PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2561

คำสั่งคสช.53/2560

คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 ที่ให้แก้ไขกฎหมายพรรคการเมือง 

25/12/60

คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 ที่ให้แก้ไขกฎหมายพรรคการเมือง ได้เปลือยตัวตนของผู้มีอำนาจแบบล่อนจ้อน!

สรุปสาระสำคัญง่ายๆ แบบนี้ 1.โปรพรรคการเมืองที่กำลังจะจัดตั้งขึ้นใหม่ และสร้างเงื่อนไขยุ่งยากให้พรรคการเมืองที่มีอยู่เดิม ด้วยการ “รีเซตสมาชิกพรรค”

รีเซตอย่างไร? คำตอบคือให้สมาชิกพรรคการเมืองเก่า หากยังยืนยันว่าจะอยู่พรรคเดิม ต้องแสดงเจตนารมณ์เป็น “หนังสือ” แถมให้ชำระค่าบำรุงพรรคการเมืองภายใน 30 วัน เท่ากับว่าตอนนี้ทั้งพรรคเก่าและพรรคที่จะตั้งขึ้นใหม่ ยังไม่มีสมาชิกจริงๆ ตามกฎหมายเลย

2.พรรคการเมืองทุกพรรคจะจัดประชุมใหญ่ได้ เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนด เช่น จัดทำนโยบายพรรค ตั้งสาขาและหัวหน้าสาขาพรรค ฯลฯ ก็ต่อเมื่อ “คสช.ปลดล็อก” คือ “ยกเลิก” ประกาศและคำสั่งหัวหน้าคสช. 2 ฉบับที่ห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรม

ปลดล็อกเมื่อไร? เมื่อกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.มีผลใช้บังคับ แต่มีเงื่อนไขคือ ครม.ต้องแจ้ง คสช.ให้พิจารณา “แก้ไขเพิ่มเติม” หรือ “ยกเลิก” ประกาศและคำสั่งหัวหน้าคสช. 2 ฉบับดังกล่าว (โปรดสังเกตคำว่า “แก้ไขเพิ่มเติม” แสดงว่าไม่ใช่การ “ยกเลิก” เท่านั้น) แถมยังเพิ่มขั้นตอนการประชุมร่วมระหว่าง ครม.กับ คสช. เพื่อจัดทำแผนขั้นตอนการเลือกตั้งขึ้นมาอีก โดยดึง กกต. กรธ. สนช. และพรรคการเมืองเข้ามาร่วมได้

ย้อนกลับไปอ่านข้อ 2 คำสั่งหัวหน้า คสช.เขียนให้พรรคการเมืองจัดประชุมใหญ่ได้ภายใน 90 วันหลัง “ปลดล็อก” คือ “ยกเลิก” ประกาศและคำสั่งหัวหน้า คสช. 2 ฉบับที่ห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรมเท่านั้น

ฉะนั้นถ้า คสช.เลือก “แก้ไขเพิ่มเติม” ประกาศและคำสั่งหัวหน้า คสช.ทั้ง 2 ฉบับ โดยไม่ “ยกเลิก” พรรคการเมืองก็ยังประชุมใหญ่ไม่ได้ใช่หรือไม่

ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 268 กำหนดให้จัดการเลือกตั้งภายใน 150 วันนับตั้งแต่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 4 ฉบับที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ ซึ่งฉบับสุดท้ายคาดว่าจะเป็นกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. ถ้าพรรคการเมืองประชุมไม่ได้ หรือหากประชุมได้ ก็ต้องดำเนินการเรื่องยากๆ ต่างๆ อีก 90 วัน เหลือเวลาอีกแค่ 60 วันจะหาเสียงทันได้อย่างไร

สุดท้ายเงื่อนไขเหล่านี้จะกลายเป็นปัญหา และ คสช.ก็ “ขุดบ่อล่อปลา” เอาไว้แล้ว นั่นก็คือกลไกการจัดทำ “แผนและขั้นตอนการเลือกตั้ง” ที่ คสช.จะเป็น “แม่งาน” ดึงทุกฝ่ายมาร่วมหารือ

เมื่อกลไกนี้ทำงาน โรดแมพเลือกตั้งก็จะถูกล้ม!

บทสรุป การเมือง ปริญญา เทวานฤมิตรกุล กับ พิชัย รัตตกุล

บทสรุป การเมือง ปริญญา เทวานฤมิตรกุล กับ พิชัย รัตตกุล


แท้จริงแล้ว การเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่คือเงาสะท้อนทางความคิดของ 2 คนสำคัญในแวดวงการเมืองไทย
1 คือ ความคิดของ นายพิชัย รัตตกุล
1 คือ ความพยายามรวบยอดปัญหาและความขัดแย้งที่ดำรงอยู่อย่างน่ากลัวเป็นอย่างยิ่งของ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล
คนแรกเป็น “นักการเมือง” คนหลังเป็น “นักวิชาการ”
คนแรกเริ่มต้นจากความต้องการเห็นพรรคการเมืองยกระดับโดยสามัคคีกันในการต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ “คสช.” ซึ่งก็คือทหาร คนหลังประมวลปัญหาและมีความมั่นใจเป็นอย่างสูงว่ามีพัฒนาการไปสู่แบ่งแยกความคิดในทางสังคมเป็น 2 แนวทางใหญ่
1 เอาด้วยกับ คสช. 1 ไม่เอาด้วยกับ คสช.
หากมองจาก “จิตเดิมแท้” ของ นายพิชัย รัตตกุล ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ การเสนอแนวคิดออกมาเหมือนกับเป้าหมายจะอยู่ที่พรรคการเมืองโดยองค์รวม
กระนั้น เป้าหมายแท้จริงย่อมเป็น “ประชาธิปัตย์”
นั่นก็คือ ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์เล่นบท “นำ” ในทางสังคมเหมือนที่เคยต่อต้านรัฐบาลทหาร ไม่ว่าจะของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพล ส. ธนะรัชต์ จอมพล ถ. กิตติขจร ในอดีต
เพราะเห็นภาวะย่อหย่อนอันเกิดขึ้นกับ “ประชาธิปัตย์”
เป็นภาวะย่อหย่อนนับแต่เข้าไปมีส่วนร่วมในทางความคิดกับรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 และทอดทุ่มพละกำลังลงไปเป็นอย่างมากกับรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
นายพิชัย รัตตกุล รู้ดีว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ทำให้แจ่มชัด และยังปล่อยให้บทในการต่อต้านรัฐประหาร ต่อต้าน คสช.เป็นของพรรคเพื่อไทยแต่เพียงพรรคเดียว สถานะ “นำ” ในทางความคิด ในทางการเมืองก็อาจจะสูญเสียไป
ขณะเดียวกัน บทบาทของ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล คือ การทำนามธรรมทางความคิดของ นายพิชัย รัตตกุล ให้มีลักษณะในทางรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

การเสนอตัวเข้ามาของพรรคอนาคตใหม่สอดรับกับแนวคิดของ นายพิชัย รัตตกุล และการสังเคราะห์อย่างมีลักษณะสร้างสรรค์ของ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล
เพราะไม่เพียงแต่จะปฏิเสธนายกรัฐมนตรี “คนนอก”
หากแต่ยังพร้อมที่จะปฏิเสธ “ประดิษฐกรรม” อันมาจากรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ภายใต้ข้อเสนอที่จะต้องมี “การรื้อสร้าง” ขึ้นใหม่ให้เหมาะสมกับจิตวิญญาณประชาธิปไตย
ไม่ว่าจะเป็น “ประกาศ คำสั่ง” ไม่ว่าจะเป็น “รัฐธรรมนูญ”
ในทางความคิดอาจถือได้ว่า พรรคอนาคตใหม่ยืนอยู่บนเส้นทางเดียวกันกับพรรคเพื่อไทย แต่ภายใต้เจตจำนงที่แน่วแน่และมั่นคงมากกว่า นั่นก็คือ เท่ากับเป็น “การต่อยอด” ในทาง “ความคิด”
1 เป็นการต่อยอดกระบวนการจัดทำแนวทางและนโยบาย อันถือว่าเป็น “นวัตกรรม” สำคัญของพรรคไทยรักไทยจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544
1 เป็นการสานสืบทอดสิ่งที่พรรคเพื่อไทยไม่สามารถทำได้จากการเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม 2554
บทนิยาม “ทศวรรษที่สูญหายไป” จึงเป็นการนิยามโดยมีรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เป็นจุดตั้งต้นและต้องการนำเสนอ “บทจบ”
อุบัติการณ์แห่งพรรคอนาคตใหม่จึงสะท้อนการนำเอาบทเรียนและความจัดเจนจากการเมืองไทยในอดีตมาเป็นเครื่องนำทาง
เป็นการผสาน “การเมือง” กับ “วิชาการ”
เป็นการผสาน “นามธรรม” อันเป็นรูปการจิตสำนึกในทางความคิด เพื่อนำไปสู่การแปรเป็น “รูปธรรม” ผ่านกระบวนการปฏิบัติ
นี่คือการต่อยอดและเนรมิต “สิ่งใหม่” ในทางการเมือง

ถึงจังหวะคลุกวงใน

ถึงจังหวะคลุกวงใน



เรียกเสียงอนุโมทนา สาธุ ดังเซ็งแซ่
กับภาพที่มีการแชร์กันในโลกโซเชียลมีเดีย เผยแพร่เรื่องราวของ “พระประดิษฐ์ ฐานุตตโม” หรือนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีต รมช.คมนาคม และอดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ มหาเศรษฐีและนักธุรกิจชั้นนำระดับมหาเศรษฐีของประเทศ ที่ปัจจุบันได้หันหลังให้ทางโลก มุ่งหน้าเข้าสู่ทางธรรมด้วยการบวชจำพรรษา ใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่ายและสมถะอยู่ที่วัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย นานกว่า 2 เดือนแล้ว
แนวโน้มพบทางสว่าง นักการเมืองรุ่นใหญ่ตัดขาดอดีตวุ่นวาย
ในสถานการณ์ของพวกที่ยังเวียนว่ายอยู่ในวังวนโลกสมมติอันสับสน บรรยากาศการเมืองจะเริ่มปั่นป่วนตั้งวันที่ 1 เมษายนนี้เป็นต้นไป ตามจังหวะที่ คสช.ไฟเขียวให้พรรคการเมืองป้อมค่ายเก่าได้ขยับปรับฐานสมาชิกพรรค เช็กขุมกำลัง ขานชื่อใครอยู่ใครไป
ยกแรกที่จะได้ “เคาะสนิม” กันอย่างเป็นทางการ
จับกระแสความเคลื่อนไหวที่ขยับออกตัวก่อนใคร ตามข่าวที่กลุ่ม “วาดะห์” เตรียมแหกค่ายพรรคเพื่อไทย สลัดคราบ “ทักษิณ ชินวัตร” ออกไปสังกัดป้อมค่ายการเมืองใหม่
ปักธงทวงคืนความยิ่งใหญ่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
โดยปรากฏการณ์สะท้อนสภาวการณ์แท้จริงภายในพรรคเพื่อไทย ที่แม้จะถูกจัดอยู่ในสถานะ “เต็งหนึ่ง” กระแสดี ยี่ห้อ “ทักษิณ” กองเชียร์ยังแน่น
แต่แฝงไว้ด้วยอาการ “กลวงใน”
ร่องรอยร้าวๆเห็นได้ด้วยตาเปล่า จากปฏิกิริยาต่อต้าน “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง ถือธงนำทัพ ถึงขั้นที่ลูกชายของ “เสี่ยแดง” นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีสายตรงดูไบ ออกมาชกข้ามรุ่น ก่อนโดน “เสี่ยโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ตบปากสั่งสอนทางเฟซบุ๊ก
ศึกชิง “นอมินี” ระหว่างบรรดาเจ๊ๆเฮียๆ เคลียร์กันไม่จบ
ประกอบกับเงื่อนไขสถานการณ์ที่แยกกันไม่ออก ระหว่างพรรคเพื่อไทย ทีมเสื้อแดงนปช. ก๊วนนิติราษฎร์-นิติเรด พรรคอนาคตใหม่ของ “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไปจนถึงม็อบคนอยากเลือกตั้งของ “จ่านิว-รังสิมันต์ โรม”
ล้วนแล้วแต่ถูกโยงเข้าหา “นายใหญ่” ถูกมองรับแผนจากดูไบ
เป้าหมายมันอยู่ที่ทวงคืนอำนาจจากขั้วอำนาจ คสช. นั่นก็หนีไม่พ้นแรงต้านอย่างหนักจากฝ่ายต้านระบอบ “ทักษิณ” ยากจะฝ่าด่านฝ่ายคุมเกมอำนาจ
ถึงจุดที่ข่าววงใน “นายใหญ่” ส่งสัญญาณพรรคเพื่อไทยต้อง “แตกทัพ”
แยกกันเดินก่อนไปร่วมกันตีในการแย่งจัดรัฐบาล
ขณะที่สถานการณ์ของฟากประชาธิปัตย์เองก็ตกอยู่ในสภาพรอพรรคแตกเหมือนกัน
จับทางจากการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค เริ่ม “ปั้น” หลานชายอย่าง “หนุ่มไอติม” นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส่งขึ้นเวทีดีเบต เปิดตัวทางการเมือง
ตามท้องเรื่อง “อภิสิทธิ์” ก็คงรู้สถานการณ์ดี ตัวเองอยู่ในห้วงนักการเมืองค่อนไปทางพันธุ์เก่า มีส่วนร่วมก่อวิกฤติมา ถึงเวลาขายไม่ออกแล้ว ต้องเข็นรุ่นหลานลงชิงกระแสคนรุ่นใหม่
แนวโน้มในพรรคเองก็ส่อเค้าต้องมีการ “หักดิบ”
โดยรูปการณ์ที่ทีม กปปส.ของ “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แฝงตัวอยู่เพียบ รอจังหวะเวลาที่ คสช.ไฟเขียวให้พรรคดำเนินการกิจกรรมทางการเมืองได้
เกมโหวตไล่ “อภิสิทธิ์” ต้องเกิดขึ้นแน่
เพื่อเปิดทางให้พรรคประชาธิปัตย์ได้มีความคล่องตัวในการแจมอำนาจ
ดูแล้วโอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยต้องเหนื่อยหนักตั้งแต่ยกแรก ก่อนลงสนามเลือกตั้ง
“ขาใหญ่” เจ้าถิ่นทั้ง 2 ค่าย พลังไม่แข็งแกร่งอย่างที่คิด
โดยจังหวะเป็นใจกับ “ลุงตู่” ที่จะแสดงความชัดเจนกับค่าย “พลังประชารัฐ”
คลุกวงในเกมเลือกตั้ง ยกระดับความชอบธรรมกลับมาเป็น “นายกฯคนใน”
ตามสภาพการณ์แบบที่เห็นๆ แค่จับสัญญาณได้ว่า “ลุงตู่” จะลงสนาม ยังโดนนักการเมืองตั้งแถวรับน้องกันแต่หัววัน รุมถล่มเช้าเย็น
นักการเลือกตั้งเขี้ยวลากดิน ไร้มิตรแท้ ศัตรูถาวร ไม่มีคำว่า “สัจจะ” หรือ “สปิริต”
เลิกคิดได้ ถ้าจะลอยตัว หวังรอเทียบหามเป็น “นายกฯคนนอก”.
ทีมข่าวการเมือง

‘ออเจ้า’ มาถูกจังหวะ

‘ออเจ้า’ มาถูกจังหวะ



กระแสละคร “บุพเพสันนิวาส” เกิน “วาระแห่งชาติ” ไปแล้ว
แนวโน้มแบบที่มีการพูดกันเล่นๆในหมู่ผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาล อาจต้องขอร้องให้ทำต่อภาค 2 ภาค 3 และให้คนเขียนบทพยายามข้ามๆตอนที่เกี่ยวกับพระเพทราชาที่ค่อนข้างโหดร้ายและโศกเศร้าออกไป
เพื่อไม่ทำให้เสียบรรยากาศคนดู
เพราะอยากให้กระแส “ออเจ้า” ลากยาวไปถึงช่วงสงกรานต์ สถานการณ์แบบที่คนไทยกล้าแต่งชุดไทยขึ้นเครื่องบิน เดินห้างฯ เที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดอื่นๆกันแบบไม่เคอะเขิน
กระตุ้นความภาคภูมิใจในความเป็นไทยและส่งผลดีต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยว
อารมณ์สไตล์ “ไทยนิยม” เข้าเหลี่ยมยุทธศาสตร์ที่รัฐบาล “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ชูธงเน้นความเป็นไทยพอดิบพอดี
ที่แน่ๆสังคมส่วนใหญ่ยังอินกับละคร ไม่ได้ซีเรียสไปกับปมร้อนการเมือง
ตามท้องเรื่องที่รัฐบาลกำลังโดนแรงกระแทกจากทุกทิศทุกทาง
อย่างน้อยทีมงาน “ลุงตู่” ก็ยังมีจังหวะแก้เหลี่ยม กู้กระแสอุปาทานหมู่รัฐบาลอยู่ในภาวะ “ขาลง”
ล่าสุดกับตัวเลขกลมๆ 1.5 แสนล้านบาท ใน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2561 หรืองบกลางปีที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ แจกแจงชัด เน้นการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง
ทุ่มเงินอัดฉีดแก้จน ปฏิรูปภาคเกษตร สร้างงานสร้างรายได้ให้ชาวบ้าน เติมน้ำมันหล่อลื่นให้สารพัดมาตรการช่วยคนรายได้น้อยผ่านยี่ห้อ “ประชารัฐ”
ที่นับโครงการแล้ว มากกว่ารัฐบาลชุดที่ผ่านๆมา
แน่นอน เป้าหมายหลักน่าจะอยู่ที่การเคลียร์เสียงครหาที่นักการเมืองและฝ่ายเสีย
ผลประโยชน์พยายามโจมตีรัฐบาล คสช.เอื้อเฉพาะกลุ่มทุนมากกว่าเน้นช่วยคนจน
“ลุงตู่-สมคิด” ต้องโชว์ผลในเชิงปฏิบัติ สลัดพ้น “ปมด้อย” ให้ได้
อีกทั้งว่ากันตามเงื่อนไขสถานการณ์ไฟต์บังคับตามโรดแม็ปเลือกตั้งที่กระชั้นเข้ามา ห้วงเวลาจากนี้ไปเหลือแค่ปีกว่าจะเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง
จังหวะที่ต้องซื้อใจคนจน เกษตรที่เป็นฐานคะแนนใหญ่
โดยรูปการณ์รัฐบาลต้องทุ่มงบประมาณในการประคองราคาสินค้าทางการเกษตร ข้าว มันสำปะหลัง ผลไม้ ฯลฯ เพื่อให้ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ พึงพอใจไว้ก่อน
อันจะมีผลต่อตอนเลือกตั้ง และการ “รีเทิร์น” ของ “นายกฯลุงตู่”
เรื่องของเรื่อง ดูตามปรากฏการณ์ จับจังหวะ “ลุงตู่” กำลังเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง
โดยสถานการณ์ฝั่งนักการเมืองเองก็ขยับล้อตามกันคึกคัก อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย 2 ค่ายขาใหญ่ ประกาศเรียกระดมพลลูกพรรค ให้แสดงตัวแสดงตน “จอง” คิวลงสมัคร ส.ส.ในนามพรรค ในวันที่ 1 เมษายนนี้ ที่ คสช.ไฟเขียวให้ป้อมค่ายการเมืองเก่าเคลียร์ข้อมูลสมาชิก
ใครไม่โผล่มาโดน “ตัดหางปล่อยวัด”
ประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยต้องรีบเช็กขุมกำลัง สกัดลูกแถวไหลออก
ด้าน “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็เริ่มขยับออกตัวแต่หัววัน นำลูกแถวไปไหว้อนุสาวรีย์ “ย่าโม”
แสดงตัวพร้อมเปิดทีมเจาะฐานโคราช นครราชสีมา
ในจังหวะที่มีข่าวว่า กลุ่มวาดะห์ได้แยกตัวออกจากพรรคเพื่อไทยไปสังกัดป้อมค่ายใหม่ สลัดคราบ “ทักษิณ” เพื่อกลับไปครองพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
ขณะที่ไฮไลต์พรรคใหม่ โฟกัสไปที่กระแสการขับเคลื่อนของพรรคพลังประชารัฐ สัญญาณเริ่มชัดขึ้นตามลำดับ กับการเป็นฐานให้ “ลุงตู่” ยกระดับความชอบธรรม กลับมาเป็น “นายกรัฐมนตรีคนใน”
นักการเมืองเข้าสู่โหมดคึกคัก ตามทิศทางไปสู่การเลือกตั้ง
แต่อีกฝั่งก็ยังมีมุมป่วนๆ อาการเฮี้ยวๆแบบที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.ที่โดน ม.44 อัปเปหิออกไป แท็กทีมกับนายวีระ สมความคิด นักเคลื่อนไหวขาประจำ ตั้งโต๊ะวิพากษ์อำนาจมาตรา 44
เล่นบทเปรี้ยว เปิดเกมป่วน คสช.ตามนัด
ตามคิวนัดกันถี่ขึ้น กับฉากที่ “จ่านิว” กับ “รังสิมันต์ โรม” นำม็อบคนอยากเลือกตั้งบุกไปเย้วๆ หน้ากองบัญชาการกองทัพบก พร้อมยื่นข้อเรียกร้องแปลกๆให้กองทัพเลิกหนุน คสช.มาอยู่ข้างประชาชน
อาการเฮี้ยวขัดกับหลักการและเหตุผล เหมือนตีรวนไว้ก่อน
อารมณ์แบบที่แนวร่วมฝั่งเดียวกันชักเอะใจ เกมป่วนไปเข้าทางพวกหาเหตุลากยาว
“คนอยากเลือกตั้ง” จะทำให้ไม่ได้เลือกตั้ง.
ทีมข่าวการเมือง

ท่าทีการเมืองผบ.ทบ.



ลอยๆ

"บิ๊กเจี๊ยบ" ดับฝัน"คนอยากเลือกตั้ง" ชี้ ให้กองทัพแยกจาก คสช. แค่ข้ออ้าง"ลอยๆ" หวังพามวลชนเคลื่อนที่ ไปจุดต่างๆ หวั่นกระทบกระทั่งประชาชน จน เป็น"น้ำผึ้งหยดเดียว"ชี้ มีคนดูแลอยู่เบื้องหลัง เผยฝ่ายมั่นคง ตรวจสอบ"ท่อน้ำเลี้ยง" ย้ำคำ นายกฯ เลือกตั้ง ใน กพ.62 แม้ยื่นตีความ "พรป.สส"

พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. และ เลขาฯคสช. กล่าวถึง ข้อเรียกร้องของกลุ่ม
"คนอยากเลือกตั้ง"ที่มาชุมนุมหน้า บก.ทบ. เมื่อเสาร์ที่ผ่านมา ที่ต้องการให้กองทัพเลิกหนุน คสช. นั้น ว่า ข้อเรียกร้องที่เสนอมา ก็แค่ต้องการ ให้มวลชน เดินไปตามสถานที่ต่างๆ เท่านั้น

แต่ได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคง ให้อำนวจความสะดวก และ ความปลอดภัย ให้

ส่วนความผิดตามกม. นั้น ก็ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก เมื่อมีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ  ก็ต้องดำเนินคดี ซึ่ฃแกนนำรับทราบดีว่าจะเผชิญอะไรบ้าง แต่งไม่กังวล เพราะมีคนดูแลอยู่เบื้องหลัง

"แค่ข้อเรียกร้องลอยๆ เพื่อให้เดืนไป  แต่กลัวจะเกิด น้ำผึ้งหยดเดียว เพราะทำให้ ประชาชน เดือดร้อน"

 โดยเชื่อว่า จะมีกิจกรรมนี้ไปถึงพค.ตามแผนที่ได้วางไว้ แต่ก็ แล้วแต่เหตุผล  และดูว่าประชาชนจะ เข้าร่วม มากน้อยแค่ไหน ถ้าเรายังเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังต้องการความสงบ

พลเอกเฉลิมชัย เผยว่า ในช่วง2 ปี ที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ หัวหน้า คสช. ได้ให้ ศูนย์ปรองดองฯ ไปดูแล  พี่น้องที่โดนคดี  เพราะตามแห่  ตามเพื้อนไป เห็นแก่เพื่อน ช่วยเพื่อน ไปดูสถานการณ์ แต่ถูกปลุกระดม มีอารมณ์ร่วม. ก็ไปทำให้ทรัพย์ สินราชการเสียหาย  โดนจำคุกหลายปี ครอบครัวแตกแยก.

ทาง ศปป และ กระทรวงยุติธรรม จัดทีม เข้าไปให้คำแนะนำ  และทำตามระเบียบ จนได้รับการพักโทษ ไปแล้วหลายราย

"น่าเห็นใจ  เชาไม่ได้มีอุดมการณ์ หรือแนวความคิด  แค่ช่วยเพื้อน ฟังปลุกระดม มีอารมณ์ร่วม"

เรื่องนี้ เราทำอย่างต่อเนื่อง  เราไม่ห่วงแกนนำ แต่เราห่วง ชาวบ้าน ที่ถูกชักจูงมา

"เรากำลังตรวจสอบ ใครอยู่บื้องหลัง ตรวจสอบ เส้นทางการเงิน"
////
"บิ๊กเจี๊ยบ" โบ้ย ไม่รู้ "สนช.สายทหาร"ล็อบบี้ ให้ส่งตีความร่าง"พรป.ส.ส." เผยนายกฯยังย้ำเลือกตั้ง กพ.ปีหน้า

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. และสมาชิก สนช. กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานระบุว่าสนช.สายทหารล็อบบี้เพื่อให้ส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ตีความ ว่า ไม่ทราบเรื่องนี้ เพราะยังไม่ได้เข้าไปที่สภา ฯ

และในที่ประชุมคสช. ก็ไม่ได้มีการพูดคุยในเรื่องนี้ 

แต่ พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรียืนยันว่าการเลือกตั้งส.ส.จะมีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2562  

ส่วนตัว จะรอให้คณะกรรมาธิการกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิปสนช.) ทำรายละเอียดมาแจ้งให้ทราบในประเด็นดังกล่าวก่อน คาดว่าในการประชุมสนช.พรุ่งนี้คงจะได้รับทราบ
//
เตือนทหาร ลงพื้นที่ อย่าตกเป็นเครื่องมือพรรคการเมือง

“บิ๊กเจี้ยบ" ชี้ ปี่กลองเลือกตั้ง เริ่มแล้ว "ศึกใน"วุ่น  สั่งชุด ชป.กร.ลงพื้นที่ ปจว.งาน รัฐบาล-คสช. สร้างความเป็นปึกแผ่นให้คนในชาติ หวั่นปัญหาภายใน เกิดการปลุกระดม  เตือนทหาร อย่าตกเป็นเครื่องมือพรรคการเมือง -คนใดคนหนึ่ง เตือน อย่าให้ใคร Take over ฉวยงานเรา ไปหาเสียง แนะ วางตัวให้ดี อย่าตกเป็นเงื่อนไข 

พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.และ เลขาฯคสช.เป็นประธานมอบเกียรติบัตร ให้แก่ชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือนทหารบก (ชป.กร.)  ซึ่งจัดตั้งเพื่อลงพื้นที่ สร้างการรับรู้ความเข้าใจกับประชาชน และประชาสัมพันธ์ผลการปฏิบัติของรัฐบาล  คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และกองทัพบก เพื่อพัฒนาศักยภาพของหมวดดุริยางค์ของมณฑลทหารบกให้มีขีดความสามารถในการปฏิบัติการจิตวิทยาและปลูกฝังอุดมการณ์

มีการจัดการประกวดชุด ชป.กร. มณฑลทหารบก เพื่อให้เกิดการชำนาญก่อนการปฏิบัติงานในพื้นที่จริงในช่วงเดือนเม.ย.นี้  

โดยชป.กร.ที่ชนะเลิศในการประกวด คือ  “ขุนภักดี 13 “ชป.กร. มณฑลทหารบกที่ 13 จ.ลพบุรี  

พลเอกเฉลิมชัย กล่าวว่า ชื่นชมวิทยากรที่มีความคิดสร้างสรรค์ในการจัดแสดงครั้งนี้โดยวิทยากรถือว่าเป็นบุคคลากรที่สำคัญ ต้องมีบุคลิกภาพ การพูดจาที่น่าเชื่อถือสามารถคุมเกมได้ทั้งหมด 

ซึ่งการพูดนั้นต้องมีทั้งสาระและ จังหวะจะโคลนทำให้ผู้ฟังสนใจ  ตนได้ริเริ่มให้ มณฑลทหารบก  จัดตั้ง ชป.กร.ฝึกในหน่วยระดับมณฑลทหารบก  เพื่อเข้าไปเป็นลูกมือของกอ.รมน.ทำงานเชื่อมโยงกับกองทัพบกเป็นเนื้อเดียวกัน เป้าหมายคือการสร้างความมั่นคงภายในให้เกิดขึ้น. 

"ที่ผ่านมาภัยคุกคามภายนอกประเทศน้อยลง ในช่วง10ปีนึเ อยู่ในภาวะที่เราไว้วางใจได้ ขณะที่ปัญหาความมั่นคงภายในกลับมีมากขึ้น

"ในฐานะที่เราเป็นทหารมีหน้าที่อยู่ตรงนี้เป็นกำลังหลักของบ้านเมือง อีกทั้ง กองทัพบก กอ.รมน.เป็นหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบ ในการสร้างความมั่นคง สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับพี่น้องประชาชน สร้างความรักสามัคคีให้กับคนในชาติ  จึงต้องนำข้อมูลที่ถูกต้องมาให้ประชาชนรับทราบ อย่างที่บอกว่าปัญหาภายในประเทศเราค่อนข้างมาก  ทั้งความขัดแย้งของคนในชาติความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเทคโนโลยีการสื่อสารทำให้การปลุกระดมปลุกปั่นเกิดขึ้นได้ง่าย 

"ตอนนี้ปี่กลองเลือกตั้งก็กำลังเริ่มขึ้น เราก็ต้องทำหน้าที่ในการดูแลรักษาความสงบฯ ให้เกิดขึ้น คราวหน้าใครจะมาเป็นรัฐบาล. กองทัพก็เหมือนเดิมในการรักษาความมั่นคงให้เกิดขึ้น. เราก็ต้องทำทุกรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลนี้ รัฐบาลทหาร หรือ รัฐบาลอื่น" 

 การทำงาน การปฏิบัติการจิตวิทยา(ปจว.)ในเมืองไทยนั้น ไม่มีอะไรที่ดีกว่าการใช้ดนตรีสื่อสาร สำหรับในภูมิภาคนี้การไปพูดอย่างเดียวคนไม่ค่อยอยากฟัง เพราะคนชอบความบันเทิง  แต่ตนอยากให้สอดแทรกสาระเนื้อหาที่เป็นประโยชน์เข้าไป เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่ถูกต้อง กล้าที่จะถ่ายทอดสิ่งที่เขาต้องการ หรือสิ่งที่เขาเดือดร้อนมาให้เราฟัง ซึ่งในแต่ละพื้นที่จะแยกเนื้อหาการพูดต่างกัน การตอบรับก็ต้องแตกต่างกันไปด้วย

อยากฝากให้เป็นยุทธศาสตร์ของกองทัพบก  ไม่ใช่ทำเฉพาะแต่รัฐบาลนี้หรือรัฐบาลทหาร แต่ทุกรัฐบาล ก็ต้องทำแบบนี้  ความมุ่งหมายก็คือความรักความสามัคคีของคนในชาติ

"สิ่งที่ผมอยากเตือนให้มีความระมัดระวังคือเมื่อลงพื้นที่ไปแล้วมีพรรคการเมืองต่างๆเข้ามาสนับสนุน มาร่วมงาน เราต้องไม่เป็นเครื่องมือของพรรคการเมืองใดๆ ต้องดูให้ดี มีการนำอาหาร เอาของตรงโน้นตรงนี้มาtake over งานของเราก็จะกลายเป็นการหาเสียงของพรรคการเมือง เมื่อเราลงไปแล้วต้องเข้าใจปัญหาในพื้นที่ ต้องรู้ว่าเราจะแก้ไขปัญหาอะไร 

ไม่ใช่แค่ไปเก็บตัวเลขว่าหมู่บ้านนั้นหมู่บ้านนี้มีอะไร แต่ต้องแก้ไขปัญหาให้เขาด้วย และต้องประเมินผลว่าใครจะทำอะไรไปบ้าง ผมไม่ต้องการให้เป็นเรื่องความบันเทิงอย่างเดียว แต่ต้องมีสาระ มีการสอดแทรกโครงการนโยบายต่างๆที่เราทำ และอย่าไปเป็นเครื่องมือของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ขอให้นำมาสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน คือสร้างความมั่นคงแก่บ้านเมือง เวลาไปทำงานก็ต้องวางตัวให้ดี เข้าถึงชาวบ้านได้ แต่อย่าไปสร้างเงื่อนไขในพื้นที่" ผบ.ทบ. กล่าว
//
ศึกใน ศึกนอก!!

"บิ๊กเจี๊ยบ"เผย "บิ๊กตู่ "สั่ง ปิดปาก "แม่ทัพภาค4" หลังพูดขัด "พลเอกอักษรา" และตอบโต้ Marapatani เรื่องSafety zone และโครงการพาคนกลับบ้าน เตือน ให้ทำงานลับ สอนบางเรื่องพูดได้ แต่บางเรื่องไม่ต้องพูด บางเรื่องก็ไม่ใช่หน้าที่ที่จะพูด ยันไม่มีขัดแย้ง เพราะทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน ทำพักใต้ให้สงบสุข

พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกรณีที่ พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี. เตือน พลโทปิยวัฒน์. นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 เรื่องการแสดงความคิดเห็น ไปคนละกับ พลเอก อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุข เรื่องSafety zone หลังจากที่กลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐMarapatani ออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับโครงการพาคนกลับบ้านงว่า  เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีหลายหน่วยงาน หลายกลไก และหลายระดับ 

โดยในส่วนของ พลเอก อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยฯ เป็นระดับการพูดคุยอย่างเป็นทางการ  ส่วน พลโท ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 ก็ทำงานในพื้นที่ และมีบางครั้งที่มีการสอบถามเข้ามาถึงโครงการพาคนกลับบ้าน ซึ่งก็จะมีการพูดคุยกันในระดับที่เรียกว่า"การทำงานลับ"

" ผมก็ได้มีการท้วงติงไปว่า อาจมีบางเรื่องที่ทำคนเกิดความสับสน เพราะการทำให้สังคมสงบสุข ไม่จำเป็นพูดในทุกเรื่องที่ทำอยู่ และบางเรื่องก็เป็นเรื่องของคณะพูดคุยฯ ส่วนผู้ที่อยู่ในพื้นที่ก็มีหน้าที่ทำให้พื้นที่ปลอดภัย ซึ่งทั้งหมด จะต้องนำไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกันคือสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้น 

ทั้งนี้ งานบางเรื่องสามารถเปิดเผยกับสื่อมวลชนได้ แต่บางเรื่องก็ไม่สมควรเป็นการพูดคุยกันระหว่างสองฝ่าย"

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีการพูดคุยกับตนเอง ให้พูดคุยกับแม่ทัพภาค4 ในเรื่องนี้เพราะบางเรื่องก็ไม่ใช่หน้าที่ของท่านที่จะพูดเรื่องนี้เพราะท่านมีหน้าที่ในการทำหน้าที่เพื่อให้สงบ 

ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 4 ก็กำลังทำอยู่ในขณะนี้ และมีเจตนาดี มีผลที่ดีขึ้น เป็นรูปธรรม
///