PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2560

โหมโรง ก่อนถึงวันพรุ่ง บาดแผลประวัติศาสตร์พธม.



(ผู้จัดการออนไลน์):

รายชื่อบุคคลต่อไปนี้คือคนที่ชาวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะไม่มีวันลืมเลือนไปชั่วชีวิตคือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีและน้องเขยนายทักษิณ ชินวัตร พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้เป็นน้องชายของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และพลตำรวจโทสุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพราะบุคคลเหล่านี้ คือคนที่ถูกกรรมการป.ป.ช.ฟ้องตกเป็นจำเลยจากการสั่งสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯด้วยระเบิดแก๊สน้ำตาอย่างไร้ความปราณีจนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 มาจนถึงทุกวันนี้และตลอดไป 

ในวันที่ 2 สิงหาคม 2560 ก็จะถือเป็นวันประวัติศาสตร์ที่ชาวพันธมิตรเฝ้ารอคอยมาถึงเกือบ 9 ปีเต็ม เพราะจะเป็นวันที่ศาลฎีกาแผกนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีคำพิพากษากับจำเลยทั้ง 4 คน ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. มีมติส่งฟ้อง โดยแจ้งข้อกล่าวหาเป็นรายบุคคลตามรายละเอียดคำฟ้องดังนี้ 

1. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต้องบริหารบ้านเมืองให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินและเคารพสิทธิการแสดงออกของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ แต่กรณีที่ตำรวจใช้วิธีการที่รุนแรงต่อประชาชนจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เพื่อเปิดทางเข้ารัฐสภาในตอนเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนกระทั่งพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ได้แสดงความรับผิดชอบโดยการประกาศลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี แต่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ไม่ได้สั่งการให้ตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชายุติการกระทำ กลับปล่อยให้มีการกระทำที่รุนแรงขึ้นตามลำดับตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ การกระทำหรือละเว้นการกระทำของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จึงมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
2. พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ครั้งดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี เมื่อพิจารณาจากการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจที่ต้องเปิดทางให้สมาชิกรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี เข้าประชุมเพื่อรับฟังนโยบายของรัฐบาลด้วยการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุโดยมิได้คำนึงถึงชีวิต ร่างกายของผู้ร่วมชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตย เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บ สูญเสียอวัยวะสำคัญ ก็เนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งหรือละเว้นการกระทำดังกล่าวของ พลเอก ชวลิต ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินลำดับถัดมาจากนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ให้เป็นผู้มีอำนาจสั่งการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีมูลความผิดทางอาญาฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 

3 พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมในช่วงเช้ามีผู้บาดเจ็บและมีบาดแผลในร่างกายหลายราย สื่อมวลชนได้เสนอข่าวอยู่ตลอดเวลา กลับเพิกเฉยไม่สั่งการให้หยุดยั้งการกระทำ หรือยอมกระทำการอันเป็นการที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน ตามวิสัยของข้าราชการตำรวจที่มีหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ จนเกิดความเสียหายดังกล่าว การกระทำหรือละเว้นการกระทำ จึงมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และฐานละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญาฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 

4 พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล มีข้อเท็จจริงปรากฏว่า ตำรวจซึ่งอยู่ในความควบคุมบังคับบัญชาของ พลตำรวจโท สุชาติ ได้ปฏิบัติหน้าที่เกินกว่าเหตุทำให้มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต ตลอดทั้งวันที่ 7 ตุลาคม 2551 แล้ว แม้จนถึงเวลาประมาณ 16.00 น.ก็ยังคงสั่งให้ใช้กำลังเข้าผลักดันกลุ่มประชาชน โดยใช้แก๊สน้ำตาดังกล่าวอีก จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากแก๊สน้ำตาอีกจำนวนหนึ่ง และเมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.ตำรวจที่อยู่บริเวณด้านหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล ก็ยังคงยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บสาหัส ขาขาด มือขาด และบาดเจ็บที่ต่างๆ จำนวนมากอีก จึงเห็นว่าพลตำรวจโท สุชาติ มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทำร้ายประชาชนในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการ กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และกระทำหรือละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ และมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 

ซึ่งคำฟ้องตามที่ป.ป.ช.ได้ส่งฟ้องต่อศาลฎีกาฯพิจารณาและประทับรับฟ้องเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2558 เป็นช่วงหลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติยึดอำนาจแล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม2557

ต่อมา จู่ ๆ เมื่อกลางเดือนเมษายน 2559 ก็มีข่าวหลุดออกมาว่า ป.ป.ช. อาจจะยื่นถอนฟ้องคดีสลายม็อบกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยอ้างถึงเหตุที่จำเลยทั้ง 3 คนคือ นายสมชาย พลตำรวจเอกพัชรวาท และ พลตำรวจโทสุชาติ ได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมต่อ ป.ป.ช. ระบุถึงความเห็นของอัยการที่สั่งไม่ฟ้องคดีนี้ และยังอ้างถึงคดีสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ที่ ป.ป.ช.ยกคำร้องในคดีที่กล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สั่งสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช.เพื่อจะนำมาเทียบเคียงกันด้วย แต่แล้วในที่สุด เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ได้มีหนังสือตอบกลับมาว่า ไม่สมควรถอนฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า จำเลยสามารถร้องขอความเป็นธรรมกับศาลฎีกาฯ ไต่สวนเพิ่มเติมได้อยู่แล้ว อีกทั้งหาก ป.ป.ช.ถอนฟ้องคดีนี้ อาจเข้าข่ายกระทำผิดทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่และถูกฟ้องร้องเสียเองด้วย เพราะป.ป.ช.เป็นผู้ฟ้องคดีเอง รวมทั้งศาลฎีกาฯก็ได้เริ่มต้นกระบวนการไต่สวนไปแล้วอีกด้วย

ด้าน พลตำรวจเอกวัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป.ป.ช.ซึ่งถูกจับตามองการทำงานมาตลอดว่าอาจจะมาช่วยเหลือพลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ หรือไม่ เพราะเคยเป็นเลขานุการ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้เป็นพี่ชายของพลตำรวจเอกพัชรวาท ซึ่งพลตำรวจเอกวัชรพล ก็รู้ดีว่าตนเองกำลังถูกจับตามองจากสังคมอยู่ ก็ได้ยืนยันว่าจะเข้ามาทำงานเพื่อชาติ เพราะหากทำไม่ดี ก็ต้องถูกดำเนินคดี ซึ่งตำแหน่งประธาน ป.ป.ช.จะมีโทษเป็นสองเท่าของคนทั่วไป จึงยืนยันได้ว่าจะไม่เอาเกียรติประวัติในชีวิตราชการมาทำอะไรที่ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน ก็เป็นสบายใจได้ในระดับหนึ่ง

ก่อนที่จะจบรายงานชิ้นนี้ ทีมข่าว NEWS1 อยากจะขอฝากนายตำรวจอีก 1 คนคือ
พันตำรวจเอกลือชัย สุดยอด
ในฐานะหัวหน้าหน่วยอรินทราช 26 ในวันนั้น และได้ดิบได้ดีจนกลายเป็น พล.ต.ต.ลือชัย สุดยอด รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 มีอำนาจหน้าที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วอีสานตอนล่างในวันนี้ ซึ่ง ก.ตร.ปูนบำเหน็จให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กำลังจะมียศพลตำรวจโทเทียบเท่าผู้บัญชาการ ก่อนเกษียณอายุราชการ ซึ่งนายตำรวจคนนี้ได้สร้างความทรงจำที่ลืมไม่ลง เพราะในวันที่ 7 ตุลา 51 "ลือชัย สุดยอด" คือนายตำรวจคนที่ใส่ชุดปฏิบัติการคลุมทั้งตัวและศีรษะ ขว้างระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างเมามัน พร้อมกับเสียงตะโกน “ให้ยิงเข้าไป เดินเข้าไป ลุยเข้าไป อยู่ได้ให้มันอยู่ไป “เสียงนั้นยังก้องอยู่ในหูจนทุกันนี้ 

ส่วนคำพิพากษาของศาลในวันที่ 2 สิงหาคม 2560 จะออกมาอย่างไร ต้องติดตาม!!

ไม่มีความคิดเห็น: