PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ลุงตู่รู้ยัง?“พันศักดิ์ วิญญรัตน์” “จอมยุทธ์หูกระต่าย”มาแล้ว

ลุงตู่รู้ยัง?“พันศักดิ์ วิญญรัตน์” “จอมยุทธ์หูกระต่าย”มาแล้ว

คนในข่าว  :  12 ก.ค. 2560
4.3K
ประธานทีมที่ปรึกษาบ้า, เครือข่ายทักษิณ, อดีตนายกฯ ทักษิณ, แม้ว, ทักษิโณมิค, สุดารัตน์ เกยุราพันธ, หญิงหน่อย, คุณหญิงสุดารัตน์ เกย, รัฐบาลไทยรักไทย, พรรคไทยรักไทย, วิญญรัตน์, พันศักดิ์ วิญญรัตน์, จอมยุทธ์หูกระต่าย, หูกระต่าย, คุณหญิงสุดารัตน์, เอไอไอบี, พันศักดิ์, คุณหญิงหน่อย, ทักษิณ ชินวัตร, ทักษิณ

จำได้มั้ย “พันศักดิ์ วิญญรัตน์” นักคิดแห่งยุคสมัยทักษิโณมิกส์ อะไร ยังไง เขากำลังหวนกลับมา ว่าแต่มาทำอะไรกันแน่???

                    หายไปนาน..จู่ๆ สุภาพบุรุษ “หูกระต่าย” ก็โผล่ที่ปักกิ่ง!!
                    ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ “พันศักดิ์ วิญญรัตน์” นักคิดแห่งยุคสมัยทักษิโณมิกส์เฟื่องฟู  ทำเอาคอการเมืองรู้สึกตื่นเต้น เหมือนบรรยากาศเก่าๆ กำลังจะหวนกลับมา
                    จากกรณี “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” เดินทางไปเยือนจีน ในฐานะแขกของกระทรวงวิเทศสัมพันธ์ พรรคคอมมิวนิสต์จีน
                    คิววันแรก พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้จัดให้ “คุณหญิงสุดารัตน์” เข้าร่วมประชุมกับประธานธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (เอไอไอบี) เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและหารือเรื่องนโยบายของธนาคารเอไอไอบี ที่มีต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของไทยและภูมิภาคอาเซียน
                    ที่น่าสนใจในโต๊ะประชุมวันนั้น ปรากฏว่า ตัวแทนฝ่ายไทยมี “พันศักดิ์” ร่วมอยู่ห้องประชุมนั้นด้วย
                    พอกลับเมืองไทยแล้ว “คุณหญิงหน่อย” จึงชี้แจงว่า พันศักดิ์ไม่ได้ร่วมคณะไปจากเมืองไทย แต่ได้ช่วยประสานงานให้ จนได้ร่วมประชุมกับประธานธนาคารเอไอไอบี
                    การขยับกายของ “พันศักดิ์” ย่อมถูกจับตามอง
                    เนื่องจาก “พันศักดิ์” เป็นนักคิดที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ให้ความไว้วางใจ สมัยรัฐบาลไทยรักไทย เขาจึงรั้งตำแหน่งประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี 
                    พันศักดิ์เคยอธิบายบทบาทที่ปรึกษาไว้ว่า “บางวันผมคิดอะไรไม่ออกก็นั่งฟังเพลง บางวันคิดออกเป็นพันเรื่อง”
                    มันสมองของ “ทักษิณ” คนนี้ มีบิดาเป็นนายแบงก์ จึงมีไลฟ์สไตล์แบบปัญญาชนหัวนอก
                    ประยูร วิญญรัตน์ บิดาของพันศักดิ์ เป็นผู้ก่อตั้งธนาคารกรุงเทพ รุ่นเดียวกับนายชิน โสภณพนิช ทั้งพี่เขยและพี่ชายก็เป็นผู้บริหารระดับสูงมากๆ ที่ธนาคารกรุงเทพ
                    พันศักดิ์จบปริญญาตรีด้านกฎหมายระหว่างประเทศจากอังกฤษ จากนั้นกลับมาทำงานอยู่ฝ่ายวิชาการ ธนาคารกรุงไทย ในช่วงสั้นๆ เริ่มอาชีพนักข่าวกับหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษรายวัน Bangkok World และสำนักข่าวต่างประเทศ
                    นอกจากเป็นนักข่าวแล้ว เขายังเป็นผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการหนังสือพิมพ์จตุรัสรายสัปดาห์ หนังสือพิมพ์ที่ได้รับความนิยมจากปัญญาชนในยุคนั้นอีกด้วย
                    หนังสือพิมพ์จตุรัสรายสัปดาห์ แบ่งออกเป็น 3 ยุค ยุคที่ 1 เริ่มในปี 2513 ทำได้ 4 ฉบับก็ถูกสั่งปิด ยุคที่ 2 เริ่มในปี 2518 เมื่อเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ก็ถูกสั่งปิดอีก 
                    คราวนี้เขาถูกจับติดคุกด้วยในฐานะบรรณาธิการ แต่ต่อมาทางการยอมปล่อยตัว เพราะได้รับการร้องขอจากรัฐบาลสหรัฐโดยตรง 
                    นั่นเป็นเหตุให้เขาต้องหนีภัยการเมืองไปอยู่สหรัฐอเมริกาประมาณ 2 ปี จตุรัสยุคที่ 3 เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2524 ต่อเนื่องจนถึงมิถุนายน 2527 จึงเลิกกิจการไปเพราะหมดเงินสนับสนุน
                    ข้อเขียนของพันศักดิ์ปรากฏอยู่ในคอลัมน์ “เส้นขนานจตุรัส” ว่าด้วยการเคลื่อนไหวของสายลับมหาอำนาจในไทย พร้อมๆ กับคอลัมน์ “เสียงเพลง” ซึ่งต่อมาเป็น “ศักดิ์เสียง” ก็ได้รับการสนองตอบจากผู้อ่านไม่น้อย ในฐานะที่รู้ลึกและศึกษาอย่างจริงจัง
                    ความคิดทางเศรษฐกิจของเขาได้ถูกนำไปปฏิบัติ เมื่อครั้งที่เป็น “ประธานทีมที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก” ของรัฐบาลชาติชาย
                    ทีมงานขณะนั้น ประกอบด้วย ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ, สุรเกียรติ์ เสถียรไทย และบวรศักดิ์ อุวรรณโณ โดยแนวคิดที่สำคัญของพันศักดิ์ในขณะนั้น คือ การเสนอยุทธศาสตร์ประเทศไทยในภูมิภาคอินโดจีน โดยเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า
                    เมื่อรัฐบาลชาติชายถูกล้มลงจากการรัฐประหารของกลุ่มทหาร พันศักดิ์ต้องไปอยู่อังกฤษพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาทำหนังสือพิมพ์ ASIA TIMES ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่กรุงเทพฯ
                    บทบาทของเขาโดดเด่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเข้ามาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และร่างนโยบายเอสเอ็มอีให้แก่พรรค กระทั่งกลายเป็นนโยบายของรัฐบาลทักษิณ
                    ปี 2547 ในฐานะประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี เขาได้เป็นบรรณาธิการจัดพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา ว่าด้วยที่มาที่ไปของนโยบายทางเศรษฐกิจ ซึ่งเรารู้จักกันในนาม “ทักษิโณมิกส์”
                    หลังทหารยึดอำนาจ 2549 พันศักดิ์ก็เร้นกายหายไปจากเมืองไทยอยู่พักใหญ่ กระทั่งมีรัฐบาลพรรคพลังประชาชน เขาก็แอบมาช่วยงานรัฐบาลสมัครแบบเงียบๆ
                    จวบจน ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีการแต่งตั้งพันศักดิ์เป็นประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ตำแหน่งเดียวกับที่ได้รับการแต่งตั้งสมัยอดีตนายกฯทักษิณ
                    เมื่อปลายปีที่แล้ว พันศักดิ์ ในฐานะพยานจำเลย คดีจำนำข้าว ได้ไปเบิกความที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
                    พันศักดิ์เบิกความตอบทนายความจำเลยว่า นโยบายจำนำข้าว เป็นการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ จะส่งผลทำให้ระบบเศรษฐกิจเกิดความเคลื่อนไหว มีแรงกระเพื่อม ไม่ว่าเงินที่นำมาใช้นั้นจะเป็นในส่วนใดผลก็คือ ก่อให้เกิดการอุปโภคบริโภค ส่งผลดีต่อโครงสร้างอุตสาหกรรม ทำให้รักษาระดับการจ้างงานคงอยู่ 
                    การดำเนินโครงการสาธารณะเปรียบเหมือนการนำเงินของประชาชนเอาไปให้ประชาชน โดยผลสุดท้าย เงินก็จะย้อนกลับสู่รัฐในรูปของภาษี
                    นี่คือวิธีคิดแบบพันศักดิ์ แบบทักษิโณมิกส์ 
                    ย้อนกลับไปสมัยไทยรักไทยรุ่งเรือง ก็ไม่เห็นรอยเชื่อมต่อระหว่าง “สุดารัตน์” กับ “พันศักดิ์” 
                    ฉะนั้น ผู้ที่ดึงพันศักดิ์เข้ามาทำหน้าที่ “ประสานงาน” ให้คุณหญิงหน่อยในเมืองจีน ย่อมไม่ใช่ใครที่ไหน...คอการเมืองอ่านขาดว่า “วงใน” ตระกูลชินวัตร คิดอ่านอะไรกันอยู่?

เปิดเวทีเล็กเช็กระบบ

เปิดเวทีเล็กเช็กระบบ

ถึงนาทีนี้ ลีลาของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ที่ฟึดฟัดออกอารมณ์ ว้ากใส่สื่อถี่ๆกับสารพัดปมร้อนๆ ยังได้ผล

สยบทุกปมปัญหา ชะลอดีกรีได้แทบทุกชนวนร้อนเหมือนกัน

เอาแค่เรื่องใหญ่ ระดับซุปเปอร์เมกะโปรเจกต์จัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ล่าสุด กับเครื่องบินฝึกรบจากประเทศเกาหลีใต้ 8 พันล้านบาท รวมแล้ว 3 ปี ตั้งแต่เรือดำน้ำ เครื่องบิน รถถัง รถหุ้มเกราะ

สรุปมูลค่าจัดซื้อครบทุกเหล่า น้ำ ฟ้า ฝั่ง ตัวเลขกลมๆ 70,000 ล้านบาท

อาศัยเครดิตผู้นำชิ่งจากมุม เคลียร์ทางโล่งได้

โปรแกรมอำนาจก็ยังเดินหน้าไปไม่สะดุด ในห้วงเวลาที่กำลังวางพิมพ์เขียวประเทศไว้ยาว ตั้งแต่เร่งเครื่องการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ เดินเครื่อง ป.ย.ป.ในโค้งสำคัญ แผนปรองดองก็อยู่ในขั้นตระเวนรับฟังความเห็นทั่วประเทศ และวางเกมยาว คลอดแผนตั้งทีมยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

คอนโทรลทุกอย่าง “อยู่มือ”

ขณะที่สารพัดปัญหาปากท้องชาวบ้าน ที่ยังโวได้ไม่เต็มปากเต็มคำ ล่าสุดปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะยางพารา ที่เคยเป็นปมกระแทกหลายรัฐบาลจนซวนเซล้มคว่ำ

ผู้นำยกกระบองยักษ์ ม.44 ขู่ ที่เคยเฮี้ยว ร้องเหมียวๆเป็นแถว

แต่ปมปัญหาปากท้องชาวบ้านก็ยังเป็นโจทย์ใหญ่ ที่ทางหนึ่ง ทีมรัฐบาลโดยเฉพาะ กัปตันทีมเศรษฐกิจ ต้องเร่งเคลื่อนกลไกการค้าการลงทุน โดยเฉพาะเมกะโปรเจกต์ ที่เริ่มขยับกันเป็นแผง

อีกทางคิวอัดฉีดฐานรากก็ต้องทำต่อเนื่อง ชนิดนับรวมงบฯมหาศาล อัดฉีดฐานรากเต็มพิกัด ทั้งกองทุนหมู่บ้าน โครงการอัดฉีดหมู่บ้าน-ตำบล ล่าสุดเทงบฯลอตใหญ่ 2.5 หมื่นล้านบาท ดูแลไปถึงต้นทางกลุ่มเกษตรกร ฯลฯ

ตามตัวเลขช่วยเหลือคนจน ที่กัปตันทีมเศรษฐกิจเคยประกาศไว้ ไม่ต่ำกว่า 9 แสนล้านบาท

ทุ่มงบฯอุ้มคนจนชนิดยอดทะลุเกินโครงการจำนำข้าวกันเลย

ก็เลยวกกลับมาโฟกัสที่คิวเลือกตั้งตามโรดแม็ป 2561 ที่ดูแล้วน่าจะเดินไปตาม โปรแกรมได้ไม่ยาก

ถึงคิว “บิ๊กตู่” ปล่อยของเอง นอกจากย้ำแผนเลือกตั้ง ยังเซอร์ไพรส์ด้วยคิวแทรก ส่งสัญญาณหลังจากเสร็จสิ้นจากงานพระราชพิธีสำคัญ 2 งานพระราชพิธี เตรียมตัวกันไว้

นำร่องจัดการ “เลือกตั้งท้องถิ่น” ทั้ง อบจ. อบต.เมืองพัทยา กรุงเทพมหานคร ที่ติดล็อกอยู่

แต่ที่จริงก็คงไม่เกินคาดการณ์นัก เพราะไม่กี่เดือนก่อน ก็เป็น “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกฯ และ รมว.กลาโหม ก็เคยแย้มแผนกับรองประธาน สนช. ในเรื่องนี้มาแล้ว
ยกเหตุผลเพื่อแก้ปัญหาการเมืองแทรกแซง

พร้อมๆกับกระแสข่าว “พี่รอง” อย่าง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มท.1 ก็เห็นพ้องคิวนี้

แล้วถึงนาทีนี้เงื่อนไขสำคัญ ทั้งกฎหมาย กกต. กฎหมายพรรคการเมือง ก็จวนจะสะเด็ดน้ำแล้ว
ถึงจังหวะที่ “น้องเล็กบูรพาพยัคฆ์” เล่นลูกสอดคล้อง

3 ป. ส่งสัญญาณตรงกัน ไฟเขียวเลือกตั้งท้องถิ่น

ก็น่าจะเป็นตามที่หลายฝ่ายประเมิน โปรแกรมนี้คือการทดสอบเครื่องมือกลไกจัดการเลือกตั้ง

ในจุดที่อำนาจพิเศษจัดทัพไว้พร้อม ทั้งวางคนวางตัวข้าราชการ เสริมทัพด้วยท็อปบูตปีก กอ.รมน. มีมาตรการทลายห้างมาเฟียขาใหญ่ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ต่างๆมาต่อเนื่อง

บวกด้วยนโยบายอัดฉีดฐานรากทั่วไทยด้วยเม็ดเงินมหาศาล ด้วยยุทธศาสตร์ “ประชารัฐ”

ภาครัฐ-ราชการยิงตรงประชาชน กันนักการเมืองเป็น “ส่วนเกิน”

ถึงห้วงนี้ จึงน่าจะถึงเวลาเหมาะในการทดสอบระบบ เช็กปุ่มคอนโทรลทำงานมีประสิทธิภาพหรือไม่
เพื่อความชัวร์ก่อนจุดวัดดวง เปิดสนามเลือกตั้งใหญ่.

ทีมข่าวการเมือง

วันแรกศ.ร้องเรียนร้อยกว่าสาย

ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน บก.ทบ. สุดฮ็อท!! ระดมทีมโฆษก ทบ.-คสช. รับสายเอง
วันแรก hotline 1299 กว่า100 สาย เผยประชาชนส่วนใหญ่ ร้องเรียน เรื่องการตั้งด่านของตำรวจ ถูก จนท.รีดไถ เรื่องแรงงานต่างด้าว และ แจ้งเบาะแส ยาเสพติด...โดยมี ทีมงานโฆษก ทบ.-คสช.นำทีมโดย พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกฯคสช. และทีมทหาร หน้าตาดี ของ สำนักงานเลขานุการกองทัพบก

วงศ์เทวัญ.....สยายปีก

วงศ์เทวัญ.....สยายปีก
โผโยกย้ายในส่วนกองทัพภาค1 ...มีการโฟกัสไปที่ เก้าอี้ ผบ.พล.1รอ. หน่วยคุมกำลังสำคัญ หรือ ขุมปฏิวัติ ในยุคเปลี่ยนผ่าน....เสธ.อ๊อบ พันเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี รองผบ.พล.1รอ. ถูกมองว่า จ่อจะขึ้น ตามเส้นทางเหล็ก เส้นทางเดินเดียวกับ บิ๊กตุ๋ย พล.อ.อิสระพงศ์ ผู้บิดา.....แต่ด้วยหลายปัจจัย ทำให้ คาดว่า จะได้ขึ้น พลตรี ในตำแหน่ง ผบ.มทบ.11 แทน.. เสธ.หนุ่ม พลตรีสนิธชนก สังขจันทร์ เพื่อน ตท.24 ที่คาดว่าจะขยับไปเป็น ผบ.พล.ร.11
คาด บิ๊กช้าง พลตรีเอกรัตน์ ช้างแก้ว เสธ.ทัพน้อย1 อดีต ผบ.ร.1รอ.และรอง ผบ.พล.1รอ. จาก ตท.23 จะได้ขึ้นเป็น ผบ.พล.1 รอ. แทน บิ๊กบี้ พลตรี ณรงค์พันธุ์ จิตต์แก้วแท้ ที่ขึ้นเป็น รองแม่ทัพภาค1
โดยที่ "บิ๊กบี้" สายวงศ์เทวัญ ถูกจับตามอง ถึงการชิงเก้าอี้แม่ทัพภาค 1 ในปีหน้า กับ เพื่อน ตท.22 จากค่ายบูรพาพยัคฆ์ ทั้ง บิ๊กหนุ่ย พลตรีธรรมนูญ วิถี และ บิ๊กติ่ง พลตรีสันติพงษ์ ธรรมปิยะ รองแม่ทัพภาค1

ที่มา : FB วาสนา นาน่วม

จับตาโผ ทบ.

คราวนี้ ทำใจลำบาก !!
คาดกันว่า บิ๊กแดง พลโท อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาค1 ที่ ลอยลำขึ้น ผช.ผบ.ทบ. นั่งห้าเสือ ทบ. รอคั่วเก้าอี้ "ทบ.1"ในปลายปีหน้า นั้น ได้เสนอชื่อ บิ๊กตู่เล็ก พลโท กู้เกียรติ ศรีนาคา แม่ทัพน้อยที่1 เป็น แม่ทัพภาค1 คนใหม่ ในฐานะ คนใน และอาวุโส ที่สุด นอกเหนือจาก ที่เป็นเพื่อนตท.20 ที่เคยชิงเก้าอี้ตัวนี้กันมาเมื่อปีที่แล้ว.....รอดูว่าชื่อ พลโทกู้เกียรติ ที่ บิ๊กป้อม หนุนมาตั่งแต่ปีที่แล้ว มาปีนี้ จะผ่านด่าน นายกฯบิ๊กตู่หรือไม่ เพื่อมาเป็น แม่ทัพคุมกำลัง ในยุคเปลี่ยนผ่าน.....ถือ เป็น สายบูรพาพยัคฆ์ ที่เติบโต มากับ "3ป.".....โดยมี รุ่นน้อง ตท.22 จากค่ายบูรพาพยัคฆ์ เหมือนกัน ทั้ง บิ๊กหนุ่ย พลตรีธรรมนูญ วิถี และ บิ๊กติ่ง พลตรีสันติพงษ์ ธรรมปิยะ ทหารเสือราชินี. รองแม่ทัพภาค1 เป็น แคนดิเดท ที่มาแรง แถมเป็น น้องรักนายกฯบิ๊กตู่....แต่คาดกันว่า พลตรีธรรมนูญ จะขึ้นเป็น พลโท แม่ทัพน้อย1 ก่อน แล้วไปชิง แม่ทัพภาค1 กับ พลตรีสันติพงษ์ ในโยกย้ายปลายปีหน้า
โดยมี บิ๊กบี้ พลตรี ณรงค์พันธุ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.พล.1รอ. เพิ่อนตท.22 สายวงศ์เทวัญ ที่โผนี้ คาดว่า จะขึ้น รองแม่ทัพภาค1 เป็น แคนดิเดท แม่ทัพภาค1 ในปีหน้า ด้วยอีกคน
น้องรัก นายกฯบิ๊กตู่ บิ๊กป้อม ที่เก่งๆ มีฝีมือ ทั้งนั้น. คนเป็นพี่ คง ทำใจลำบาก ว่าจะเลือกใครดี ที่เหมาะสมที่สุด กับสถานการณ์ในวันนี้ และวันหน้า ที่ไม่รู้ว่า อะไรจะเกิดขึ้น....แต่ว่ากันว่า ฟ้าลิขิต ไว้แล้ว

ถ้าร้องเรียน ทหาร ใครจะกล้า มาร้องเรียนศูนย์ฯในค่ายทหาร??

ถ้าร้องเรียน ทหาร ใครจะกล้า มาร้องเรียนศูนย์ฯในค่ายทหาร??
‪"บิ๊กป้อม" ยันมาร้องเรียนทหารทุจริต ได้ แต่ขอให้เป็นเรื่องจริง
ชี้ ตอนนี้ หน่วยในค่ายทหาร ไม่ใช่แค่เปิด เป็นศูนย์ร้องเรียน ข้าราชการจนท.รัฐ ทุจริต เท่านั้น แต่ยังรับแจ้ง เรื่อง แรงงานต่างด้าว ที่เป็นผลจากการใช้ ม.44 ยืดเวลา บังคับใช้พรบ.แรงงานต่างด้าว ด้วย
ส่วนการตั้งศูนย์ร้องเรียนในหน่วยทหาร ถ้าคนอยากร้องเรียน ทหารทุจริต จะกล้ามาร้องเรียนทหาร หรือไม่นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า มาได้ มาร้องเรียนทหารได้ ได้หมด หรือส่งมาทางตู้ปณ.444 ก็ได้ แต่ขอให้จริง
ส่วนกลัวว่า จะไม่เป็นความลับ นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่ต้องห่วง ขอให้เรื่องที่ร้องเรียนมาเป็นเรื่องจริง. อย่าเป็นการกลั่นแกล้ง ใส่ร้าย
เมื่อถามว่า เป็นการโยนงานหิน ให้ทหารทำหรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ทหารทำได้หมด

จับตากม.รือคดีย้อนหลังเป้า"ทักษิณ""ยิ่งลักษณ์"อาจโดนเต็มๆ

“ทักษิณ”ส่อชะตาขาด เซ่นสนช.ลงมติไฟเขียวร่างกฎหมายฟัน “นักโกงเมือง” ลุ้นหลังกฎหมายบังคับใช้ มีสิทธิถูกรื้อคดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองมาพิจารณาลับหลังได้ทันที ชี้ซวยถึง “น้องปู” ขืนหนีคดีจำนำข้าว ต้องหยุดนับอายุความทันที
ความคืบหน้าภายหลังจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเอกฉันท์ 176 เสียง เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พรป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเปิดช่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งนักการเมือง รับฟ้องและสามารถพิจารณาคดีลับหลังนักการเมืองที่ถูกยื่นฟ้องคดีต่อศาล แต่มีพฤติกรรมหลบหนีคดีได้ รวมถึงไม่ให้นับอายุความของคดีในระหว่างที่จำเลยหลบหนีคดี (อ่านรายละเอียดข่าว : เชือดนิ่มๆนักโกงเมือง! สนช.ไฟเขียวกม.ฟ้องลับหลัง-หนีคดีไม่มีอายุความ)
สนช.ปัดพุ่งเป้าออกกม.ฟันโกงเชือดใคร
โดยเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม นายสมชาย แสวงการ โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว ได้เปิดเผยภายหลังการพิจารณาของ สนช. ว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้มีเจตนาเพื่อบังคับใช้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะ เพราะการใช้กฎหมายจะต้องบังคับกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน คือ การบังคับใช้กับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกระดับ รวมไปถึงบุคคลที่ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระด้วย
ต้องให้ไต่สวนลับหลัง-ดัดสันดานหนีคดี
ขณะเดียวกัน การกำหนดให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสามารถไต่สวนลับหลังจำเลยได้ตามกฎหมายนั้น เพราะต้องการให้กระบวนการยุติธรรมในการตรวจสอบการทุจริตสามารถเดินไปได้ แม้ว่าจะไม่มีตัวจำเลยมาปรากฏตัวต่อศาลก็ตาม อย่างไรก็ตาม การไต่สวนคดีลับหลังจำเลยจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อจำเลยได้หลบหนีภายหลังมีการออกหมายจับ
นายสมชาย กล่าวว่า ที่ผ่านมาเมื่อเกิดเหตุที่จำเลยหนี ไม่ว่าก่อนหรือระหว่างการพิจารณาคดี ส่งผลให้ศาลจำเป็นต้องจำหน่ายคดีเป็นการชั่วคราว แต่สำหรับกฎหมายฉบับใหม่นี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสามารถพิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้ เพื่อไม่ให้กระบวนการสะดุดลง
ความซวยมาเยือน“แม้ว”ส่อถูกจับเซ่น
อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวจาก สนช. แจ้งว่า การที่ สนช. ให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อาจส่งผลต่อคดีของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกศาลจำหน่ายออกจากระบบชั่วคราว เนื่องจาก นายทักษิณ อยู่ระหว่างหลบหนีคดี
ทั้งนี้สืบเนื่องจากในบทเฉพาะกาล มีการระบุถึงคดีที่ได้ยื่นฟ้องและได้ดำเนินการไว้ก่อนที่กฎหมายบับนี้บังคับใช้ ให้ดำเนินการต่อไปตามพ.ร.ป.นี้ทั้งหมด
เปิดบัญชีดำโดนไม่ต่ำกว่า4คดี
โดยปัจจุบันมีคดีที่ นายทักษิณ ถูกออกหมายจับโดยศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอยู่ 5 คดี ประกอบด้วย 1.คดีทุจริตปล่อยกู้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงค์) ให้กับรัฐบาลพม่าวงเงิน 4,000 ล้านบาท  เป็นการออกหมายจับ นายทักษิณ เมื่อ 16 กันยายน 2551 เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ หลบหนีคดี เพื่อติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มาฟังการพิจารณาของศาลนัดแรก 2.คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษเลขท้าย 2 และ 3 ตัว (หวยบนดิน) เป็นการออกหมายจับเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2551 เพื่อติดตามตัว นายทักษิณ มาพิจารณาคดีนัดแรก
3.คดีทุจริตแปลงสัมปทานมือถือ-ดาวเทียม เป็นภาษีสรรพสามิต เป็นการออกหมายจับเมื่อวันที่  15 ตุลาคม 2551 เพื่อติดตามตัวมาพิจารณาคดีนัดแรก 4.คดีการทุจริตกรณีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้ บริษัทกฤษฎามหานคร โดย นายทักษิณ ถูกอัยการยื่นฟ้องเป็นจำเลยที่ 1 กับพวกรวม 27 คน ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามมาตรา 157 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 โดยศาลได้ออกหมายจับเนื่องจาก นายทักษิณ ไม่มารายงานตัวต่อศาลในการนัดสอบคำให้การนัดแรก เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2555 และ 5.คดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกมูลค่า 772 ล้านบาทเศษ ตามคำพิพากษาที่ให้จำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเวลา 2 ปี โดยออกหมายจับเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2551
อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีที่ 5 นั้น ศาลได้มีคำพิพากษาจนถึงที่สุดแล้ว โดยให้จำคุก นายทักษิณ เป็นเวลา 2 ปี นอกจากนี้ นายทักษิณ ยังถูกศาลอาญาออกหมายจับเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 ในคดีก่อการร้ายอีกหนึ่งคดี แต่สำหรับคดีนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การพิจารณาของกฎหมายฉบับนี้
รวมคดีจำนำข้าว“ยิ่งลักษณ์”ด้วย
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า นอกจากคดีของ นายทักษิณ แล้ว ยังรวมถึงคดีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จากกรณีไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวจนทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย
ขณะที่ นายอุดม รัฐอมฤต คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ในฐานะกมธ.วิสามัญฯ เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า หากกฎหมายมีผลบังคับใช้ จะทำให้คดีเก่าที่ยังไม่ขาดอายุความ ต้องไปใช้ขั้นตอนเเละหลักเกณท์การพิจารณาคดีตามกฎหมายฉบับใหม่ ส่วนที่ขาดอายุความไปแล้ว ไม่นับ ดังนั้นหากจำเลยในคดีเก่าที่ยังไม่หมดอายุความ มีพฤติกรรมหลบหนีระหว่างพิจารณาคดี การนับอายุความต่างๆ ก็จะต้องหยุดลงตามกฎหมายใหม่ทันที

กองกำลังรับจ้างฆ่า โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน

กองกำลังรับจ้างฆ่า โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน



พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.
ไม่น่าเชื่อว่า ในบ้านเมืองนี้ ยังมีเหตุการณ์เข่นฆ่ากันอย่างอุกอาจไม่เกรงกลัวกฎหมายเช่นนี้ กรณีกลุ่มชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธบุกเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งที่ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ จับผู้คนถึง 11 คน มากักตัวเอาไว้ ก่อนยิงทิ้งทีละราย จนตายไปถึง 8 ศพ ส่วนอีก 3 ชะตาไม่ถึงฆาต ได้รับบาดเจ็บสาหัส

แถมชายฉกรรจ์จำนวน 6-7 คน ในชุดลายพรางคล้ายเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ ยังลงมืออย่างใจเย็น สบายๆ ใช้เวลาประมาณ 7-8 ชั่วโมง ตั้งแต่เย็นจนถึงเที่ยงคืน

ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น

อีกทั้งแม้ว่าคนร้ายจะใช้ปืนสั้นของเหยื่อที่อยู่ภายในบ้าน มาเป็นอาวุธในการลงมือสังหาร เพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยอาวุธของตนเอง

แต่จากปากคำพยานเอกที่รอดตาย ยืนยันว่า ตอนที่ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้บุกเข้ามาจี้จับตัว ได้ใช้อาวุธที่พกพามาเป็นปืนยาว ซึ่งคงจะเป็นอาวุธสงคราม พวกเอ็ม-16 อาก้า อะไรทำนองนั้น

นั่นเท่ากับว่า คนกลุ่มนี้ขับรถมา 2 คัน เดินทางมาก่อเหตุ แล้วขับออกไปหลังจากฆ่าหมู่
จะต้องสัญจรไปบนท้องถนน พร้อมมีอาวุธสงครามหลายกระบอกในรถด้วย

ต้องเป็นกลุ่มคนร้ายที่ไม่กลัว แม้อาจจะต้องเจอด่านตรวจของตำรวจตามเส้นทางต่างๆ ด้วย

พฤติกรรมเหล่านี้ จึงต่างไปจากมือปืนรับจ้างทั่วไป ต่างไปจากนักเลงอันธพาลในท้องถิ่น

จนเริ่มสงสัยว่า มีกองกำลังติดอาวุธรับจ้างฆ่าหมู่อยู่จริงๆ หรือ

ถ้าย้อนไปดูเหตุการณ์ฆ่าหมู่สะเทือนขวัญในอดีต เอ่ยขึ้นมาทั่วทั้งสังคมยังจำได้ดี โดยเป็นการเข่นฆ่าอย่างอำมหิตในพื้นที่ภาคใต้ ไม่ไกลจากอ่าวลึก กระบี่ ที่เกิดเหตุล่าสุดนี้เท่าใดนัก

เหตุการณ์เมื่อเดือนเมษายน 2540 ซึ่ง ศักดิ์ ปากรอ หนุ่มวัย 20 เศษ พร้อมเด็กวัยรุ่นอีกคน ลงมือฆ่าล้างครัวตระกูลบุญทวี 5 ศพ ภายในบ้านพักที่ อ.สิงหนคร จ.สงขลา

โดยหัวหน้าสถานีอนามัยกับลูกวัย 10 ขวบ อีก 3 คน ถูกมัดแล้วแขวนคอกับราวบันไดรวม 4 ศพ เป็นที่สยดสยองอย่างยิ่ง ขณะที่ภรรยาถูกทุบฆ่าตายในห้องนอน

แต่คดีนี้ ลงมือโดยวัยรุ่น 2 คน เจตนาจะชิงทรัพย์ เพราะได้ยินข่าวว่าเจ้าของบ้านเพิ่งขายที่ดินได้เงินนับล้าน

ทั้งคนร้ายคือ ศักดิ์ ปากรอ นั้น น่าจะมีอาการป่วยทางจิต จึงมีความโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ โดยจับลูกชายแขวนคอก่อนทีละคน เพื่อบีบบังคับให้พ่อบอกที่ซ่อนเงิน โดยไม่ฟังเสียงยืนยันว่ายังไม่ได้ขายที่ดิน ไม่มีเงินเก็บในบ้านแต่อย่างใด

สุดท้ายก็ถูกฆ่าอย่างอำมหิตทั้ง 5 คน

นั่นเป็นคดีช็อกสังคมเมื่อ 20 ปีที่แล้วนี้ แต่ก็ไม่ได้ลงมืออย่างเป็นกลุ่มแก๊งเป็นระบบเป็นขบวนการ เหมือนฆ่า 8 ศพล่าสุด

แต่ก็คล้ายกันตรงที่ มีการลงมือฆ่าสมาชิกในครอบครัวทีละคน คล้ายจะบีบบังคับเจ้าของบ้าน หลังจากพูดคุยเจรจาแล้วไม่ได้ผล ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นเรื่องเงินทองผลประโยชน์ในการลงทุน ที่อีกฝ่ายเข้าใจว่าโดนหลอกโดนลวง

คงต้องรอคอยการคลี่คลายคดีของตำรวจต่อไป ซึ่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ถึงกับบินด่วนไปดูคดีและวางแผนล่าแก๊งคนร้ายเอง

ทั้งสังคมเฝ้ารอให้ตำรวจจับคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้ เอามาเปิดโฉมหน้าให้ได้

หรือว่าในบ้านเมืองเรามีกองกำลังติดอาวุธรับจ้างฆ่าหมู่อยู่จริงๆ
……………..

สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน