PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ผลงานรัฐบาล : ฝีมือนายกฯ กับคนนอก

ผลงานรัฐบาล : ฝีมือนายกฯ กับคนนอก


BB 28
สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ – เห็นภาพว่าคึกคักและเป็นเนื้อเป็นหนังขึ้นเยอะ สำหรับการทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ อดรนทนไม่ไหวออกมาโอดครวญว่า ตนเองต้องรับบทหนักอยู่คนเดียว และ “เดี่ยวไมโครโฟน” อยู่คนเดียว โดยขอให้บรรดารัฐมนตรีออกมาชี้แจงแถลงไขถึงการทำงานในส่วนของแต่ละกระทรวงกันบ้าง
แต่ว่าความคึกคักในการทำงานที่เกิดขึ้น ก็ยังไม่ใช่มาจากบรรดารัฐมนตรีเท่าใดนัก เพราะรัฐมนตรีส่วนใหญ่ยังคง “เซฟตัวเอง” ด้วยการขอทำงานแบบเงียบๆดีกว่า ไม่ต้องตกเป็นเป้า หรือมีปัญหาทางการเมืองกับฝ่ายใด เห็นได้จากแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะขอให้รัฐมนตรีชี้แจงการทำงานกับประชาชน แทนที่บรรดารัฐมนตรีจะเด้งรับ กลับไปรีบแต่งตั้งคณะทำงานหรือคณะกรรมการด้านโฆษกของแต่ละกระทรวงมาทำหน้าที่แทนรัฐมนตรี ได้คนมากินเงินเดือนหลวงอีกกลุ่มใหญ่
สองสามสัปดาห์กว่าที่ผ่านมา ความคึกคักของรัฐบาลส่วนหนึ่งเกิดจากการที่นายกรัฐมนตรีมีคิวเดินทางไปประชุมระดับผู้นำในเวทีระหว่างประเทศถึงสองเวที คือ เวทีอาเซม และเอเปก ล่าสุด ก็กำลังประชุมในเวทีอาเซียน และมีโอกาสพบปะเจรจากับผู้นำประเทศต่างๆแบบทวิภาคีหลายประเทศ นอกจากนี้ นายกฯยังเดินทางไปเยือนประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงการที่ผู้นำประเทศต่างๆหลายประเทศเดินทางมาเยือนประเทศไทย
ส่งผลทำให้ดูเหมือนรัฐบาลจะมีผลงานด้านต่างประเทศโดดเด่น จากที่ก่อนหน้านั้นบางฝ่ายจับจ้องว่ารัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจจะไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย แต่กลายเป็นว่าตอนนี้รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ เนื้อหอมในระดับระหว่างประเทศเลยทีเดียว
จนต้องถือว่างานด้านการต่างประเทศของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ การทหาร ความมั่นคง เป็นผลงานที่จับต้องได้ ต่างจากผลงานภายในประเทศหลายด้าน เช่น ด้านเศรษฐกิจในประเทศที่ยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมและดูยังมั่วๆอยู่
อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ มีผลงานโดดเด่นและจับต้องได้เป็นรูปธรรม กลับเป็นผลงานของบุคคลที่ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล คือ เป็นผลงานของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คสช.ด้านเศรษฐกิจ ที่โดดเข้ามาช่วยสร้างผลงานให้รัฐบาลอย่างเต็มตัว จากที่ก่อนหน้านั้นนายสมคิดไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการทำงานในส่วนของรัฐบาล เพราะเกรงจะเกิดปัญหาความขัดแย้งในการทำงานกับรัฐมนตรี
แต่ภายหลังคงเห็นว่า หากใจจืดใจดำไม่เข้าไปช่วยเหลือ เห็นทีรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จะเผชิญวิกฤตศรัทธาจากประชาชนในไม่ช้าแน่
เริ่มจากนายสมคิดจึงขอ พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางไปเยือนจีนในฐานะเป็นทูตพิเศษจาก คสช. เพื่อทำความเข้าใจกับจีนถึงเหตุผลในการยึดอำนาจ และเจรจาขอความสนับสนุนและความร่วมมือจากทางการจีน ทั้งนี้นายสมคิดเห็นว่าตนเองมีสายสัมพันธ์กับทางการจีนในอดีต สามารถที่จะช่วย คสช.ได้
ซึ่งผลจากการเดินทางไปจีนในฐานะเป็นทูตพิเศษจาก คสช. ส่งผลทำให้ท่าทีของจีนต่อ คสช.มีความเข้าใจมากขึ้น จนกล่าวได้ว่าจีนเป็นมหาอำนาจชาติแรกที่มีท่าทีเป็นมิตรกับ คสช.
อีกประเทศหนึ่งที่นายสมคิดมีคอนเน็คชั่นอย่างสูงคือ ญี่ปุ่น นายสมคิดจึงเดินทางไปพบปะกับภาคเอกชนของญี่ปุ่นเพื่อทำความเข้าใจถึงสถานการณ์ภายในประเทศไทยและชี้แจงถึงภาวะความสงบที่เกิดขึ้นหลังการยึดอำนาจ จนนักลงทุนญี่ปุ่นมีความมั่นใจสถานการณ์ในประเทศไทยมากกว่าเดิม และเห็นความแตกต่างระหว่างสถานการณ์ในยุค คสช. กับยุครัฐบาลชุดที่แล้ว
ถัดมา เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา นายสมคิดได้เดินทางไปเปิดดีลเจรจาทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญกับจีน โดยขอให้  พล.อ.ประยุทธ์ ส่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม นำคณะของนายสมคิด เดินทางไปเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ได้มีโอกาสพบกับผู้นำระดับสูงของจีนหลายคน ซึ่งประสบผลสำเร็จในการเจรจาขายข้าว ยางพารา และความร่วมมือการสร้างทางรถไฟเชื่อมต่อกัน
กลับจากจีนไม่กี่วัน คณะของ พล.อ.ประวิตร และนายสมคิด ก็เดินทางต่อไปเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีผลการเจรจาประสบความสำเร็จหลายด้าน เช่น ความร่วมมือในการสร้างทางรถไฟอีกบางสาย
ส่งผลทำให้ญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับ คสช.และรัฐบาลอย่างสูง
ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งอยู่ระหว่างประชุมเอเปกที่จีน ได้มีโอกาสพบปะเจรจาทวิภาคีกับประธานาธิบดีของจีน ซึ่งการเจรจาในหลายเรื่องเป็นไปด้วยดี อันเป็นผลมาจากดีลที่นายสมคิดเปิดนำร่องไว้แล้ว
ส่วนคิวต่อไป พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินทางไปเยือนญี่ปุ่น ตามดีลที่นายสมคิดเปิดนำร่องไว้แล้วเช่นกัน
“มีรัฐมนตรีใช้งานใช้การไม่ได้ ใช้คนนอกที่ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีก็ได้” พล.อ.ประยุทธ์ คงนึกในใจแบบนี้
วิเคราะห์ // ผลงานรัฐบาล : ฝีมือนายกฯ กับคนนอก
โดย – อาทิตย์ สิงหา
13 พฤศจิกายน 2557
10.42 น.

ป.ป.ช.มีมติส่งสนช.ถอดถอน38ส.ว. กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มาส.ว. ลุ้นบางรายที่เป็นสนช.-สปช.ยุติทำหน้าที่


ป.ป.ช.มีมติส่งสนช.ถอดถอน38ส.ว. กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มาส.ว. ลุ้นบางรายที่เป็นสนช.-สปช.ยุติทำหน้าที่

นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการป.ป.ช. แถลงถึงผลการพิจารณากรณีกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการและกรณีร้องขอให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง กรณีเสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พุทธศักราช...ในประเด็นเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 38 คน

นายสรรเสริญ กล่าวว่า คณะกรรมการป.ป.ช.เสียงข้างมาก เห็นว่า สำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงตามคำร้องขอให้ถอดถอนในส่วนของส.ว.ออกจากตำแหน่ง ซึ่งเรื่องนี้คณะกรรมการป.ป.ช.ได้มีมติวินิจฉัยและดำเนินการตามขั้นตอนที่กฏหมายกำหนดจนเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว ก่อนวันที่ 22 พ.ค.2557 ที่คสช.จะได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศ และมีประกาศคสช.ฉบับที่ 11/2557 เรื่องการสิ้นสุดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนั้น แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลง แต่การที่คสช.ได้มีประกาศฉบับที่ 24/2557 ที่ให้พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มีผลบังคับใช้ต่อไป ประกอบกับคดีดังกล่าวมีข้อกล่าวหาที่ครอบคลุมถึงการกระทำผิดที่ถูกถอดถอนตามกฏหมายอื่น นอกจากการร้องขอถอดถอนตามรัฐธรรมนูญที่สิ้นสุดลงไปแล้ว จึงทำให้คณะกรรมการป.ป.ช.มีอำนาจหน้าที่ไต่สวนในการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีมีการร้องขอให้ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 อกกจากตำแหน่งตามมาตรา 58 และมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) ได้บัญญัติให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทำหน้าที้ส.ส.-ส.ว.และรัฐสภา ได้มีการตราข้อบังคับการประชุมสนช.มีอำนาจหน้าที่ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 64

นายสรรเสริญ กล่าวว่า คณะกรรมการป.ป.ช.จึงมีมติให้ส่งรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริง พร้อมเอกสารและความเห็นของเรื่องนี้ไปยังประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป จำนวน 38 ราย ประกอบด้วย

1.นายประสิทธ์ โพธสุธน 2.นายสมชาติ พรรณพัฒน์ 3.พลตำรวจตรีองอาจ สุวรรณสิงห์ 4.นายดิเรก ถึงฝั่ง สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) 5.นายประวัติ ทองสมบูรณ์ 6.นายกฤช อาทิตย์แก้ว 7.นายประเสริฐ ประคุณศึกษาพันธ์ 8.พลตำรวจโทพิชัย สุทรสัจบูลย์ 9.นายโสภณ ศรีมาเหล็ก 10.นายภิญโญ สายนุ้ย 11.นายต่วนอับดุลเล๊าะ ดาโอ๊ะมารียอ 12.นายไพบูลย์ ซำศิริพงษ์ 13.นายสุเมธ ศรีพงษ์ 14.พันตำรวจโทจิตต์ ศรีโยหะ มุกดาธนพงศ์ สมาชิก สปช. 15.นายสุรพงษ์ ตันธนศรีกุล 16.นายพีระ มานะทัศน์ 17.พลตำรวจเอกโกวิท ภักดีภูมิ 18.นายประดิษฐ์ ตันวัฒนะพงษ์ 19.พลตรีกลชัย สุวรรณบูรณ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) 20.นายสิทธิศักดิ์ ยนต์ตระกูล 21.ผู้ช่วยศาสตร์ตราจารย์วรวิทย์ บารู 22.นายสุโข วุฑฒิโชติ 23.นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง 24.นายสุวิศว์ เมฆเสรีกุล 25.นายทวีศักดิ์ คิดบรรจง 26.นายรักพงษ์ ณ อุบล 27.นายบวรศักดิ์ คณาเสน 28.นายจตุรงค์ ธีระกนก 29.นายสุริยา ปันจอร์ 30.นายถนอม ส่งเสริม 31.นายบุญส่ง โควาวิสารัช 32.นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง 33.นายยุทธนา ยุพฤทธิ์ 34.นายวรวิทย์ วงษ์สุวรรณ์ 35.นางภารดี จงสุขธนามณี 36.พลโทพงศ์เอก อภิรักษ์โยธิน 37.นายชูชัย เลิศพงศ์อดิศร 38.นายวิทยา อินาลา

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในจำนวน 38 ส.ว. ที่ป.ป.ช.ส่งไปให้สนช.พิจารณาดำเนินการถอดถอนพบว่า มีจำนวน 3 คน ที่ปัจจุบันมีตำแหน่งอยู่ในสนช. และสมาชิกปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้แก่ นายดิเรก ถึงฝั่ง อดีตส.ว.นนทบุรี และพ.ต.ท.จิตต์ ศรีโยหะ มุกดาธนพงศ์ อดีตส.ว.มุกดาหาร ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิก สปช. และพล.ต.กลชัย สุวรรณบูรณ์ อดีตส.ว.ชุมพร ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสนช. นอกจากนี้พล.ต.กลชัยยังเป็นเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 12 (ตท.12) ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.อีกด้วย

ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ในมาตรา 272 กำหนดเอาไว้ว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้นับแต่วันที่ป.ป.ช.ชี้มูลจนกว่าวุฒิสภาจะมีมติ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้ง 3 คน จะต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวเอาไว้ก่อนหรือไม่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 2550 ได้สิ้นสุดลงแล้ว

สถานการณ์ข่าว13พ.ย.57

มติ ปปช. ส่งสำนวน 38อดีตสว.

มติ ปปช. ส่งสำนวน 38 อดีต ส.ว. ให้ สนช. พิจารณาถอดถอน ยืนยัน มีอำนาจตาม รธน. ชั่วคราว 

นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาสำนวนคดีถอดถอนอดีตสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 38 ราย ในกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมิชอบ ประเด็นที่มาวุฒิสภาว่า ที่ประชุมมีมติเสียงข้างมากให้ส่งรายงานการไต่สวนขอเท็จจริงพร้อมเอกสาร และความเห็นในคดีดังกล่าวไปยังประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 จะสิ้นสุดลง แต่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีประกาศ ฉบับที่ 24/2557 ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ยังมีผลบังคับอยู่ อีกทั้ง มาตรา 6 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ได้บัญญัติให้ สนช. ทำหน้าที่แทนสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา ซึ่ง สนช. ได้ตราข้อบังคับการประชุม สนช. พ.ศ.2557 กำหนดให้ สนช. มีอำนาจหน้าที่ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. ได้
------------
ทนาย ระบุ "ยิ่งลักษณ์" อาจเดินทางเข้าชี้แจง สนช. คดีถอดถอนด้วยตนเอง ยันตรวจสำนวนทัน 28 พ.ย. แน่นอน

ความเคลื่อนไหวที่รัฐสภา ภายหลังจากทีมทนายความ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นำโดย นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง พร้อมทีมเข้าตรวจสำนวนคดีถอดถอน นางสาวยิ่งลักษณ์ จากกรณีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งสำนวนดังกล่าวมีจำนวน 10 ฉบับ มากกว่า 3 พันหน้า และจากนี้ทีมทนายจะเดินทางมาขอตรวจสำนวนทุกวันจนกว่าจะครบ เพื่อให้เข้าใจถึรายละเอียดและเนื้อหาของสำนวนคดีรวมถึงข้อกล่าวหาทั้งหมด ก่อนที่จะนำกลับไปหารือกับ นางสาวยิ่งลักษณ์ จัดเตรียมเรื่องการเพิ่มเติมพยานหลักฐานในการเข้าชี้แจงต่อที่ สนช. ทั้งนี้ หากมีการกำหนดวันแถลงเปิดคดีแล้ว มีแนวโน้มที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ จะมาชี้แจงด้วยตนเอง

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า จะสามารถตรวจสอบทันก่อนเปิดการประชุมนัดแรกในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้

นอกจากนี้ ยังระบุด้วยว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่ได้มีการกำชับอะไรเป็นพิเศษในการดำเนินการ เพียงขอให้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่เท่านั้น อีกทั้งส่วนตัว นางสาวยิ่งลักษณ์ ก็ยืนยันว่า ตนเองบริสุทธิ์ ไม่ได้มีเจตนาในการทุจริตแต่อย่างใด
---------
"หมอวรงค์" มอง ทนายยิ่งลักษณ์ ขอเลื่อน ยื้อเวลา ขณะเชื่ออนุกรรมการฯ ปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ได้ในวันนี้

น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวกับ สำนักข่าว INN ถึงกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเลื่อนการพิจารณาคดีถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีต

นายกรัฐมนตรี กรณีละเว้นปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ตามที่ทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยื่นคำร้อง เป็นวันที่ 28 พ.ย. 57 นั้น มองว่า ฝ่ายผู้ถูกร้อง ต้องการยื้อเวลา แต่ทั้งนี้

ถือเป็นข้อดี ที่จะได้มีเวลาศึกษาความเสียหายของโครงการรับจำนำข้าวอย่างจริงจัง และคดีดังกล่าว อยู่ในความสนใจของประชาชนมาโดยตลอด

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว จะสามารถสรุปตัวเลขและปิดบัญชีโครงการในวันนี้ได้
----------
"วัชระ" เผย พบทุจริตหลายโครงการ ร้อง ปฏิรูป สผ. ด้าน รองเลขาธิการสภาผู้แทนฯ เผย ส่งนิติกรแจ้งความ ขรก. บริษัทโกง แล้ว

นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสมัยที่ นายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย เป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่า มี

การทุจริตในโครงการต่าง ๆ อาทิ ทุจริตห้องน้ำ 15 ล้าน อาคารกษาปณ์ ถนนประดิพัทธ์ และห้องผู้สื่อข่าว วงเงิน 5 ล้าน การทุจริตห้องออกกำลังกาย 40 กว่าล้าน

นอกจากนี้ นายวัชระ ยังต้องการถามถึงกรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ย้าย นายสุวิจักขณ์ ไปอยู่ที่สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แต่เหตุใดปัจจุบันยังเป็นประธานสหกรณ์ออม

ทรัพย์ของข้าราชการฝ่ายรัฐสภา พร้อมขอให้มีการปฏิรูปสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และขอให้ยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษ

ด้าน นายคุณวุฒิ ตันตระกูล รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า ความคืบหน้าทางคดีมีการส่งนิติกร ไปร้องทุกข์แจ้งความข้าราชการและบริษัทแล้ว ซึ่งร้องเรียนไปยัง สน.ดุสิต และ ส่งเรื่องไป

สน.บางซื่อ ซึ่งเป็นท้องที่เกิดเหตุ ส่วนความคืบหน้าของตัวบุคคล มีการสอบสวนวินัยร้ายแรงไปบ้างแล้ว รวมทั้งสาเหตุที่ไม่รับนาฬิกา เพราะยังอยู่ในระหว่างดำเนินคดี
-----------
"วัชระ" ยื่นหนังสื่อถามคืบทุจริตจัดซื้อนาฬิกา สผ. 15 ล้าน อ้าง "จเร" เคยรับเรื่อง พร้อมตั้ง คกก.สอบสวนใน 3 เดือน 

นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางมายื่นหนังสื่อเพื่อทวงถามกรณีทุจริตโครงการจัดซื้อจัดจ้างนาฬิกาแขวนผนังของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (สผ.) ในช่วงที่

นายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย เป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และมี นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่า ต้องการทราบผลความคืบหน้าการสอบสวนทุจริตนาฬิกา

จำนวน 15 ล้านบาท ซึ่งได้เชิญสื่อไปส่องไฟนาฬิกาที่สโมสรสภา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มีการยืนยันว่า นาฬิกาดังกล่าวทำงานตลอด เวลาตรงกันทุกเรือน แต่ปรากฏว่า ขณะนี้นาฬิกาหยุดเดิน

อีกทั้ง นายจเร พันธุ์เปรื่อง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้มีการรับเรื่องดังเอาไว้ พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนสอบสวนวินัย และจะดำเนินการให้แล้วเสร็จใน 3 เดือน แต่ขณะนี้ล่วงเลยมานาน

แล้ว นอกจากนี้ สำนักผู้ตรวจการแผ่นดิน ยังได้ทำหนังสือ ถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฏร ให้ตรวจสอบ นายสุวิจักขณ์ และพวก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

///////////
กมธ.ยกร่างรธน.

กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ตั้ง 11 อนุกรรมาธิการ เดินหน้าจัดทำร่าง คาด 20 ธันวาคมนี้ เขียนเป็นรายมาตรา พร้อมยืนยันรับฟังความเห็นทุกขั้นตอน

นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงภายหลังการประชุมว่า วันนี้ ที่ประชุมมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการรวม 11 คณะ

แบ่งเป็นด้านเนื้อหาร่างรัฐธรรม 10 คณะ และอีก 1 คณะ จะเตรียมการจัดทำข้อเสนอแนะรวมถึงการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งขณะนี้ทั้ง 10 คณะ มีประธานประจำคณะอนุ

กรรมาธิการเรียบร้อยแล้ว ส่วนสัดส่วนสมาชิกแต่ละคณะเปิดโอกาสให้ สปช. ไม่เกิน 5 คน สนช. 1 คน โดยวันที่ 17 พฤศจิกายนนี้ สามารถเริ่มประชุมได้ทันที โดยกระบวนการทำงานจะทำควบคู่

ทั้งด้านเนื้อหาและการรับฟังความเห็นที่ขอย้ำว่า ยังคงมีทุกขั้นตอนของการยกร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ เมื่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ ส่งข้อเสนอแนะการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญมายังคณะกรรมาธิการยกร่าง

ตามกรอบเวลาภายใน 60 วันหลังประชุม สปช. นัดแรก คือภายในวันที่ 19 ธันวาคม จากนั้นวันที่ 20 ธันวาคม จะประชุมลงรายละเอียดเขียนเป็นรายมาตรา
----------
"คำนูณ" ระบุ เชิญพรรคการเมือง ให้ความเห็น รธน. ทำได้ ไม่ขัด คสช. ยัน เสร็จทันกรอบ 17 เม.ย. 58

นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผย สำนักข่าว INN ว่า การเชิญพรรคการเมือง มาร่วมแสดงความคิดเห็นต่อการยก

ร่างรัฐธรรมนูญนั้น มองว่า ไม่ขัดต่อคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ห้ามดำเนินกิจกรรมทางการเมือง เพราะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของ คสช. และรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 และ

การยกร่างฉบับถาวร จำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย รวมไปถึงพรรคการเมือง เพื่อประโยชน์ส่วนรวม และให้ประเทศเดินหน้าไปได้

ขณะที่ในสัปดาห์นี้ จะประชุมกรรมาธิการยกร่างฯ ให้ได้รายชื่อคณะอนุกรรมาธิการ 10 คณะ รวมถึงประธานด้วย และการดำเนินงานของอนุกรรมาธิการฯ ขณะนี้ จะยังไม่ใช่การยกร่างรายมาตรา

แต่จะเป็นการหารือหลักการ ก่อนนำเข้าที่ประชุมใหญ่กรรมาธิการยกร่างฯ อีกครั้ง จากนั้น เมื่อได้ข้อสรุป จึงจะเขียนเป็นรายมาตรา

ทั้งนี้ ยืนยันว่า คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จะดำเนินการเสร็จสิ้นตามกรอบในวันที่ 17 เม.ย. 2558 แน่นอน ก่อนส่งให้ที่ประชุม สปช. ให้ความเห็นต่อไป
---------
"วิษณุ" ปัดตั้งธงร่าง รธน. แนะพรรคการเมือง ขอ คสช. หากต้องการจัดประชุม เมินคนไม่ร่วม ยัน กมธ.รับฟังทุกฝ่าย

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย กล่าวถึงข้อกังวลของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ ในการส่งตัวแทนเข้าเสนอความเห็นต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ว่า อาจขัดต่อข้อบังคับ

พรรค เพราะต้องประชุมพรรค เพื่อระดมความคิดเห็นให้เป็นข้อเสนอพรรค ว่า สามารถหารือเป็นการภายในได้ แต่หากไม่สบายใจ ก็สามารถทำหนังสือขออนุญาตคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (

คสช.) ในการจัดประชุมพรรค แต่ส่วนตัวเห็นว่า ทุกพรรคมีหัวหน้าที่สามารถเป็นตัวแทนได้อยู่แล้ว ส่วนที่มีบางพรรค ระบุไม่ขอเข้าร่วมเสนอความเห็น เพราะเชื่อว่า สุดท้ายคณะกรรมาธิการมีธง

ของร่างรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ซึ่งหากคิดเช่นนั้น ก็ไม่ต้องเข้าร่วม ซึ่งไม่ใช่การท้าทาย แต่ทั้งหมดคณะกรรมาธิการต้องการฟังความเห็นจากทุกฝ่าย ทุกสี และทุกกลุ่มความขัดแย้ง เพื่อให้รัฐธรรมนูญมี

ความครอบคลุมมากที่สุด

อย่างไรก็ตาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ยอมรับ มีการพูดคุยกับคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้ให้คำแนะนำใด ๆ เพราะเชื่อว่าคณะกรรมาธิการ ทั้ง 36 คน สามารถดำเนินการยก

ร่างได้ เพราะเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ และเป็นไปตามกรอบเวลาที่กำหนด
----------
"วินธัย" แจง พรรคการเมือง กลุ่มการเมือง สามารถระดมความเห็นเพื่อเสนอ กมธ.ยกร่าง รธน. ได้ หากติดขัด สามารถขออนุญาติเป็นกรณีพิเศษได้

พันเอกวินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวว่า กรณีกระแสข่าวจากการที่คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ จะเชิญพรรคการเมืองเข้าร่วมแลกเปลี่ยน แต่บางกลุ่มบางพรรคอาจต้องการที่จะระดมความคิดเห็นสมาชิกเกรงกระทบเงื่อนไขเรื่องการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง

ซึ่งจากการที่ได้ติดตามข่าวสารในกรณีดังกล่าวมีลักษณะแตกต่างกัน เช่น ในบางกลุ่มหรือบางพรรค สามารถดำเนินการได้เลย เพราะอาจมีช่องทางการติดต่อสื่อสารกับสมาชิกผ่านเครือข่ายภายในองค์กรนั้น ๆ อย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ในลักษณะที่ไม่ขัดกรอบกฎหมาย โดยเฉพาะข้อมูลหรือข้อคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์ต่าง ๆ ที่องค์กรนั้น ๆ ได้เคยมีการรวบรวมไว้ และเตรียมจะเสนอในโอกาสที่เหมาะสม

แต่สำหรับในบางกลุ่ม อาจต้องมีวิธีการใด ๆ เสริม เพื่อให้ได้มาในเรื่องของข้อมูลข้อเสนอต่าง ๆ อาจต้องการดำเนินกิจกรรมเพิ่มเติม ถ้าไม่แน่ใจ เกรงว่าการดำเนินกิจกรรมนั้น ๆ จะเข้าข่ายผิดเงื่อนไขจากการที่ได้เคยขอความร่วมมือกันไว้ ก็สามารถขออนุญาตบอกกล่าว หรือปรึกษากับทางเจ้าหน้าที่ได้เป็นกรณี ๆ ไป ซึ่งเจ้าหน้าที่จะพิจารณาดูในรายละเอียดวัตถุประสงค์ เจตนารมณ์ ถ้าการดำเนินการนั้น ๆ ไม่ขัดต่อแนวทางการรักษาความสงบเรียบร้อย และเป็นประโยชน์ต่อสังคม และประเทศชาติจริง ไม่ได้มีเจตนาใด ๆ แอบแฝง ก็จะพิจารณาให้ทุกครั้ง

--------
พล.อ.อนุพงษ์ ระบุ เป็นเรื่องดี คู่ขัดแย้งร่วมแสดงความเห็น กมธ.ยกร่างฯ มั่นใจ รธน.ใหม่ ลดขัดแย้งได้ เชื่อ คสช. ไม่มีปัญหา ขอทำกิจกรรมระดมความเห็น

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่พรรคการเมืองและคู่ขัดแย่งตอบรับการเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นร่วมกับคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ถือเป็น

เรื่องที่ดีมาก เพราะหากผู้ที่อยู่ในส่วนของการเมืองเข้ามาร่วมมือจะเกิดความชอบธรรมและความยอมรับของประชาชนมากยิ่งขึ้น ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับต่อไปจะสามารถลดความขัดแย้งได้หรือไม่นั้น

หากช่วยกันหาทางให้รัฐธรรมนูญเป็นรัฐธรรมนูญที่เข้ากับบริบทของสังคมไทย ความขัดแย้งอาจจะดีขึ้น

นอกจากนี้ สำหรับกรณีที่บางพรรคการเมืองบางพรรคต้องการให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผ่อนคลายในคำสั่งเรื่องการงดจัดกิจกรรมเพื่อที่สามารถประชุมพรรคได้นั้น เป็นข้อเสนอที่น่า

รับฟัง หากมีเจตนาที่ดี ซึ่ง คสช. จะต้องไปประชุมเพื่อพิจารณาว่าหากมีการผ่อนปรนแล้วจะเกิดเหตุอะไรหรือไม่
---
พล.อ.อนุพงษ์ มั่นใจ ไร้ปัญหาขัดแย้ง ใน กมธ. เชื่อการมีคู่ขัดแย้งช่วยทำให้เข้าใจกันมากขึ้น

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ประธานกรรมาธิการวิสามัญในหลายคณะ เป็นคู่ขัดแย้งเพียงฝ่ายเดียวนั้น ตนเองเคยได้ยินคนพูดกันในเรื่องของความขัดแย้ง บางคนก็คิดว่า ถ้าจะทำอะไรก็แล้วแต่ ก็จะมีแต่ความขัดแย้ง แต่ถ้ามีการพูดคุยกันขึ้นก่อน ผลที่ออกมาก็จะจบ และไม่มีความขัดแย้ง เพราะถือว่ามีการพูดคุยกันแล้ว ถือว่าดีจะขัดแย้งกันอย่างไรคณะไหนก็ไปทำให้จบ ดังนั้นอยากให้มาร่วมกันทุกฝ่าย แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมมาสมัครกันตั้งแต่แรก ซึ่งเมื่อผลออกมาก็อาจนำไปอ้างได้ว่าไม่ชอบธรรม เพราะว่าไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิรูป
------------
หลวงปู่พุทธะอิสระ เข้าเสนอแนะ "เทียนฉาย-บวรศักดิ์" พร้อมหนุนทำประชามติ จ่อชง นายกรัฐมนตรี ปมปฏิรูปพลังงาน

บรรยากาศที่รัฐสภา ล่าสุด หลวงปู่พุทธะอิสระ เดินทางเข้าพบ นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ และนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อ

เสนอแนะข้อคิดเห็นในการร่างรัฐธรรมนูญ โดยจะให้ผลักดันสถาบันการเมืองแห่งชาติ ในการดูแลจริยธรรมนักการเมือง การออกกฎหมายคนรวยห้ามแย่งอาชีพคนจน รวมถึงข้อเสนอปฏิรูปพลังงาน

90 ข้อ ทั้งนี้ จะนัดหมายไปทางเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อส่งข้อเสนอทั้ง 90 ข้อ ให้นายกรัฐมนตรี ด้วย ส่วนกรณีที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เชิญพรรคการเมือง และกลุ่มคู่ขัดแย้งเข้าร่วม

เป็นเรื่องดี หากปฏิเสธถือเป็นการไม่ให้เกียรติประชาชน และไม่เห็นแก่ประโยชน์ของชาติ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวสนับสนุนให้ทำประชามติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
---------
หลวงปู่ ยื่นหนังสือ ปธ.สปช. เสนอความเห็นปฏิรูปประเทศ พร้อมขอทบทวนแบ่งปันผลประโยชน์สัมปทาน 

พระพุทธะอิสระ ยื่นหนังสือต่อ นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. โดย พระพุทธะอิสระ ระบุถึงการเข้าพบว่า ต้องการนำเสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการ

ปฏิรูปประเทศ ทั้งในเรื่องการผลักดันสถาบันการเมืองแห่งชาติ เพื่อดูแลจริยธรรมนักการเมือง ผลักดันเรื่องการออกกฎหมายห้ามคนรวยแย่งอาชีพคนจน และเรื่องพลังงาน ที่ขณะนี้ได้ข้อสรุปแล้ว 90

ข้อ โดยจะขอให้พิจารณาทบทวนเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างรัฐกับบริษัทที่ได้รับสัมปทาน จาก 50:50 เป็น 60:40

นอกจากนี้ จะมีการเสนอเรื่องการศึกษา โดยให้ปฏิรูปหลักสูตรการศึกษา เน้นเรื่องโตไปไม่โกง พร้อมจะเสนอให้คดีคอร์รัปชั่นไม่หมดอายุความ และประชาชนสามารถร้องเรียนด้วยตนเอง
----------
"พระพุทธะอิสระ" ยื่นหนังสือ "บวรศักดิ์" ชงตั้ง 3 สภาหลัก ขอทุกฝ่ายร่วมปฏิรูป อย่านำอัยการศึก เป็นข้ออ้าง ยัน หนุนประชามติ

พระพุทธะอิสระ ยื่นหนังสือต่อ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) คนที่ 1 ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยขอให้ นายบวรศักดิ์ ตั้ง 3 สภาหลัก

คือ สภาศีลธรรมคุณธรรม สภาเพื่อเกษตรกรชาวนา และสภาพลังงาน พร้อมมองว่า ที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ทำหนังสือให้พรรคการเมือง และกลุ่มเห็นต่างเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นนั้น

เป็นเรื่องที่ดี ที่จะให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม ส่วนพรรคการเมือง ที่ปฏิเสธการมีส่วนร่วม ควรคำนึงถึงประชาชนที่ให้เกียรติเลือกเข้ามาเป็นตัวแทน ดังนั้น ควรทำประโยชน์ให้ประเทศ และจะได้ไม่

ถูกมองว่า เข้ามาด้วยประโยชน์ส่วนตัว เพราะเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใหญ่ และขออย่านำเรื่องการประกาศใช้กฎอัยการศึก เป็นข้ออ้าง ส่วนการทำงานของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)

และ สปช. นั้น จะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุกคน

นอกจากนี้ พระพุทธะอิสระ ยังย้ำว่า การทำประชามติ เป็นเรื่องจำเป็น เมื่อทุกอย่างชัดเจน ก็ควรจัดให้มีประชามติ
-------------------------
หลวงปู่พุทธอิสระ กล่าวถึงกรณีคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเชิญพรรคการเมืองและคู่ขัดแย้งมาร่วมเสนอความเห็นการยกร่างรัฐธรรมนูญ ว่า เป็นเรื่องดีที่ให้ทุกพรรคการเมืองเข้ามามีส่วน

ร่วม หากพรรคใดปฏิเสธเข้าร่วมกระบวนการแสดงว่า ไม่เห็นประโยชน์ของประชาชน มุ่งแต่ประโยชน์ของพรรคตัวเอง ขอให้ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะได้ไม่ต้องมาพูด

ว่าเป็นผลไม้พิษ หรือกฎหมายจากการรัฐประหาร ทำให้การแก้ปัญหาไม่จบ หากใครไม่ให้ความร่วมมือ ปฏิเสธการเข้าร่วมกระบวนการแสดงความเห็นว่า มีเจตนาทำให้ประเทศชาติมีปัญหา มีเป้า

หมายให้เกิดความไม่สงบในประเทศ น่ารังเกียจมากๆ

          ส่วนที่พรรคการเมืองอยากให้ยกเลิกกฎอัยการศึก เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการแสดงความเห็นนั้น แม้จะมีกฎอัยการศึก ก็สามารถแสดงความเห็นได้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหาใดๆ ถ้ากฎอัยการศึกมี

ความศักดิ์สิทธิ์จริง ทำไมวัดอ้อน้อยจึงถูกยิงอยู่เป็นประจำ อย่ามาอ้างกฎอัยการศึกส่งเดชว่า ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้ ส่วนการทำประชามติภายหลังการยกร่างรัฐธรรมนูญนั้น เห็นว่า สมควรทำ

เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมเต็มที่

-------------
////////////////////
ทำเนียบฯ

ปชช. ร้องศูนย์บริการ ปชช. จี้ คสช. ช่วยเหลือ กรณีถูกบริษัทเอกชนหลอกลวง

บรรยากาศที่ศูนย์บริการประชาชนชั่วคราว สำนักงาน ก.พ. นายยิ่งยศ จาดเปรม พร้อมด้วยประชาชนจำนวนหนึ่งที่ได้รับความเดือดร้อน ได้มาติดตามทวงถามความคืบหน้า หลังเคยมายื่นหนังสือปี

2556 แล้ว กรณี บริษัท ดิจิตอล คราวน์ โฮลดิ้ง จำกัด ปิดบริษัทหนี ทำให้ชาวบ้านที่ร่วมลงทุนได้รับความเสียหาย ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัทดังกล่าวได้ชักชวนชาวบ้านให้ลงทุนขายน้ำมันหอมระเหย

โดยผู้เดือดร้อนบางส่วนได้นำโฉนดที่ดินไปจำนอง เพื่อนำเงินมาลงทุนรายละประมาณ 2-4 แสนบาท ซึ่งต่อมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้เข้าไปจับกุม และอายัดเงินในบัญชีกว่า 500

ล้านบาท โดยเป็นเงินของชาวบ้าน กว่า 200 ล้านบาท

โดยล่าสุด ดีเอสไอ ได้เพิกถอนอายัดบัญชีเงินฝากบริษัทตามที่ผู้เสียหายร้องขอเพื่อนำเงินมาจ่ายให้กับชาวบ้าน แต่บริษัทกลับเพิกเฉย ดังนั้น กลุ่มชาวบ้านจึงมาขอให้ คสช. ช่วยเหลือ โดยทางเจ้า

หน้าที่ตำรวจได้เจรจาไกล่เกลี่ยโดยจะตั้งคณะกรรมการและนำเสนอให้ ครม. พิจารณาให้ความช่วยเหลือต่อไป
------------------

/////////////
คสช.

ผบ.พล.1 รอ. ประชุมสรุปและติดตามจัดระเบียบ จยย.รับจ้าง ระยะที่ 3 เริ่มแจกเสื้อวิน ธ.ค. ขณะ 5 ธ.ค. จัดคาราวานเทิดพระเกียรติ

กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ จัดประชุมสรุปผลและติดตามการจัดระเบียบรถจักรยานต์รับจ้างในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ในห้วงที่ผ่านมา โดยมี พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ พรรณจิตต์ ผู้บัญชาการ

กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ เป็นประธาน และมีกองบัญชาการตำรวจนครบาล กรมการขนส่งทางบก และเจ้าหน้าที่เทศกิจกรุงเทพมหานคร เข้าร่วม ซึ่งการจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้างในขณะนี้

อยู่ในช่วงระยะที่ 3 ที่จะเป็นการดำเนินการแก้ไขปัญหาผลกระทบทุกด้านอย่างยั่งยืน ซึ่งต่อจากนี้ ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างทุกคน จะต้องมีการจดทะเบียนถูกต้องครบ 100% ส่วนการแจกเสื้อวิ

นใหม่นั้น คาดว่าภายในเดือนธันวาคม นี้ จะสามารถแจกได้จำนวน 3 หมื่นตัว และจะแจกได้ครบภายในต้นปี 58

นอกจากนี้ ในวันที่ 5 ธันวาคม นี้ จะมีการจัดขบวนคาราวานวินรถจักรยานยนต์เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยจะให้ผู้ขับขี่ทุกคนใส่เสื้อวินตัวใหม่ที่ได้รับแจก
///////////////////
เคลื่อนไหวนายกฯ

นายกฯ หารือทวิภาคี เลขาฯ UN ขอบคุณ เข้าใจสถานการณ์การเมืองไทย ย้ำ ยึด ปชช. เป็นสำคัญ นำพาประเทศสู่ ปชต.

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หารือทวิภาคีกับ นายบัน กี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 25 ณ กรุงเนปยิดอ สาธารณรัฐแห่งสภาพเมียนมา วานนี้

โดยหลังเสร็จสิ้นการหารือ ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการหารือ ว่า เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวยินดีที่ได้พบนายกรัฐมนตรี ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้พบกับ

พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในช่วงการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ทำให้เข้าใจสถานการณ์การเมืองไทยมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณเลขาธิการสหประชาชาติ และได้อธิบายสถานการณ์ไทย ถึงเหตุผลและความจำเป็นของการเข้ามาบริหารประเทศ และรัฐบาลไทยมุ่งมั่นที่จะดูแลความสงบเรียบร้อย โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ ขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนที่ 2 ของแผนปฏิบัติการ เพื่อพัฒนาประชาธิปไตยที่ยั่งยืน อีกทั้ง ยังยึดมั่นและพร้อมที่จะปฏิบัติตามพันธสัญญาที่มีกับนานาประเทศและระหว่างประเทศอย่างครบถ้วน

(ข้อมูล)นปช.ไม่ร่วมแนะร่างรธน.-ชี้ปลายทางเหมือนเดิม แค่หาความชอบธรรม

นปช.ไม่ร่วมแนะร่างรธน.-ชี้ปลายทางเหมือนเดิม แค่หาความชอบธรรม

เขียนวันที่
วันอังคาร ที่ 28 ตุลาคม 2557 เวลา 13:10 น.
เขียนโดย
isranews
หมวดหมู่
“จตุพร” ยันนปช. มีแนวทางของตัวเอง ไม่ร่วมเสนอความคิดร่างรธน.-สปช. ยก “บวรศักดิ์” มองขาด เสนอให้คนนอกร่วมต้องการความชอบธรรม “ธิดา” เชื่อมีพิมพ์เขียวอยู่แล้ว แค่ต้องการนำเสนอให้ดูดี - กปปส. หนุนเล็งเสนอแนวคิดปฏิรูปช่วงม็อบชง กมธ.ยกร่างฯใน 60 วัน
PIC-jatuporn-tida-28-10-57 1
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2557 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เปิดเผยสำนักข่าวอิศราwww.isranews.org ถึงกรณีสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มีแนวคิดให้คู่ขัดแย้งทางการเมืองเสนอแนวทางร่างรัฐธรรมนูญและปฏิรูปประเทศด้วย ภายหลังที่ประชุม สปช. มีมติไม่เห็นชอบให้มีคนนอก 5 คนเป็น กรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ว่า เรายืนยันไม่เข้าไปร่วมอะไรที่เป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็น สปช. หรือกมธ.ยกร่างฯ โดย นปช. ได้แจ้งความประสงค์ชัดเจนว่าจะไม่เข้าร่วม แต่จะไม่เป็นอุปสรรค จะรออยู่ข้างนอก เสนอความเห็นที่สร้างสรรค์ ทั้งการปฏิรูปประเทศไทย 11 ด้านและเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ โดยในส่วนการร่างรัฐธรรมนูญนั้นปลายทางก็เป็นไปอย่างที่รัฐธรรมนูญชั่วคราว มาตรา 35 ทั้ง 10 ข้อบัญญัติไว้ ซึ่ง กมธ.ยกร่างฯ หรือ สปช. จะมีความเห็นต่างไปจาก 10 ข้อนี้ไม่ได้ ดังนั้น กมธ.ยกร่างฯจะมีองค์ประกอบเป็นใครบ้างก็แทบไม่มีความหมาย
นายจตุพร กล่าวอีกว่า ส่วนสิ่งที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโน สปช. เสนอให้บุคคลภายนอกเข้าไปร่วมร่างรัฐธรรมนูญนั้น คือคนที่มีความเชี่ยวกรากในเรื่องรัฐธรรมนูญอย่างนายบวรศักดิ์รู้ว่าปลายทางของรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไร เพราะเส้นทางชัดเจนอยู่แล้ว แต่สิ่งที่นายบวรศักดิ์แสดงความเป็นห่วงและต้องการคือความชอบธรรม คือการเปิดให้คนนอกทั้ง 5 คนเข้ามามีส่วนร่วม
“หลายคนที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ใน สปช. ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ อ.บวรศักดิ์ เสนอ แกต้องการอะไร ไม่ใช่ว่าใน สปช. เป็น 20 คน จะเปลี่ยนเนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญได้ จะเข้าไป 15 คนหรือ 20 คน ก็ไม่ได้แตกต่างกัน เพราะต้องร่างตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวมาตรา 35 ทั้ง 10 ข้อ ดังนั้น สปช. ส่วนใหญ่มองไม่ขาด แต่ อ.บวรศักดิ์ มองขาด เพราะเขารู้ตั้งแต่ต้นจนจบอยู่แล้ว” นายจตุพร กล่าว
ขณะที่นางธิดา ถาวรเศรษฐ ที่ปรึกษา นปช. กล่าวว่า ความคิดทางฝั่ง สปช. และ กมธ.ยกร่างฯ เขาคงจะมีพิมพ์เขียว และมีแบบแผนเกือบจะสำเร็จรูปอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการให้กระบวนการนำเสนอที่มันดูดีเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะรัฐประหารทำไม การลงทุนทำรัฐประหารคือมีเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงประเทศ ทั้งแนวคิดการปฏิรูป และการร่างรัฐธรรมนูญ ที่จริงเรียกได้ว่าไม่จำเป็นต้องขอความเห็นอะไร เพราะไม่ได้เริ่มต้นจากการนับหนึ่ง ทั้งนี้เชื่อว่ามีแบบแผนการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ 80-90% แล้ว สังเกตได้จากรัฐธรรมนูญชั่วคราว มาตรา 35 หรือพิมพ์เขียวของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นต้น
ด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษกคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์อันเป็นประมุข (กปปส.) กล่าวว่า กปปส. ไม่ได้ให้ความสนใจที่ตัวบุคคลที่จะเข้ามาเป็น กมธ.ยกร่างฯ อยู่แล้ว การที่ สปช. จะคัดเลือกบุคคลภายนอกหรือบุคคลใน สปช. มาเป็น กมธ.ยกร่างฯ นั้นก็เป็นเรื่องที่ สปช. พิจารณาเอง แต่ กปปส. จะให้ความสำคัญที่ผลงานของ กมธ.ยกร่างฯ มากกว่าว่าจะสามารถร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นที่ยอมรับสำหรับคนทั้งประเทศได้หรือไม่ และจะแก้ปัญหาในขณะนี้ได้มากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ดี กปปส. ยังยืนยันว่า จะสนับสนุนการปฏิรูปตามโร้ดแม็พที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) วางไว้ ทั้งนี้จะพยายามรวบรวมความเห็นที่ กปปส. เคยระดมความคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปไว้ขณะที่มีการชุมนุม เสนอไปยัง กมธ.ยกร่างฯ ตามกรอบเวลา 60 วัน แต่อาจไม่มีการเสนอความคิดเห็นอย่างเป็นทางการ

บริษัทน้ำมันอาหรับ “เพื่อนทักษิณ” เดินหน้าสูบน้ำมันแหล่ง “มโนราห์” วันละ 15,000 บาร์เรล แบ่งผลประโยชน์บริษัทน้ำมันแดนจิงโจ้

Hot Issue:บริษัทน้ำมันอาหรับ “เพื่อนทักษิณ” เดินหน้าสูบน้ำมันแหล่ง “มโนราห์” วันละ 15,000 บาร์เรล แบ่งผลประโยชน์บริษัทน้ำมันแดนจิงโจ้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์13 พฤศจิกายน 2557 10:33 น.
Hot Issue:บริษัทน้ำมันอาหรับ “เพื่อนทักษิณ” เดินหน้าสูบน้ำมันแหล่ง “มโนราห์” วันละ 15,000 บาร์เรล แบ่งผลประโยชน์บริษัทน้ำมันแดนจิงโจ้
        เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-บริษัท“มูบาดาลา ปิโตรเลียม” แห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ออกคำแถลงล่าสุด ยืนยันเตรียมเดินหน้าผลิตน้ำมันจากแหล่ง “มโนราห์” กลางอ่าวไทยเต็มสูบ โดยระบุ มีน้ำมันอื้อ อาจสูบได้สูงสุดถึง “วันละ 15,000 บาร์เรล” หลังจากเพิ่งประกาศฮุบกรรมสิทธิ์ในแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” ของไทยไปเมื่อต้นปี
      
       รายงานของสื่อต่างประเทศหลายสำนักระบุตรงกันว่า บริษัท “มูบาดาลา ปิโตรเลียม” ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานในเครือ “มูบาดาลา กรุ๊ป” ที่เป็นหนึ่งในแขนขาด้านการลงทุนของรัฐอาบู ดาบี ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ประกาศเริ่มเดินหน้าผลิตน้ำมันจาก “แหล่งมโนราห์” ที่ตั้งอยู่ในอ่าวไทยตอนเหนืออย่างเต็มกำลัง โดยจับมือแบ่งปันผลประโยชน์กับบริษัทพลังงาน “แท็ป เอ็นเนอร์จี” ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย รวมถึงบริษัทน้ำมัน “นอร์ธเทิร์น กัลฟ์ ปิโตรเลียม" ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่บน “ถนนวิภาวดี-รังสิต” ใจกลางกรุงเทพฯ
      
       คำแถลงของมูบาดาลา ปิโตรเลียมซึ่งถูกเผยแพร่ผ่านสื่อสำนักต่างๆในช่วงรอยต่อคืนวันอังคาร (11 พ.ย.) ถึงเช้าตรู่วันพุธ (12 พ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ระบุว่า ทางบริษัทคาดว่าอาจสูบน้ำมันออกจากแหล่งมโนราห์ของไทยเพื่อเข้าสู่กระบวนการผลิตได้สูงสุดถึง “วันละ 15,000 บาร์เรล”
      
       ความเคลื่อนไหวล่าสุดในการผลิตน้ำมันจากแหล่งมโนราห์ในครั้งนี้ส่งผลให้บริษัทมูบาดาลา ปิโตรเลียมในเครือมูบาดาลา กรุ๊ป กลายเป็นเจ้าของสิทธิ์ทำประโยชน์จากแหล่งน้ำมันกลางอ่าวไทยถึง 3 แหล่ง เนื่องจากก่อนหน้านี้ ทางบริษัทเพิ่งได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลไทยในยุค น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้เข้าทำสัญญาพัฒนาแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” ที่ตั้งอยู่ในอ่าวไทยมาแล้วเมื่อต้นปี รวมถึง ยังได้สิทธิ์สูบน้ำมันจากแหล่ง “จัสมิน” ที่มีปริมาณน้ำมันอยู่ “มากกว่า 50 ล้านบาร์เรล”
      
       ก่อนหน้านี้ บริษัทมูบาดาลา กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของมูบาดาลา ปิโตรเลียม เคยประกาศเมื่อเดือนมกราคมว่า บริษัทของตนได้จับมือกับบริษัทพลังงาน “คริสเอ็นเนอร์จี” ที่เป็นบริษัทลูกของกลุ่ม “เทมาเส็ก” ในประเทศสิงคโปร์ เข้าพัฒนาแหล่งน้ำมันนงเยาว์ที่อยู่กลางอ่าวไทย โดยระบุแหล่งน้ำมันดังกล่าวมีศักยภาพรองรับการผลิตน้ำมันได้มากถึง 15,000 บาร์เรลต่อวัน เท่ากับแหล่งมโนราห์ และสามารถเริ่มกระบวนการขุดเจาะทำประโยชน์เต็มรูปแบบได้ตั้งแต่กลางปี 2015 เป็นต้นไป ขณะที่สัดส่วนการแบ่งผลประโยชน์นั้นถูกระบุว่า บริษัท มูบาดาลาแห่งยูเออี จะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ในสัดส่วนที่สูงถึง “75 เปอร์เซ็นต์” จากแหล่งน้ำมันนงเยาว์ในอ่าวไทย ขณะที่บริษัท คริส เอ็นเนอร์จี จากสิงคโปร์ที่เข้ามาเป็นหุ้นส่วนจะได้รับผลประโยชน์ 25 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ
      
       ข้อมูลจากสื่อต่างประเทศรวมถึงการตรวจสอบจากทีมข่าวต่างประเทศ ASTV ผู้จัดการออนไลน์พบว่า กลุ่มมูบาดาลาจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มี “คัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค” ประธานสโมสรฟุตบอลชื่อดัง “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จากศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทำหน้าที่เป็น “ซีอีโอ” ควบกับตำแหน่ง “กรรมการผู้จัดการ” อยู่ในขณะนี้และมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย โดยกลุ่มมูบาดาลามีมูลค่าทรัพย์สินในครอบครองในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสูงกว่า 55,210 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.81 ล้านล้านบาท)
      
       ทั้งนี้ บริษัท มูบาดาลา ปิโตรเลียมซึ่งมีการลงทุนใน 12 ประเทศได้เข้ามาดำเนินธุรกิจด้านพลังงานในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2004 ถือเป็นผู้ได้รับสัมปทานปิโตรเลียม “รายใหญ่อันดับที่ 3” ในประเทศไทย
Hot Issue:บริษัทน้ำมันอาหรับ “เพื่อนทักษิณ” เดินหน้าสูบน้ำมันแหล่ง “มโนราห์” วันละ 15,000 บาร์เรล แบ่งผลประโยชน์บริษัทน้ำมันแดนจิงโจ้
คัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค ซีอีโอของสโมสรฟุตบอล “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มมูบาดาลา
       
Hot Issue:บริษัทน้ำมันอาหรับ “เพื่อนทักษิณ” เดินหน้าสูบน้ำมันแหล่ง “มโนราห์” วันละ 15,000 บาร์เรล แบ่งผลประโยชน์บริษัทน้ำมันแดนจิงโจ้
คัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค รับมอบเสื้อทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย และอดีตประธานสโมสร
       
Hot Issue:บริษัทน้ำมันอาหรับ “เพื่อนทักษิณ” เดินหน้าสูบน้ำมันแหล่ง “มโนราห์” วันละ 15,000 บาร์เรล แบ่งผลประโยชน์บริษัทน้ำมันแดนจิงโจ้
ภาพจากสำนักข่าวเอเอฟพีเผยให้เห็นพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรหยอกล้ออย่างเป็นกันเองกับ คัลดูน อัล มูบารัค
       
Hot Issue:บริษัทน้ำมันอาหรับ “เพื่อนทักษิณ” เดินหน้าสูบน้ำมันแหล่ง “มโนราห์” วันละ 15,000 บาร์เรล แบ่งผลประโยชน์บริษัทน้ำมันแดนจิงโจ้
       
Hot Issue:บริษัทน้ำมันอาหรับ “เพื่อนทักษิณ” เดินหน้าสูบน้ำมันแหล่ง “มโนราห์” วันละ 15,000 บาร์เรล แบ่งผลประโยชน์บริษัทน้ำมันแดนจิงโจ้
       
Hot Issue:บริษัทน้ำมันอาหรับ “เพื่อนทักษิณ” เดินหน้าสูบน้ำมันแหล่ง “มโนราห์” วันละ 15,000 บาร์เรล แบ่งผลประโยชน์บริษัทน้ำมันแดนจิงโจ้

"ปฏิบัติการไล่ล่าหมาจิ้งจอก 2014" ของสี จิ้นผิง

จาก "ปฏิบัติการกำจัดแมลงวันและฝูงพยัคฆ์" สู่ "ปฏิบัติการไล่ล่าหมาจิ้งจอก 2014" ของสี จิ้นผิง ในการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันข้าราชการทุจริตและอาชญากรเศรษฐกิจยักยอกเงินหลวงโดยตลอดช่วง 2 ปีนี้ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่เพียงแต่ค่อยๆ รื้อฟื้นการปกครองภายใต้หลักนิติรัฐของขงจื่อ เมิ่งจื้อ หานเฟยหรือแมคเคียเวลลีแห่งแดนมังกร ที่เน้นว่า
"ใครทำผิดก็ต้องรับโทษตามกฎหมายโดยเท่าเทียมกัน" ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่ปานไหนก็ตาม
ใครบ้างที่โดนไล่ล่า!!

รายงาน:อิสรนันท์
แม้อดีตผู้นำแดนมังกรหลายต่อหลายคน รวมไปถึงอดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทา และอดีตนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า จะให้สัญญาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าจะปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันให้สิ้นทราก แต่คำมั่นสัญญานั้นก็เหมือนกับเป็นเพียงลมปากที่ปลิวหายไปกับสายลม เพราะจนถึงทุกวันนี้การทุจริตคอร์รัปชันยังคงระบาดไปทั่วทุกระดับชั้น โดยเฉพาะในหมู่ญาติโกโหติกาและคนสนิทของผู้นำจงหนานไห่หลายต่อหลายคน และอาจจะรวมไปถึง “ปู่เวิน” ซึ่งแม้จะเป็นขวัญใจของประชาชนด้วยค่าที่มากน้ำใจมุ่งมั่นช่วยเหลือผู้ประสบความเดือดร้อนอยู่เสมอๆ โดยไม่ถือเนื้อถือตัว ก็ไม่วายตกเป็นข่าวใหญ่ในช่วงที่กำลังจะถอดหัวโขนทิ้่ง ว่าปล่อยให้ญาติสนิทใช้ชื่อไปทำมาหากินจนร่ำรวยมหาศาล
โดยตัวการที่เผยแพร่ข่าวนี้เป็นแห่งแรกก็คือเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ที่อ้างผลการตรวจสอบผลประกอบการของบริษัทเอกชนและสถิติของทางการจีนแล้วพบว่า คนในครอบครัวของปู่เวิน ทั้งลูกชายลูกสาว พี่ชายและพี่เขย ได้ลงทุนในธุรกิจต่างๆ มากกว่า 2,700 ล้านดอลลาร์ (ราว 81,000 ล้านบาท) ส่วนนางหยาง ซื่อหวิน แม่ของนายเวิน ซึ่งช่วงที่ตกเป็นข่าวนั้นมีอายุมากถึง 90 ปีแล้ว ได้หอบเงิน 120 ล้านดอลลาร์ ไปลงทุนในบริษัทประกันแห่งหนึ่ง
อย่างไรก็ดี ทนายความของปู่เวินนั้นนอกจากยืนยันว่าปู่เวินไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของคนในครอบครัว ยังพยายามป้องกันไม่ให้คนในครอบครัวแอบอ้างอิทธิพลของตัวเองให้เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของตัวเอง โดยเฉพาะนางหยางนั้น ไม่มีรายได้หรือสินทรัพย์อื่นใดตามข่าวของนิวยอร์กไทมส์ มีแต่เงินเดือนและเงินสวัสดิการผู้สูงอายุเท่านั้น
แม้ว่าจะชี้แจงและตอบโต้รวมไปถึงเซ็นเซอร์ข่าวของนิวยอร์กไทมส์ ตัวการเผยแพร่ข่าวนี้ แต่คนส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่า “ถ้าไม่มีมูล หมาไม่ขี้” ตอกย้ำรอยด่างพร้อยในวงสังคมแดนมังกรว่าคนจีนกับการคอร์รัปชันเป็นของคู่กันตลอดมา
นายสี เจิ้น ผิง ที่มาภาพ : http://www.thenewstribe.com/wp-content/uploads/2014/11/Xi-Jinping.jpg
นายสี จิ้นผิง ที่มาภาพ: http://www.thenewstribe.com/wp-content/uploads/2014/11/Xi-Jinping.jpg
แต่ความเชื่อนี้ก็เริ่มคลอนแคลน นับตั้งแต่สี จิ้นผิง ได้ก้าวขึ้นมาเป็นประมุขคนที่ 5 แห่งจงหนานไห่เมื่่อเดือนพฤศจิกายน 2555 โดยตลอดช่วง 2 ปีนี้ สี จิ้นผิง ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่เพียงแต่ค่อยๆ รื้อฟื้นการปกครองภายใต้หลักนิติรัฐของขงจื่อ เมิ่งจื้อ หานเฟยหรือแมคเคียเวลลีแห่งแดนมังกร ที่เน้นว่า “ใครทำผิดก็ต้องรับโทษตามกฎหมายโดยเท่าเทียมกัน” ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่ปานไหนก็ตาม
รวมไปถึงการปัดฝุ่นวรรณกรรมเก่าแก่นับพันๆ ปีของจีนขึ้นมาใช้ใหม่ควบคู่กับแนวทางของเหมา เจ๋อตุง เพื่อเป็นกำแพงขวางกั้นวัฒนธรรมตะวันตกที่รุกคืบเข้ามาอย่างไม่อาจยับยั้งได้ สียังมีอาญาประกาศิตให้ลงดาบฟันบรรดา “แมลงหวี่แมลงวันและฝูงพยัคฆ์” ที่ทุจริตคอร์รัปชัน ยักยอกเงินหลวง หรือผลาญเงินงบประมาณในโครงการที่เปล่าประโยชน์ ให้หนักหน่วงมากขึ้น ไม่ใช่แค่ปลดจากตำแหน่งเท่านั้น แต่ยังหมายรวมไปถึงอาจต้องโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต โดยไม่ไว้หน้าใครๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นแมลงหวี่แมลงวันหรือปลาซิวปลาสร้อย ซึ่งก็คือข้าราชการระดับล่างทั่วไปที่มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหงที่สามารถจับกุมได้ง่ายๆ ในข้อหาสมรู้ร่วมคิดหรือประเภทกินตามน้ำ หรือจะเป็นพยัคฆ์หรือเสือใหญ่ อันหมายถึงข้าราชการระดับสูงทั้งพลเรือนและทหาร ตลอดจนผู้นำระดับสูงภายในพรรค ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ รวมไปถึงนักการเมืองทั้งดาวรุ่ง-ดาวร่วง
นอกจากนี้ ผู้นำจงหนานไห่ยังได้ทยอยออก “บัญญัติ 100 ประการ” เพื่อเป็นแนวทางให้ข้าราชการทุกระดับนำไปปฏิบัติเพื่อจะป้องกันการทุจริตไปในตัว อาทิ งดจัดงานเลี้ยงหรูหรา งดรับของขวัญราคาแพง ห้ามมีเมียน้อย ยกเลิกระบบอภิสิทธิ์ชน การลดเงินเดือนและอภิสิทธิ์ของผู้บริหารรัฐวิสาหกิจราว 30 เปอร์เซ็นต์ จากปัจจุบันที่มีรายได้สูงสุดไม่เกินปีละ 6 แสนหยวน (ราว 3.1 ล้านบาท)
ตลอดจนสั่งระงับแผนก่อสร้างสถานที่ราชการของรัฐบาลท้องถิ่นหลายแห่งที่ตกแต่งอย่างสุดแสนอลังการเกินตัว อาทิ การผลาญงบประมาณกว่า 30 ล้านหยวน (ราว 152 ล้านบาท) เพื่อก่อสร้างศูนย์ราชการขนาดใหญ่ที่เมืองฟู่หยาง มณฑลอานฮุย หนึ่งในมณฑลยากจนที่สุดในประเทศ โดยภายในศูนย์ราชการแห่งนี้ตกแต่งอย่างหรูหรา ประดับผนังด้วยทองคำและโคมไฟระย้า เลียนแบบพระราชวังแวร์ซายส์ของฝรั่งเศส จนมีการเรียกขานในเชิงประชดประชันว่าเป็น “ทำเนียบขาวของจีน”
หรืออาจจะถึงขั้นยุบกระทรวงทบวงกรมหากพบว่าเต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน ดังกรณีที่รัฐบาลได้สั่งยุบกระทรวงการรถไฟเพื่อปรับโครงสร้างการบริหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกันนั้นก็ยังจับกุมหลิว จื้อจวิน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงรถไฟ ฐานรับสินบน ในโครงการขยายเส้นทางรถไฟความเร็วสูง จนทำให้การเดินรถมีมาตรฐานต่ำ และศาลได้ตัดสินประหารชีวิตอดีตรัฐมนตรีผู้นี้ด้วย ฯลฯ
ผู้อำนวยการสำนักงานปราบปรามคอร์รัปชันแห่งชาติจีนเผยว่า แค่ช่วงไตรมาสของปีนี้ มีข้าราชการราว 10,840 ราย ถูกสอบสวนในข้อหาทุจริตเพิ่มขึ้นถึง 19.8 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีคดีที่เกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชันรวม 8,222 คดี มากกว่าเมื่อช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 24 เปอร์เซ็นต์ โดย 82 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ถูกตรวจสอบเกี่ยวข้องกับการรับสินบนเป็นเงินกว่า 50,000 หยวน (ราว 265,000 บาท) หรือยักยอกเงินหลวงเป็นเงินกว่า 100,000 หยวน (530,000 บาท) และผลการตรวจสอบพบว่ามีข้าราชการที่ทำผิดจริงจนถูกดำเนินคดีจำนวน 3,095 ราย เพิ่มจากปีที่แล้ว 7.4 เปอร์เซ็นต์
ในบรรดา “พยัคฆ์ตัวใหญ่” ที่ถูกจับและถูกศาลตัดสินสถานหนักนั้น รวมไปถึงโจว หย่งคัง อดีตบิ๊กความมั่นคงผู้มีอำนาจล้นฟ้าในฐานะผู้ดูแลความมั่นคงในประเทศ และคนสนิทอีกกว่า 300 คน ไม่ว่าจะเป็น ป๋อ ซีไหล อดีตเลขาธิการพรรคสาขาเมืองฉงชิ่ง และอดีตคู่แข่งสี จิ้นผิง ในศึกชิงตำแหน่งผู้นำจงหนานไห่ ที่ถูกศาลตัดสินด้วยโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาทุจริตและยักยอกเงินหลวง หรือหลี่ ชุนเฉิง อดีตรองเลขาธิการพรรคสาขามณฑลเสฉวน คนใกล้ชิดของโจว หย่งคัง ที่ถูกปลดและถูกขับออกจากตำแหน่งเมื่อปลายเดือน เม.ย. ในข้อหาทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง อันหมายถึงการทุจริตคอร์รัปชัน ฯลฯ

อายัดทรัพย์โจว หย่งคัง เสือเฒ่าวัย 71 ปี ราว 450,000 ล้านบาท

ในส่วนของโจว หย่งคัง เสือเฒ่าวัย 71 ปี ซึ่งนอกจากจะถูกปลดจากตำแหน่งและถูกกักบริเวณภายในบ้านพักระหว่างรอการสอบสวน ยังถูกอายัดทรัพย์สินมูลค่าอย่างน้อย 90,000 ล้านหยวน (ราว 450,000 ล้านบาท ) ที่ซุกซ่อนอยู่ในชื่อของคนในครอบครัวและพวกพ้อง ในจำนวนนี้รวมไปถึงบัญชีเงินฝากธนาคารจำนวน 37,000 ล้านหยวน พันธบัตรทั้งในและนอกประเทศรวมมูลค่า 51,000 ล้านหยวน นอกเหนือจากบ้านพักในปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และในอีกห้ามณฑลที่ถูกยึดพร้อมกับคฤหาสน์ อพาร์ตเมนต์ ราว 300 หลัง/ห้อง มูลค่ารวม 1,700 ล้านหยวน ภาพเขียนร่วมสมัยหลายภาพที่มีมูลค่าในตลาดสูงถึง 1,000 ล้านหยวน และขบวนรถยนต์กว่า 60 คัน ไม่นับรวมเหล้าราคาแพง ทองคำ เงิน และเงินสดทั้งสกุลเงินท้องถิ่นและต่างประเทศ
ในส่วนของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนก็มีการกวาดล้างการคอร์รัปชันครั้่งใหญ่เช่นกัน ด้วยการจับกุมพลเอกซู่ ไฉโฮ่ว อดีตรองประธานคณะกรรมาธิการทหารของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งกระเพาะพร้อมลูกเมีย เลขานุการ รวมทั้งพลโทคู จวิ้นซาน อดีตรองผู้บัญชาการฝ่ายพลาธิการของกองทัพ ทหารคนสนิทในข้อหาฉ้อโกงและยักยอกเงินหลวงด้วยการชักส่วนแบ่งจากการขายที่ดินของกองทัพจำนวน 2,000 ล้านหยวน เข้ากระเป๋าตัวเองถึง 6 เปอร์เซ็นต์ รวมไปถึงรับสินบน นำเงินกองทุนของรัฐไปใช้ในทางที่ผิด ใช้อำนาจในทางมิชอบ และใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย อาทิ สร้างวิลล่า 7 หลัง ริมแม่น้ำในเมืองผู่หยาง มณฑลเหอหนาน บ้านเกิด หรือการให้บัตรเดบิตวงเงิน 20 ล้านหยวน เป็นของขวัญแต่งงานของบุตรสาวพลเอกซู่ นับเป็นนายทหารยศสูงสุดที่ถูกฟ้องดำเนินคดีทุจริตฉาว หลังจากพลเรือโทหวัง โส่วเย่ ถูกศาลตัดสินประหารชีวิต แต่ให้รอลงอาญา โทษฐานฉ้อโกงเมื่อปี 2549
พร้อมกันนี้ ผู้บริหารของมณฑลต่างๆ อย่างน้อย 10 มณฑล ก็กำลังแกะรอย “ข้าราชการตัวเปล่าเล่าเปลือย” ซึ่งหมายถึงข้าราชการที่ซุกซ่อนความร่ำรวยด้วยการถ่ายโอนสมบัติที่ได้มาโดยมิชอบให้แก่ลูกเมียที่จัดการให้เดินทางไปอาศัยในต่างประเทศเป็นการถาวร ซึ่งแม้จะไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายของจีน แต่ก็เท่ากับเปิดช่องทางในการโยกย้ายทรัพย์สินที่ได้มาอย่างผิดกฎหมายไปให้ลูกเมียที่อยู่เมืองนอก จากนั้นก็พยายามตบตารัฐด้วยการแสดงตนว่าเป็นข้าราชการ “ตัวเปล่าเล่าเปลือย” ไม่มีฐานะหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมาเพียงน้อยนิด แม้จะมีคำถามตามมาว่าเหตุใดเงินเดือนข้าราชการจึงสามารถนำไปเลี้ยงครอบครัวหรือวงศาคณาญาติในต่างประเทศได้ ก่อนที่ตัวเองจะหาช่องทางหลบหนีไปเสวยสุขในต่างประเทศพร้อมครอบครัวทันทีที่มีโอกาส ไม่เช่นนั้นถ้าถูกจับได้มีหวังถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกนำตัวขึ้นศาล ว่ากันว่าเฉพาะที่มณฑลกวางตุ้งเพียงมณฑลเดียว ข้าราชการกว่าพันคนมีพฤติกรรมเข้าข่ายทุจริตจากการส่งครอบครัวไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ
ที่มาภาพ : http://www.chinahush.com/2014/09/10/operation-fox-hunting-2014-chinas-new-tactic-against-fleeing-government-officials/
ที่มาภาพ: http://www.chinahush.com/2014/09/10/operation-fox-hunting-2014-chinas-new-tactic-against-fleeing-government-officials/

ปฏิบัติการไล่ล่าหมาจิ้งจอก 2014

และข้าราชการกลุ่มนี้นี่เองที่เป็นเป้าหมายใหม่ของสี จิ้นผิง ในการไล่ล่านำตัวกลับมารับโทษในประเทศ ภายใต้แผน “ปฏิบัติการไล่ล่าหมาจิ้งจอก 2014″ หลังจากแผนขั้นแรกในการจัดการกับบรรดา “แมลงหวี่แมลงวันและฝูงพยัคฆ์” เริ่มเห็นผลมากขึ้น ในแผน “ปฏิบัติการไล่ล่าหมาจิ้งจอก 2014″ ระยะ 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่ 22 ก.ค. เป็นต้นมา พุ่งเป้าไปที่การจะกระชากตัวข้าราชการเหลี่ยมจัดและอาชญากรเศรษฐกิจ ที่หอบเงินที่ได้มาจากการทุจริต การใช้ตำแหน่งหน้าที่ในทางมิชอบ และการยักยอกทรัพย์ หนีไปเสวยสุขในต่างประเทศกลับมาดำเนินคดีในประเทศให้ได้ ไม่ว่าจะหนีไกลสุดขอบฟ้าแค่ไหนหรือเนิ่นนานหลายสิบปีแล้วก็ตาม เชื่อว่ามีอยู่อย่างน้อย 11 ราย ที่หอบเงินหนีคดีมาแล้วกว่า 10 ปี และมีอยู่ 2-3 ราย ที่หอบเงินหนีตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2523
ทั้งซินหัวและประชาชนรายวัน กระบอกเสียงของทางการเผยว่า ข้าราชการที่ทุจริตคอร์รัปชันและอาชญากรเศรษฐกิจชื่อดังนับพันๆ คนได้หอบเงินหนีไปเสวยสุขในต่างประเทศถึงกว่า 40 ประเทศ โดยสวรรค์บนดินที่อาชญากรเหล่านี้ชอบหนีไปกบดานตัวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็คือสหรัฐฯ คานาดา ออสเตรเลีย และประเทศในเอเชียอาคเนย์ ไม่ว่าจะเป็นแดนดินถิ่นเจ้าพระยา กัมพูชา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย รวมทั้งในแอฟริกา เฉพาะที่แดนอินทรีอเมริกาประเทศเดียวมีอดีตข้าราชการกังฉินและอาชญากรเศรษฐกิจหนีไปกบดานกว่า 150 คน นอกจากนี้ ยังมีการลักลอบโอนเงินหลายพันล้านดอลลาร์ไปต่างประเทศผ่านการฟอกเงินและโพยก๊วนนอกระบบ จากข้อมูลของกลุ่มโกลบัล ไฟแนนเชียล องค์กรที่ไม่แสวงหากำไรที่มีสำนักงานใหญ่ในนิวยอร์กที่เพิ่งเปิดเผยเพิ่มเติมเมื่อเร็วๆ นี้ระบุว่าระหว่างปี 2548-2554 เชื่อว่ามีการแอบนำเงินที่ได้มามิชอบออกจากจีนถึงกว่า 2.83 ล้านล้านดอลลาร์
นับจากปี 2551 เป็นต้นมา ทางการปักกิ่งได้พยายามนำตัวผู้ต้องหากลับมาลงโทษ ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่หนีไปอยู่ในประเทศแถบเอเชียอาคเนย์และแอฟริกาอย่างยูกานดา กัมพูชา และอินโดนีเซีย จากรายงานของศาลสูงสุดระบุว่า ปีที่แล้ว มีอาชญากรเศรษฐกิจถูกส่งตัวกลับ 762 คน มีเงินถูกยึดกลับเป็นของรัฐกว่า 10,000 ล้านหยวน ในจำนวนนี้ 69 คน ต้องอาศัยความร่วมมือกับตำรวจสากลหรืออินเตอร์โปลให้ช่วยออกหมายจับระหว่างประเทศในข้อหาคอร์รัปชัน ยักยอกทรัพย์ ทุจริต และรับสินบน หนึ่งในผู้ต้องหาที่ตามจับได้คืออดีตข้าราชการชาวฉงชิ่งซึ่งต้องคดียักยอกทรัพย์ 60 ล้านหยวน (ราว 300 ล้านบาท) ตั้งแต่เมื่อ 14 ปีที่แล้ว
ส่วนในช่วง 100 วัน ของปฏิบัติการไล่ล่าหมาจิ้งจอกนั้น ปรากฏว่ามีข้าราชการทุจริตและอาชญากรเศรษฐกิจ 180 คน ถูกจับกุมและถูกส่งตัวกลับมาชดใช้กรรมในประเทศ ในจำนวนนี้ 104 คน มาจากการไล่ล่าของตำรวจจีนภายใต้การประสานความร่วมมือกับรัฐบาลประเทศนั้นๆ อีก 76 คน มาจากการเกลี้ยกล่อมอย่างละมุนละม่อมจนยอมมอบตัวด้วยความสมัครใจ รวมไปถึงอาชญากรเศรษฐกิจ 44 คน ที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบถึงกว่า 10 ล้านหยวน หรือกว่า 50 ล้านบาท

“หวัง ชีซาน” กระบี่มือหนึ่งแขนขวาของสี จิ้นผิง

สำหรับกระบี่มือหนึ่งที่เปรียบเสมือนแขนขวาของสี จิ้นผิง ในปฏิบัติการนี้ก็คือหวัง ชีซาน วัย 66 ปี นักประวัติศาสตร์ผู้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการประจำของคณะโปลิตบุโร อีกทั้งยังเป็น 1 ใน 7 ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในแดนมังกรในยุคนี้ ที่สำคัญ เป็นประธานคณะกรรมาธิการกลางเพื่อการตรวจสอบด้านวินัย หรือนัยหนึ่งก็คือผู้คุมกฎและวินัย มีหน้าที่ดูแลเรื่องการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันโดยตรง
ส่วนหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่ตามไล่ล่า “หมาจิ้งจอก” ที่กบดานอยู่ในต่างประเทศก็คือกระทรวงสันติบาล ซึ่งได้ตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษเพื่อไปปฏิบัติการในต่างประเทศ ประกอบไปด้วยตำรวจผู้มากประสบการณ์จากสำนักงานสอบสวนอาชญากรรมเศรษฐกิจและหน่วยสันติบาลท้องถิ่น รวมทั้่งการดึงตำรวจหญิงเข้าร่วมด้วย เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว ตำรวจหญิงจะมีความละเอียดอ่อนและช่างสังเกตมากกว่า อีกทั้งยังมีความสามารถในการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า และยังสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน
พร้อมกันนี้ กระทรวงใหญ่ๆ รวมทั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุด ยังได้ออกแถลงการณ์อีก 7 ฉบับ ส่งไปยังสถานทูตและสถานกงสุลในต่างประเทศ เรียกร้องให้อาชญากรเศรษฐกิจที่มีชื่ออยู่ในบัญชีดำยอมมอบตัวเองแต่โดยดีก่อนวันที่ 1 ธ.ค. ที่จะถึงนี้ ถ้าใครยอมมอบตัวก็จะได้รับโทษสถานเบาลงแทนโทษหนัก ยิ่งถ้าผู้ต้องหายินยอมคืนเงินค่าเสียหาย โทษก็จะยิ่งเบาลงหรืออาจได้รับการยกเว้นไม่ต้องรับโทษ

ผลักดันสมาชิกเอเปกส่งกลับอาชกรเศรษฐกิจ

ที่มาภาพ : http://newshour-tc.pbs.org/newshour/wp-content/uploads/2014/11/458738992-1024x508.jpg
ที่มาภาพ: http://newshour-tc.pbs.org/newshour/wp-content/uploads/2014/11/458738992-1024×508.jpg
ระหว่างการประชุมเอเปกที่เพิ่งจะผ่านพ้นไปหมาดๆ ผู้นำจงหนานไห่ ในฐานะเจ้าภาพการประชุม ยังได้ผลักดันมาตรการความร่วมมือกับภาคีสมาชิกเอเปก 21 ประเทศ ให้ร่วมกันจัดตั้งกลไกปราบปรามการคอร์รัปชันและสร้างความโปร่งใสเพื่อจะได้ส่งกลับอาชญากรเศรษฐกิจเหล่านั้นกลับไปรับโทษของประเทศนั้นๆ หวังจะทะลวงอุปสรรคและปัญหานานัปการกรณีหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศตะวันตกส่วนใหญ่ ไม่ค่อยยอมให้ความร่วมมือในการส่งนักโทษกลับไปที่จีน อ้างว่ากระทรวงยุติธรรมของจีนไม่เป็นอิสระเพราะอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรค อีกทั้งเกรงว่าจะถูกลงโทษสถานหนักเกินไป
ที่สำคัญก็คือ แม้ว่าจีนจะลงนามในสนธิสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนและข้อตกลงทางกฎหมายกับ 38 ประเทศ แต่ก็ไม่ได้ทำกับสหรัฐฯ คานาดา เนเธอร์แลนด์ และออสเตรเลีย จึงเป็นช่องโหว่ให้ผู้ร้ายหนีไปประเทศเหล่านี้ได้ หรือหากถูกจับก็พยายามเตะถ่วงการส่งตัวกลับไปประเทศจีนหรืออิดเอื้อนไม่ยอมส่งตัวให้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้องค์การเพื่อความโปร่งใสระหว่างประเทศและหุ้นส่วน รวมไปถึงพันธมิตรอย่างองค์การนิรโทษกรรมสากลและอ็อกซ์แฟม ได้ทำจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้กลุ่มจี -20 ยุติการสนับสนุนขบวนการลักลอบขนเงินออกจากประเทศทางอ้อม รวมทั้งให้ยุติการช่วยปิดบังความลับด้านการเงิน ซึ่งเท่ากับช่วยเหลืออาชญากรเศรษฐกิจและการเงินโดยตรง โดยเฉพาะการให้ที่ซ่อนเงินที่ได้มาโดยมิชอบจากประเทศกำลังพัฒนาที่คาดว่าสูงถึงปีละล้านล้านดอลลาร์ผ่านบริษัทที่ช่วยให้สามารถหลบเลี่ยงภาษี
กรณีที่โด่งดังที่สุดและใช้เวลาดำเนินการหลายปีก็คือกรณีของไล่ จางซิน นักโทษหนีคุกที่จีนต้องการตัวมากที่สุดหลังจากหอบครอบครัวหนีไปแคนาดาตั้งแต่ปี 2542 พร้อมกับเดินเรื่องขอสถานภาพผู้ลี้ภัยโดยอ้างว่าการตั้งข้อหาว่ายักยอกเงินหลายพันล้านดอลลาร์ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ที่เมืองเซี่ยเหมิน ทางตะวันออกเฉียงใต้ มีแรงจูงใจทางการเมือง และถ้าหากถูกส่งตัวกลับก็อาจจะถูกทรมานหรือถูกประหารชีวิต แต่ศาลแคนาดาใช้เวลานานในการตรวจสอบจนแน่ใจว่าจีนจะไม่ทรมานหรือประหารชีวิตนักโทษผู้นี้ ก่อนจะตัดสินปฏิเสธคำร้องขอของไล่ จางซิน และตัดสินให้เนรเทศแต่ไม่ได้ให้ส่งตัวกลับไปจีน ไล่ จางซิน ถูกตำรวจจีนจับกุมและศาลจีนได้ตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ขณะที่มีข่าวว่าพี่ชายของไล่ จางซิน และพนักงานบัญชีคนหนึ่งเสียชีวิตในคุก แต่ก็ไม่มีรายละเอียดว่าด้วยเหตุใด
หรือกรณีของนางหยาง ซิ่วจู อดีตรองผู้อำนวยการกรมโยธาธิการและผังเมืองในมณฑลเจ้อเจียง ทางภาคตะวันออกของประเทศ ที่หนีไปสิงคโปร์เมื่อปี 2546 หลังจากถูกสอบกรณีรับสินบนจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กว่า 250 ล้านหยวน จนสื่อให้ฉายาว่า “ราชินีแห่งการทุจริตคอร์รัปชัน” ระหว่างที่เธอเตลิดหนีด้วยการเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ก่อนจะหนีต่อไปยังสหรัฐฯ ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่กว่า 100 คน ถูกสอบสวนว่ามีส่วนพัวกันกับการทุจริตหรือไม่ รวมไปถึงอดีตนายกเทศมนตรีแห่งเหวินโจว จีนได้ขอให้ตำรวจสากลหรืออินเตอร์โปลออกหมายจับ นางหยางถูกจับได้ที่อัมสเตอร์ดัมในอีก 2 ปีต่อมา แต่ทางการจีนก็ไม่สามารถนำตัวเธอกลับไปดำเนินคดีในประเทศได้ แม้ว่าจะมีการเจรจากับทางการเนเธอร์แลนด์หลายยกแล้วก็ตาม
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของตะวันตกหลายคนให้ความเห็นว่า การขอคืนทรัพย์สินที่ถูกยักยอกยังง่ายกว่าขอตัวผู้ต้องหากลับไปรับโทษ เห็นได้จากกรณีของออสเตรเลียที่ยอมคืนเงินที่มาจากการยักยอก การทุจริต และการฟอกเงิน ให้ทางการจีนจำนวน 7.5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือกรณีที่โด่งดังที่สุดก็คือกรณีของหลิว ตี้หนาน อดีตรองผู้อำนวยการคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่และใช้พาสปอร์ตปลอม หลบหนีไปซิดนีย์พร้อมอัญมณีหายาก 25 เม็ด ทองคำหนัก 9 กก. และเงินอีก 19 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ก่อนจะถูกจับกุมแต่ทางการยังไม่ส่งตัวให้ เพียงแค่รับปากจะคืนทรัพย์สินที่อายัดไว้เท่านั้น
แต่ความเห็นของนักวิชาการสายนี้ก็ไม่จริงเสมอไป ดังกรณีของการขออายัดวิลล่ามูลค่า 3 ล้านดอลลาร์ ในริเวียรา ฝรั่งเศส ที่เชื่อว่าเป็นของป๋อ ซีไหล ซึ่งนักธุรกิจคนหนึ่งมอบให้เป็นของขวัญ แต่ศาลฝรั่งเศสยังไม่ยอมรับพิจารณาคดีนี้ไม่ว่าจีนจะร้องขอสักกี่ครั้งก็ตาม เช่นเดียวกับการเจรจากับสหรัฐฯ โดยกระทรวงสันติบาลจีนได้ส่งตัวแทนไปเจรจาและพยายามจะขอให้มีการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานติดต่อด้านความร่วมมือทางกฎหมายเป็นประจำทุกปี แต่ก็มีความคืบหน้าน้อยมาก ส่วนแคนาดาก็มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องการคืนทรัพย์สินที่ถูกลักลอบนำออกไปยังต่างประเทศ แต่ก็แทบไม่มีความคืบหน้าใดๆ
นิตยสารธุรกิจชื่อดังของจีนเปิดเผยว่า ออสเตรเลียเริ่มเป็นจุดหมายปลายทางของข้าราชการทุจริตมากขึ้นในฐานะสวรรค์ที่ปลอดภัยในเรื่องของการหลบเลี่ยงภาษี การมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า การศึกษาก็ดีกว่า และมีชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลที่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ หนึ่งในนั้นก็คือเซิง ชิงหง อดีตคณะกรรมการประจำของโปลิตบุโรสายเจียง เจ๋อหมิน ที่หนีไปเสวยสุขที่ออสเตรเลีย โดยหนังสือพิมพ์ซิดนีย์ เฮรัลด์ ทรีบูน รายงานว่า ลูกชายและลูกสะใภ้ของเซิงเป็นเจ้าของคฤหาสน์หรูเก่าแก่อายุ 106 ปี แห่งหนึ่งในซิดนีย์ที่ซื้อไว้ตั้งแต่ปี 2551 ในราคา 32.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 972 ล้านบาท) จากนั้นก็วางแผนทุ่มเงิน 4.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 135 ล้านบาท) ทุบทิ้งบ้านเก่าแก่สูง 2 ชั้นนี้เพื่อสร้างเป็นอพาร์ตเมนต์สูง 5 ชั้น แต่ทางการซิดนีย์ไม่อนุมัติหลังจากเพื่อนบ้านและเจ้าหน้าที่ร้องเรียนว่าบ้านที่จะสร้างใหม่นั้นใหญ่โตเกินไป แถมการออกแบบก็ไม่ต้องรสนิยม

“นโยบายตะวันฉาย” ข้าราชการทุกคนต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน

แม้ว่าหลายฝ่ายจะยอมรับว่าปฏิบัติการล่าหมาจิ้งจอกมีความสำเร็จอยู่บ้างแต่ก็จำกัดอยู่ในระดับหนึ่งเท่านั้น นักวิชาการตะวันตกหลายคนให้ความเห็นว่ามาตรการที่คิดว่าได้ผลมากกว่าการไล่จับข้าราชการทุจริตมาลงโทษ ก็คือการประกาศใช้นโยบาย “ตะวันฉาย” นั่นก็คือบังคับให้ข้าราชการทุกคนต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและประกาศให้ประชาชนได้รับรู้กันทั่วไป เพราะจะทำให้ข้าราชการและนักการเมืองต้องคิดทบทวนใหม่หลายตลบว่าจะกล้ารับสินบาทคาดสินบนหรือไม่ และถ้าหากปักกิ่งไม่สามารถสกัดกั้นข้าราชการไม่ให้มีช่องทางที่จะลักลอบขนเงินไปต่างประเทศ เมื่อนั้นโอกาสที่จะหนีไปเสวยสุขในต่างประเทศที่กฎหมายจีนเอื้อมมือไปไม่ถึงก็ยังมีอยู่ เพราะอย่างน้อยหากพ่อแม่ถูกจับและถูกลงโทษสถานเบา แต่ลูกๆ ก็สามารถเสวยสุขราวเทวดาจากเงินที่ฝังอยู่ในประเทศตะวันตก
คำถามอีกคำถามหนึ่งที่เชื่อว่าทำให้การไล่หมาจิ้งจอกได้ผลในวงจำกัด ก็คือการตั้งคำถามในใจว่าผู้นำจงหนานไห่จริงจังแค่ไหนในการปราบการคอร์รัปชันและการขอร้องให้นานาประเทศให้ความร่วมมือ เพราะถ้าเทียบกับมาตรการใช้ไม้แข็งเต็มที่กับรัฐบาลทุกประเทศที่เชิญทะไลลามะ ผู้นำทิเบต เข้าประเทศหรือกดดันประเทศที่มอบรางวัลให้กลุ่มผู้มีความเห็นไม่ลงรอยกับรัฐบาลรวมถึงคณะกรรมการโนเบลแล้ว การขอความร่วมมือจากประชาคมโลกในเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนถือว่าอ่อนยวบแทบไม่มีน้ำหนักอะไร เหตุนี้จึงไม่ต้องสงสัยแต่อย่างใดว่าทำไมจีนจึงแทบไม่ได้รับความร่วมมือเต็มที่จากประเทศตะวันตก
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายในหลายประเทศจึงแนะว่า ทางที่ดีที่สุดที่จะได้เงินที่ถูกขโมยไปคืนก็คือ รัฐบาลปักกิ่งควรจะอาศัยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการคอร์รัปชันมาใช้ แต่ข้อเสียก็คือต้องใช้เวลานานพอควร
ผู้เชี่ยวชาญปัญหาจีนกลุ่มหนึ่ง อาทิ ศาสตราจารย์เคอร์รี บราวน์ แห่งมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ให้ความเห็นว่า เป้าหมายแท้จริงของการรณรงค์ปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันไม่ได้อยู่ที่ต้องการขุดรากถอนโคนการคอร์รัปชันจริงๆ หากอยู่ที่ต้องการจะกวาดล้างผู้มีความเห็นไม่ลงรอยกับพรรคและสี จิ้นผิง ต่างหาก โดยเฉพาะการต้องการจะลดทอนอิทธิพลของอดีตประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน เนื่องจากข้าราชการส่วนใหญ่ที่ถูกจับและถูกปลดล้วนแต่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจียง รวมไปถึงโจว หย่งคัง อดีตบิ๊กบอสหน่วยความมั่นคง ซู่ ไฉโฮ่ว หนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในกองทัพปลดปล่ยประชาชน และว่าน ชิงเหลียง อดีตเลขาธิการพรรคประจำกวางโจว

“ปฏิบัติการกำจัดแมลงวันและฝูงพยัคฆ์” สู่ “ปฏิบัติการไล่ล่าหมาจิ้งจอก 2014″ จึงไม่ใช่แค่การกวาดบ้านให้สะอาดปราศจากคนคอร์รัปชัน หากแต่เป็นการต่อสู้กับกลุ่มกบฏภายในพรรคที่ต้องการยึดอำนาจสูงสุดกลับคืนมา

บวรศักดิ์ รู้แล้ว ! ต้นเหตุแห่งปัญหาความขัดแย้งทั้งปวง มาจากพวก 14 ตุลา 2516

เมื่อเวลา 09.15 น. วันที่ 12 พฤศจิกายน ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวแทนเครือข่ายยุวทัศน์ กรุงเทพมหานคร เข้ายื่นหนังสือต่อนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเสนอข้อเสนอในการร่างรัฐธรรมนูญ 3 เรื่อง คือ 1.ขอให้จัดตั้ง "สภาที่ปรึกษาการศึกษาและสังคม" เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และให้เยาวชนเป็นคัดเลือกกันเป็นสมาชิกสภาดังกล่าว ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรีและพิจารณานโยบายที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนของฝ่ายบริหาร 2.ขอให้เยาวชนอายุ 18 ปีขึ้นไป มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.ด้วย และ 3.รัฐธรรมนูญฉบับใหม่สมควรที่จะลงรายละเอียดให้ประชาชนและกลุ่มเยาวชนมีบทบาทในการเสนอกฎหมาย เพื่อพัฒนาและคุ้มครองสิทธิของประชาชนในประเทศให้มากขึ้น นอกจากนี้ ขอเสนอให้มีผู้แทนของเยาวชนเป็นองค์ประกอบหนึ่งในคณะอนุกรรมาธิการการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วย
 
 
 
ขณะที่นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ความขัดแย้งในวันนี้ คนรุ่น 14 ตุลาฯ หรือคนรุ่นตนทั้งนั้นที่เป็นต้นเหตุของปัญหา คนรุ่นที่เปรียบเหมือนอาทิตย์อัสดง วันนี้ดีใจที่เยาวชนให้ความสำคัญกับการทำรัฐธรรมนูญ ตนขอเรียกร้องไปยังเยาวชนไทยทั้งประเทศว่าอย่าปล่อยให้ผู้สูงอายุอย่างตน และคู่ขัดแย้งทั้งหลายมาลิขิตชะตา อนาคตของประเทศต่อไป บ้านเมืองนี้ท่านจะต้องเป็นคนรับผิดชอบ เพราะท่านเป็นอาทิตย์อุทัย อย่าให้คนที่เป็นอาทิตย์อัสดงมาลิขิตอนาคตของคนที่เป็นอาทิตย์อุทัย ขอเรียกร้องให้เยาวชนทั้งหลายเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน และนี่เป็นนิมิตรหมายอันดีที่แสดงให้เห็นว่า เขาไม่ต้องการให้การร่างรัฐธรรมนูญตกอยู่ในมือคนเพียงไม่กี่คน และเขาต้องการที่จะมีส่วนในการกำหนดอนาคตของเขา ไม่ใช่ต้องการให้อาทิตย์อัสดงอย่างตน และคู่ขัดแย้งมากำหนดอนาคตของเขา ซึ่งตนจะไปเสนอกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ