PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

‘แอลทีเอฟ’ครึ่งปีเงินออก1.5หมื่นล้าน

‘แอลทีเอฟ’ครึ่งปีเงินออก1.5หมื่นล้าน

24 กรกฎาคม 2560
 374
"แอลทีเอฟ" ครึ่งปีเงินออก1.5หมื่นล้าน คาดนักลงทุนขายทำกำไรหลังผลตอบแทนย้อนหลังดี
มอนิ่งสตาร์ เผยกอง “แอลทีเอฟ” ครึ่งปีแรกเงินไหลออกกว่า 1.5 หมื่นล้าน เชื่อขายทำกำไรหลังผล
ตอบแทนย้อนหลังดี ยังเชื่อครึ่งปีหลังมีเงินไหลเข้า ชี้ถือเป็นธรรมชาติของกองทุนนี้ ขณะกองอาร์
เอ็มเอฟ เริ่มมีนักลงทุนทยอยกลับซื้อแล้ว
นายกิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ นักวิเคราะห์กองทุน ประจำประเทศไทย บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ซ
 (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ภาพรวมกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) มีเม็ด
เงินไหลออกสุทธิ 15,200 ล้านบาท ทำสถิติเงินไหลออกสูงสุดเป็นอันดับ 2 รองจากปี 2555 ที่มีเม็ด
เงินไหลออกสุทธิ 20,004 ล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกัน
“ดูเหมือนว่านักลงทุนจะเน้นการขายหน่วยลงทุนออกเพื่อทำกำไรโดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผลตอบ
แทนที่น่าพอใจจากการลงทุนตลอดเวลาที่ผ่านมา ผลตอบแทน 5 ปีย้อนหลัง เฉลี่ย 6.9% ต่อปี, 7 ปี 
ได้อยู่ที่เฉลี่ย 10.51% ต่อปี และ 10 ปี ได้อยู่ที่เฉลี่ย 8.55% ต่อปี ประกอบกับสถานการณ์การลงทุน
ที่ตลาดยังดูมีความผันผวนอยู่มาก”
อย่างไรก็ตาม ถือเป็นธรรมชาติของกองทุนประเภทนี้ ที่ผู้ลงทุนส่วนใหญ่จะรอซื้อในช่วงปลายปี เพราะ
ในช่วง 6 เดือนหลังของทุกปีจะกลับไปเป็นยอดเงินทุนไหลเข้าสุทธิโดยตลอด โดยยอด 3 ปีล่าสุด มี
ยอดซื้อสุทธิกลับเข้ามาในช่วง 6 เดือนหลังของปี จำนวน 28,080 ล้านบาท, 41,386 ล้านบาท และ 
36,390 ล้านบาทตามลำดับ
“แม้ช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมานี้ จะมีนักลงทุนจับจังหวะซื้อสะสมอยู่บ้าง ด้วยโอกาสจะเอื้อต่อการได้
ต้นทุนที่ค่อนข้างถูก เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังไม่ไปไหนไกล บวกไปเพียง 2% กว่าเท่านั้น แต่ด้วย
ยอดขายทำกำไรที่มีสูงกว่าจึงสะท้อนออกมาเป็นเงินไหลออกสุทธิจากกองทุนประเภทนี้”
ในขณะที่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) นายกิตติคุณ กล่าวด้วยว่า หลังจากที่มีการขาย
สุทธิออกค่อนข้างมากผิดปกติในไตรมาสแรก ก็เริ่มมีนักลงทุนซื้อกลับเข้ามาบ้างเล็กน้อยในไตรมาส
ที่สอง ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ มีเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิกลับมาเป็นบวกได้ที่ 13 ล้านบาท แต่
ก็ยังถือว่าเป็นยอดที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี
โดยพบว่า ในปี 2559 มียอดซื้อ อาร์เอ็มเอฟ สุทธิ 385 ล้านบาท, ปี 2558 มียอดซื้อสุทธิ 2,713 
ล้านบาท, ปี 2557 มียอดซื้อสุทธิ 1,765 ล้านบาท และปี 2556 มียอดซื้อสุทธิสูงสุด 5,489 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของกองทุนอาร์เอ็มเอฟ จะมียอดซื้อเข้ามาตลอดทั้งปีอยู่แล้ว เพราะเงื่อนไขใน
การขายหน่วยลงทุนมีความแตกต่างกัน และเช่นเดียวกันยอดซื้อจะไปกระจุกตัวในช่วงปลายปีเช่นเดียว
กับกองทุนแอลทีเอฟ
ดังนั้น ภาพรวมของทั้งกองทุน แอลทีเอฟและอาร์เอ็มเอฟ ตลอดทั้งปีนี้ ยังมีแนวโน้มในการเติบโตได้
ดี เพราะเชื่อว่าแรงขายจากนักลงทุนที่ตั้งใจอยากจะขายกองทุนทั้ง 2 ประเภทนี้นั้นน่าจะลดลงจนเกือบ
จะหมดแล้ว ซึ่งก็คาดการณ์ได้ว่าหลังจากนี้ครึ่งหลังของปีน่าจะมีแต่กำลังซื้อทยอยกลับเข้ามาโดยเฉพาะ
ช่วงเดือนสุดท้ายของปี หลังจากในช่วงครึ่งปีแรกปี 2560 กองทุน แอลทีเอฟ มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 
330,809 ล้านบาท และกองทุน อาร์เอ็มเอฟ มีอยู่ 219,302 ล้านบาท พร้อมกันนี้แนะนำว่าผู้ลงทุนที่ต้อง
การซื้อกองทุน แอลทีเอฟและอาร์เอ็มเอฟ เพื่อลดหย่อนภาษี หากในช่วงนี้หายังลังเล อาจตกขบวนเสีย
โอกาสซื้อด้วยต้นทุนที่ถูกกว่า

ไทกร:ถ้ายิ่งลักษณ์ถูกตัดสินลงโทษ

ไทกร พลสุวรรณ

ถ้าคุณยิ่งลักษณ์ติดคุกจะเกิดอะไรขึ้น...?
     หลายคนกำลังตั้งคำถามนี้...เพราะอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา
     ผมจึงขอให้ข้อมูลเพื่อวิเคราะห์หาคำตอบนี้...
     ด้านความเคลื่อนไหวมวลชน
- จะมีความวุ่นวายอยู่บ้าง เพราะความไม่พอใจของแฟนพันธุ์แท้ของคุณยิ่งลักษณ์และคุณทักษิณคงแสดงออกพอสมควร อาจมีการทำลายขัาวของ แต่คงไม่มาก ส่วนใหญ่คงเป็นการตะโกนด่าทอมากกว่า
- คงมีการชุมนุม หรือนัดชุมนุมกันหน้าเรือนจำที่คุมขังคุณยิ่งลักษณ์ ซึ่งผู้จัดชุมนุมคงพยายามหาทางเพิ่มจำนวนคนชุมนุมให้มากขึ้นเรื่อยๆ
- การชุมนุมแบบ นปช.คงไม่เกิดขึ้น เพราะ นปช.ไม่ได้มีฐานมวลชนจำนวนมาก เพราะฐานมวลชนส่วนใหญ่มาจากฐานเสียงของ ส.ส.ในพื้นที่ ซึ่งจะขนคนเข้ามาร่วมเมื่อมีการจัดชุมนุมในแต่ละครั้ง ซึ่งผู้ประสานงานหลักคือ คุณนิสิต สินธุไพร ซึ่งขณะนี้ถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำชลบุรีในคดีบุกการประชุมอาเซม และคงไม่มี ส.ส.คนใดอยากมาทำหน้าที่แทนคุณนิสิต ไม่มีใครอยากเอาคอมาพาดเขียง
- แกนนำมวลชนระดับแม่เหล็กของ นปช.ล้วนถูกจำคุกอยู่เกือบทั้งสิ้น เช่น คุณจตุพร คุณอริสมันต์ คุณขวัญชัย ฯลฯ และแกนนำมวลชนระดับแม่เหล็กที่เหลืออยู่ก็มีเพียงคุณณัฐวุฒิและคุณวีระกานต์ นอกจากนั้นก็ไม่มีพลังดึงดูดมวลชนเพียงพอ
- ในทางจิตวิทยาการเมือง ลึกๆแล้ว ส.ส.และผู้ที่ต้องการเป็นผู้นำพรรค ต้องการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีล้วนต้องการให้คุณยิ่งลักษณ์ติดคุกทั้งสิ้น เพราะจะเกิดประโยชน์ทางการเมืองในสองแนวทางใหญ่ๆคือ
1. มีผลในการสร้างกระแสทางการเมืองสูงมาก โดยนำประเด็นคุณยิ่งลักษณ์ติดคุกไปหาเสียงเรียกคะแนนสงสารว่า คนตระกูลชินวัตรถูกรังแกตั้งแต่พี่ชายยันน้องสาว ซึ่ง ส.ส.และแคนดิเดตผู้นำพรรคเชื่อว่าจะได้รับความเห็นใจจากมวลชนอย่างมากจนทำให้ชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลาย
2. สามารถปลดแอกทางการเมืองได้ครึ่งหนึ่ง นั่นคือ คงไม่มีคนจากตระกูลชินวัตรกลัาเข้ามาเป็นผู้นำพรรคอีก เพราะไม่อยากตกอยู่ในสภาพเดียวกับคุณยิ่งลักษณ์และพี่ชาย คงปล่อยให้นักการเมืองคนอื่นขึ้นเป็นผู้นำพรรค เพราะเหล่าแคนดิเดตผู้นำพรรคและ ส.ส.เชื่อว่าหากคุณยิ่งลักษณ์ติดคุกจะทำให้ทำงานทางการเมืองได้ง่ายขึ้น เพียงอาศัยกระแสเรื่องคุณยิ่งลักษณ์และคุณทักษิณมาสร้างประโยชน์ทางการเมืองก็เพียงพอต่อการเอาชนะการเลือกตั้งได้
- จะเกิดเหตุวินาศกรรมหรือไม่...? เชื่อว่าคงมีระเบิดบ้าง อาจมีการเผ่านู้น นี่ นั่น ซึ่งผู้ที่ทำคือกลุ่มที่ต้องการอาศัยเหตุการณ์คุณยิ่งลักษณ์ติดคุกเป็นเชื้อไฟเพื่อนำไปสู่การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ
- สุดท้ายต้องมาดูว่าคุณยิ่งลักษณ์เธอพร้อมจะติดคุกหรือไม่..?? ซึ่งวิเคราะห์ยากมาก เพราะคุณยิ่งลักษณ์เป็นคนอารมณ์ไม่แน่นอน เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เอาแน่เอานอนไม่ได้ ซึ่งก็น่าเห็นใจเธอที่ต้องมาตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้ เพราะคงไม่มีใครอยากเข้าไปอยู่ในคุก
     และคำถามที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช.จะแพ้ทางการเมืองกับเหตุการณ์นี้หรือไม่..? คำตอบอยู่ที่พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. หากพล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. ยึดมั่นในหลักการความถูกต้อง ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้ แต่หากพล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. หน่อมแหน่ม ยึดถือประโยชน์ของคนส่วนน้อย ยึดถือผลประโยชน์ของกลุ่มนายทุนละทิ้งคนยากจนชาวบ้านทั่วไป หลงเชื่อแต่พวกลิ้นกระดาษทรายน้ำลายชะแล็ก ก็เอวัง..!!!

ที่มาข่าวมวลชนป่วนคดีจำนำข้าว

(ข้อมูล)

นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้สัมภาษณ์ “คมชัดลึก” ต่อประเด็นสถานการณ์การเมืองระหว่างศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเตรียมพิพากษาคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นจำเลย ว่า ตนมีข้อมูลต่อการเคลื่อนไหวระดมมวลชนในพื้นที่ต่างจังหวัดภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจังหวัดในเขตปริมณฑล ผ่านทางอดีตส.ส., แกนนำกลุ่มการเมืองในพื้นที่, นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.), และ สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (สจ.) ให้นำประชาชนเดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯ จำนวน 2 รอบ คือ รอบวันที่ 1 สิงหาคม ซึ่งศาลฎีกาฯ นัดการแถลงปิดคดีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ และรอบวันพิพากษาคดี วันที่ 25 สิงหาคม โดยในรอบสองนั้นมีข่าวระบุว่าจะระดมประชาชนให้เข้ากรุงเทพเพื่อชุมนุมบริเวณหน้าศาลในจำนวนหลักหมื่นคน นอกจากนั้นยังพบการปลุกระดมผ่านสื่อออนไลน์ของแกนนำกลุ่มการเมืองเพื่อโจมตีกระบวนการยุติธรรมและโจมตีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติรัฐบาล ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา ซึ่งประเด็นที่เกิดขึ้นตนไม่เห็นด้วยและอยากเรียกร้องให้อดีตส.ส.ที่เกี่ยวข้องยุติการกระทำ และให้ศาลฎีกาฯ ดำเนินกระบวนการตามขั้นตอน ทั้งนี้ในคดีของน.ส.ยิ่งลักษณ์นั้นไม่ว่าผลคำพิพากษาจะออกมาเป็นอย่างไร ยังมีสิทธิอุทธรณ์คดีต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ตามที่รัฐธรรมนูญระบุไว้

 นายสมชาย กล่าวด้วยว่าตนทราบว่าขณะนี้หน่วยข่าวความมั่นคงมีข้อมูลต่อกรณีการระดมมวลชนมายังกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา ว่าเข้าข่ายการเกณฑ์ประชาชนให้ไปชุมนุม มีค่าตอบแทนเป็นเงินคนละ 1,500 บาท มีจ้างรถโดยสารเพื่อใช้เดินทาง เบื้องต้นพบหลักฐานเป็นรายชื่อประชาชน, หมายเลขโทรศัพท์, รายชื่อแกนนำ และรถโดยสารไม่ประจำทางที่ว่าจ้างมาจากจังหวัดอุบลราชธานี และ จังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ไม่เป็นตามท่ี่รัฐธรรมนูญกำหนดว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพการชุมนุม เพราะกรณีดังกล่าวไม่ใช่วิถีทางประชาธิปไตยที่ประชาชนจะสมัครใจเข้าร่วมชุมนุม

“ช่วงเดือนสิงหาคม สถานการณ์การเมืองจะร้อน เพราะคดีรับจำนำข้าวนั้นมีเดิมพันและแรงกดดันสูง ดังนั้นเขาต้องการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรสิ่งที่เขาจะทำ คือ การสร้างคะแนนเสียงให้กับพรรคการเมือง เพื่อหวังผลต่อคะแนนนิยมช่วงเลือกตั้ง และ ความพยายามโค่นล้มรัฐบาล และ คสช. ผ่านการก่อเหตุจราจล ซึ่งกลุ่มฮาร์ดคอร์ของเครือข่ายนั้นเขาประกาศอุดมการณ์ชัดเจนว่าอยากทำสงครามประชาชน ผมขอให้คนที่คิดจะทำนั้นหยุด เพราะหากไม่หยุดเชื่อว่าจะเป็นอันตรายและมีเหตุที่นำไปสู่ความวุ่นวาย บ้านเมืองเสียหาย เศรษฐกิจไม่เดินหน้า” นายสมชาย กล่าว

นายสมชาย กล่าวเรียกร้องไปยังหน่วยงานของรัฐบาล ให้ดำเนินการป้องกันกรณีที่อาจจะเกิดขึ้น อาทิ บังคับใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การชุมนุมสาธารณะ อย่างเคร่งครัด ด้วยการกันพื้นที่ศาลรัฐธรรมนูญ ในระยะ 5 กิโลเมตร เป็นเขตห้ามชุมนุม, ใช้ พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบเส้นทางการเมือง กับนักการเมืองท้องถิ่น หรืออดีต ส.ส. ที่พบความเคลื่อนไหวของการใช้เงินที่ผิดปก

ลบคำปรามาสรมต.นมชง : เปิดใจเจ้ากระทรวงเกษตรทุ่มสุดตัวสร้างผลงาน

ลบคำปรามาสรมต.นมชง : เปิดใจเจ้ากระทรวงเกษตรทุ่มสุดตัวสร้างผลงาน


เมื่อ​มี​กระแส​ข่าว​ปรับ ครม.​ครั้ง​ใด ​มัก​มีชื่อ​ติด​โผ​อยู่​ลำดับ​ต้นๆที่​จะ​ถูก​ปรับ​ออก คราว​นี้​ก็​เช่น​เดียวกัน ​มีชื่อ​จะ​หลุด​จาก​เก้าอี้ รมต.​ไป​อยู่​กระทรวง​เกรด​บี​ หรือ​หลุด​วง​โคจร​อำนาจ​ไป​เลย

บุคคล​คน​นี้​มี​ฉายา “บิ๊ก​นม​ชง” พล.อ.​ฉัตร​ชัย สา​ริ​กัลยะ รมว.​เกษตร​และ​สหกรณ์ คง​ปฏิเสธ​ไม่ได้​เป็น​ผู้​ที่​เรียก​ได้​ว่า​ถูก​ฝ่าย​การเมือง​ตาม​วิพากษ์วิจารณ์​การบริหาร​งาน​ใน​ทาง​ติดลบ​มา​ตลอด

เกือบ 2 ปี​ที่​บริหาร​งาน จาก​วัน​นั้น​ถึง​วัน​นี้ พล.อ.​ฉัตร​ชัย ได้​วาง​ยุทธศาสตร์​ปฏิรูป​การ​เกษตร​ของ​ประเทศ​ไป​ถึง​ไหน​และ​อย่างไร โดย​ได้​เปิด​ใจ​ไว้​กับ​ ทีม​ข่าว​การเมือง​ ว่า การทำงาน​สิ่ง​สำคัญ​จะ​ต้อง​มี​แผน​งาน​นโยบาย​ระยะ​สั้น ระยะ​กลาง​และ​ระยะ​ยาว โดยเฉพาะ​ภาย​ใต้​รัฐบาล พล.อ.​ประยุทธ์ จันทร์​โอชา

ปัญหา​เฉพาะหน้า​บริหาร​แก้ไข​ราคา​พืช​ผล​เกษตร​ตกต่ำ​ก็​ต้อง​ทำ การ​วาง​ฐานราก​แก้​ปัญหา​ระยะ​กลาง​และ​ระยะ​ยาว​ก็​ต้อง​เดิน​หน้า

ตรง​นี้​มัน​เป็น​จุดเด่น มี​ความ​แตก​ต่าง​โดย​สิ้นเชิง​กับ​รัฐบาล​ที่​ผ่านๆมา เห็นใจ​นักการเมือง​เหมือน​กัน เมื่อ​ก้าว​ขึ้น​เป็น​รัฐมนตรี​แล้ว​ไม่​รู้​จะ​หลุด​จาก​ตำแหน่ง​เมื่อ​ไหร่ บางที​แค่ 6 เดือน​หรือ 1 ปี​ก็​ถูก​ปรับ​ออก​จาก​ตำแหน่ง ส่วน​ใหญ่​จึง​แก้​ปัญหา​เฉพาะหน้า เช่น โครงการ​รับ​จำนำ​ข้าว มักใช้​วิธีการ​อุดหนุน​ชาว​นา
แต่​รัฐบาล​นี้​ทำ​เท่า​ที่​จำเป็น และ​นายกฯ​ยืนยัน​ชัดเจน​ให้​วาง​ยุทธศาสตร์​ประเทศ 20 ปี หมายความ​ว่า​ ทุก​กระทรวง​จะ​ต้อง​มี​แผน​ยุทธศาสตร์ 20 ปี​ ล้อ​กับ​ยุทธศาสตร์​ประเทศ โดย​เรา​ได้​ปฏิรูป​เกษตร เริ่ม​ตั้งแต่​ปรับ​เปลี่ยน​วิธีการ​เกษตร​ให้​เหมาะสม​กับ​พื้นที่

เป็น​ที่มา​ของ​การ​จัด​ทำ​อะก​รี​แม็ป ซึ่ง​เป็น​แผนที่​เกษตร​เพื่อ​บริหาร​จัดการ​เชิง​รุก ใช้​เป็น​เครื่องมือ​บริหาร​จัดการ​เกษตร​อย่าง​มี​ประสิทธิภาพ ครอบคลุม​ทุก​พื้นที่ คำนึง​ถึง​สมดุล​ของ​ทรัพยากร​การ​ผลิต ความต้องการ​ของ​ตลาด ทำให้​สามารถ​บริหาร​จัดการ​สินค้า​เกษตร​สอดคล้อง​กับ​สถานการณ์​ปัจจุบัน​และ​คาด​การ​ณ์ใน​อนาคต​ได้​ด้วย

พร้อม​จัด​ทำ​โซน​นิ่ง​การ​เกษตร ไม่​ใช่​เหมือน​ที่​ผ่าน​มา ซึ่ง​ไม่​เคย​มี​การ​วาง​แผน พืช​ผล​อะไร​ราคา​ดี​ก็​ทำ​กัน​ใหญ่ ไม่​ใช่​เป็น​ความ​ผิด​ของ​เกษตรกร แต่​ใน​เชิง​นโยบาย​ของ​รัฐ​ไม่​มี​ใคร​ไป​แนะนำทำให้​ผล​ผลิต​ออก​มา​ราคา​ตกต่ำ

สิ่ง​ที่​พูด​มัน​ไม่ได้​เกิด​ขึ้น​ใน​วัน​นี้​หรือ​พรุ่งนี้ เป็น​แผน​ระยะ​ยาว ตั้งแต่​ผม​เข้า​มา​ปี​แรก ได้กำหนด​ให้​เป็น​ปี​แห่ง​การ​ลด​ต้นทุน​และ​เพิ่ม​ปริมาณ​การ​ผลิต ปี​ต่อ​มา​กำหนด​เป็น​ปี​แห่ง​การ​ยก​ระดับ​มาตรฐาน และ​จัด​ทำ​อะก​รี​แม็ป

ใน​ปี 59 เริ่ม​ลงมือ​เปิด​ให้​เกษตรกร​รวม​กลุ่ม​ให้​เข้า​สู่​ระบบ​แปลง​ใหญ่ เพื่อ​ลด​ทุน มี​การ​ร่วมกัน​ผลิต เพิ่ม​ประสิทธิภาพ​โดย​ใช้​เทคโนโลยี​เข้า​มา ปราก​ฏ​ว่า​มี​แปลง​ใหญ่​ที่​ประสบ​ผลสำเร็จ 480 แปลง เกษตรกร​มี​ราย​ได้​เพิ่ม​ขึ้น​รวม 4 พัน​กว่า​ล้าน​บาท

อีก​อัน​หนึ่ง​ที่​สำคัญ​มาก ที่​ผ่าน​มา​ข้าราชการ​มัก​ถูก​สั่ง​ให้​ทำ​ใน​สิ่ง​ที่​นักการเมือง​ต้องการ ผม​เข้า​มา​ปรับ​เปลี่ยน​ใหม่​หมด เช่น จัดตั้ง​ศูนย์​การ​เรียนรู้​เกษตรกร​ระดับ​อำเภอ มี​เกษตรกร​เป็น​เจ้าของ รัฐ​ให้การ​สนับสนุน ให้​เป็น​องค์กร​ความ​รู้ ศูนย์​นี้​เป็น​เสา​หลัก​ให้​เกษตรกร​ใน​พื้นที่​มี​ความ​เข้มแข็ง ใน​ปี​นี้​ศูนย์​ดัง​กล่าว​กระจาย​ไป​ทุก​ตำบล

ศูนย์​นี้​จะ​เป็น​ตัว​แก้​ปัญหา​เกือบ​ทุก​เรื่อง ไม่​ว่า​จะ​เป็น​ปริมาณ​การ​ทำ​สินค้า​เกษตร​ที่​เหมาะสม การ​ทำ​สินค้า​เกษตร​ที่​ถูกต้อง การ​ลด​ต้นทุน การ​รวม​กลุ่ม​กัน นำ​ไป​สู่​การ​เป็น​เกษตร​แปลง​ใหญ่

และ​สิ่ง​ที่​ผม ข้าราชการ​และ​เกษตรกร​ภาคภูมิ​ใจ​มาก คือ ได้​นำ​ศาสตร์​พระ​ราชา​มา​สู่​เกษตรกร​อย่าง​แท้จริง
ภาย​ใต้ “โครงการ 9101 ตาม​รอย​เท้า​พ่อ ภาย​ใต้​ร่ม​พระ​บารมี”

เพื่อ​การ​พัฒนาการ​เกษตร​อย่าง​ยั่งยืน ตาม​รอย​เท้า​พ่อ​คือ​รัชกาล​ที่ 9 ภาย​ใต้​ร่ม​พระ​บารมี​คือ​รัชกาล​ที่ 10 และ 1 ตัว​สุดท้าย​หมาย​ถึง​ได้​เริ่ม​ต้น​โครงการ​นี้​เป็น​ปี​แรก​แห่ง​การ​ครอง​ราชย์​รัชกาล​ที่ 10

จุดเด่น​ของ​โครงการ​คือ​การ​ปฏิรูป​ภาค​การ​เกษตร​ให้​เกิด​ผลสำเร็จ โดย​เปิด​ให้​ชุมชน​มี​ส่วน​ร่วม​ใน​การ​พัฒนา​และ​ดำเนิน​การ​โครงการ​สร้าง​ความ​เข้มแข็ง​ระดับ​เศรษฐกิจ​ฐานราก ใช้​ศูนย์​การ​เรียนรู้​การ​เพิ่ม​ประสิทธิภาพ​การ​ผลิต​สินค้า​เกษตร (ศพ​ก.) เป็น​ศูนย์​การ​เรียนรู้​ของ​ชุมชน เป็น​กลไก​ขับเคลื่อน​การ​พัฒนาการ​เกษตร​ใน​พื้นที่ ทำให้​ชุมชน​เข้มแข็ง พึ่ง​พา​ตน​เอง​ได้ มี​การ​คิด​วิเคราะห์​และ​นำ​ไป​ปฏิบัติ​ได้​จริง
โครงการ​นี้​กราบ​เรียน​นายกฯ ท่าน​บอก​ให้​เดินหน้า​เร็ว​ที่สุด เพราะ​หัวใจ​ของ​นายกฯ​อยู่​กับ​เกษตรกร ฉะนั้น​ใน​วัน​ที่ 27 ก.ค.​นี้​จะ​คิก​ออ​ฟ คาด​ว่า​เกษตรกร​ที่​จะ​ได้​รับ​ผล​ประ​โย​ชน​ทั้ง​ประเทศ 7.74 ล้าน​ราย โดย​เรา​ดีไซน์​ให้​งบประมาณ​ไป​ถึง​มือ​เกษตรกร​อย่าง​รวดเร็ว

เพื่อ​สร้าง​ความ​เข้มแข็ง​ให้​ชุมชน​และ​กระตุ้น​เศรษฐกิจ​ระดับ​ฐานราก

ทีม​ข่าว​การเมือง ​ถาม​ว่า นโยบาย​ที่​เดิน​หน้า​จะ​เห็น​ผล​ยัง​ต้อง​ใช้​เวลา แต่​ปัญหา​เฉพาะหน้า​ราคา​พืช​ผล​เกษตร​ตกต่ำ​ถูก​หยิบยก​มา​โจมตี​รัฐบาล จะ​มี​ผล​กระทบ​ต่อ​การก​ลับ​มา​เป็น​นายกรัฐมนตรี​รอบ​สอง​ของ พล.อ.​ประยุทธ์​อย่างไร และ​กระทบ​ต่อ​การ​ตั้ง​พรรคการเมือง​ที่มา​รอง​รับ​อำนาจ​ของ คสช.​อย่างไร

พล.อ.​ฉัตร​ชัย ไม่​ยอม​ตอบ​คำ​ถาม​นี้

แต่​บอก​ว่า ผม​ลง​ไป​พื้นที่​ต่างๆพบ​เกษตรกร​ที​ไร เกษตรกร​ล้วนดีใจ แต่​ผม​รู้สึก​เสียใจ​ว่าที่​ผ่าน​มา​ทำไม​ปล่อย​ให้​เกษตรกร​ยากจน​แบบ​นี้ เกษตรกร​บอก​ว่า​ไม่​เคย​มี​ใคร​ทำ​แบบ​นี้ และ​อยาก​ให้​รัฐบาล​ทำ​แบบ​นี้ต่อไป

ทำให้​ผม​รู้สึก​มี​กำลังใจ​ว่า​ต้อง​เดิน​หน้า​ปฏิรูป​การ​เกษตร​ต่อ เพื่อ​ทำให้​เกษตรกร​มี​ความ​สุข ถ้า​เรา​เชื่อ​มั่น​ว่า​เดิน​มา​ถูก​ทาง​ที่มา​จาก​ความ​ตั้งใจ เรา​ต้อง​อดทน และ​เดิน​หน้า​เพื่อ​ให้​เกษตรกร​ได้​พบ​กับ​สิ่ง​ที่​ดี

ฝ่าย​การเมือง​เดิน​หน้า​เรียก​ร้องขอ​ให้​นายกฯ​ปลด รมว.​เกษตรฯ เพราะ​ไม่​สามารถ​แก้ไข​ปัญหา​ราคา​ยาง​ตกต่ำ​ได้ พล.อ.ฉัตรชัย บอก​ว่า นักการเมือง​ต้อง​รักษา​เสถียรภาพ​ความ​เป็น​ผู้​นำ​กลุ่ม อยาก​จะถาม​กลับ​ไป​บ้าง​ว่า​สมัย​ก่อน​ราคา​ยางพารา​เป็น​อย่างไร

ขอ​ย้ำ​ว่าที่​ผ่าน​มา​เวลา​ที่​ผม​ลง​ไป​สัมผัส​เกษตรกร เขา​เริ่ม​มี​ความสุข​และ​มี​การ​เปลี่ยนแปลง​ไป​เยอะ​ตาม​ยุทธศาสตร์​ที่​กำหนด​เอา​ไว้ ทั้งหมด​เป็น​การ​ปฏิรูป​การ​เกษตร แต่​การเมือง​จะ​คิด​อย่างไร​ไม่​รู้

ฉะนั้น​ ตราบ​ใด​ที่​นายกฯ​ให้​ผม​ทำ​หน้าที่​นี้​อยู่​จะ​เดิน​หน้า​ต่อ​ไป และ​ทุก​วัน​นี้​นายกฯ​คง​เข้าใจ

ทีม​การเมือง​ ถาม​ว่า ใน​ฐานะ​ที่​เป็น​เพื่อน​กับ​นายกฯ ถูก​ตั้ง​ข้อ​สังเกต​ว่า​ทำให้​การ​ปรับ ครม.​แต่ละ​ครั้ง​ก็​ยัง​อยู่​ใน​ตำแหน่ง​รัฐมนตรี​ต่อ ข้อเท็จจริง​เป็น​อย่างไร พล.อ.​ฉัตร​ชัย บอก​ว่า ผม​รู้จัก​ท่าน​นายกฯ ซึ่งเป็น​เพื่อน​ร่วม​รุ่น ตท.12 เป็น​เพื่อน​กัน​มา 40 กว่า​ปี ผม​รู้​ดี ท่าน​นายกฯไม่ใช่​แค่​กับ​ผม แต่​กับ​ทุก​คน

เพื่อน​คือ​เพื่อน งาน​คือ​งาน เวลา​ทำ​งาน​ไม่​มี​เพื่อน เพื่อนเอาไว้​เวลา​พักผ่อน​เท่านั้น

อยู่​กับ​ท่าน​มา​ตลอด​ผม​รู้​ดี ถ้า​ทำ​ไม่​ถูก ผม​โดน ท่าน​ก็​ว่า​แบบ​นี้ ไม่​ต้อง​เกรงใจ​ด้วย ผม​ก็​เข้าใจ

นี่คือ​บทบาท​หน้าที่ คิด​ว่า​นายกฯ​แยก​ได้ พวกเรา​ทุก​คน​ที่​ทำ​งาน​กับ​ท่าน วัน​นี้​เรา​แยก​ได้

บาง​คน​จะ​บอก​ว่า​ผม​เป็น​เพื่อน​สนิท ท่าน​มี​เพื่อน​สนิท​ตั้ง​หลาย​คน ไม่​ใช่​แค่​ผม​คน​เดียว

รู้สึก​อย่างไร หลังจาก​ตั้งใจ​บริหาร​งาน​แก้​ปัญหา​เชิง​โครงสร้าง​ให้​แก่​เกษตรกร กลับ​ถูกฝ่าย​การเมือง​วิพากษ์วิจารณ์​ว่า​ไร้​ผล​งาน จะ​ต้อง​ถูก​ปรับ​ออก​จาก​ตำแหน่ง ผล​สำรวจ​โพล​บาง​สำนัก​ก็​ระบุ​ว่า​ให้​ปรับ รมว.​เกษตรฯ​ออก​จาก​ตำแหน่ง พล.อ.​ฉัตรชัย บอก​ว่า ไม่เคย​สนใจ​เรื่อง​พวก​นี้

ตราบ​ใด​ที่​ยัง​ทำ​หน้าที่​อยู่​จะ​เดิน​หน้า​ดูแล​เกษตรกร เรา​ท้อ​ไม่ได้ ถ้า​ท้อ​เมื่อ​ไหร่​เกษตรกร​จะ​แย่

ขอ​ให้​ไป​ถาม​เกษตรกร​บ้าง​ตาม​สัดส่วน​ตัวอย่าง​ที่​สุ่ม​สอบ​ถาม​ใน​ตัวเมือง ดู​ว่า​ผล​สำรวจ​จะ​ออก​มา​อย่างไร เพราะ​เป้าหมาย​แรก​ที่​เรา​เดิน​หน้า มี​ปลายทาง​อยาก​เห็น​เกษตรกร​มี​ความ​ภาคภูมิ​ใจ​ใน​อาชีพ เป้าหมาย​ที่​สอง​ อยาก​เห็น​เกษตรกร​มี​ราย​ได้​เพียงพอ​ต่อ​การ​ดำรง​ชีวิต​ตาม​หลัก​เศรษฐกิจ​พอ​เพียง เป้าหมาย​ที่​สาม​ เกิด​สังคม​อบอุ่น​ขึ้น​แก่​เกษตรกร

ยุทธศาสตร์​ที่​วาง​เอา​ไว้​และ​ที่​ลงมือ​ทำ​ไป​แล้ว สุดท้าย​จะ​เดิน​ไป​สู่​เป้าหมาย​ดัง​กล่าว

เป้าหมาย​จะ​บรรลุ​ได้​จะ​ต้อง​ทำ​งาน​เป็น​ทีม ที่​ผ่าน​มา​ทีม​เศรษฐกิจ โดยเฉพาะ รมว.​เกษตรฯ และ​นาย​สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รอง​นายกรัฐมนตรี ใน​ฐานะ​หัวหน้า​ทีม​เศรษฐกิจ มี​ภาพ​สะท้อน​ออก​ม​าว่า​ไม่​คุย​กัน สั่ง​การ​ไม่ได้ พล.อ.​ฉัตร​ชัย บอก​ว่า นายกฯ​ไม่ได้​จัด​ให้​ผม​อยู่​ใน​กลุ่มเศรษฐกิจ

ที่​ผ่าน​มา​ท่าน​นายกฯ​ให้​ผม​อยู่​กับ​ท่าน​สมคิด วัน​นี้​ท่าน​สมคิด​งาน​เยอะ​มาก นายกฯ​จึง​กระจาย​งาน​ให้ พล.อ.อ.​ประ​จิ​น จั่น​ตอง รองนายกฯ ใน​ฐานะ​รอง​หัวหน้า​ฝ่าย​เศรษฐกิจ รับหน้า​ที่​ดูแล​กระทรวง​เกษตรฯ​แทน

ผม​กับ​ท่าน​สมคิด​คุย​กัน​ตาม​ปกติ เลิก​ประชุม ครม.​ก็​นั่ง​รับประทาน​อาหาร​ด้วย​กัน

วัน​หลัง​จะ​เปิด​ให้​สื่อมวลชน​เข้าไป​ถ่ายรูป​ใน​ห้อง​อาหาร จะ​ได้​เลิก​พูด​ซะ​ที

สิ่ง​เหล่า​นี้​ไม่ได้​เป็น​ประโยชน์​ต่อ​ประเทศชาติ​เลย.

ทีมการเมือง

ผ่าวิกฤติ "กฎหมู่" สังคมแตก...วัดใจคนไทย : กฎหมายเอาไม่อยู่ ปรองดองล้มเหลว

ผ่าวิกฤติ "กฎหมู่" สังคมแตก...วัดใจคนไทย : กฎหมายเอาไม่อยู่ ปรองดองล้มเหลว

สายฝนชุ่มฉ่ำทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยตลอดห้วงสัปดาห์ โดยเฉพาะจังหวัดตอนบนที่ฝนตกอย่างต่อเนื่องทำให้ต้องเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำป่าไหลหลาก

โดยปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ยังวางใจไม่ได้

ขณะที่ปรากฏการณ์ไม่ธรรมชาติ นักการเมืองทั้งยี่ห้อประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยแตะมือปรองดองโดยอัตโนมัติ แท็กทีมขย่มรัฐบาล คสช.ว่าด้วยประเด็นบ้อท่าในการบริหารราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ

ตอกย้ำจุดเปราะบางของรัฐบาลทหาร

ในเหลี่ยมกดดันปมเศรษฐกิจ จี้จุดหงุดหงิดของ เกษตรกร เร้าผู้คนที่กำลังเผชิญภาวะปัญหาปากท้อง
ตามไฟต์บังคับของนักเลือกตั้งอาชีพ ต้องเตะตัดขาสกัดเกมลากยาวของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ที่ส่อตีตั๋วยาวข้ามช็อตรอบหน้า

การเมืองเข้มข้นขึ้นตามเงื่อนเวลาปลายเทอมโรดแม็ป

ล้อไปกับปรากฏการณ์กระบวนการยุติธรรมที่เริ่มสำแดงผล ในจังหวะที่คดีดังๆระดับประเทศจ่อคิวลุ้นศาลชี้ชะตา รอดหรือไม่รอด

เดิมพันคุกตะรางจ่ออยู่ตรงหน้า

แต่ที่ต้องเข้าเรือนจำเลยทันที ตามสถานการณ์ภายหลังศาลแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มีคำสั่งขังตัวนายวิรพล สุขผล หรืออดีตพระ “เณรคำ” อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าขันติธรรม จังหวัดศรีสะเกษ ผู้ต้องหาหลบหนีคดีอาญาไปกบดานใน สหรัฐฯ เป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับประเทศไทย

โดยมีอัยการต่างประเทศและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) บินไปรับตัวมาดำเนินคดีในข้อหาพรากผู้เยาว์ กระทำชำเราเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี ฉ้อโกงประชาชน และฟอกเงิน

ถึงคราวต้องชดใช้หนี้กรรมที่ก่อไว้ในคราบของผ้าเหลือง

เช่นเดียวกับคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ที่องค์คณะผู้พิพากษาแผนกคดีค้ามนุษย์ในศาลอาญา ได้อ่านคำพิพากษาจำเลยรวม 62 คน ตัดสินยกฟ้อง 40 คน นอกนั้นโดนลงโทษอ่วมทั้งจำคุกและชดใช้สินไหมทดแทนให้ผู้เสียหายชาวโรฮีนจา

โดยเฉพาะจำเลยคนสำคัญที่เป็นระดับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพคือ พล.ท.มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก โดนจำคุกรวม 27 ปี

นับเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่รัฐบาลทหาร คสช.แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ จุดที่ทำให้ประเทศไทยเสี่ยงโดนแบนทางเศรษฐกิจจากนานาชาติ

และอีกคดีสำคัญซึ่งเป็นที่จับตาทั้งในเมืองไทยและต่างชาติ กับการตามตัวนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ “บอส” ทายาทตระกูลเครื่องดื่มบำรุงกำลังยี่ห้อดัง ที่อยู่ในขั้นตอนที่อัยการฝ่ายต่างประเทศกำลังประสานการตามตัวผู้ต้องหาที่หลบหนีอยู่ต่างประเทศ

ตามอาการยึกๆยักๆกั๊กกัน โดยเฉพาะในขั้นตอนของตำรวจท้องที่เจ้าของคดี

ที่แน่ๆงานนี้จะเป็นบทพิสูจน์คุกเมืองไทยมีไว้ขังแค่คนจนจริงหรือไม่

แต่ที่ติดจริง ขังจริง ตามคดีที่เกี่ยวโยงทางการเมือง ล่าสุดศาลฎีกาพิพากษาจำคุกนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมเสื้อแดง นปช. เป็นเวลา 1 ปี ฐานหมิ่นประมาทนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี สั่งฆ่าประชาชนบนเวทีปราศรัยการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง นปช. ปี พ.ศ.2552

ต้องเข้าไปใช้ชีวิตในเรือนจำอีกคำรบ

โดยชะตากรรมของแกนนำและแนวร่วมกลุ่มเสื้อแดง นปช.ที่ต้องเดินเข้าคุกอย่างต่อเนื่อง ผลพวงจากวิกฤติการเมืองเลือกข้างที่เล่นกันเลยขอบเขต

ยึด “กฎหมู่” อยู่เหนือ “กฎหมาย”

นั่นก็ไม่ใช่ฝ่ายเสื้อแดง นปช.เท่านั้น มันยังมีคดีของม็อบพันธมิตรก่อการร้าย ยึดสนามบิน ยึดทำเนียบรัฐบาล ม็อบ กปปส.ที่เจอข้อหากบฏ ปิดกรุงเทพฯ ล้มล้างการปกครอง

ยังไงก็ต้องชดใช้ความเสียหายจากการกระทำนอกขื่อแปบ้านเมือง

และที่ต้องจับตา อีกคดีสำคัญจากการชุมนุมทางการเมืองที่จ่ออยู่ในศาลใกล้วันชี้ชะตา คือคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรหน้ารัฐสภาเมื่อปี พ.ศ.2553 ที่มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. เป็นจำเลย
จุดเดิมพัน เพราะตัวละครโยงใยเส้นสายอำนาจ

ไม่ใช่แค่คดีตกค้างจากการชุมนุมเท่านั้น โดยจังหวะที่กระบวนการยุติธรรมเริ่มสำแดงผลยังล้อตามเงื่อนไขที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พร้อมกำหนดให้ศาลพิจารณาคดีลับหลังได้ แก้ปัญหาจำเลยหลบหนี และให้ศาลมีอำนาจรื้อฟื้นคดีได้ตามสมควร

นั่นก็ส่งผลถึงคดีของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่ศาลจำหน่ายคดีออกจากสารบบชั่วคราว เนื่องจากจำเลยหลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ

อาทิ คดีทุจริตการปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย คดีปล่อยกู้ของเอ็กซิมแบงก์ หรือธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย คดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องทักษิณเป็นจำเลยในคดีแปลงสัญญาสัมปทานโทรคมนาคม เอื้อประโยชน์ธุรกิจของตัวเองและครอบครัว และคดีหวยบนดิน ในส่วนของอดีตนายกฯทักษิณ

ต้องเดินหน้าพิจารณาภายใต้แนวโน้มสถานการณ์ไม่น่าจะเป็นบวกกับอดีตผู้นำ

แต่ที่ลุ้นตัวโก่งยิ่งกว่า เพราะใกล้วันชี้ชะตาเข้ามาทุกขณะ

ตามปฏิทินที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดวันพิพากษาคดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และพวก ซึ่งเป็นอดีตนักการเมือง–เอกชน รวม 28 ราย ในคดีฮั้วประมูลและปฏิบัติหน้าที่มิชอบโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) วันที่ 25 สิงหาคมนี้ เวลา 09.00 น.

แน่นอนว่ากันตามสัญญาณ ส่อเค้าไม่สู้ดี

โดยสถานการณ์ยังโยงต่อเนื่องถึงคดีปล่อยปละ ละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ที่ล่าสุดศาล ฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้นัด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำการสืบพยานจำเลยนัดสุดท้าย และนัดพิพากษาในวันที่ 25 สิงหาคม เช่นเดียวกัน

ในสถานการณ์ลุ้นสู้เฮือกสุดท้าย

นั่นจึงเป็นอะไรที่ต้องเน้นกันเป็นพิเศษ ตามฉากนัดรวมพลังใหญ่ ไม่ใช่แค่มวลชนผู้สนับสนุนที่แห่มาให้กำลังใจอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์เต็มหน้าศาลเท่านั้น แต่ยังมีบรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทยที่เดินทางมาให้กำลังใจอดีตผู้นำหญิงพร้อมหน้าพร้อมตา

โชว์ให้เห็นเลยว่า กองเชียร์หนาแน่น แนวร่วมยังพรึ่บพรั่บ

พร้อมเป็นเกราะกำบังเคียงข้าง “ยิ่งลักษณ์”

โดยสถานการณ์เป็นไปตามเกมที่ฝ่ายความมั่นคงคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า

แบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ออกปากปรามกลุ่มมวลชนที่ระดมพลให้กำลังใจอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ อย่ากระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย อย่าละเมิดศาลและกระบวนการยุติธรรม ไม่เช่นนั้นก็จะถูกดำเนินคดี ถ้ามีการใช้ความรุนแรงบานปลายก็ต้องรับผิดชอบด้วย จะไม่มีการละเว้น

แต่ที่แน่ๆ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยเลยว่า เตรียมหารือกับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อหาแนวทางในการดูแลความเรียบร้อยในวันนัดพิพากษาคดีจำนำข้าวของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์

พร้อมเตรียมใช้แผนกรกฎดูแลความปลอดภัยและความเรียบร้อยพื้นที่ทั่วประเทศ

ปฏิเสธไม่ได้ว่า รัฐบาล คสช.ก็นั่งไม่ติดเหมือนกัน

นั่นก็เพราะ “เกมมวลชน” คือจุดแข็งของอีกฝ่าย ถ้าถึงจุดจนตรอก หนีไม่พ้นหนทางสุดท้าย

เครือข่าย “ทักษิณ” คงต้องปลุกม็อบสู้

และแน่นอน โดยรูปการณ์ถ้าถึงจุดที่กฎหมายเอาไม่อยู่ มวลชนไม่ยอมรับผลการตัดสิน ก็ต้องเกิดความวุ่นวาย วิกฤติรอบใหม่ตั้งเค้ากลับมา สวนทางกับกระบวนการปรองดองที่ คสช.ดำเนินการมาจนถึงขั้นการจัดทำร่างสัญญาประชาคมแล้ว ก็คงเหลวไปตามฟอร์ม

แต่ทั้งหมดทั้งปวง มันก็ต้องวัดใจคนไทยทั้งประเทศจะยอมให้ฝันร้ายกลับมาหลอนอีกหรือไม่

ในเมื่อวิกฤติ “กฎหมู่” ทำสังคมไทยแตกเละจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว.

“ทีมการเมือง”

"ปลายทาง" ยิ่งริบหรี่!

"ปลายทาง" ยิ่งริบหรี่!

ตั้งเค้าร้อนฉ่าขึ้นมาทันที

แนวโน้มการตั้งกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย ขึ้นมาทบทวน ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ตามคิวที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพิ่งมีมติแต่งตั้งสดๆร้อนๆ

ในคิวที่ตัวแทน 3 ฝ่าย สนช. กรธ. และ กกต.ยังไม่ทันได้เริ่มจับเข่าคุยหารือกรอบแก้ไขอย่างจริงๆจังๆ
ดันมีข่าวเล็ดลอดถึงแนวทางการปรับปรุงร่าง พ.ร.บ.พรรคการเมืองให้นักเลือกตั้งผวาหนักมากยิ่งขึ้น

ตามทิศทางชวนขนลุกที่เสนอให้มีบทลงโทษกรณีทุจริตในการคัดเลือกผู้สมัครระบบไพรมารีโหวต ถึงขั้นให้ “ยุบพรรค” หากจับได้ว่า กรรมการบริหารพรรคมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับเงินรับทองจากผู้สมัคร เพื่อช่วยเหลือให้ได้สิทธิเป็นตัวแทนผู้สมัครในนามพรรค

ตรรกะทำผิดแค่คนเดียว แต่เหมารวมตายยกเข่ง ถูกปลุกผีกลับมาเขย่าขวัญนักการเมืองให้หนาวๆร้อนๆอีกรอบ เผลอๆอาจถูกน็อกกลางอากาศทั้งพรรค โดยที่ยังไม่ทันได้ลงสนามเลือกตั้งด้วยซ้ำ

ทำไปทำมาร่าง พ.ร.บ.พรรคการเมืองฉบับรีไซเคิล ทำท่าจะเผ็ดร้อนกว่าฉบับเดิมที่สนช.ให้ความเห็นชอบก่อนหน้านี้

ยิ่งมีต้นเรื่องมาจาก พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ชื่อนี้บอกยี่ห้อชัดไม่เอา “ทักษิณ” ที่ได้มานั่งกำกับเป็นประธานกรรมาธิการยกร่าง พ.ร.บ.พรรคการเมือง ออกมายอมรับตรงๆจะเสนอปรับปรุงเนื้อหากฎหมาย ถ้ามีกรรมการบริหารพรรคไปมีส่วนรู้เห็นการทุจริตไพรมารีโหวต

ย่อมมีผลให้ถูกยุบพรรคด้วย

ต้นเรื่องส่งสัญญาณชัดมาแบบนี้ แม้จะยังไม่รู้ว่า กมธ.ร่วม 3 ฝ่ายจะเอาด้วยกับสูตรใหม่หรือไม่

แต่หากจะไม่ให้นักการเมือง โดยเฉพาะซีกทีมงาน “นายใหญ่” อกสั่นขวัญแขวน ระแวงถูกล้างบางภาค 3 ก็คงเป็นไปไม่ได้

ขณะที่ท่าทีฝั่ง กรธ.อย่าง นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ก็แสดงท่าทีไม่เห็นด้วย ระบุชัดเจนการทุจริตไพรมารีโหวตมีโทษเพียงแค่การตัดสิทธิเลือกตั้ง อดเล่นการเมืองระยะหนึ่งเท่านั้น

โทษไม่ร้ายแรงถึงขั้นถูกยุบพรรค เพราะเป็นเรื่องภายในพรรคการเมือง

ส่งสัญญาณไฟแดง เบรกยัดไส้ยาแรงโทษยุบพรรคไว้ในกฎไพรมารีโหวต

กติกาใหม่ไพรมารีโหวตทำอลเวง เรียกแขกจากฝ่ายนักการเมืองตั้งป้อมคัดค้านกันระนาว

ขยับรับบรรยากาศการเมืองที่ทวีความร้อนแรงขึ้นตามลำดับ ตามฉากล่าสุดที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 1 ปี ในคดีหมิ่นประมาท นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

ถูกส่งตัวนอนตะรางทันที เติมหัวเชื้อความคุกรุ่นเสื้อแดงทำอะไรก็ผิด

และเรื่องใหญ่ที่กำลังรอวันเดือดเร็วๆนี้คือ กรณีคดีจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ตามปรากฏการณ์ที่มวลชนฝั่ง “อดีตนายกฯปู” จำนวนมากปักหลักตะโกนให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่มาขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อฟังการไต่สวนพยานฝ่ายจำเลยนัดสุดท้าย

ทั้งแกนนำพรรคและแฟนคลับเปิดหน้าปรากฏตัวอยู่ข้างกาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ส่งสัญญาณท้าทายฝ่ายอำนาจพิเศษให้เห็นกันจะจะ ก่อนถึงวันฟังคำพิพากษาจริง

เข้าเงื่อนไขไฟต์บังคับที่ต้องงัดทั้งพยานหลักฐานทางคดี เทคนิคทางกฎหมาย และพลังมวลชนมาต่อสู้
ดิ้นเฮือกสุดท้ายเดิมพันอนาคตของตัวเอง

ตามเส้นตายที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ หลังจากที่ศาลฎีกาฯมีคำสั่งให้คู่ความแถลงปิดคดีจำนำข้าวในวันที่ 1 ส.ค. และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 ส.ค.นี้

โดยยกคำร้องของทีมทนายความ “อดีตนายกฯปู” ที่ขอให้ศาลฎีกาฯ ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความข้อกฎหมายใน พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญปัจจุบันหรือไม่

ปิดประตูไม่ให้ประวิงเวลายื้อคดีอีกต่อไป

ได้ระทึกชะตากรรมพอดิบพอดีในวันเดียวกับ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ที่ต้องลุ้นฟังคำพิพากษาคดีทุจริตระบายข้าวแบบจีทูจีในวันเดียวกัน

แนวโน้มสถานการณ์ส่อเค้าคุกรุ่นมากขึ้นทุกขณะหลังจากนี้ ตามปฏิทินที่มีคดีสำคัญทางการเมืองรอชี้ชะตาในชั้นศาลฎีกาฯ พร้อมกัน 3 คดีในเดือน ส.ค.

ไล่ตั้งแต่คดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 2 ส.ค. และคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับคดีนายบุญทรง ในวันที่ 25 ส.ค.นี้

แต่ละคดีล้วนสุ่มเสี่ยงเพิ่มเงื่อนไขความขัดแย้งให้บานปลายมากยิ่งขึ้น

ปลายทางสัญญาประชาคมสร้างความปรองดองยิ่งดูยิ่งริบหรี่!!!

ทีมข่าวการเมือง

พุทธอิสระ จี้ ปลดกก.มหาเถรสมาคมฯ

วันนี้ (24 ก.ค.) พุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อยและแกนนำกปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊ก แผ่นดินไทยเราได้พระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เราได้พระสังฆราชองค์ที่ 20 พระองค์ใหม่ เรากำลังจะมี สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดใหม่ เรากำลังจะมีคณะกรรมการผู้ตรวจการแผ่นดิน (สผผ.) คณะใหม่ เรากำลังจะมีคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ชุดใหม่ เรากำลังจะมีคณะกรรมการการเลือก (กกต.) คณะใหม่ เรากำลังจะมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคณะใหม่ ซึ่งองค์กรอิสระเหล่านี้เปลี่ยนแปลงด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แม้ไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่สังคมไทยก็อยากได้มหาเถรสมาคมชุดใหม่ เป็นมหาเถรสมาคมที่ได้รับการสถาปนาแต่งตั้งโดยตรงจากพระสังฆราชพระองค์ใหม่ จักได้ทรงบริหารงานพระศาสนาให้เจริญก้าวหน้า ทั้งในและต่างประเทศ แม้ปัจจุบันจะมีพระสังฆราชพระองค์ใหม่แล้ว มีสมเด็จประยุทธ์รูปใหม่แล้วก็ตามที แต่ก็ไม่สามารถบริหารสั่งการงานคณะสงฆ์ได้มากนัก เพราะผู้รับสนองงาน เช่นกรรมการมหาเถรสมาคม เป็นคนของพวกขั้วอำนาจเก่าที่ผิดหวังจากการได้เป็นพระสังฆราช การบริหารงานปกครองและงานเผยแผ่ งานสาธานูประการ และงานด้านตุลาการ จึงดูเหมือนจะล่าช้า เตะถ่วงหน่วงเหนี่ยว ไม่เดินหน้า เพราะผู้ที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมไม่ใช่ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นี้ ประมาณว่า เด็กใครเด็กมัน โดยไม่คิดถึงความเจริญของพระพุทธศาสนา
ซึ่งว่ากันโดยมารยาทแล้ว เมื่อมีพระสังฆราชพระองค์ใหม่ กรรมการมหาเถรสมาคมโดยการแต่งตั้ง ควรจะต้องลาออกเพื่อเปิดโอกาสให้พระองค์ทรงคัดสรรพระมหาเถรผู้ทรงธรรม ทรงวินัย มีสุจริตธรรม มีสติปัญญา เข้ามาทำหน้าที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมชุดใหม่ ตัวอย่างเช่น สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พรหมคุตโต) แห่งวัดบวร ท่านยังลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติ เพื่อเปิดทางให้สมเด็จพระสังฆราชได้ทรงเข้ามาทำหน้าที่ แต่สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่ก็ยังทรงประทานหน้าที่เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติกลับคืนไปให้สมเด็จพระวันรัตแห่งวัดบวรทำหน้าที่เหมือนเดิม แบบนี้เขาเรียกคนมียางอาย มีมารยาท รู้แบบแผนขนบธรรมเนียม ส่วนพวกเจ้าคุณที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม ที่สมเด็จพระสังฆราชมิได้ทรงแต่งตั้งในปัจจุบัน เข้ามาเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมในยุคสมเด็จวัดสระเกศ และสมเด็จวัดปากน้ำ ที่ลากกันเข้ามาตั้ง ถึงขนาดพวกสาวกธรรมกายพูดกันให้แซ่ดว่า ใครก็ทำอะไรเจ้าลัทธิเขาไม่ได้ เพราะกรรมการมหาเถรสมาคมเป็นคนของพวกเขาเกิดครึ่ง
เอาเป็นว่าจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ หากจะรอให้กรรมการมหาเถรสมาคมเชื้อสายธรรมกายมียางอายลาออกเองคงต้องรอให้พระอาทิตย์ขึ้นสองดวงก่อน ไหนๆ บ้านเมืองกำลังจะเดินหน้าปฏิรูปในทุกมิติแล้ว คงต้องร้องขอให้ท่านนายกใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ โดยมาตรา 44 สั่งการให้กรรมการมหาเถรสมาคมที่มาจากการลากตั้งทั้งหมดออกไปจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชทรงใช้พระอำนาจ คัดสรรมหาเถระผู้ทรงธรรม ทรงวินัย มีสุจริตธรรมในใจ มีสติปัญญา เข้ามาทำงานรับใช้คณะสงฆ์ให้เจริญก้าวหน้าสืบไป งานนี้คุณประยุทธ์ ต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างยิ่ง ที่จะผ่าตัดกำจัดเสี้ยนหนามของพระธรรมวินัยที่ทิ่มตำให้เกิดหนองเน่าใน ในองค์กรปกครองสงฆ์มาเนิ่นนานให้หมดสิ้นไปเสียที สังฆมณฑลจักได้กลับมางดงาม เป็นที่ยอมรับของคนทั้งแผ่นดิน ทั้งยังจะเป็นการทำบุญใหญ่ให้แผ่นดินโดยแท้
Cr. มติชน

"บิ๊กป้อม" เรียกประชุม "สภา มช." พุธนี้

"บิ๊กป้อม" เรียกประชุม "สภา มช." พุธนี้ คาดมีหารือ ตั้ง "เลขาฯสมช"คนใหม่ พลเรือน หรือทหาร..."สมเกียรติ"หรือ"พล.อ.วัลลภ" หรือ บิ๊กทหารอกหัก
ยังไม่ลงตัว โผโยกย้ายข้าราชการและทหาร คงต้องรอ พุธ 26 กค.นึ้ .....โดยเฉพสะ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)..เพราะ บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร จะเป็นประธานการประชุม สภา สมช. และคาดว่า จะมีการพิจารณา แต่งตั้ง เลขาฯสมช.คนใหม่ ระหว่าง นายสมเกียรติ ศรีประเสริฐ รองเลขาฯสมช. ที่ได้รับการเสนอชื่อ จาก พลเอกทวีป เนตรนิยม เลขาฯสมช.คนปัจจุบัน ให้เป็น เลขาฯ สมช.คนใหม่ ....กับ พลเอกวัลลภ รักเสนาะ ผอ.สำนักนโยบายและแผนกลาโหม ที่ คาดว่าจะได้รับการเสนอขื่อ โดย พลเอกประวิตร ให้เป็น เลขาฯสมช......หรืออาจเป็น บิ๊กทหารคนอื่น ที่พลาดเก้าอี้ ในกองทัพ.....รอดูปฏิกิริยา คนสมช.

"กำลังพลสำรอง-นายจ้าง" เตรียมเฮ!!



"กำลังพลสำรอง-นายจ้าง" เตรียมเฮ!!
"บอร์ดกำลังพลสำรอง" จ่อให้สิทธิประโยชน์ 12ข้อให้"กำลังพลสำรอง" ที่มาฝึก ทั้ง ได้เครื่องราชย์ฯ-ได้รับคะแนนเพิ่มพิเศษ เมื่อสมัครสอบเข้ารับราชการทหาร-ขอพระราชทานเพลิงศพและกองทหารเกียรติยศ-ได้สิทธิรักษาพยาบาลครอบคลุมถึงครอบครัว-รับทุนการศึกษาครอบคลุมถึงครอบครัว-เพิ่มค่าอาหารเบี้ยเลี้ยงค่ารถ-บัตรประจำตัวทันสมัย-ได้ยศสูงกว่า"ว่าที่พันตรี"....ส่วน"นายจ้าง-ผู้ประกอบการ"มีสิทธิเข้าเรียน-อบรม หลักสูตรทหาร-ความมั่นคง ได้หนังสือขอบคุณ-ลดภาษี และได้สิทธิ์ขอใช้สถานที่ของกองทัพ จัดกิจกรรม/ ให้ปรับปรุงหลักสูตร รด.เพิ่มฝึกบรรเทาภัยพิบัติ/ให้ตั้ง ชมรมกำลังพลสำรอง/ ให้เหล่าทัพ เปิดอัตรา รับกำลังพลสำรอง เข้ารับราชการทหาร ด้วย/การที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง
ที่กลาโหม....พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะรองประธานคณะกรรมการกำลังพลสำรอง (คกส.)เป็นตัวแทนพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำลังพลสำรอง ในการประชุมคณะกรรมการกำลังพลสำรอง เพื่อพิจารณาสิทธิประโยชน์ให้กับนายจ้างและกำลังพลสำรองที่เข้ารับราชการทหาร
โดยมีปลัดกระทรวงกลาโหม ตัวแทน ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงแรงงานและเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นคณะกรรมการฯรวม 29 คน
ที่ประชุม พิจารณากรณีการเรียกกำลังพลสำรองเข้ารับราชการทหารตั้งแต่2 เดือนขึ้นไป. จึงเห็นควรให้นายจ้างหรือผู้ประกอบการสามารถ งดส่งเงินประกันสังคมในง่วงเวลาที่กำลังพลสำรองเข้ารับราชการทหาร
เมื่อลูกจ้างซึ่งเป็นกำลังพลสำรองเข้ารับราชการทหารในการที่จะต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง ตามจำนวนวันที่เข้ารับราชการทหาร เท่ากับ ค่าจ้างในการทำงานให้กับนายจ้างและผู้ประกอบการสามารถนำค่าจ้าง จำนวนนั้นมาลดหย่อนภาษีได้
นอกจากนี้ หลังจากรับราชการแล้ว สมควรจัดทำหนังสือขอบคุณให้กับนายจ้างและผู้ประกอบการที่อนุญาตให้กำลังพลสำรองมารับราชการทหาร
รวมทั้งให้นายจ้างและผู้ประกอบการที่ให้ความร่วมมือได้รับสิทธิ์ในการขอใช้สถานที่หรือสิ่งอำนวยความสะดวกของกองทัพเช่นสถานที่จัดกิจกรรม อบรม และจัดสัมมนา
นอกจากนี้ ให้สิทธิแก่นายจ้างหรือผู้ประกอบการที่ให้ความร่วมมือได้มีโอกาสเข้าอบรมในหลักสูตรต่างๆของกองทัพที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและความมั่นคงของประเทศ
นอกจากนี้ ยังให้สิทธิประโยชน์ให้กับกำลังพลสำรอง 12ข้อ คือ
1.การมีบัตรประจำตัวกำลังพลสำรองที่ทันสมัยและมีมาตรฐานเพื่อใช้แสดงตนในโอกาสต่างๆ
2. ได้สิทธิในการได้รับคะแนนเพิ่มพิเศษ กรณีสมัครสอบเข้ารับราชการทหาร
3. มีแนวทางการเลื่อนยศและขั้นเงินเดือนของกำลังพลสำรองอย่างเหมาะสมชัดเจน
4. ให้พิจารณาปลด ว่าที่ยศให้แก่กำลังพลสำรองที่เข้ารับราชการทหารและมีรายชื่อบรรจุกำลังของหน่วยกำลังพลสำรอง ครบตามระยะเวลาที่กำหนดได้รับการเลื่อนยศสูงขึ้นมากกว่า "ว่าที่พันตรี" กรณีได้รับการบรรจุรายชื่อลงในบัญชีบรรจุกำลังของหน่วยกำลังพลสำรองในตำแหน่งอัตราสูงกว่า "ว่าที่พันตรี"
5. ขอพระราชทานเพลิงศพและกองทหารเกียรติยศ
6. ได้สิทธิในการรักษาพยาบาลครอบคลุมถึงครอบครัวของกำลังพลสำรอง
7. สิทธิประโยชน์ด้านทุนการศึกษาครอบคลุมถึงครอบครัวของกำลังพลสำรอง
8. พิจารณาให้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดเห็นควร
9. เพิ่มสิทธิประโยชน์ในด้านการช่วยเหลือให้กำลังพลสำรองที่ได้รับอันตรายหรือเจ็บป่วยจากการเข้ารับราชการทหารเพื่อจูงใจในการสมัครเข้าเป็นกำลังพลสำรองของกองทัพ
10. ผลักดันให้มีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับกำลังพลสำรองให้ครอบคลุมตั้งแต่วันแรกที่มีชื่อ บรรจุในอัตราของหน่วยไปจนครบวาระตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายเนื่องจากสิทธิประโยชน์ของกำลังพลสำรองตามกฏหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องในปัจจุบันระบุ
11. ให้ได้รับสิทธิประโยชน์เฉพาะห้วงเวลาของการรับการฝึกและช่วงเวลาที่หน่วยเรียกเข้ามาปฎิบัติหน้าที่เท่านั้น
12. สิทธิประโยชน์ในเรื่องค่าอาหาร ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะควรปรับสูงขึ้นจากเดิมเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ที่ประชุม ยังมีการเสนอแนวทางการพัฒนากิจการกำลังพลสำรองของกระทรวงกลาโหมในช่วงเวลา5- 10 ปี ใน8 ประเด็น คือ
โดยให้กระทรวงกลาโหมร่วมกับเหล่าทัพกำหนดอัตราตำแหน่งการบรรจุในการเปิดรับสมัครบุคคลเข้าเป็นกำลังพลสำรองให้ครอบคลุมในทุกภารกิจที่กระทรวงกลาโหมต้องการเปิดรับสมัคร
รวมถึงให้เพิ่มประสิทธิภาพในการฝึกนักศึกษาวิชาทหารและทหารกองประจำการเพื่อให้มีทัศนคติที่ดีต่อกิจการทหาร และกิจการกำลังพลสำรอง
นอกจากนี้ให้กระทรวงกลาโหมส่งเสริมให้มีการจัดตั้งองค์กร ชมรม สมาคมกำลังพลสำรอง เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานกำลังพลสำรอง และเป็นเครือข่ายกำลังพลสำรอง ของกระทรวงกลาโหมให้ครอบคลุมในทุกจังหวัด
รวมทั้ง ให้กระทรวงกลาโหมร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำรูปแบบหรือแผนงานการปลดถ่าย กำลังพลสำรอง เมื่อพ้นเวลาการเป็นกำลังพลสำรอง
และให้ได้รับสิทธิ์เข้ารับราชการหรือทำงานในหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ
นอกจากนี้ให้มีการกำหนดตำแหน่งอัตราในการบรรจุกำลังพลสำรองที่มาจากนักศึกษาวิชาทหารหญิงหรือหญิงที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดลงในบัญชีกำลังพลสำรองของหน่วย
รวมทั้ง ให้กระทรวงกลาโหมกำกับดูแลการคัดเลือกทหารกองเกินและทหารกองหนุนเข้าเป็นกำลังพลสำรองตามมาตรา 15 วรรคสอง ของพระราชบัญญัติกำลังพลสำรองพ.ศ. 2558 ให้มีความบริสุทธิ์ยุติธรรมและมีการจัดอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง
รวมถึง การให้กระทรวงกลาโหมจัดทำคู่มืออธิบายการใช้พระราชบัญญัติกำลังพลสำรอง 2558 และกฎหมายลำดับรองแจกจ่ายให้หน่วยที่เกี่ยวข้องให้กลาโหมร่วมกับเหล่าทัพปรับปรุงหลักสูตรการฝึกนักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่1ถึงปีที่5 ให้เพิ่มหลักสูตรการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อให้นักศึกษาวิชาทหารที่จะเป็นกำลังพลสำรองในอนาคตเมื่อได้รับการเรียกกำลังพลสำรองเพื่อปฏิบัติราชการจะได้มีความรู้ความเข้าใจในการช่วย เหลือประชาชนและบรรเทาภัยพิบัติต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ การเรียกกำลังพลสำรองเพื่อปฏิบัติราชการในการช่วยเหลือประชาชนจากภัยพิบัติมณฑลทหารบกหรือหน่วยกำลังพลสำรองไม่ได้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณประจำปีเพื่อใช้จ่ายในการเรียกกำลังพลสำรองในการปฏิบัติราชการไว้จึงเห็นควรให้มีการจัดเตรียมงบประมาณสำรองเพื่อสนับสนุนการเรียกกำลังพลสำรองปฏิบัติราชการให้กับมณฑลทหารบกและหน่วยกำลังพลสำรอง
แต่ ทั้งหมดนี้ เป็นแค่ข้อเสนอ และอยู่ระหว่างการไปประสานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ดำเนินการตามที่พิจารณาว่าเหมาะสมหรือไม่

"พล.อ.เฉลิมชัย" สั่งคสช.ศึกษา"สัญญาประชาคม"ให้เข้าใจ ก่อนชี้แจงประชาชน

"พล.อ.เฉลิมชัย" สั่งคสช.ศึกษา"สัญญาประชาคม"ให้เข้าใจ ก่อนชี้แจงประชาชน
หลัง "นายกฯ"นำประชุม ปยป.วันนี้
ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.และ เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)เป็นประธานการประชุมสำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช. กล่าวว่า ร่างสัญญาประชาคมที่ผ่านเวทีสาธารณะใน 4 ภูมิภาค คณะกรรมการเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดอง ได้นำเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ในวันที่24กค. นั้น
พลเอกเฉลิมชัย ได้มอบหมายให้ทุกส่วนงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยเฉพาะกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ได้นำสัญญาประชาคมไปศึกษาให้เข้าใจถึงที่มาที่ไป กระบวนการจัดทำ และผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้น หากทุกภาคส่วนร่วมกันยึดถือตามสัญญาประชาคม ซึ่งจะทำให้บ้านเมืองมีความสงบสุข มีความรักความสามัคคี
ทั้งนี้ การมอบหมายให้มีการศึกษาสาระสำคัญของสัญญาประชาคม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชน ภายหลังจากที่มีการแถลงและประกาศสัญญาประชาคมอย่างเป็นทางการ
////

ตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนฯ จนท.รัฐแล้ว293 หน่วย ใน 69จ.

เผยตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนฯ จนท.รัฐแล้ว293 หน่วย ใน 69จ./เผยส่งเริ่อง จนท.รัฐทุจริต ให้ "ศอตช."/ส่วนเรื่องเดือดร้อน ส่ง สำนักปลัดนายกฯ
ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.และ เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)เป็นประธานการประชุมสำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช. กล่าวว่า พลเอก เฉลิมชัย กล่าวถึงการทำงานของศูนย์รับเรื่องร้องเรียนความประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ขณะนี้ได้จัดตั้งขึ้นแล้ว 293 หน่วย ใน 69จังหวัด ซึ่งมีประชาชนได้เข้ามาร้องเรียนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ระบบการทำงานของศูนย์ ค่อนข้างชัดเจน มีคณะทำงานกลั่นกรองเรื่องร้องเรียน ก่อนที่จะส่งให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบโดยตรงดำเนินการต่อ คือ เรื่องร้องเรียนการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ จะส่งเรื่องให้ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช)
ส่วนเรื่องที่เป็นความเดือดร้อนในการดำเนินชีวิตของประชาชน จะส่งให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พิจารณาช่วยเหลือตามความเหมาะสมต่อไป
พลเอก เฉลิมชัย มีความห่วงใยในข้อร้องเรียนที่ได้รับแจ้งจากประชน โดยเฉพาะที่เป็นเรื่องการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ ได้ย้ำให้เจ้าหน้าที่พิจารณาส่งเรื่องให้หน่วยงานต่างๆ ด้วยความรอบคอบ รวมเร็ว และให้มีการแจ้งให้ผู้ร้องได้รับทราบถึงความคืบหน้า หากมีข้อมูลในเรื่องดังกล่าวครบถ้วนแล้ว
///

คสช.ไม่ตื่นเต้น มวลชนแห่มาให้กำลังใจ"ยิ่งลักษณ์"วันชี้ชะตา

คสช.ไม่ตื่นเต้น มวลชนแห่มาให้กำลังใจ"ยิ่งลักษณ์"วันชี้ชะตา เชื่อ อยู่ในกรอบกม. ยันไม่มีมาตรการพิเศษอะไร มากกว่า ที่ผ่านมา เน้นดูแลปชช. ส่วนบางคนออกมาพูด ก็สไตล์เฉพาะตัว เชื่อ ส่วนใหญ่ไม่คล้อยตาม
พันเอกวินธัย สุวารี โฆษก คสช. กล่าวถึง
กรณีที่มวลชนจะมาให้กำลังใจ อดีตนายกฯ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ในวันตัดสินคดีจำนำข้าว25 สค.นี้ ว่า. ผู้บังคับบัญชา ยังไม่มีนโยบายพิเศษอะไรในเรื่องนี้ เป็นการเฉพาะเจาะจง อาจเป็นเพียงการประเมินไปเองของบางบุคคล
เพราะโดย ภาพรวมที่ผ่านมา ปัจจุบัน ปชช.ส่วนใหญ่เข้าใจ และให้ความร่วมมือในหลายๆเรื่อง มาตลอดอยู่แล้ว ซึ่งการแสดงออกที่ผ่านมาพบว่าส่วนใหญ่ก็อยู่ในกรอบกฎหมาย
ส่วนการให้ข่าวสารจากบางกลุ่มบางฝ่ายในบางมุมก็เป็นไปตามสไตล์เฉพาะตัว ที่สังคมคุ้นชิน แต่เชื่อว่าส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คล้อยตามอะไร
สำหรับแนวทางการดูแลความเรียบร้อยทั่วไปต่อจากนี้ คงไม่แตกต่างจากช่วงที่ผ่านมา ที่ให้ความสำคัญในทุกๆ พื้นที่อย่างเท่าเทียม ที่เน้นดูแล ปชช. และสนับสนุนงานของรัฐบาล ส่วนเหตุการณ์เฉพาะช่วงนี้คงยังไม่มีอะไร

เจ้าสำนักสันติอโศกสมณะโพธิรักษ์ ตอบปัญหาการเลือกตั้ง 4 ข้อของท่านนายกฯประยุทธ์

วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เจ้าสำนักสันติอโศกสมณะโพธิรักษ์ ตอบปัญหาการเลือกตั้ง 4 ข้อของท่านนายกฯประยุทธ์

เจ้าสำนักสันติอโศก สมณะโพธิรักษ์ ตอบปัญหาการเลือกตั้ง 4 ข้อของท่านนายกฯประยุทธ์
(อ้างอิงข้อมูลจาก เฟสบุค กองทัพธรรมFP)
อาตมาก็ได้ตอบคำถามสี่ข้อของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาไปแล้วนะ สมณะโพธิรักษ์ ตอบไปแล้ว ว่า
๑. ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่ 
ตอบว่า..ไม่ได้

๒. หากไม่ได้จะทำอย่างไร …
ตอบว่า...ก็ต้องยังไม่ให้มี “การเลือกตั้ง” จนกว่าจะมีการปฏิรูปให้สังคมประชาชนมีความรู้ในความเป็น
“อธิปไตย” ที่มี “ธรรม” เพียงพอ 

โดยเฉพาะผู้จะเป็นนักการเมือง_นักบริหาร_ข้าราชการต้องมี “อธิปไตย”ที่มี “ธรรม”เพียงพอก่อนประชา
ชนทั่วไป
ไม่เช่นนั้นมันก็ตลกหรือเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ เพราะ “แม่แบบ”ที่จะมาหล่อหลอม ยังเป็น “แม่แบบ”ที่ยัง
ไม่มี “ธรรมาธิปไตย”จริง แล้วจะเกิด “อธิปไตย”ที่เป็น “ธรรม”ในสังคมประชาชนได้อย่างไร
อธิปไตยที่เป็นธรรม หรือธรรมาธิปไตย คือผู้ที่ไม่เป็น “ทาส”อำนาจโลก (โลกาธิปไตย ) และไม่เป็น 
“ทาส”อำนาจอัตตา(อัตตาธิปไตย) ได้แล้วจริงๆ
สรุป คนหรือประชาชนจึงต้องมาศึกษาความเป็น “โลก” และ “อัตตา” แล้วอย่าให้อำนาจ (อธิปไตย) 
ของโลกของอัตตามันอยู่ “เหนือ”เรา เราต้องมี “ธรรม”เป็นอำนาจจึงจะกอบกู้โลกหรือสังคมได้สำเร็จจริง 
เรียกว่าผู้มี “โลกุตระ”
เป็นผู้มีคุณค่าประโยชน์ต่อมวลชน (พหุชนหิตายะ) เป็นผู้ทำความสุขให้แก่มวลชน (พหุชนสุขายะ) 
เป็นผู้ช่วยโลกอนุเคราะห์โลกอยู่(โลกานุกัมปายะ)

๓.๑ การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย
ตอบว่า...ไม่ใช่

๓.๒ แต่ การเลือกตั้งอย่างเดียวไม่คำนึงถึงเรื่องอนาคตของประเทศและเรื่องเงินอื่นยกตัวอย่างเช่น 
ประเทศชาติจะมียุทธศาสตร์และการปฏิรูปหรือไม่ ท่านคิดว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง
ตอบว่า...ไม่ถูกต้อง

๔.๑ ท่านคิดว่ากลุ่มนักการเมือง ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณี ควรจะมีโอกาสเข้ามาสู่การ
เลือกตั้งอีกหรือไม่
ตอบว่า...ไม่ควร

๔.๒ หากเข้ามาได้อีกแล้วจะให้ใครแก้ไข
ตอบ...ประชาธิปไตยเป็นของประชาชน ก็ต้องประชาชนนั้นเองจะต้องเป็นผู้แก้ ผู้บริหารจึงจะต้องทำ
ให้ประชาชนมี “ธรรม”เป็น “อธิปไตย”

๔.๓ แล้วควรแก้ไขด้วยวิธีอะไร
ตอบ...โดยวิธีเล่าเรียนศึกษาให้การปฏิบัติที่เน้นธรรมะกับประชาชน เมื่อ “ธรรมะ”มีจริงในประชาชน 
“อธิปไตย”ก็จะเป็น “ธรรมาธิปไตย”
เมื่อคนหรือประชาชนมี “ธรรมาธิปไตย”จึงจะสามารถ “อภิบาล”กันได้อย่างเป็น “ธรรม” สังคมก็จะมี 
“ธรรมาภิบาล”
โดยเฉพาะผู้มีตำแหน่งหน้าที่ จะเป็นผู้ “อภิบาล”ผู้อื่นหรือประชาชน ก็จำต้องเป็นผู้มี “ธรรมะ”ให้ได้
ก่อน จนเป็น “ธรรมาธิปไตย”ในตนเพียงพอจึงจะเป็น “ธรรมาภิบาล” หากผู้อภิบาลผู้อื่นมีแต่ “อธรรม”
หรือ “ธรรมะ”ไม่ “สัมมาทิฏฐิ” แท้ ก็ “อภิบาล”ผู้อื่นได้แค่ “อธรรม”
“ประชาธิปไตย”ก็เหลวเละอย่างเดิมแก้ไขไม่ได้
ขอยืนยันว่าจะแก้ไขความเป็น “ประชาธิปไตย”ได้สำเร็จดีจริงและยั่งยืนถาวรนั้น ต้องแก้กันที่ให้ “
ประชาชนมีธรรมะเป็นอธิปไตย” เฉพาะอย่างยิ่งผู้นำหรือนักการเมืองและข้าราชการต้องมี “ธรรมะ”
เป็น “อธิปไตย”เพียงพอก่อน
ไม่เช่นนั้นก็ล้มลุกคลุกคลานกันไปอยู่เช่นนี้ต่อไป

ลงชื่อ สมณะโพธิรักษ์ ผู้ตอบแบบสอบถาม 22 กรกฎาคม 2560

คลังส่ง 12 สมุดบัญชีเงินฝาก ‘ยิ่งลักษณ์’ ให้กรมบังคับคดี ดำเนินการยึดทรัพย์

คลังส่ง 12 สมุดบัญชีเงินฝาก ‘ยิ่งลักษณ์’ ให้กรมบังคับคดี ดำเนินการยึดทรัพย์

วันที่ 24 ก.ค. นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะกรรมการสืบทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เพื่อชดใช้ความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว วงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท ได้ส่งรายละเอียดทรัพย์สิน ได้แก่ สมุดบัญชีเงินฝากของอดีตนายกรัฐมนตรี จำนวน 12 บัญชี ให้กรมบังคับคดีเรียบร้อยแล้ว โดยส่งให้เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ส่วนกระบวนการหลังจากนี้เป็นหน้าที่ของกรมบังคับคดีว่าจะยึดทรัพย์อดีตนายกฯ ทันทีเลยหรือไม่ ส่วนคณะกรรมการสืบทรัพย์ของกระทรวงการคลังนั้น มีหน้าที่สืบทรัพย์เพียงอย่างเดียว หลังจากนี้จะรอหน่วยงานต่างๆ ที่ได้ส่งหนังสือเพื่อขอให้ตรวจสอบรายละเอียดทรัพย์สินของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ส่งข้อมูลกลับมา จะรีบทยอยส่งข้อมูลต่อให้กรมบังคับคดีเร่งดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ส่วนนี้มีระยะเวลาดำเนินการ 10 ปี
นายสมชัย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้คณะกรรมการสืบทรัพย์ โดยกระทรวงการคลังได้ส่งหนังสือไปยังหน่วยงานต่างๆ อาทิ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง กรมที่ดิน ให้ช่วยตรวจทรัพย์ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ และให้แจ้งกลับมาที่กระทรวงการคลัง เพื่อส่งข้อมูลต่อให้กรมบังคับดี ทำการยึดทรัพย์เพื่อนำมาชำระความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อไป

หมายเรียก"เสธอ้าย"112

ไปตามหมายเรียกของดีเอสไอ ช่วงเช้านี้ หลังถูกกล่าวหากระทำผิดม. 112 เสธอ้าย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เข้ารับทราบข้อกล่าวหาพร้อมชี้แจงในเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีเจตนาจากการเอาคำพูดที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทของกลุ่มคนที่จาบจ้วงโจมตีสถาบันมากล่าวซ้ำบนเวทีปราศรัย แต่ต้องการชี้ ให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวกระทำผิด112ที่ยังมีการดำเนินการอยู่ของคนบางกลุ่ม
เสธอ้ายกล่าวหลังชี้แจงดีเอสไอ ไม่หนักใจอะไร ได้ชี้แจงไปหมดในเรื่องที่เกิดขึ้น ทางดีเอสไอนัดมาให้ปากคำอีกครั้งปลายเดือนสค. ก่อนตัดสินใจจะส่งฟ้องในประเด็น 112หรือไม่..

ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้โทษคุก8ด.พล.ต.จำลองพวก บุกทำเนียบปี51

"ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้โทษคุก8ด. พล.ต.จำลองพวก บุกทำเนียบปี51"
ศาลอาญารัชดา นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีที่พนักงานอัยการคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสุริยะใส กตะศิลา เป็นจำเลยที่ 1-5 ฐานร่วมกันบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์
จากกรณี เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 จำเลยกับพวกได้ปราศรัยชักชวนให้ประชาชนกดดันให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น)ลาออก แล้วปิดล้อมเข้าควบคุมทำเนียบรัฐบาล ห้ามราชการเข้าปฏิบัติหน้าที่ ทำลายทรัพย์สินได้รับความเสียหาย
โดยคดีนี้ศาลชั้นต้น พิพากษาจำคุกจำเลยคนละ 3 ปี ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้1ใน3 คงจำคุกจำเลยไว้คนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ก่อนยื่นขอประกันตัว
ซึ่งเมื่อถึงเวลา นัด จำเลยทุกคนมาศาล และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัวนายสนธิ มาฟังคำพิพากษา
ศาลอุทธร์พิเคราะแล้วเห็นว่า โจทย์มีรองเลขาธิการ สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการสำนักสถานที่ดูแลรักษาความเรียบร้อย สันติบาล 4ปาก เบิกความถคงรายละเอียดเฟตุการที่ จ. ทั้ง6ที่เป็นแกนนำ และผู้ชุมนุม ที่เข้าไปในทำเนียบรัฐบาลและได้นำรถ6ล้อเข้าไปตั้งเวทีปราศรัย หน้าสนามหญ้าทำเนียบนัฐบาล มีการตัดโซ่ที่คล้องประตูสองชุ้นรวมทั้งผลักดันแผงเหล็กกะนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดไว้ เพื่อำอรักษาความปลอดภัย ซึ่งการกระทำนั้นส่งผลให้ เกิดความเสียหายต่อระบบรดน้ำ ,สนามหญ้าที่ตายทั้งหมด และระบบไฟในสนามหญ้า ศาลจึงเห็นว่าการกระทำของจำเลยนั้นเป็นการกระทำฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวสทบเนื่องกันแต่ผิดกฎหมายหลายบท การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาฐานบุกรุกนั้นชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยขอให้ศาลลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ โดยอ้างเหตุ ว่าจำเลยเป็นผู้มีการศึกษา มีสถานะทางสังคม และได้ทำงานสังคม อีกทั้งไม่เคยต้องโทษในคดีอาญามาก่อน กับการชุมนุทนั้นก็เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะนั้น ศาลเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการบุกรุกทำเนียบรัฐบาลซึ่งเป็นสถานที่ราชการ ซึ่งการที่จำเลยจะใช้เสรีภาพนั้นก็จะต้องไม่กระทบต่ออำนาจหน้าที่อื่น และเพื่อไม่ให้การกระทำของจำเลยนั้นเป็นเยี่ยงอย่าง แต่เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของพวกจำเลยมิได้เป็นประโยชน์เพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน จึงเห็นควรพิพากษาลงโทษให้เหมาะสมกับพฤติการณ์จึงพิพากษาแก้ จากเดิมที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 2 ปี ให้เป็นจำคุก1ปี โดยลดโทษให้1ใน3 คงจำคุกจำเลยทั้ง6 เป็นเวลาทั้งสิ้น 8เดือนโดยไม่รอลงอาญา
ต่อมา นายสุวัฒน์ อภัยภักดิ์ ทนายความเปิดเผยว่า เตรียมยื่นหลักทรัพย์ สำหรับ5แกนนำคนละไม่เกิน1แสนบาท ส่วนนายสนธิ ไม่ได้ยื่นเนื่งจากถูกจำคุกในคดีอื่น โดยจะพยายามยืนฎีกาต่อสู้คดีให้ทันภาบในวันนี้ด้วย
ด้านบรรยากาศ มีประชาชนเข้าร่วมฟังคำพิพากษาและให้กำลังใจจำเลยเป็นจำนวนมากจนล้นห้องพิจารณาคดี....นิว18