจารณาพิพากษาคดีนี้ตามข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐานที่เข้าสู่สำนวนโดยชอบและโดยสุจริต ไม่รับฟังการชี้นำจากฝ่ายใดๆแม้แต่หัวหน้า คสช.ผู้กุมชะตาและอำนาจรัฐที่พูดชี้นำคนในสังคมเกี่ยวกับคดีของดิฉันเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า ถ้าเรื่องนี้ไม่ผิดแล้วจะเข้าสู่กระบวนพิจารณาได้อย่างไร ซึ่งความพูดนี้เป็นการชี้นำเสมือนว่ามีการกระทำผิดแล้ว ทั้งๆ ที่ศาลยังไม่ได้ตัดสิน จึงขอความเมตตาศาลโปรดพิจารณาพิพากษายกฟ้อง”
ภายหลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ แถลงปิดคดีด้วยวาจาแล้ว องค์คณะฯก็ได้อ่านรายงานกระบวนพิจารณาให้ยกคำร้องล่าสุดของจำเลยที่ยื่นเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 ที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งและกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบกรณีไม่ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ2560 มาตรา 212 เนื่องจากศาลเห็นว่าเเม้อำนาจที่สั่งว่าจะไม่รับหรือไม่รับคำร้องเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ เเต่อำนาจวินิจฉัยก่อนที่จะส่งศาล รัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรมมีอำนาจวินิจฉัยก่อนว่าเข้าข้อกำหนดในการส่งหรือไม่ ใช่ว่าต้องส่งทุกกรณี ดังแนวคำพิพากษาศาลฎีกา 10660/2553 การที่ไม่ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ไม่ใช่เพราะมีกระบวนพิจารณาผิดระเบียบจึงให้ยกคำร้อง โดยศาลนัดให้ฟังคำพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ เวลา 09.00 น.ตามนัดเดิม
Cr. มติชน

กม.4ชั่วโคตรผ่านแล้ว จัดการนักการเมือง ขรก.ขี้โกง

1 ส.ค.60 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม หรือเรียกอีกชื่อว่ากฎหมาย 4 ชั่วโคตร โดยมีที่มาจากสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ซึ่ง ร.อ.ทินพันธุ์ นาคาตะ ประธาน สปท.ระบุว่ากฎหมายนี้ผลงานชิ้นโบว์แดง แต่ไม่ทราบว่าจะเข้า ครม.วันนี้ ซึ่งกฎหมายนี้เป็นความตั้งใจที่รัฐบาลจะให้ข้าราชการมีความซื่อสัตย์สุจริตปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน โดยจะบังคับใช้กับข้าราชการทุกคน ทุกตำแหน่ง ข้าราชการการเมือง รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือเอกชนที่เข้ามาเป็นคณะกรรมการของรัฐ ซึ่งจะดำเนินการทุกระดับพร้อมคู่สมรส ทั้งจดทะเบียน หรือไม่ แต่ต้องพิสูจน์ทราบได้ว่าใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน รวมทั้งครอบคลุมไปถึงญาติ 4 ลำดับ คือ 1.ผู้สืบสันดาน 2.บุพพการี 3.คู่สมรสของบุตร และ 4.พี่น้องและบุตรบุญธรรม
ทั้งนี้ กำหนดหลักเกณฑ์สำคัญคือ 1.ห้ามกระทำการขัดระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม 2.ห้ามรับของขวัญ ของที่ระลึก เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวนเป็นเงินได้ แต่ถ้าให้ตามประเพณีนิยมสามารถรับได้ โดยจะมีการออกกฎหมายลูกตามมาต่อไป 2.ผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และมีอำนาจกำกับดูแลโดยตรงในหน่วยใด หลังจากพ้นตำแหน่งจะไม่สามารถยุ่งเกี่ยว เป็นกรรมการ หรือปรึกษาใดๆในหน่วยงานนั้นไม่ได้ภายในเวลา 2 ปี และ3.การกระทำการใดๆที่ให้ผู้อื่นล่วงรู้ความลับของทางราชการ ที่ตนรับรู้ระหว่างดำรงตำแหน่ง และให้ข้อมูลลับนั้นเป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง เป็นไปเพื่อทุจริต ไม่สามารถทำได้
"ในที่ประชุม ครม.มีการถามกันมากมายว่า ในวันข้างหน้าใครจะกล้าเป็นเจ้าที่ของรัฐ ก็ต้องบอกว่าถ้าเราตั้งใจจริงที่จะทำงานเพื่อประชาชน เราต้องพร้อมตรวจสอบ ทุกประเทศที่เจริญแล้วก็มีกฎหมายนี้ทั้งนั้น ซึ่งหมายรวมแบบคิดมากๆ แทรกแซงแต่งตั้งโยกย้ายก็โดน เอาซองจดหมายตราครุฑของราชการหยิบเงินใส่ช่วยงานศพก็โดน เอาโทรศัพท์มือถือชาร์ทไฟหลวงก็โดน ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุว่า ถ้าตีความกันแบบนี้ก็จะโอเว่อร์ไป ซึ่งต้องมีการออกกฎหมายลูก กฎระเบียบของแต่ละหน่วยงานว่าอนุญาตให้อะไรแค่ไหนอย่างไร จะเสียบโทรศัทพ์ได้กี่ชั่วโมง เป็นต้น" พล.ท.สรรเสริญ กล่าว

โหมโรง ก่อนถึงวันพรุ่ง บาดแผลประวัติศาสตร์พธม.



(ผู้จัดการออนไลน์):

รายชื่อบุคคลต่อไปนี้คือคนที่ชาวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะไม่มีวันลืมเลือนไปชั่วชีวิตคือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีและน้องเขยนายทักษิณ ชินวัตร พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้เป็นน้องชายของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และพลตำรวจโทสุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพราะบุคคลเหล่านี้ คือคนที่ถูกกรรมการป.ป.ช.ฟ้องตกเป็นจำเลยจากการสั่งสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯด้วยระเบิดแก๊สน้ำตาอย่างไร้ความปราณีจนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 มาจนถึงทุกวันนี้และตลอดไป 

ในวันที่ 2 สิงหาคม 2560 ก็จะถือเป็นวันประวัติศาสตร์ที่ชาวพันธมิตรเฝ้ารอคอยมาถึงเกือบ 9 ปีเต็ม เพราะจะเป็นวันที่ศาลฎีกาแผกนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีคำพิพากษากับจำเลยทั้ง 4 คน ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. มีมติส่งฟ้อง โดยแจ้งข้อกล่าวหาเป็นรายบุคคลตามรายละเอียดคำฟ้องดังนี้ 

1. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต้องบริหารบ้านเมืองให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินและเคารพสิทธิการแสดงออกของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ แต่กรณีที่ตำรวจใช้วิธีการที่รุนแรงต่อประชาชนจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เพื่อเปิดทางเข้ารัฐสภาในตอนเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนกระทั่งพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ได้แสดงความรับผิดชอบโดยการประกาศลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี แต่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ไม่ได้สั่งการให้ตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชายุติการกระทำ กลับปล่อยให้มีการกระทำที่รุนแรงขึ้นตามลำดับตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ การกระทำหรือละเว้นการกระทำของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จึงมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
2. พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ครั้งดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี เมื่อพิจารณาจากการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจที่ต้องเปิดทางให้สมาชิกรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี เข้าประชุมเพื่อรับฟังนโยบายของรัฐบาลด้วยการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุโดยมิได้คำนึงถึงชีวิต ร่างกายของผู้ร่วมชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตย เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บ สูญเสียอวัยวะสำคัญ ก็เนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งหรือละเว้นการกระทำดังกล่าวของ พลเอก ชวลิต ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินลำดับถัดมาจากนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ให้เป็นผู้มีอำนาจสั่งการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีมูลความผิดทางอาญาฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 

3 พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมในช่วงเช้ามีผู้บาดเจ็บและมีบาดแผลในร่างกายหลายราย สื่อมวลชนได้เสนอข่าวอยู่ตลอดเวลา กลับเพิกเฉยไม่สั่งการให้หยุดยั้งการกระทำ หรือยอมกระทำการอันเป็นการที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน ตามวิสัยของข้าราชการตำรวจที่มีหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ จนเกิดความเสียหายดังกล่าว การกระทำหรือละเว้นการกระทำ จึงมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และฐานละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญาฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 

4 พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล มีข้อเท็จจริงปรากฏว่า ตำรวจซึ่งอยู่ในความควบคุมบังคับบัญชาของ พลตำรวจโท สุชาติ ได้ปฏิบัติหน้าที่เกินกว่าเหตุทำให้มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต ตลอดทั้งวันที่ 7 ตุลาคม 2551 แล้ว แม้จนถึงเวลาประมาณ 16.00 น.ก็ยังคงสั่งให้ใช้กำลังเข้าผลักดันกลุ่มประชาชน โดยใช้แก๊สน้ำตาดังกล่าวอีก จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากแก๊สน้ำตาอีกจำนวนหนึ่ง และเมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.ตำรวจที่อยู่บริเวณด้านหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล ก็ยังคงยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บสาหัส ขาขาด มือขาด และบาดเจ็บที่ต่างๆ จำนวนมากอีก จึงเห็นว่าพลตำรวจโท สุชาติ มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทำร้ายประชาชนในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการ กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และกระทำหรือละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ และมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 

ซึ่งคำฟ้องตามที่ป.ป.ช.ได้ส่งฟ้องต่อศาลฎีกาฯพิจารณาและประทับรับฟ้องเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2558 เป็นช่วงหลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติยึดอำนาจแล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม2557

ต่อมา จู่ ๆ เมื่อกลางเดือนเมษายน 2559 ก็มีข่าวหลุดออกมาว่า ป.ป.ช. อาจจะยื่นถอนฟ้องคดีสลายม็อบกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยอ้างถึงเหตุที่จำเลยทั้ง 3 คนคือ นายสมชาย พลตำรวจเอกพัชรวาท และ พลตำรวจโทสุชาติ ได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมต่อ ป.ป.ช. ระบุถึงความเห็นของอัยการที่สั่งไม่ฟ้องคดีนี้ และยังอ้างถึงคดีสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ที่ ป.ป.ช.ยกคำร้องในคดีที่กล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สั่งสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช.เพื่อจะนำมาเทียบเคียงกันด้วย แต่แล้วในที่สุด เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ได้มีหนังสือตอบกลับมาว่า ไม่สมควรถอนฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า จำเลยสามารถร้องขอความเป็นธรรมกับศาลฎีกาฯ ไต่สวนเพิ่มเติมได้อยู่แล้ว อีกทั้งหาก ป.ป.ช.ถอนฟ้องคดีนี้ อาจเข้าข่ายกระทำผิดทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่และถูกฟ้องร้องเสียเองด้วย เพราะป.ป.ช.เป็นผู้ฟ้องคดีเอง รวมทั้งศาลฎีกาฯก็ได้เริ่มต้นกระบวนการไต่สวนไปแล้วอีกด้วย

ด้าน พลตำรวจเอกวัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป.ป.ช.ซึ่งถูกจับตามองการทำงานมาตลอดว่าอาจจะมาช่วยเหลือพลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ หรือไม่ เพราะเคยเป็นเลขานุการ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้เป็นพี่ชายของพลตำรวจเอกพัชรวาท ซึ่งพลตำรวจเอกวัชรพล ก็รู้ดีว่าตนเองกำลังถูกจับตามองจากสังคมอยู่ ก็ได้ยืนยันว่าจะเข้ามาทำงานเพื่อชาติ เพราะหากทำไม่ดี ก็ต้องถูกดำเนินคดี ซึ่งตำแหน่งประธาน ป.ป.ช.จะมีโทษเป็นสองเท่าของคนทั่วไป จึงยืนยันได้ว่าจะไม่เอาเกียรติประวัติในชีวิตราชการมาทำอะไรที่ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน ก็เป็นสบายใจได้ในระดับหนึ่ง

ก่อนที่จะจบรายงานชิ้นนี้ ทีมข่าว NEWS1 อยากจะขอฝากนายตำรวจอีก 1 คนคือ
พันตำรวจเอกลือชัย สุดยอด
ในฐานะหัวหน้าหน่วยอรินทราช 26 ในวันนั้น และได้ดิบได้ดีจนกลายเป็น พล.ต.ต.ลือชัย สุดยอด รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 มีอำนาจหน้าที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วอีสานตอนล่างในวันนี้ ซึ่ง ก.ตร.ปูนบำเหน็จให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กำลังจะมียศพลตำรวจโทเทียบเท่าผู้บัญชาการ ก่อนเกษียณอายุราชการ ซึ่งนายตำรวจคนนี้ได้สร้างความทรงจำที่ลืมไม่ลง เพราะในวันที่ 7 ตุลา 51 "ลือชัย สุดยอด" คือนายตำรวจคนที่ใส่ชุดปฏิบัติการคลุมทั้งตัวและศีรษะ ขว้างระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างเมามัน พร้อมกับเสียงตะโกน “ให้ยิงเข้าไป เดินเข้าไป ลุยเข้าไป อยู่ได้ให้มันอยู่ไป “เสียงนั้นยังก้องอยู่ในหูจนทุกันนี้ 

ส่วนคำพิพากษาของศาลในวันที่ 2 สิงหาคม 2560 จะออกมาอย่างไร ต้องติดตาม!!

'วิทยา' ทวงคำขอโทษ 'บิ๊กแป๊ะ' เย้ยคะนองปาก หลังแฉซื้อขายเก้าอี้มีมูล

'วิทยา' ทวงคำขอโทษ 'บิ๊กแป๊ะ' เย้ยคะนองปาก หลังแฉซื้อขายเก้าอี้มีมูล

"วิทยา" ร้องคำขอโทษจาก ผบ.ตร.หลังถูกเย้ย "พูดคะนองปาก" หลังพบมูลความจริงซื้อขายตำแหน่ง บช.ภ.8 แนะ กก.ปฏิรูป ตร.ถอดบทเรียน เป็นโมเดลแก้ปัญหา

เมื่อวันที่ 1 ส.ค.60 นายวิทยา แก้วภราดัย แกนนำ กปปส.และอดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวถึงกรณีที่พล.ต.อ.ปัญญา มาเม่น จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการซื้อขายตำแหน่งในการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี 2559 ใน บช.ภ.8 มีมูลความจริงว่า ตนเป็นผู้ให้ข้อมูลประกอบเพื่อเป็นพยานหลักฐานว่ามีการซื้อขายตำแหน่ง แต่ไม่เคยพูดว่าเป็นพื้นที่ บช.ภ.8 ดังนั้นในเมื่อพบว่าพื้นที่ดังกล่าวมีมูลความจริง พล.ต.อ.ปัญญา ซึ่งเป็นประธานฯ ตรวจสอบจะต้องเร่งแก้ปัญหาดังกล่าว และในฐานะที่พล.ต.อ.ปัญญา ก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ จะต้องนำเรื่องนี้ไปรายงานให้ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจได้ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจจะต้องนำบทเรียนนี้ มาเป็นโมเดลในการแก้ไขปัญหา และปฏิรูปตำรวจให้สำเร็จ

นายวิทยา กล่าวต่อว่า ตนเชื่อว่าปัญหาการซื้อขายโยกย้ายตำแหน่ง ไม่ได้มีแค่ในพื้นที่ บช.ภ.8 เท่านั้น แต่อาจไปถึงโครงสร้างใหญ่อย่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) หรือไม่ จึงอยากให้ยุติการโยกย้ายตำแหน่งในช่วงนี้ก่อน จนกว่าคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจจะได้แนวทางการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องและเป็นธรรมกับนายตำรวจทุกคน โดยการแต่งตั้งโยกย้ายจะต้องถูกจัดระบบใหม่ทั้งหมด
     
"ผมติดใจอยู่เรื่องหนึ่งว่า สตช.จะรับผิดชอบอย่างไรกับผม ที่บอกว่าจะไปดำเนินการแจ้งความเพื่อดำเนินคดีเอาผิดกับผม โดยเฉพาะท่านผบ.ตร.ที่เคยให้สัมภาษณ์ว่า นายวิทยา พูดไปโดยคะนองปาก แต่ตอนนี้ผลสอบจากท่าน พล.ต.อ.ปัญญา ออกมาแล้วว่า มีมูลความจริง ท่านผบ.ตร.จะรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไร เพราะผมพูดด้วยข้อเท็จจริง ไม่ได้พูดแค่คะนองปาก สิ่งสำคัญ คือ ผมจะได้ยินคำขอโทษจาก สตช.หรือไม่" นายวิทยา กล่าว

"บิ๊กป้อม" ไม่สน "โกตี๋" ถูกอุ้มหาย จะไม่ประสานขอข้อมูล จากลาว

"บิ๊กป้อม" ไม่สน "โกตี๋" ถูกอุ้มหาย จะไม่ประสานขอข้อมูล จากลาว ถาม จนท.รัฐ จะจับทำไม ถ้าจับต้องจับ3 ปี ที่แล้วแล้ว เผย จับตาคนเข้ากรุงฯ25สค.
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ย้ำ ยังไม่รู้ข้อมูล เริ่อง"โกตี๋ ถูกอุ้ม แต่ก็จะไม่ประสานรัฐบาลลาว เพื่อขอข้อมูลเรื่องนี้ เพราะไม่ทราบข้อเท็จจริง
เมื่อถามว่า ข่าว อุ้ม โกตี๋ เกี่ยวกับกรณีทางการเมืองที่ในช่วง ส.ค. จะมีการพิจารณาคดีที่เกี่ยวกับกลุ่มพรรคเพื่อไทยและเสื้อแดง หรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่เกี่ยว เรื่องการเมือง ไม่รู้ ยืนยันว่าไม่เกี่ยว
เมื่อถามว่า ข่าวที่ออกมา ว่าจนท.รัฐ เข้าไปอุ้มตัวจากลาว พลเอกประวิตร กล่าวว่า
ไม่รู้ในเรื่องนี้ จะจับตัวทำไม เขาอยู่ที่นั่นมา3ปี หากจะจับ ก็ต้องจับก่อนหน้านั้น แล้ว
เมื่อถามว่า จากกรณีการเคลื่อนไหวของสมาชิกพรรคเพื่อไทย คนเสื้อแดง ต่อกรณีคำพิพากษา พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่มีการประเมินถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวและคำพิพากษา
ส่วน ที่หลายฝ่ายมองว่าควรจับตาแกนนำกลุ่มการเมืองในพื้นที่เพื่อไม่ใช้เคลื่อนไหวเข้า กทม. วันที่ 25 ส.ค. ที่ศาลจะพิจารณาคดี ตนทำอยู่แล้วและไม่จำเป็นต้องบอกให้สือมวลชนรับรู้

ประเพณีกดดันศาล

ก็ไม่ได้มีใครห้าม!
อยากจะไปให้กำลังใจ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร วันนี้ (๑ สิงหาคม) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็เชิญไป
ที่จริงไม่ควรไป
แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ...บริวารทักษิณสร้างบรรทัดฐานขนมวลชนไปให้กำลังใจหน้าศาลมานานนับสิบปี โดยไม่สนใจว่าควรหรือไม่ควร ก็เอาตามที่สบายใจ
เพียงแต่อย่าตะแบงให้ผิดเป็นถูก!
อย่าคิดว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย
มาดูกันอีกทีกับบรรยากาศการวินิจฉัยคดีซุกหุ้นของทักษิณ ชินวัตร โดยศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อปี ๒๕๔๔ นายจุมพล ณ สงขลา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากในขณะนั้น แสดงทัศนะอันน่าตะลึง
"ผมก็ตัดสินของผมโดยยึดหลักประชาธิปไตยและหลักรัฐศาสตร์ว่านายกฯ ทักษิณไม่ได้มีความผิด สาเหตุที่ผมตัดสินแบบนี้ก็เพราะผมเห็นแล้วว่าประชาชนเขาพร้อมใจกันเทคะแนนเสียงให้ไทยรักไทย ๑๑ ล้านเสียง นี่คือเสียงสวรรค์ของประชาชนที่พร้อมใจกันเลือก พ.ต.ท.ทักษิณให้เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสิบกว่าคนจะมาไล่เขาลงจากตำแหน่งได้อย่างไร"
ในอดีตการใช้มวลชนบีบบังคับให้ศาลวินิจฉัยคดีเป็นไปตามที่ตัวเองต้องการนั้นเคยสำเร็จมาแล้ว
ก็คงจะติดใจ!
ปัจจุบัน ไม่เฉพาะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ต้องประสานกับตำรวจ เพื่อรักษาความปลอดภัยบริเวณศาลก่อนที่จะพิจารณาคดี
ศาลอาญา ศาลปกครอง ศาลแพ่ง ฯลฯ ล้วนโดนมาหมด
ขว้างระเบิดใส่ศาลเพราะไม่พอใจทางการเมือง ก็มีมาแล้ว
ก็ฝีมือคนที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตยนั่นแหละครับ
ประชาธิปไตย นิยมคนโกง ฟอกคนผิดให้ถูกได้
นายวัฒนา เมืองสุข ให้สัมภาษณ์ไว้วานนี้ (๓๑ กรกฎาคม)
"ล่าสุดก็จะแจ้งความกับผม ที่โพสต์ให้กำลังใจนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีจำนำข้าว ผิดมาตรา 116 อยากฝากไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าถ้าคิดจะใช้คนบางประเภทมาเป็นใหญ่ ตัวเองก็จะเอาตัวไม่รอด และจะเป็นภาระด้วย ขอให้ระวัง เวลาบ้านเมืองปกติ รักกันแน่นอน แต่หลังเลือกตั้งผมไม่ปล่อยไว้แน่นอน ขอให้จำไว้
ที่ คสช.มองว่า การโพสต์ให้กำลังใจนางสาวยิ่งลักษณ์ เป็นการปลุกระดมนั้น ความผิดตามมาตรา 116 คือการชักชวนคนไปทำความผิดกฎหมายแผ่นดิน หรือล้มล้างรัฐบาล แต่กรณีตนชวนคนไปให้กำลังใจนางสาวยิ่งลักษณ์ ถามว่าผิดตรงไหน
หากกรณีของผมผิด ตอนสงกรานต์ ปีใหม่ ไปรดน้ำ ไปไหว้ พล.อ.เปรม ตินสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ก็ต้องจับให้หมด แต่นี้เขาเรียกว่าเป็นการให้กำลังใจ เป็นการปฏิบัติตามประเพณี พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะได้ยกเว้นไว้ ไม่ต้องไปขออนุญาต เพราะเป็นเรื่องประเพณี และในวันพรุ่งนี้ (๑ ส.ค.) ผมจะเดินทางไปให้กำลังใจคุณยิ่งลักษณ์ ที่จะไปแถลงปิดคดีโครงการรับจำนำข้าว ใครที่อยากจะออกหมายจับผมให้ไปจับที่ศาล ขอให้กล้าๆ หน่อย และหากดำเนินคดีกับผมให้ทำเอง ไม่ให้ไปใช้ลูกน้อง บางครั้งผมจะเอาคืน เห็นมียศเป็นร้อยตรี ร้อยโท ผมก็สงสาร ขออย่าหลบหลังเด็ก มันไม่ใช่หลักการการเป็นผู้นำ”
ก็บอกแล้วไม่มีใครห้าม อยากไปก็ไป แต่อย่าทำผิดกฎหมาย
กรุณาแยกให้ออก ประเพณีการให้กำลังใจนั้นอย่างหนึ่ง
การใช้ม็อบกดดันศาลมันเป็นอีกอย่าง
ป๋าเปรม เปิดบ้านสี่เสาเทเวศร์ ให้คณะรัฐมนตรี นักการเมือง ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ เอกชน อวยพรปีใหม่ รดน้ำสงกรานต์ มันคือประเพณีอันดีงาม
คนไทยปฏิบัติกันมาช้านานแล้ว
ไม่เฉพาะป๋าเปรม
ในอดีตทักษิณก็ทำ
ผ่านมาหยกๆ สาวกในเพื่อไทยพากันไปอวยพรยิ่งลักษณ์...ก็มันคือ ประเพณี ใครจะไปว่าอะไรล่ะครับ เพราะมันคือประเพณีไทยจริงๆ
แต่การจะบอกว่า....ขนมวลชนจำนวนมาก ถึงขั้นปลุกระดมไปให้กำลังใจนักการเมือง ที่จะถูกศาลพิพากษาคดี ถามหน่อย....
มันคือประเพณีตรงไหน?
ถ้าบอกว่าเป็นประเพณี พรรคการเมืองนั้นคงจะชั่วช้าสุดๆ มีแต่เรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล เพราะโกง เพราะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
โกงกันเป็นประเพณี!
ทีนี้มาดูว่าที่ผ่านมาเป็นการให้กำลังใจ หรือการปลุกระดม
เหตุที่รัฐบาล คสช.กังวลว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นทั้งในวันที่ ๑ สิงหาคม วันแถลงปิดคดี และในวันที่ ๒๕ สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองวินิจฉัยคดี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา ๑๕๗ กรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวกว่า ๕ แสนล้านบาทนั้น เพราะมีการปลุกระดมกันมาต่อเนื่อง
เฉพาะที่นายวัฒนาทิ้งร่องรอยไว้ในเฟซบุ๊ก ล่าสุดวานนี้
จั่วหัวว่า
"เผด็จการไม่มีทางชนะประชาชน"
"...เผด็จการชุดนี้ได้ใช้กฎหมายมาเป็นเครื่องมือจัดการกับฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ยอมก้มหัวให้ ซึ่งถือเป็นความเลวร้ายที่สุดเพราะเป็นการกระทำโดยอาศัยอำนาจของกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เผด็จการชุดนี้ยังละเมิดสิทธิมนุษยชน ทำลายหลักนิติธรรมและทำให้ประเทศเสียหายมากที่สุด ผมยังมีคดีที่ถูกเผด็จการยัดให้อีกหลายคดี ล่าสุดคือคดีเป็นภัยต่อความมั่นคง เพราะผมโพสต์ให้กำลังใจนายกยิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นความพยายามที่สูญเปล่า เพราะไม่ว่าจะยัดมาอีกกี่คดีก็ตามก็ไม่มีทางเปลี่ยนความเชื่อของผมที่ว่า 'เผด็จการไม่มีทางชนะประชาชน'
คดีของนายกยิ่งลักษณ์ถูกกำหนดขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการยึดอำนาจ มีเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐร่วมมือสร้างหลักฐานเท็จและโฆษณาชวนเชื่อว่าโครงการขาดทุนมหาศาล ทั้งที่เป็นนโยบายสาธารณะทางเศรษฐกิจ เอามาตรฐานทางบัญชีที่ใช้กับธุรกิจมาตรวจสอบโครงการของรัฐที่เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ตั้งมาตรฐานตรวจสอบคุณภาพข้าวเองเพื่อใส่ร้ายว่ามีข้าวเสื่อมคุณภาพจำนวนมาก ทั้งที่การเก็บรักษามีผู้รับผิดชอบ พอถูกจับได้ก็ไม่ยอมให้ตรวจสอบถึงขนาดเอาทหารมาคุกคามสื่อ แถมยังปากเสียอ้างว่าหวังผลทางคดีทั้งที่คนเรียกร้องให้ตรวจสอบคือเจ้าของโกดังที่เก็บรักษาข้าว
ยิ่งไปกว่านั้นรัฐมนตรีมือชงยังใช้ ฮ.ทหารบินไปประชุมลับกับเจ้าของโรงสีที่ผลิตข้าวให้คนกิน แต่ที่เลวที่สุดคือการเอาข้าวดีไปขายไปข้าวเสื่อมคุณภาพ แล้วเอามาเรียกค่าเสียหายทางละเมิดจากยิ่งลักษณ์ พรุ่งนี้เช้าผมและน้องเฟจะไปให้กำลังใจท่านที่ศาล ใครอยากจะจับให้รีบมา ส่วนประชาชนที่อยากไปก็ไปได้ไม่ผิดกฎหมาย จำคำพูดของผมให้ดีว่า คนที่ทำกรรมไว้กับประชาชนต้องรับผิดชอบ ไม่มีใครปล่อยพวกคุณให้ลอยนวลอย่างแน่นอน..."
ครับ...นี่คือการโพสต์ให้กำลังใจยิ่งลักษณ์ หรือ ปลุกระดม?
แยกให้ออกนะครับ "ป๋าเปรม" เปิดบ้านอวยพรปีใหม่ รดน้ำสงกรานต์ มันต่างไปจากกรณีแกนนำเสื้อแดงขนมวลชนไปกดดัน "ป๋าเปรม" ตั้งเวทีด่าสาดเสียเทเสีย
ซึ่งในชั้นฎีกาจะมีแกนนำแดงติดคุกเพราะคดีนี้อีกหลายคน
ก็คล้ายกับการปลุกระดมเสื้อแดง...อ้างว่าไปให้กำลังใจยิ่งลักษณ์ แต่เบื้องหลัง...เต็มไปด้วยการปลุกปั่น
นายวัฒนาบิดเบือนว่า เผด็จการยัดคดี หน่วยงานรัฐสร้างหลักฐานเท็จ โฆษณาชวนเชื่อ
ข่มขู่ว่าหลังเลือกตั้งโดนเช็กบิล ไม่ปล่อยให้ลอยนวล
สิ่งที่สำรอกออกมาทั้งหมดสะท้อนความเป็นตัวตนของนายวัฒนา
คนแบบนี้อย่าปล่อยให้มีอำนาจเด็ดขาด!
ผิดไม่ยอมรับ แล้วยังจะใช้อำนาจเพื่อแก้แค้น
นี่คือการปลุกระดมอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด!
นายประเสริฐ นาสกุล ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ล่วงลับ เขียนคำวินิจฉัยส่วนตัวคดีซุกหุ้น ๑ ว่า
"หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้น ผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง (พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด"
พร่ำพูดกันมาเป็นสิบๆ ปีแล้วว่านักการเมืองควรมีศีลธรรม
แต่วันนี้กลับห่างศีลธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ
ประเทศจะพังไม่ใช่เพราะรัฐบาล คสช.ที่บอกว่าเป็นเผด็จการหรอก แต่เพราะนักการเมืองอย่างนายวัฒนานี่แหละ
จำคำพูดนายวัฒนาเอาไว้เลย... คนที่ทำกรรมไว้กับประชาชนต้องรับผิดชอบ ไม่มีใครปล่อยพวกคุณให้ลอยนวลอย่างแน่นอน.
ผักกาดหอม

หนีไม่พ้นฝันร้ายซักที?

หนีไม่พ้นฝันร้ายซักที?

น้ำป่าถล่มอีสานคั่นฉากการเมืองเรื่องข้าวร้อนๆตามจังหวะที่โยงเป็นเงื่อนสถานการณ์ต่อเนื่องกับการคาดการณ์ของฝ่ายความมั่นคง คสช.ประเมินแนวโน้มม็อบกร่อย

แต่นั่นก็วางใจไม่ได้ เพราะดูจากลีลายั่วบาทาท็อปบูต

ตามอารมณ์แบบที่ “เสี่ยไก่” นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีขาเฮี้ยวของพรรคเพื่อไทย ประกาศย้ำในเฟซบุ๊กอีกรอบ ยุกองเชียร์ไปให้กำลังใจอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ศาลฎีกากันให้มากๆ ทั้งวันแถลงปิดคดีวันที่ 1 สิงหาคม และวันตัดสิน 25 สิงหาคม ยืนยันไม่ผิดกฎหมาย พร้อมหยอดทุ่นทิ้งท้ายด้วยประโยคท้าทายทหารกันซึ่งๆหน้า

“มีปัญหามั้ย กลัวจัง”

และล่าสุดก็เป็นมวยมาตรฐานระดับ “เดอะอ๋อย” นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรี คนดังเดือนตุลาฯ 2516 ที่ประกาศดังๆผ่านโซเชียลมีเดียจะไปให้กำลังใจอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ และฟังการแถลงปิดคดีวันที่ 1 สิงหาคมแน่นอน

เพราะต้องยอมรับว่าประชาชนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่ได้รับความเป็นธรรม ตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรีต้องเจอขบวนการโค่นล้มด้วยกระบวนการไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ขาบู๊ ขาบุ๋น ลูกข่ายพรรคเพื่อไทยขยับกันพรึบพรับ

ซึ่งนั่นก็รับกันพอดีกับจังหวะการเปิดคลิปโชว์เซอร์ไพรส์ของ “นายใหญ่” อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่เป่าเค้กวันคล้ายวันเกิดครบรอบปีที่ 68 ในโรงแรมกลางมหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ ท่ามกลางคนใกล้ชิดอย่างนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรี “ขาป่วนประจำ” ของ คสช.

ตามฉาก “นายใหญ่” กระตุกสัญญาณจากแดนไกล

นั่นก็เท่ากับยกระดับเกมวัดใจ ไฟต์เดิมพันคดีจำนำข้าวของน้องสาว

ขณะเดียวกันก็ยังเกิดกระแสข่าวลือในหมู่เครือข่าย “ทักษิณ” กระจายข้อมูลลับปมร้อนของ “โกตี๋” นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ แกนนำเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ โดนอุ้มจากแหล่งกบดานในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ยังไม่รู้ชะตากรรมเป็นหรือตาย

โหมเชื้อไฟ กระพือกระแสเสื้อแดงให้ลุกฮือตามเงื่อนไขสถานการณ์

ต้องลุกขึ้นสู้สถานการณ์โดนไล่ต้อนจนกระดาน

ล้อไปกับยุทธการสวนหมัด พรรคเพื่อไทยและเครือข่ายโรงสีโหมกระแสความไม่ชอบ มาพากลในการประมูลระบายข้าวในโครงการรับจำนำ เอาข้าวดีไปขายเป็นอาหารสัตว์

ประจานไอ้โม่งฟาดส่วนต่าง โยนความผิด “ยิ่งลักษณ์”

ทีม “ทักษิณ” ปลุกมวลชนที่นิ่งสงบมานาน เผาหัวม็อบ วางเกมยาวถึงเลือกตั้ง

ขณะที่อีกด้านร้อนแรงไม่น้อยไปกว่ากัน โดยเฉพาะอาการ “เต้นแรง” ของคนยี่ห้อประชาธิปัตย์ ที่สะท้อนผ่านอารมณ์ของ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี อดีต ส.ส.สมุทรสงคราม ประกาศลั่นพร้อม ระดม “ม็อบชนม็อบ” โซ้ยกับ “กฎหมู่” กดดันกระบวนการยุติธรรมของพรรคเพื่อไทย

แสดงตัวเป็นโจทก์สำคัญ เทกแอ็กชั่นเป็นคู่ต่อสู้หลักแทน คสช.

เป็นอะไรที่ตอกย้ำจุดยืนลึกๆ ถึงจังหวะล้มเดิมพัน ประชาธิปัตย์ก็กระโดดโหนท็อปบูตในการโค่นคู่แข่งสำคัญในสนามเลือกตั้ง ตั้งธงกำจัด “ยิ่งลักษณ์” ลุ้นตัดกำลังยี่ห้อ “ทักษิณ” ทุกรูปแบบ

ฉากการเมืองไทยไหลเข้าสู่สงคราม “ข้าว” เชื้อไฟเก่าปะทุ ขั้วขัดแย้งเดิมๆกลับมาอาละวาด

ฝันร้าย “มโน” ล่วงหน้าได้

นั่นก็ไม่ต้องพูดถึงเศรษฐกิจที่กำลัง “ตั้งลำ” หลังปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งกันมาเป็นปีๆ

อย่างที่เห็นข่าวดีๆแทบจะเงียบไปเลย ล่าสุด สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2560 เพิ่มจากประมาณการ ณ เดือนกรกฎาคม โดยอิงอัตราขยายตัวของมูลค่าที่แท้จริง (real term) อยู่ที่ 3.6 เพิ่มจากปี 2559 ซึ่งอยู่ที่ 3.2 เปอร์เซ็นต์

ตามจังหวะการเดินหน้าของรัฐบาลในการ “ช่วยคนตัวเล็ก” อัดมาตรการช่วยเหลือประชาชนระดับฐานราก พร้อมกับการช่วยประคองธุรกิจเอสเอ็มอี ถึงตรงนี้เริ่มเห็นผลกระเตื้อง

ตามท้องเรื่องแบบที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ แสดงความมั่นใจกับทุกวงเลยว่า ตัวเลขการลงทุนจากต่างประเทศกำลังดีขึ้น แนวโน้มภายใน 2 ปีข้างหน้านี้ประเทศไทยจะเป็นดาวเด่น

แต่ถ้าการเมืองตีกันวุ่นวาย เหมือนย้อนกลับไปฉายหนังม้วนเดิม

ต้องกลับบ้านใครบ้านมันไปเลี้ยงหลาน.

ทีมข่าวการเมือง

สงครามเย็นกับยุทธศาสตร์เอเชีย : ซีโรซัมเกม...!

สงครามเย็นกับยุทธศาสตร์เอเชีย : ซีโรซัมเกม...!

“ไทยเป็นประเทศที่สหรัฐฯเลือกเป็นพันธมิตรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

นักการทูตระดับลายคราม “กลิน ที.เดวีส์” เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เปิดฉากให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวการเมือง ถึงนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯต่อภูมิภาคนี้ หลังจากที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ

โดยขอหลีกเลี่ยงพูดถึงเรื่องภายในของประเทศไทย จะขอพูดถึงเฉพาะหลักการพื้นฐานความสำคัญ เช่น ประชาธิปไตย เสรีภาพการแสดงความคิดเห็น

พร้อมอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯที่มีมายาวนานจะครบ 200 ปีในปี 2561

โดยเราจะจัดนิทรรศการระดับโลก นำแสดงวัตถุโบราณ ของที่ระลึกตั้งแต่ต้นสมัยราชวงศ์จักรีที่เคยมอบให้สหรัฐฯ ใช้บ่งบอกถึงความเป็นมิตรสหาย เล่าเรื่องราวทั้งสองชาติ สองสังคมมารู้จักกันได้อย่างไรเป็นมิตรกันมา 200 ปีได้อย่างไร

ความสัมพันธ์ที่ย่างก้าวเข้าสู่ปี 201 หวังว่าผู้คนรุ่นหลังจะเข้าใจมากขึ้น จะมีโอกาสได้เรียนรู้จากนิทรรศการว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯมันพิเศษเช่นไร ไม่มีประเทศใดในโลกที่มาช่วยไทยมากเท่านี้ อเมริกาไม่เคยข่มขู่ประเทศไทยมีแต่ช่วยเหลือสนับสนุน

ที่สำคัญสหรัฐฯอยากเป็นประเทศที่เหมือนเพื่อนที่จะช่วยกันพิทักษ์เสรีภาพ มีอนาคตอันสดใสและบริบทการทำงานร่วมกัน มีความร่วมมือกันหลายสาขา เพื่อประสานให้ความสัมพันธ์กระชับความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

สหรัฐฯพยายามเสริมสร้างพันธไมตรีกับหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย ในภูมิภาคนี้ก็มีความสัมพันธ์กับไทยมายาวนาน อาเซียนก็เช่นกันที่กำลังจะครบรอบก่อตั้ง 50 ปีและครบรอบ 40 ปี ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-อาเซียน และ “โดนัลด์ ทรัมป์” ก็ตัดสินใจที่จะเดินทางมาเอเชียเพื่อร่วมประชุมระดับผู้นำสุดยอดอาเซียนในเดือน พ.ย.นี้

สหรัฐฯยังพยายามที่จะรับมือกับความ ท้าทายและสิ่งที่เป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพในภูมิภาคนี้ เห็นได้จากโครงการฝึกซ้อมคอบร้า–โกลด์มากว่า 40 ปีแล้วยังมีความร่วมมืออีกหลายด้าน ทั้งด้านสาธารณสุข ต่อต้านก่อการร้าย ภัยอาชญากรรมไซเบอร์ อาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ การค้าสัตว์ป่า

และยังมีโอกาสที่ดีอีกหลายอย่าง เช่น ด้านเทคโนโลยี การสื่อสาร เราอยากจะทำงานร่วมกับทุกประเทศ รวมถึงไทยในการตักตวงโอกาสเหล่านี้และทำให้ดีที่สุด และเราอยากมีส่วนส่งเสริม เช่น ไทยแลนด์ 4.0
นับจากนี้สหรัฐฯก็พยายามเสริมสร้างภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้มีสันติภาพ

เป็นภูมิภาคที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม

“หวังว่าไทยจะกลับไปเป็นผู้นำของภูมิภาคนี้”

สหรัฐฯยังมีความท้าทายอยู่ทั้งในภูมิภาคเอเชียและทั้งโลก มีการเมืองในภาคภูมิรัฐศาสตร์ มีหลายอย่างที่เชื่อมโยงกัน การเลือกตั้งที่นี่เชื่อมโยงกับที่นั่น

ในฐานะที่มีประสบการณ์ทำงานมาแล้ว 37 ปี อย่างพ่อของผมก็ทำงานการทูตตั้งแต่ 1946 เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสหภาพโซเวียต ผ่านมาหมดทั้งยุค ‘40 ‘50 ‘60 ทำงานทั้งที่รัสเซีย อินเดีย อัฟกานิสถาน ซึ่งผมเกิดที่นั่น

มันมีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะสงครามหรือเหตุการณ์ต่างๆ ตอนนั้นทุกคนคิดว่าโซเวียตจะชนะ อย่างเหตุการณ์ปัจจุบันไม่ว่าจะเรื่องเลือกตั้ง หรือกรณีปัญหาทะเลจีนใต้ หรือเกาหลีเหนือ คนก็มักจะสรุปไปในทิศทางใดทางหนึ่ง

แต่ผมจะมองที่พื้นฐานโดยรวม เช่น จีนมีความเจริญด้านเศรษฐกิจ ซึ่งดีต่อทั่วโลกและนำไปสู่เสถียรภาพที่มั่นคงขึ้น ศตวรรษนี้หลายสิ่งมันก็เปลี่ยนไปทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สำหรับไทยผมก็พยายามทำความเข้าใจเรื่องการถ่วงดุลอำนาจ

สหรัฐฯก็สบายใจที่ไทยมีความสัมพันธ์ดีกับจีน เพราะถือว่าเป็นผลดีต่อไทยและสหรัฐฯ

กรณีนี้มันไม่ใช่เรื่องของซีโรซัมเกม (Zero-sumgame) ซึ่งเป็นเกมที่จะต้องมีคนแพ้คนชนะ

ทั้งโลกมันเชื่อมโยงและมีความเป็นโลกาภิวัตน์มากขึ้น ในปัจจุบันความท้าทายมีอยู่ทั่วไป

วิธีที่ดีทุกฝ่ายควรตกลงกติกาในระดับนานาชาติร่วมกัน ไม่ใช่ทำแบบสมัยก่อนที่มหาอำนาจทำอะไรก็ได้
ขณะที่ปัญหาเกาหลีเหนือ ซึ่งกลายเป็นภัยคุกคามไม่ใช่เฉพาะประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ เป็นเหตุผลที่สหรัฐฯขอให้นานาชาติช่วยกดดันเกาหลีเหนือ และสหรัฐฯ จีน รัสเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ก็ไม่มีความคิดที่จะไปเปลี่ยนรัฐบาลเกาหลีเหนือ แต่พยายามเกลี้ยกล่อมมาโดยตลอดหลายปีแล้ว

ทีมข่าวการเมือง ถามว่า ท่ามกลางความหวาดวิตกว่าจะเกิดสงครามในภูมิภาค สหรัฐฯให้ความสำคัญเช่นไรกับการค้า เศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ “กลิน ที.เดวีส์” บอกว่า ผมไม่คิดว่าเกาหลีเหนือจะทำสงคราม
แม้เกาหลีเหนืออยากให้คุณเชื่อเช่นนั้น แต่ผมเชื่อว่าครอบครัวตระกูลคิม (คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ) สนใจอย่างเดียว คือการเอาตัวรอดให้ได้ ทั้งโดดเดี่ยวตัวเอง ข่มขู่ว่าจะทำสงครามมาตั้งแต่สมัยสภาพโซเวียตแล้ว

เกาหลีเหนือพยายามบอกว่าตัวเองเป็น “รัฐนิวเคลียร์” แต่ไม่คิดว่ามีศักยภาพพอที่จะโจมตีใครได้ เป็นเพียงการข่มขู่ การพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เป็นปัญหาใหญ่ ที่สามารถขายให้กลุ่มก่อการร้าย เช่น ไอเอส หรืออัลเคดา และเทคโนโลยีด้านนิวเคลียร์ก็เคยถูกขายให้ประเทศในตะวันออกกลางมาแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือหยุดการกระทำเหล่านี้

โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 21 เกาหลีเหนือเป็นประเทศเดียวที่ทดลองนิวเคลียร์

ทุกคนควรช่วยกัน ไม่ใช่รอให้สหรัฐฯแก้ไขปัญหาอย่างเดียว

ขณะในด้านการค้า “โดนัลด์ ทรัมป์” พูดถึงการถอนตัวออกจากข้อตกลงทีพีพี (กลุ่มความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก) แต่ในระดับยุทธศาสตร์สหรัฐฯมุ่งที่จะทำการค้าเสรี แต่ที่กำจัดข้อกีดกันการค้า เพื่อช่วยให้ทุกคนเจริญรุ่งเรืองและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐฯ

สหรัฐฯอยากทำการค้าแบบทวิภาคีกับทั่วโลก อย่างประเทศไทยก็เพิ่งประชุมระดับยุทธศาสตร์ไปเมื่อวันที่ 14 ก.ค. ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ส่วนหนึ่งได้หารือถึงด้านการค้าเสรีจะเสริมสร้างเช่นไรต่อ
“โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เยือนสหรัฐฯ ขณะนี้มีความชัดเจนอย่างไร “กลิน ที.เดวีส์” บอกว่า เราตั้งตารอการพบปะครั้งนี้ และพยายามประสานงานทุกด้าน เพื่อกำหนดวัน ในการหารือยุทธศาสตร์ที่ผ่านมาก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าสหรัฐฯสนับสนุนให้เกิดการหารือขึ้น

แต่ยังตอบไม่ได้ ตามระบบแล้วต้องให้ทำเนียบขาวเป็นฝ่ายชี้แจงการประชุมที่จะเกิดขึ้นถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะได้หารือเรื่องความท้าทายต่างๆ

ความท้าทายยุคใหม่ของสหรัฐฯต่อภูมิภาคนี้และไทยเป็นอย่างไร “กลิน ที.เดวีส์” บอกว่าเราไม่คิดว่ามีเรื่องอะไรที่ท้าทายโดยตรง แต่มองภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในด้านโอกาสที่ดีมากกว่าความท้าทาย
แน่นอนมันมีบางเรื่อง เช่น มีสัญญาณว่าผู้ก่อการร้ายเข้ามาในภูมิภาคนี้ เราให้ความสนใจ ส่วนในแง่ด้านเศรษฐกิจและสังคม ถือเป็นภูมิภาคที่เปิดกว้าง ก็อาจจะมีความท้าทาย เช่น การลักลอบค้ามนุษย์ หรือด้านอื่นๆ อาชญากรรมแต่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วโลก สหรัฐฯได้ทำงานกับหน่วยบังคับใช้กฎหมายและกองทัพของไทย

มองประชาธิปไตยของไทยอย่างไร ทั้งในด้านสิทธิมนุษยชน กฎหมาย การดำเนินการกับนักการเมือง “กลิน ที.เดวีส์” บอกว่า ส่วนหนึ่งในการประชุมยุทธศาสตร์ ได้หารือถึงด้านสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ ซึ่งอยากให้ประเทศไทยเข้มแข็ง เป็นเอกภาพ เจริญรุ่งเรือง มีอนาคตสดใส มีประชาธิปไตยโดยประชาชนในสังคมมีส่วนร่วม

ในช่วงการเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตย สหรัฐฯอยากให้ไทยแสดงตัวออกมาในฐานะประเทศที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแข็งแกร่ง ตามที่รัฐบาลได้ประกาศโรดแม็ปและการเลือกตั้งปี 2561 ขอชื่นชมเป้าหมายของโรดแม็ปที่ระบุว่า ประชาธิปไตยจำเป็นต้องสร้างกันเองในประเทศไทย

ถ้าไม่มีการเลือกตั้งตามโรดแม็ปจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อย่างไร “กลิน ที.เดวีส์” บอกว่า สหรัฐฯและไทยถือเป็นหนึ่งในคู่ประเทศที่มีความสัมพันธ์แบบเปิดกว้างมากที่สุดในโลก ผ่านอะไรร่วมกันมามาก และจะเป็นเช่นนั้นต่อไปถึงแม้เกิดเหตุรัฐประหารครั้งที่ผ่านมา ความร่วมมือหลายอย่างยังคงดำเนินต่อไป

แต่เรามีกฎหมายเกี่ยวกับการรัฐประหาร หากประเทศใดเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น

สหรัฐฯจำเป็นจะต้องระงับความร่วมมือด้านความมั่นคงบางอย่าง

ฉะนั้นอยากให้ไทยกลับมาเป็นรัฐบาลพลเรือน

เพื่อจะได้มีความสัมพันธ์กันแบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์.

ทีมการเมือง

สะพานถูกทุบทิ้งได้

ยุทธศาสตร์ เป็น เข็มทิศ
ปฏิรูป คือ เครื่องยนต์
ครม.คือ สะพาน
หาก สะพาน ถูกทุบ ก็ไม่กลัว ต้องว่ายน้ำให้เป็น หรือใส่ชูชีพ แต่ผมไม่กลัวอยู่แล้ว
บิ๊กตู่ กล่าวในสภาฯ ท่ามกลาง แม่น้ำ5สาย ว่า ตอกย้ำ ยุทธศาสตร์ชาติ ก็เป็นเหมือนเข็มทิศ
ส่วนการปฏิรูปประเทศ คือ เครื่องยนต์ ขับเคลื่อนประเทศ เพื่อไม่ให้เสียบนสะพานหรือกลางสะพาน
สะพาน ก็คือ ครม. ของผม
วันนี้เราอยู่บนสะพานที่กำลังก้าวข้ามแม่น้ำเชี่ยวกราก เหมือนเนื้อเพลงสะพาน ที่ผมแต่ง
ท้ายที่สุด หากตกสะพานเอง ก็ไม่เป็นไร เพราะสุดท้ายสะพาน ก็ถูกทุบทิ้งอยู่ดี เมื่อเราไม่อยู่
แต่ก็ไม่เป็นไร ต้องว่ายน้ำให้เป็น หรือใส่ชูชีพ แต่ผมไม่กลัวอยู่แล้ว เพราะผมว่ายน้ำเป็นต้องดูแลตัวเอง ได้"
(31/7/60)พล.อ.ประยุทธิ์ กล่าวว่า ให้กำลังใจกันบ้าง อย่าติติงกันมากเลย ภารกิจวันนี้เราลุล่วงไปครึ่งหนึ่งแล้ว เหลืออีกครึ่งหนึ่งที่จะต้องส่งต่อให้รัฐบาลชุดต่อไปทำ
ขอฝากภารกิจนี้ให้กับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปเพื่อสานต่อภารกิจให้สำเร็จ
มีการเรียกร้องให้ผมปรับ ย้ายรัฐมนตรีทุกวัน อะไรทำไม่ได้ ก็ให้เปลี่ยนหมด เพราะปัญหามากมาย แต่ไม่ได้อยู่ที่ตัวรัฐมนตรี ไม่เช่นนั้นผม คงต้องปรับครม. ทั้งหมด หรือเปลี่ยนนายกฯ ซึ่งผมรับผิดชอบอยู่แล้ว เพราะทุกคนนั่งทำงานด้วยกันทั้งหมด"

ซ่อม F5

ซ่อม F5

"บิ๊กป้อม" เผย ครม.วันนี้ จะรับทราบ ทอ.เสนอ ปรับปรุงสมรรถนะ upgrade F5 อีก4 เครื่อง งบฯ 3,200ล้านบาท ชี้เป็นโครงการเดิม ที่เคยอนุมัติไปแล้ว เป็นเฟส2‬ ไม่ใช่มาขออนุมัติใหม่ เพราะเคยทำเฟสแรก ตั้งแต่ปี2557
หลัง สัปดาห์ก่อน ครม.อนุมัติซื้อ เครื่องบินฝึกขับไล่ T-50TH จากเกาหลี ไปแล้ว 8.9 พันล้าน

สร้างข่าว สร้างภาพ "โกตี๋" ถูกอุ้ม!!

สร้างข่าว สร้างภาพ "โกตี๋" ถูกอุ้ม!!
"เลขาฯสมช." ชี้"โกตี๋" สร้างข่าว หนีไปหลบ แล้วกระพือข่าว เพื่อหวังสร้างปั่นป่วน หวังผลต่อสถานการณ์ในประเทศ ปัดจนท.รัฐไปอุ้ม แฉ มีแตกแยกกันเองภายใน/ ไม่ยืนยัน "โกตี๋" ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่/ ขออย่าเชื่อ โซเชี่ยลฯ สร้างภาพอะไรก็ได้ แฉพวกสร้างความปั่นป่วน ทำลายปรองดอง

พลเอก ทวีป เนตรนิยม เลขาฯสมช.กล่าวถึงข่าว "โกตี๋" ถูกอุ้มในลาว ว่า อาจเป็นการสร้างข่าว กระพือข่าว เขาอาจจะ ไปหลบที่ไหน เพื่อสร้างข่าว การหายตัว

ส่วน ที่มีการลงทุปกรณ์การถูกจับมัดมือ นั้น พลเอกทวีป กล่าวว่า จะเอามาจากไหนก็ได้ นายกฯจึงบอกว่า ในโซเชี่ยลฯ นั้น ประชาชนจะตัองใช้วิจารญาณให้มาก อย่าหลงเชื่อง่าย เพราะอาจเป็นการสร้างภาพ

เมื่อถามว่า โกตี๋ ยังมีชีวิต อยู่หริอไม่ พลเอกทวีป กล่าวว่า เรายังไม่สามารถยืนยันได้ เรายังติดตามอยู่
ตอนนี้เรายังไม่มี รายงานยืนยัน ว่า โกตี๋ ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หรือ อยู่ในลาว หรือไม่ เรายังติดตามอยู่
เมื่อถามว่า สาเหตุของการหายตัวไป นั้น พลเอกทวีป กล่าวว่า เป็นการปล่อยข่าว เพราะเขาก็มีความแตกแยกอยู่ข้างใน ดังนั้น อาจเป็นไปได้หลายสาเหตุ

"เขาอาจจะแอบไปอยู่ไหน แล้วก็สร้างข่าว หรือสร้างอะไรก็ได้ แล้วก็กระพือข่าว ในหมู่พวกเขา ว่าเป็น ฝีมือของ จนท.รัฐ"

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา เราได้พยายามประสานทางการลาว มาตลอดในทุกวถีทาง เพื่อตามจับตัว โกตี๋. แต่ ทางการลาว ก็ยังไม่สามารถยืนยัน ได้ว่า โกตี๋ อยู่ในลาว หรือไม่อย่างไร

"ผมเชื่อว่า เป็นข่าวที่กระพือ ในหมู่พวกเขา แต่เขาอาจจะไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหนเอง เพื่อสร้างข่าว กระพือข่าว เพราะช่วงนี้ ในล้านเรามีเหตุการณ์อะไรหลายอย่าง เกิดขึ้นในบ้านเรา อาจจะสร้าง อะไรให้เกิดขึ้น"

ดังนั้น ตอนนี้ เราก็ติดตาม วิเคราะห์และประเมินผล เราต้องพิสูจน์ ทราบ ตอนนี้เราก็ ได้แต่เฝ้าระวังติดตาม

แต่ ขอให้ประชาชน วิเคราะห์ และพิจารณาให้รอบคอบ เพราะมันไม่ได้เป็นผลดีต่อประเทศชาติ และ ประชาชน เพราะมีความพยายาม สร้างความปั่นป่วน เพราะตอนนี้ ก็มีการแสดงความเห็นที่ไม่เป็นผลดีต่อความปรองดองที่ รัฐบาล พยามทำอยู่

"บิ๊กโด่ง" ยัน ไม่มีข้อมูล การข่าว ยืนยัน ชายชุดดำอุ้ม "โกตี๋" ในลาว

"บิ๊กโด่ง" ยัน ไม่มีข้อมูล การข่าว ยืนยัน ชายชุดดำอุ้ม "โกตี๋" ในลาว ชี้ไม่ใช่คนสำคัญ มีคดีแล้วหนีออกนอกประเทศ ไม่อยากต้องตรวจสอบ ชี้อาจปล่อยข่าว หวังผล ต่อการเมืองภายในประเทศ

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม กล่าวถึงกระแสข่าวชายชุดดำอุ้มตัว โกตี๋ "นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ" ผู้ต้องหาม. 112
ในลาว ว่า ไม่เคยได้รับข้อมูล ด้านการข่าวอย่างเป็นทางการเลย ก็เหมือนกับท่านอื่นๆที่ให้สัมภาษณ์ เป็นเพียงการพูดเท่านั้น แต่ยังไม่มีรายงานอย่างเป็นทางการ
ผู้สื่อข่าวถามว่า สันนิษฐานได้หรือไม่ว่าข่าวที่ออกมาเป็นเพียงข่าวปล่อย พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ต้องไปถามคนที่ปล่อยออกมา
แต่ทั้งนี้เราก็ติดตามการทำงานต่อเนื่องอยู่แล้ว อะไรที่เชื่อถือได้หรือไม่ได้ ต้องดูกันต่อไป
"ยืนยันว่าเรื่องนี้ยังไม่มีการให้ข่าวอย่างเป็นทางการและผมก็ไม่ได้รับรายงานในเรื่องนี้"
เมื่อถามว่า การปล่อยข่าวดังกล่าวเพื่อหวังผลในช่วงเวลาที่จะมีการตัดสินคดีสำคัญการเมืองหรือไม่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ไม่แน่ใจ แต่จังหวะอาจจะสอดคล้องกันได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะคิดกันอย่างไร หรือว่าเพราะต้นเหตุมาจากทางสื่อเท่านั้น ดังนั้น การติดตามข่าวจึงต้องใช้วิจารณญาณพิจารณาให้ดี
ผู้สื่อข่าวถาม ว่าฝ่ายความมั่นคงจะตรวจสอบหรือไม่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า "จริงๆ ไม่ใช่บุคคลสำคัญ คนที่ออกไปเป็นคนที่มีคดีความและหลบหนีออกไป จึงเป็นหน้าที่ของตำรวจที่ต้องติดตามดู หากกลับมาที่ประเทศไทยจะต้องดำเนินคดีตาม กฏหมาย การที่เขาหลบหนีแล้วมีคนพูดว่าหายไป ผู้ที่เกี่ยวข้องก็ต้องติดตามว่าเป็นจริงหรือไม่"

ครม. ตั้ง "พลเอก วัลลภ รักเสนาะ" จาก กลาโหม ข้ามห้วย มาเป็น เลขาฯสมช.คนใหม่ ตาม บิ๊กป้อม เสนอ

ครม. ตั้ง "พลเอก วัลลภ รักเสนาะ" จาก กลาโหม ข้ามห้วย มาเป็น เลขาฯสมช.คนใหม่ ตาม บิ๊กป้อม เสนอ
มีรายงานว่า ครม. แต่งตั้ง พลเอกวัลลภ รักเสนาะ ผอ.สำนักนโยบายและแผนกลาโหม เป็น เลขาฯสมช. คนใหม่ แต่ยังไม่ได้ แต่งตั้ง นายสมเกียรติ ศรีประเสริฐ รองเลขาฯสมช. ตามที่นายกฯ เคยบอกจะหาตำแหน่งทำแทนให้ คาดจะพิจารณา ให้ในภายหลัง 

พลเอกวัลลภ เป็น เตรียมทหาร 18 มีอายุราชการ ถึง ตค.2562 เป็นนายทหาร เหล่าทหารปืนใหญ่
ย้อนดูประวัติ ก็ไม่ธรรมดา. พลเอกวัลลภ เคยร่วมปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ด้านกองทัพภาคที่3 ตามยุทธการสุริยพงษ์ ในตำแหน่ง ผู้บังคับหมวดทหารปืนใหญ่ ด้านการป้องกันประเทศ ด้านกองทัพภาคที่ 2 (ยุทธการช่องบก,ช่องโอบก) ในตำแหน่ง ผู้บังคับกองร้อยทหารปืนใหญ่ค้นหาเป้าหมาย
ด้านการรักษาสันติภาพ ภารกิจ UNTAC ราชอาณาจักรกัมพูชา ในตำแหน่ง ผู้ประสานภารกิจ
ช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ในตำแหน่งหัวหน้าแผนกปฏิบัติการ ฝ่ายยุทธการฯ
ช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ในตำแหน่งรองหัวหน้าส่วนยุทธการ ฝ่ายยุทธการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก
ช่วยราชการศูนย์บัญชาการทหาร ในตำแหน่ง หัวหน้าส่วนแผน ฝ่ายยุทธการ
ช่วยราชการศูนย์บัญชาการทหาร ในตำแหน่ง หัวหน้าฝ่ายยุทธการฯ
เคยเป็น ผู้บังคับกองร้อย กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 104
รองผู้บังคับกองร้อยทหารปืนใหญ่ค้นหาเป้าหมาย กองพลทหารปืนใหญ่ อาจารย์โรงเรียนทหารปืนใหญ่ ศูนย์การทหารปืนใหญ่ หัวหน้าแผนก กรมยุทธการทหารบก
อาจารย์โรงเรียนเสนาธิการทหารบก
เคยเป็น ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบกไทย และรักษาราชการผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารไทย ประจำกรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา
และเติบโตในสายยุทธการ เป็น ผู้อำนวยการกอง กรมยุทธการทหารบก, ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน กรมยุทธการทหาร, รองเจ้ากรมยุทธการทหาร
,เจ้ากรมยุทธการทหาร,ผอ.สำนักนโยบายและแผนกลาโหม

ดูตัว มา1 ปี

ดูตัว มา1 ปี
พลเอกประวิตร เผย ครม. ตั้ง พลเอกวัลลภ รักเสนาะ ผอ.สำนักนโยบายและแผน กห. เป็น เลขาฯ สมช คนใหม่ ชี้ ผมดูเขามา 1 ปี มีความเหมาะสม ในเรื่องความมั่นคง และได้เรื่องภาษา เพราะเคย เป็น ผช.ทูต ทหาร
ส่วน นายสมเกียรติ ศรีประเสริฐ รองเลขาฯสมช.รอ นายกฯพิจารณา หาตำแหน่งที่เหมาะสมให้ ในภายหลัง ตามที่นายกฯ เคยบอกจะหาตำแหน่งทำแทนให้
สำหรับพลเอกวัลลภ เป็น เตรียมทหาร 18 มีอายุราชการ ถึง ตค.2562 เป็นนายทหาร เหล่าทหารปืนใหญ่
ย้อนดูประวัติ ก็ไม่ธรรมดา. พลเอกวัลลภ เคยร่วมปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ด้านกองทัพภาคที่3 ตามยุทธการสุริยพงษ์ ในตำแหน่ง ผู้บังคับหมวดทหารปืนใหญ่
ด้านการป้องกันประเทศ ด้านกองทัพภาคที่ 2 (ยุทธการช่องบก,ช่องโอบก) ในตำแหน่ง ผู้บังคับกองร้อยทหารปืนใหญ่ค้นหาเป้าหมาย
ด้านการรักษาสันติภาพ ภารกิจ UNTAC ราชอาณาจักรกัมพูชา ในตำแหน่ง ผู้ประสานภารกิจ
ช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ในตำแหน่งหัวหน้าแผนกปฏิบัติการ ฝ่ายยุทธการฯ
ช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ในตำแหน่งรองหัวหน้าส่วนยุทธการ ฝ่ายยุทธการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก
ช่วยราชการศูนย์บัญชาการทหาร ในตำแหน่ง หัวหน้าส่วนแผน ฝ่ายยุทธการ
ช่วยราชการศูนย์บัญชาการทหาร ในตำแหน่ง หัวหน้าฝ่ายยุทธการฯ
เคยเป็น ผู้บังคับกองร้อย กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 104
รองผู้บังคับกองร้อยทหารปืนใหญ่ค้นหาเป้าหมาย กองพลทหารปืนใหญ่ อาจารย์โรงเรียนทหารปืนใหญ่ ศูนย์การทหารปืนใหญ่ หัวหน้าแผนก กรมยุทธการทหารบก
อาจารย์โรงเรียนเสนาธิการทหารบก
เคยเป็น ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบกไทย และรักษาราชการผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารไทย ประจำกรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา
และเติบโตในสายยุทธการ เป็น ผู้อำนวยการกอง กรมยุทธการทหารบก, ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน กรมยุทธการทหาร, รองเจ้ากรมยุทธการทหาร
,เจ้ากรมยุทธการทหาร,ผอ.สำนักนโยบายและแผนกลาโหม