PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558

สถานการณ์ข่าว11/3/58

Jab11Mar15
แม่น้ำ5สาย

แม่น้ำ 5 สาย เริ่มประชุมแล้ว โดยมี สปช. เป็นเจ้าภาพเตรียมเสนอเตรียมเสนอพิมพ์เขียวการปฏิรูปประเทศใน 3 ส่วน

บรรยากาศที่สโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดี สถานที่จัดการประชุมร่วมระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการยกร่าง

รัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 3 ล่าสุด ได้เริ่มต้นการประชุมแล้ว โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ขณะที่ตัวแทนแต่ละฝ่ายเข้าร่วม อาทิ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย พล.อ.วรพงศ์ สง่าเนตร ตัวแทน คสช. นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. นาย

เทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างฯ โดยการประชุมในครั้งนี้ สปช. เจ้าภาพ และเตรียมเสนอพิมพ์เขียวการปฏิรูปประเทศใน 3 ส่วน คือ ความขัดแย้ง

ความเหลื่อมล้ำทางสังคม และการทุจริตคอร์รัปชั่น 9 ประเด็นยุทธ์ศาสตร์ และ 36 วาระการปฏิรูปและการพัฒนา ส่วนกรรมาธิการยกร่างฯ จะรายงานภาพรวมของร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกที่พิจารณา
แล้วเสร็จ จำนวน 315 มาตรา
---------------------
นายกรัฐมนตรี นั่งหัวโต๊ะประชุมแม่น้ำ 5 สาย ย้ำเร่งแก้ปัญหาตามขั้นตอน วางรากฐานอนาคตประเทศ

การประชุมแม่น้ำ 5 สาย ได้เริ่มขึ้นแล้ว โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เป็นประธานในการประชุม ซึ่งสภาปฏิรูปแห่งชาติ (

สปช.) และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นเจ้าภาพร่วมกัน โดยมี คณะรัฐมนตรี คสช. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เข้าประชุมอย่างพร้อมเพรียง

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งในที่ประชุมว่า ขอบคุณทุกหน่วยงานที่มาร่วมประชุมในวันนี้ เพราะถือว่ามีความสำคัญในการวางแนวทาง โดยที่ผ่านมา ปัญหาภายในประเทศมีหลายเรื่อง อาทิ

การทุจริต ความไม่โปร่งใส รวมถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำที่รัฐบาลชุดที่ผ่านมาไม่สามารถแก้ได้ คสช. จึงอาศัยความจำเป็นจากการเข้ามาควบคุมอำนาจ มาแก้ไขปัญหานี้ พร้อมย้ำว่า ทุกอย่างต้อง

ดำเนินการไปตามขั้นตอน นำไปสู่การวางอนาคตให้กับประเทศ

ขณะที่บรรยากาศโดยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารจากกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ กองพันทหารสารวัตรที่ 11 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีการวางกำลังดูแลและ

อำนวยความสะดวกตามปกติ
---------------------
ประชุมแม่น้ำ 5 สาย ผ่านไปแล้ว 4 ช.ม. นายกฯ ย้ำต่อที่ประชุม จำเป็นต้องหาเงินมาบริหารประเทศ งบประมาณลงทุนไม่เพียงพอ

บรรยากาศการประชุมแม่น้ำ 5 สาย ผ่านไปแล้วเกือบ 4 ชั่วโมง ยังประชุมอย่างต่อเนื่อง โดยแม่น้ำแต่ละสายจะได้รายงานความคืบหน้าของการดำเนินงานให้ที่ประชุมรับทราบ โดย พ.อ.วินธัย สุวารี

โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เปิดเผยว่า คสช. จะติดตามความคืบหน้าในแต่ละสายงาน โดยเฉพาะในคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่ดำเนินการเป็นรูปร่างแล้ว ซึ่ง คสช. จะ

เน้นสอบถามรายละเอียดในระบบสถาบันทางการเมือง การสรรหาทางการเมืองเป็นหลัก ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวย้ำตอนหนึ่งในห้องประชุมว่า มี

ความจำเป็นในการหาเงินมาบริหารประเทศ เช่น การจัดเก็บภาษี เพราะมีปัญหาต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะงบประมาณด้านการลงทุนนั้น ไม่เพียงพอ
------------------

////////////
ถอดนถอน38สว.

"พรเพชร" นัดคู่กรณีคดีถอดถอน 38 ส.ว. แถลงปิดสำนวนคดี 10.00 น. ขณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ทบทวนรายมาตราต่อเนื่องเป็นวันที่ 3

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ นัดสมาชิกประชุมในเวลา 10.00 น. เตรียมพิจารณารับฟังคำแถลงปิดสำนวนคดีด้วยวาจา ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ

ทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. และตัวแทนอดีต ส.ว. 3 คน เพื่อดำเนินกระบวนการถอดถอนอดีต ส.ว. 38 คน ออกจากตำแหน่ง กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ประเด็นที่มา ส.ว. ตามมาตรา 6 วรรค 2

ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2557 ประกอบมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ขณะที่การประชุมคณะกรรมาธิการยก

ร่างรัฐธรรมนูญ วันนี้จะพิจารณาทบทวนเรียงลำดับทั้ง 315 มาตรา ต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 โดยไห้ทบทวนไปแล้ว 64 มาตรา และในวันที่ 12 มี.ค. นี้ จะเชิญตัวแทนจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง,
สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มาให้ความเห็นเพื่อนำไปทบทวนต่อไป
----------------
สนช.ถกถอดถอน38สว.แถลงปิดคดี

 ความเคลื่อนไหวที่รัฐสภา วันนี้ มีหลายประเด็นที่ต้องติดตาม โดยในช่วงเช้าวันนี้ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ นัดสมาชิกประชุมในเวลา 10.00 น. เตรียมพิจารณารับ

ฟังคำแถลงปิดสำนวนคดีด้วยวาจา ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.และตัวแทนอดีตส.ว. 3 คน เพื่อดำเนินกระบวนการถอดถอนอดีต ส.ว.38 คน ออก

จากตำแหน่ง กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ประเด็นที่มาส.ว. ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 6 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2557 ประกอบมาตรา  64 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ

ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พศ.2542

สำหรับการลงมติถอดถอนในวันพรุ่งนี้ ทางวิป สนช.มีมติให้ใช้วิธีลงคะแนนลับเป็นรายบุคคล โดยจะมีบัตรลงคะแนนจำนวน 4 ใบแยกตามฐานความผิด  คือ สีส้ม สีขาว สีฟ้า และสีเขียว

ส่วนการตั้งกรรมการตรวจนับคะแนนจะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกจะนับคะแนนของบัตรสีส้ม กลุ่มที่ 2 จะนับคะแนนบัตรสีขาว ขณะที่กลุ่มที่ 3 จะนับคะแนนของบัตรสีฟ้าและสีเขียว โดยการ

ถอดถอนจะต้องได้คะแนนเสียง 3 ใน 5 คือ  132 เสียง จาก 220 คนของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่

 ขณะที่การประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ วันนี้ จะพิจารณาทบทวนเรียงลำดับทั้ง 315 มาตรา ต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 โดยไห้ทบทวนไปแล้ว 64 มาตรา และในวันที่ 12 มี.ค. นี้ จะเชิญตัว

แทนจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง ,สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มาให้ความเห็นเพื่อนำไปทบทวนต่อไป

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจาก ภารกิจในช่วงเช้าของประธาน สนช. ประธาน สปช. ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และประธานกรรมาธิการชุดต่างๆ เสร็จสิ้นแล้ว ในช่วงบ่าย เวลา 13.00 น.จะ

เดินทางเข้าร่วมประชุมแม่น้ำ 5 สาย ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดี ซึ่งวันนี้ สภาปฏิรูปแห่งชาติและคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุม ทั้งนี้ จะเสนอพิมพ์เขียว

ประเทศไทย ให้เห็นภาพรวมและทิศทางอนาคตของประเทศ เพื่อขับเคลื่อนสู่ยุทธศาสตร์ และเป้าหมายที่เกี่ยวข้องให้แม่นำทั้ง 5 สายรับทราบเป็
-----------
สนช. เตรียมประชุม แถลงปิดสำนวนคดีถอดถอน 38 ส.ว. ขณะ น.พ.ชูชัย ทบทวน รธน.ไปแล้ว 70 มาตรา เชื่อ ปชช.พอใจ

บรรยากาศความเคลื่อนไหวที่รัฐสภา ล่าสุด สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เริ่มทยอยเข้ามาเพื่อเตรียมตัวประชุม สนช. ที่จะมีขึ้นในเวลา 10.00 น. โดยวาระในการแถลงปิดสำนวนคดีถอด

ถอน 38 ส.ว. กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550

ขณะที่ น.พ.ชูชัย ศุภวงศ์ รองประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยถึงการพิจารณาทบทวนร่างรัฐธรรมนูญตามรายมาตรา ไปแล้วประมาณ 70 มาตรา ซึ่งไม่ได้เป็นการแก้หลักการเพิ่ม

เติม แต่มีการพิจารณาบันทึกในเจตนารมณ์แต่ละมาตรา เพื่อให้มีความชัดเจนขึ้น ส่วนในมาตราที่ได้มีการแขวนเอาไว้นั้น จะนำมาพิจารณาเมื่อถึงมาตรานั้น ทั้งนี้ น.พ.ชูชัย ระบุว่า จะต้องพิจารณา

ให้จบในมาตราดังกล่าวอย่างแน่นอน พร้อมเชื่อว่า ประชาชนจะพอใจเมื่อได้เห็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และได้ทำความเข้าใจ

นอกจากนี้ น.พ.ชูชัย ยังยืนว่า ต้องการให้มีการทำประชามติ ในช่วงที่มีสถานการณ์ปกติ เพื่อฟังความเห็นของประชาชน ส่วนการจะทำหรือไม่นั้น ให้เป็นหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี และคณะรักษา

ความสงบแห่งชาติ (คสช.)
--------------------

อดีต 38 ส.ว. ส่ง 3 ตัวแทนแถลงปิดสำนวนคดีด้วยวาจา พร้อมยืนยันมีความชอบธรรมแก้รัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มา ส.ว.

บรรยากาศการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ล่าสุด ประธานการประชุมกดสัญญาณเรียกสมาชิกห้องประชุมแล้ว เพื่อเตรียมพิจารณารับฟังคำแถลงปิดสำนวนคดีด้วยวาจาของ คณะกรรมการ

ป.ป.ช. และตัวแทนอดีต ส.ว. เพื่อดำเนินกระบวนการถอดถอนอดีต ส.ว. 38 คน ออกจากตำแหน่ง กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ประเด็นที่มา ส.ว. ทั้งนี้ การแถลงปิดสำนวนคดี เริ่มจาก นายวิชัย

วิวิตเสวี เป็นตัวแทน ป.ป.ช. ในฐานะผู้กล่าวหา ขณะที่ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา มี 3 คน คือ นายกฤช อาทิตย์แก้ว อดีต ส.ว.กำแพงเพชร นายวิทยา อินาลา อดีต ส.ว.นครพนม และ นายดิเรก ถึงฝั่ง อดีต

ส.ว.นนทบุรี จะสรุปปิดแถลงคดี โดยจะยืนยันในประเด็นหลักว่า มีการสลับร่างรัฐธรรมนูญ เป็นร่างปลอมในการพิจารณาลงมติในวาระ 3 ซึ่งความชอบธรรมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และไม่มีผล

ประโยชน์ทับซ้อน โดยจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง
-------------------------
"วิชัย" แถลงปิดสำนวนคดีด้วยวาจา ย้ำ อดีต 38 ส.ว. จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มา ส.ว.

บรรยากาศการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่มี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ทำหน้าที่ประธานการประชุม ล่าสุด เข้าสู่พิจารณารับฟังคำแถลงปิดสำนวนคดีด้วยวาจาของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. และ

ตัวแทนอดีต ส.ว. เพื่อดำเนินกระบวนการถอดถอนอดีต ส.ว. 38 คน ออกจากตำแหน่ง กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ประเด็นที่มา ส.ว. โดย นายวิชัย วิวิตเสวี เป็นตัวแทน ป.ป.ช. ในฐานะผู้กล่าวหา

แถลงปิดสำนวนคดีก่อน พร้อมย้ำ อดีต ส.ว. ทั้ง 38 คน จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ

ทุจริต พ.ศ. 2542 ตามมาตรา 58 (4) ทั้งการเข้าชื่อเสนอกฎหมายและลงมติในวาระ 1, 2 และ 3 ซึ่งมีการเปลี่ยนร่างรัฐธรรมนูญด้วยวิธีการโดยมิชอบ ทำให้กระบวนการทั้งหมดไม่ชอบไปด้วย
--------------------------
อดีต 38 ส.ว. แถลงปิดคดีถอดถอน ย้ำแก้รัฐธรรมนูญไม่ผิด ปัดล้มล้างการปกครอง

นายกฤช อาทิตย์แก้ว อดีต ส.ว.กำแพงเพชร เป็นตัวแทนอดีต 38 ส.ว. ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา ชี้แจงว่า ไม่เคยมีแนวคิดล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

พร้อมทั้งเห็นว่า มติการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. ไม่ชอบด้วยเหตุผลหลายประการ เพราะการจะชี้มูลถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ผู้ยื่นต้องมีอำนาจ

แต่จากการตรวจสอบพบว่า หนึ่งในกรรมการ ป.ป.ช. คือ นายภักดี โพธิศิริ ขาดคุณสมบัติ เนื่องจากไม่ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการในบริษัทหนึ่ง ตามที่ระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เท่ากับว่า

เอกสารลงนามดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้ง ป.ป.ช. ยังมีการประชุมกันก่อนที่จะมีการยื่นคำร้องถอดถอน และในมติชี้มูลยังมีชื่อ นางสุภา ปิยะจิตติ ร่วมพิจารณา ทั้งที่เพิ่งได้รับโปรดเกล้าฯ

เป็นกรรมการหลังจากที่มีการพิจารณาสำนวนไปแล้ว
--------------------
สุรชัย เผย ลงมติแบบลับ ถอดถอน อดีต 38 ส.ว.

นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. คนที่ 1 กล่าวถึงขั้นตอนการลงมติถอนถอนอดีต 38 ส.ว. ในกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของ ส.ว. ว่า จะมีการ

ลงมติถอดถอนหรือไม่ในวันพรุ่งนี้ (12 มี.ค.) โดยจะใช้วิธีลงมติแบบลับในคูหาลงคะแนน

ทั้งนี้ เนื่องจากมีผู้ถูกกล่าวจำนวนมาก และ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีการแยกฐานความผิดของ 38 อดีต ส.ว. ออกเป็น 4 กลุ่ม ให้ลงมติเป็นรายบุคคล

ซึ่งมีบัตรลงคะแนน 4 ใบ กล่องใส่บัตรลงคะแนน 4 กล่อง ตามสีของบัตรลงคะแนน โดยกลุ่มที่หนึ่ง 22 คน เป็นบัตรสีส้ม กลุ่มที่สอง 13 คน เป็นบัตรสีขาว กลุ่มที่สาม 2 คน เป็นบัตรสีฟ้า และ

กลุ่มสุดท้าย 1 คนเป็นบัตรสีเขียว

อย่างไรก็ตาม จะมีการตั้งคณะกรรมการนับคะแนนขึ้นมา 3 ชุด ๆ ละ 6 คน โดยในบัตรลงคะแนนสีต่าง ๆ จะมีช่องถอดถอนและไม่ถอดถอนเพื่อให้สมาชิกได้ลงมติ มีการขานชื่อให้สมาชิกมารับ

บัตรทีละคน คนละ 4 ใบ ไปลงคะแนนในคูหา คาดว่า การลงมติครั้งนี้จะใช้เวลาประมาณ 3 ช.ม.


//////////
ความมั่นคงระเบิด

ผกก.สน.พหลโยธิน เผย ศาลยุติธรรม ไม่ได้ขอกำลัง ตร.ดูแลเพิ่มเติมหลังเหตุระเบิด แต่ยังสนธิกำลังทหารตั้งจุดตรวจเข้ม ยังคุมตัวแก๊งบึ๊มค่ายทหาร

พ.ต.อ.ภาณุเดช สุขวงศ์ ผกก.สน.พหลโยธิน และพนักงานสอบสวนในคดีระเบิดศาลอาญา รัชดาภิเษก เปิดเผย สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า หลังจากที่เกิดเหตุระเบิดศาลอาญา ทางศาลยุติธรรม ไม่ได้

ร้องขอกำลัง ตร.เพิ่มเติม ในการดูแลรักษาความปลอดภัยแต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตาม ทางตำรวจได้สนธิกำลังกับทางทหารในการตั้งด่านสกัด บริเวณหน้าศาลอาญาทุกวัน โดยเฉพาะช่วงยามวิกาล

เพื่อป้องกันเหตุซ้ำซ้อน

ส่วนในทางคดีนั้น ตนเป็นหนึ่งในคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ด้วย ในฐานะเจ้าของท้องที่เกิดเหตุ ซึ่งตัวผู้ต้องหาทั้งหมด ยังถูกควบคุมตัวโดยทหารตามกฎอัยการศึก ยังไม่ได้มีการส่งตัว

ให้กับ ตร.
-----------
ศปก.ตร. สั่ง สันติบาล รปภ.ตร.เข้ม หวั่นตกเป็นเป้าหมายสร้างสถานการณ์ทำลายความน่าเชื่อถือ - วอน ปชช.แจ้งเบาะแสหาฆาตกรข่มขืนแม่เฒ่าต่อเนื่อง

พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำชับในที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปก.ตร. ให้ตำรวจสันติบาล เพิ่มความเข้มในการรักษาความ

ปลอดภัยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลังเกิดเหตุคนร้ายปาระเบิดใส่ศาลอาญารัชดา เมื่อคืนวันที่ 7 มีนาคม ที่ผ่านมา อย่างเข้มงวด เนื่องจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นสถานที่เชิงสัญลักษณ์
สำคัญที่ผู้ไม่หวังดี อาจก่อเหตุในลักษณะเดียวกันได้ เพื่อต้องการลดความน่าเชื่อถือ

พร้อมกันนี้ ยังกำชับให้ ศปก.ตร. ประชาสัมพันธ์ รับแจ้งเบาะแสข้อมูล กรณีคนร้ายก่อเหตุกระทำชำเราผู้สูงอายุต่อเนื่องในหลายรายในพื้นที่จังหวัดนครปฐม/ สมุทรสาคร/ สมุทรสงคราม โดยมีหลัก

ฐานเป็นเสื้อเชิ้ตที่คนร้ายสวมใส่ มีรอยคราบลักษณะกดทับเหมือนแบกสิ่งของที่บ่าของเสื้อด้านซ้าย และรอบคราบที่แขนเสื้อด้านซ้ายในลักษณะเหมือนประคองสิ่งของที่แบก ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงอาชีพ

ของคนร้ายได้ โดยสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน 1599 หรือแจ้งไปศูนย์ประสานงานคดีนี้ที่ อ.ศาลายา จ.นครปฐม ได้ ที่เบอร์ 034-297-741 ตลอด 24 ช.ม.
--------------
ผบช.น.เผยคืบคดีระเบิดศาลอาญา ทหารเตรียมส่งมอบผู้ต้องหาให้วันที่ 13 มี.ค. นี้ ยังไม่เชื่อมโยงคนอื่น

พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยถึงความคืบหน้าเหตุระเบิดบริเวณด้านหน้าลานจอดรถ ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ที่ผ่านมาว่า เบื้องต้นทาง

เจ้าหน้าที่ทหารจะส่งมอบตัวผู้ต้องหาทั้งหมดให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันศุกร์ที่ 13 มีนาคมนี้แน่นอน ด้านหมายจับต้องรอสอบปากคำผู้ต้องหาเพิ่มเติมก่อน รวมทั้งได้มีการประสาน
การทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารตลอด แต่ถึงอย่างไรขณะนี้ยังไม่เห็นเอกสารเกี่ยวกับคดี จึงยังไม่สามารถตอบได้ว่าพบบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร ด้านสองนายพลขณะนี้ยังไม่พบหลัก

ฐานที่มีส่วนเชื่อมโยง แต่ถ้าพบก็จะมีการเรียกให้เข้ามาชี้แจ้งต่อไป

ส่วนกรณีที่ทางเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจลงพื้นที่ตรวจบ้านผู้ต้องสงสัยที่ย่านนวมินทร์ พบมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ก่อเหตุ แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดขอให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานก่อน

ด้านการข่าวเกี่ยวกับการก่อเหตุในลักษณะนี้ ก็ได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี ขึ้นชื่อว่าข่าว ยังไงก็เป็นเพียงข่าว อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ก็ได้มีการวางกำลังดูแลพื้นที่เสี่ยงอยู่ตลอดมา

อยู่แล้ว
------------
ผบช.น.เผย สามารถจับกุมผู้ต้องหาแก๊งปาระเบิดศาลได้แล้ว 7 คน จาก 9 คน จัดกำลังดูแลจุดเสี่ยง กทม. แล้ว

พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีเหตุระเบิดหน้าศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 7 มี.ค. ที่ผ่านมา ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทหารสามารถควบ

คุมตัวผู้ต้องหาไว้ได้ 7 คน จากผู้ต้องหาทั้งหมด 9 คน ที่มีหมายจับ ซึ่งขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังรอการส่งตัวผู้ต้งหาทั้ง 7 คนมาให้สอบปากคำเพิ่มเติมในวันศุกร์นี้ (13 มี.ค.) ซึ่งวันศุกร์นี้อาจมี

การส่งตัวมาทั้ง 9 คนในหมายจับก็ได้

ส่วนเหตุระเบิดในครั้งนี้ยังยืนยันว่าคาดจะเป็นกลุ่มเดียวกับกลุ่มที่ก่อเหตุระเบิดหลายพื้นที่เมื่อปี 2557 เพราะเหตุการณ์ทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกัน ทั้งชนิดระเบิดที่ใช้คือ RGD 5 ที่ไม่มีใช้ในราชการ

ไทย ซึ่งเหตุจูงใจคาดว่าจะเป็นเรื่องทางการเมืองแน่นอน

พร้อมจัดกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลพื้นที่เสี่ยงในกรุงเทพมหานครอย่างเข้มงวด ซึ่งประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสหรือเหตุร้ายให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เข้าตรวจสอบได้เมื่อพบว่าเป็นเหตุที่ไม่

ชอบมาพากลหรือพบบุคคลที่มีพฤติกรรมพิรุธ
--------
ผบ.ทบ. เดินทางกระชับความสัมพันธ์มาเลเซีย ขณะปัดตอบบึ้มศาลอาญา

วันนี้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก เดินทางขึ้นเครื่องบินกองทัพออก มากรมการขนส่งทหารบก เพื่อเดินทางไปประเทศมาเลเซีย โดยก่อนเดินทาง พล.อ.อุดมเดช เปิดเผยว่า การเยือน

ประเทศมาเลเซีย ในครั้งนี้ ตามคำเชิญของผู้บัญชาการทหารบกประเทศมาเลเซีย เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และหารือถึงความร่วมมือของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งขณะนี้ ไทย และมาเลเซีย มีการฝึกการ

ทหารร่วมกันในระดับกองร้อย รวมถึงกำลังจะมีการยกระดับด้านการข่าวเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน ส่วนเรื่องกระบวนการพูดคุยสันติภาพที่ประเทศมาเลเซีย เป็นผู้อำนวยความสะดวกนั้น

คงเป็นพูดถึงการสนับสนุนมากกว่า เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเป็นหน้าที่ของตำรวจสันติบาล และสำนักข่าวกรองของมาเลเซีย ผบ.ทบ. ไม่ได้รับผิดชอบแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม พล.อ.อุดมเดช ปฏิเสธที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับความคืบหน้าเหตุระเบิดศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พูดชัดเจนแล้ว
--------------------
โฆษก กอ.รมน. เผย ผู้นำศาสนา 3 จว.ชายแดนใต้ สนับสนุนการแก้ปัญหาด้วยสันติของรัฐบาล

พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้รับมอบหมายจาก หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เปิดเผยว่า ในห้วง 10-11

มี.ค. 58 คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ นำโดย พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยฯ ได้เดินทางมาพบปะผู้นำศาสนาระดับคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด และผู้ทรง

คุณวุฒิทางศาสนาอิสลามในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเสริมความเข้าใจต่อกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรับฟังความคิดเห็น

ทั้งนี้ ผู้นำศาสนา ได้เห็นด้วยและขอสนับสนุนนโยบายการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยสันติวิธี และพร้อมร่วมมือกับรัฐบาลในการขับเคลื่อนนโยบายการพูดคุยเพื่อ

สันติสุขของรัฐบาลให้บรรลุผลสำเร็จ สร้างสันติสุข ให้เกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน ขอให้คณะพูดคุยฯ ใช้ความอดทนให้ถึงที่สุด เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และให้ผู้เห็นต่างทุกกลุ่มไว้วางใจ
อย่างจริงใจ เพื่อที่จะร่วมมือกันนำพาสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปสู่สันติสุข บนพื้นฐานของความเข้าใจที่ตรงกัน ขอให้รัฐบาลเชื่อมั่นในผู้นำศาสนา และผู้ทรงคุณวุฒิทางศาสนาที่พยายามวาง

ตัวบนพื้นฐานของหลักศาสนาที่ถูกต้อง ไม่เข้าข้างใคร ที่ผิดต่อหลักคำสอน และขอให้ทั้งรัฐบาล และผู้เห็นต่าง ยกระดับความเชื่อมั่น ต่อผู้นำศาสนา รวมตลอดทั้งเป็นหลักประกันในความปลอดภัย
ของผู้นำศาสนา นอกจากนี้ คณะพูดคุยฯ มีแผนจะรับฟังความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ในครั้งต่อไป
-------------
โฆษก กอ.รมน. เผยผู้นำศาสนาเห็นด้วยสนับสนุนนโยบายการแก้ไขปัญหาความรุนแรง 3 จ.ใต้ ด้วยสันติวิธี เดินหน้าพูดคุยสันติสุข

พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจาก หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนใต้ ในระหว่างวันที่ 10-11

มี.ค. 58 คณะพูดคุยเพื่อสันติสุข นำโดย พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะได้เดินทางมาพบปะ ผู้นำศาสนาระดับคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด และผู้ทรงคุณวุฒิทางศาสนาอิสลามในพื้นที่

จชต. เพื่อเสริมความเข้าใจต่อกระบวนการพูดคุยและรับฟังความคิดเห็น ในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งผู้นำศาสนาเห็นด้วย และขอสนับสนุนนโยบายการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ด้วยสันติวิธี และ
พร้อมร่วมมือกับรัฐบาลในการขับเคลื่อนนโยบายการพูดคุยเพื่อสันติสุขให้บรรลุผลสำเร็จ สร้างสันติสุข ให้เกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน และขอให้คณะพูดคุยฯ ใช้ความอดทนให้ถึงที่สุด

เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ตลอดจนขอให้ผู้เห็นต่างทุกกลุ่มไว้วางใจอย่างจริงใจ เพื่อที่จะร่วมมือกันนำพาไปสู่สันติสุข บนพื้นฐานของความเข้าใจที่ตรงกัน

พร้อมกันนี้ ผู้นำศาสนาขอให้รัฐบาลเชื่อมั่นในผู้นำศาสนา และผู้ทรงคุณวุฒิทางศาสนา ที่พยายามวางตัวบนพื้นฐานของหลักศาสนาที่ถูกต้อง ไม่เข้าข้างใคร ที่ผิดต่อหลักคำสอน

///////////
นายกฯ

นายกฯ เข้าปฏิบัติงานทำเนียบแล้ว ขณะช่วงบ่าย เตรียมประชุมแม่น้ำ 5 สาย

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาล ในขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินทางเข้าปฏิบัติงานที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว โดยในช่วง

เช้านี้ นายกรัฐมนตรี ไม่มีวาระงานใดเป็นพิเศษ คาดว่าจะติดตามงานในส่วนต่าง ๆ ตามปกติ ขณะที่ในช่วงบ่ายของวันนี้ นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเข้าร่วมประชุมกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

(คสช.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ณ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต

ทั้งนี้ การรักษาความปลอดภัยโดยรอบทำเนียบรัฐบาล ยังคงเป็นไปด้วยความเข้มงวด เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำตามจุดต่างๆ เพื่อตรวจตราบุคคลและยานพาหนะที่ผ่านเข้า-ออก อย่างละเอียด
-------------------
คสช. , รัฐบาล ห่วงปัญหาไฟป่า-หมอกควันในภาคเหนือ มอบ กห. เข้ายุติสถานการณ์โดยด่วน ขณะที่ ผบ.ทบ. สั่งการให้ ทภ.3
เร่งบูรณาการทุกภาคส่วนในทุกพื้นที่ คลี่คลายปัญหา

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. มีความห่วงใยผลกระทบจากสถานการณ์ไฟป่าที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือ จึง

ได้มีบัญชาให้กระทรวงกลาโหม ดำเนินการแก้ไขไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน และให้เห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน ในการนี้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร

ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก โดยศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพภาคที่ 3 ระดมขีดความสามารถเข้าลดภาวะหมอกควันและไฟป่า รวมถึงการรณรงค์ใน

พื้นที่ภาคเหนือทันที

นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหม ได้ให้เหล่าทัพเข้าสนับสนุนปฏิบัติการในครั้งนี้ โดย กองทัพบก ได้เตรียมอากาศยานพร้อมถังบรรจุน้ำดับเพลิงแบบยกขึ้นด้วยเฮลิคอปเตอร์ พร้อมให้การสนับสนุน

การดับไฟในพื้นที่ภาคเหนือตลอดเวลา กองทัพอากาศ สนับสนุนเครื่องบินลำเลียง แบบที่ 2 ก.(BT- 67) จำนวน 2 ลำ ในการบินโปรยละอองไอน้ำในอากาศเพื่อสลายหมอกควัน ส่วนกองทัพเรือ

และกองบัญชาการกองทัพไทย จะสนับสนุนรถยนต์บรรทุกน้ำเข้าดับไฟและฉีดพ่นละอองน้ำเพิ่มเติมในทุกพื้นที่ที่เกิดปัญหาขึ้น ทั้งนี้ ในการลดภาวะหมอกควันได้ มีการสนธิรถน้ำจากทุกภาคส่วน

และฝ่ายปกครองร่วมกันนำรถน้ำออกฉีดพ่นละอองไอน้ำเข้าสู่อากาศ โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชน เพื่อบรรเทาให้ภาวะหมอกควันเจือจางลงและมีผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด

นอกจากนี้ กองทัพภาคที่ 3 ยังได้จัดชุดลาดตระเวนป้องกันไฟป่าร่วมกับส่วนราชการและประชาชน เพื่อเข้าพิสูจน์ทราบการเกิดไฟป่าและการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร พร้อมเข้าดับไฟทันที โดย

เฉพาะไฟที่เกิดขึ้นตามแนวเส้นทางสัญจร โดยได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่มกราคม ที่ผ่านมา ควบคู่ไปกับการจัดชุดรณรงค์ขอความร่วมมืองดการเผาเศษวัสดุและผลผลิตทางการเกษตร ใน

ขณะเดียวกัน มีการประสานกับส่วนราชการและองค์การปกครองท้องถิ่นในการจัดทำแนวป้องกันไฟป่าเฉพาะพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อจำกัดการเกิดไฟไม่ให้สร้างความเสียหายออกสู่พื้นที่ภายนอก
--------------------
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เซ็นคำสั่งย้าย นายแพทย์ณรงค์ เข้าสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะตั้ง หมอสุรเชษฐ์ รักษาราชการแทน

นายแพทย์รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เซ็นคำสั่งกระทรวงสาธารณสุขที่ 434/2558 เรื่อง แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข ด้วยสำนักนายกรัฐมนตรี

ได้มีคำสั่งที่ 75/2558 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2558 ให้ข้าราชการมาปฏิบัติราชการ ที่สำนักนายกรัฐมนตรี กรณี นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยให้ไปปฏิบัติหน้าที่เป็นที่

ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของนายกรัฐมนตรี เพื่อปฏิบัติราชการเกี่ยวกับงานด้านการวิจัยและการพัฒนาด้านสุขภาพแห่งชาติ

ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จึงแต่งตั้งให้ นายสุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รักษาราชการแทนปลัด

กระทรวงสาธารณสุขอีกตำแหน่ง ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนั้เป็นต้นไป

สั่ง ณ วันที่ 11 มีนาคม 2558
////////////////
ปปช.

สรรเสริญ เผย อัยการแจ้งสำนวนคดีจุฑามาศไม่สมบูรณ์ ตั้งคณะทำงานร่วมรวบรวมหลักฐานเพิ่ม

นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นางจุฑามาศ ศิริวรรณ เมื่อ

ครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเรียกรับเงินจากนักธุรกิจชาวอเมริกัน เพื่อให้สิทธิ์ในการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ กรุงเทพฯ มูลค่ากว่า 60

ล้านบาท ว่า กรณีกล่าวหานี้อัยการสูงสุด (อสส.) ได้แจ้งข้อหาไม่สมบูรณ์และขอให้รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม โดยได้มีการตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างผู้แทน อสส. และผู้แทนคณะกรรมการ

ป.ป.ช. ขึ้น เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะพยานหลักฐานผ่านช่องทางความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา จากกระทรวงยุติธรรม ประเทศสหรัฐอเมริกา

โดยขณะนี้ คณะทำงานร่วมฯ ได้รวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์และเสร็จสิ้น และคณะทำงานฝ่าย ป.ป.ช. ส่งเอกสารหลักฐานทั้งหมดให้คณะทำงานฝ่าย อสส. เรียบร้อยแล้ว

จำนวน 8,700 แผ่น เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558 ขณะนี้อยู่ในระหว่างรอผลการพิจารณาคดีของ อสส.

////////////////
เศรษฐกิจ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมผู้แทนฝ่ายจีน เดินทางถึงหนองคาย เริ่มประชุมรถไฟไทย-จีน ครั้งที่ 3

บรรยากาศลงพื้นที่จังหวัดหนองคาย เพื่อประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงการรถไฟไทย-จีน ครั้งที่ 3 ล่าสุด พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

และผู้แทนฝ่ายจีน และคณะสื่อมวลชนได้เดินทางมาถึงยังท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี แล้ว โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ผู้อำนวยการท่าอากาศยานอุดรธานี ผบก.ภ.จว.อุดรธานี พร้อมด้วย

ผู้บริหารจากหน่วยงานแขวงการทางจังหวัดหนองคาย รอให้การต้อนรับ และนำคณะเดินทางไปยัง โรงแรมบุศยรินทร์ จังหวัดหนองคาย เพื่อเริ่มประชุมในเวลา 11.00 น.

สำหรับในช่วงบ่ายทางคณะทำงานทั้ง 2 ฝ่าย จะลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมชมสถานที่ก่อสร้างสะพานสำหรับรถไฟแห่งใหม่เพื่อเชื่อมทางรถไฟระหว่างหนองคาย-เวียงจันทน์ ไปยังประเทศจีน พร้อมทั้งสำรวจ

เส้นทางและติดตามความคืบหน้าของการก่อสร้าง
-----------
จีนตกลงซื้อข้าวไทยในราคาตลาด 2 ล้านตัน และยางพาราอีก 2 แสนตัน พร้อมซื้อสินค้าเกษตรต่อเนื่อง

พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังหารือร่วมกับ นายหวัง เสี่ยวเทา รองผู้อำนวยการคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน ผู้แทนรัฐบาลจีน ภายใต้

กรอบบันทึกความเข้าใจ หรือ เอ็มโอยู ว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้าสินค้าเกษตรระหว่างไทย-จีน เพื่อดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ฉลองความสัมพันธ์ฉันทมิตรที่แน่นเเฟ้นระหว่างสองประเทศ

โดยจีนและไทยตกลงตั้งคณะทำงานร่วมกัน 2 คณะเพื่อหารือแยกกันตามความตกลงซื้อข้าวและยางพารา ซึ่งรัฐบาลจีนจะซื้อข้าวจากไทยจำนวน 2 ล้านตัน แบ่งเป็นข้าวใหม่จำนวน 1 ล้านตัน และ

ข้าวในสต๊อกของรัฐบาลไทยอีกจำนวน 1 ล้านตัน ในช่วงระหว่างปี 2558-2559 ในราคาตลาด และตกลงในหลักการที่จะซื้อยางพาราจากไทย จำนวน 2 แสนตัน ในราคานำตลาด และในช่วงระยะ

เวลาของการดำเนินการภายใต้ความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของไทย ทางการจีนรับปากจะซื้อข้าวและสินค้าเกษตรอื่น ๆ จากประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
-------
"พาณิชย์" เตรียมตั้งคณะทำงานพิจารณาเรียกค่าเสียหายโครงการรับจำนำข้าว ให้ได้ข้อสรุปภายในสัปดาห์นี้ก่อนเสนอรองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย

พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกันระหว่างรองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถึงแนวทางเรียกค่าเสีย

หายในโครงการรับจำนำข้าว ว่า ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ส่งหนังสือถึงกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ให้ดำเนินการเรียกค่าเสียหายจากผู้

เกี่ยวข้อง ซึ่งจากการหารือมีข้อสรุปให้มีการตั้งคณะทำงานพิจารณาเรียกค่าเสียหายของแต่ละฝ่าย ทั้งฝ่ายกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงคลัง

โดยในส่วนของกระทรวงพาณิชย์จะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานและประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมหารือแนวทางว่าจะสามารถดำเนินการอย่างไร ก่อนจะเสนอกลับ

ไปยังรองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมายเพื่อพิจารณาต่อไป
------------
ผิดคาด กนง.เสียงแตก 4 ต่อ 3 หั่นดอกเบี้ยลง ร้อยละ 0.25 เหลือ ร้อยละ 1.75 ต่อปี หลังมองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า

นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. มีมติ 4 ต่อ 3 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ย

นโยบายลง ร้อยละ 0.25 จาก ร้อยละ 2 เป็น ร้อยละ 1.75 ต่อปี โดยให้มีผลทันที เนื่องจากเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ปี 2557 และเดือนมกราคม 2558 ฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะการบริโภคการลงทุนภาค

เอกชนและความเชื่อมั่นของภาคเอกชนลดลง ซึ่งคณะกรรมการประเมินว่าแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอ่อนแรงกว่าที่ประเมินไว้ โดยแรงกระตุ้นภาคการคลังต้องใช้เวลากว่าจะ
เห็นผลชัดเจน และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นคณะกรรมการ 4 คนจึงเห็นควรให้ลดดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัวและพยุงความเชื่อมั่นภาคเอกชน

ขณะที่คณะกรรมการอีก 3 คนเห็นว่าดอกเบี้ยในระดับ ร้อยละ 2 อยู่ในระดับที่ผ่อนปรนเพียงพอในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจึงให้คงอัตราดอกเบี้ย
-----------------
"กอบศักดิ์" ชี้ กนง.ลดดอกเบี้ยช่วยส่งผลบรรยากาศเท่านั้น ยังไม่สามารถช่วยกระตุ้นได้เต็มที่ หลังประสบภาระหนี้ครัวเรือน ราคาเกษตรตกต่ำ

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ

0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 1.75 ต่อปี เชื่อว่าจะมีผลช่วยสร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจให้ดีขึ้นเท่านั้น แต่มองว่ายังไม่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลงทุนของภาคเอกชนได้ เนื่องจากไทยยังมีปัญหา

ของภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงถึงร้อยละ 85 ของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี)  ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ ทำให้มีผลต่อกำลังซื้อของประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่ต่าง

จังหวัด รวมถึงการลดดอกเบี้ยลงไม่ช่วยให้ค่าเงินบาทที่แข็งค่ามีแนวโน้มอ่อนค่าลง เนื่องจากขณะนี้เกิดความไม่ดุลจากการที่ไทยนำเข้าน้ำมันมูลค่ากว่า 7 แสนล้านบาทต่อปี สวนทางกับราคา

น้ำมันที่ผันผวน ทำให้ไทยใช้เงินบาทน้อยลงในการซื้อน้ำมัน จึงเกิดการแข็งค่าขึ้น

ทั้งนี้ นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะขึ้นอยู่กับความชัดเจนของโครงการลงทุนของภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลให้เอกชนเกิดความสนใจลงทุนตาม โดยการลดดอกเบี้ยไม่ช่วยกระตุ้นให้ภาค

เอกชนเกิดการลงทุนมากขึ้น ทั้งนี้ การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยให้ลูกหนี้เท่านั้น แต่ธนาคารพาณิชย์ยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อตามเดิม
---------------
กนง. เล็งปรับเป้า GDP ใหม่ 20 มี.ค. นี้ พร้อมคาดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงครั้งนี้ อาจจะอยู่ในระดับต่ำสุดของอาเซียน

นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เปิดเผยว่า จากการลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่

ในระดับต่ำสุดของอาเซียน ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงินยังต้องติดตามผลกระทบจากความเสี่ยงจากพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่า ภายใต้ภาวะดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำมาเป็นเวลา

นาน

นอกจากนี้ คณะกรรมการ กนง. ได้มีการหารือถึงภาวะเศรษฐกิจโดยรวม รวมไปถึงการส่งออก ซึ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้น จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะจีน ซึ่ง กนง. จะแถลง

ปรับลดจีดีพีใหม่ในรายงานนโยบายการเงินในวันที่ 20 มีนาคมนี้ จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 4 ส่วนการส่งออกอยู่ที่ร้อยละ 1
----------------
โฆสิต มองศก.ปีนี้จะโต 4% ดีขึ้นจากปีก่อน จากโครงการลงทุนของภาครัฐ ยอมรับห่วงส่งออก การบริโภคในประเทศ

นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตที่ประมาณร้อยละ 4 ดีขึ้นจากปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากแรงขับเคลื่อนของโครงการลงทุน

ภาครัฐ ที่จะช่วยทำให้ภาคเอกชนเกิดการลงทุนตาม และจะช่วยให้เศรฐษกิจขยายตัวได้ โดยถือว่าเป็นการซื้อเวลาของรัฐบาลที่จะช่วยให้ภาคเอกชนได้ปรับตัวให้เข้มแข็งขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีความ

เป็นห่วงด้านการบริโภคในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวขึ้น หลังจากประสบปัญหาภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และด้านการส่งออกของไทย ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องเร่งพัฒนาขีดความสามารถให้

แข่งขันกับคู่แข่งได้ โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีทางเลือกที่จะเข้าไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น
--------------
โฆสิต มอง กนง.ลดดอกเบี้ยไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ช่วยให้เงินบาทอ่อนค่า

นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ กล่าวถึง การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. น่าจะ

เกิดจากภาครัฐต้องการให้ภาคธุรกิจและประชาชนลงทุนและใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็อาจเป็นสัญญาณที่ทำให้สินค้าภาคครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นได้ แต่ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงอัตรา

ดอกเบี้ยไม่ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด จะไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในระยะสั้น และไม่ช่วยให้เงินบาทอ่อนค่าลง เนื่องจากจะขึ้นอยู่กับการไหลเข้าออกของเงินทุน ทั้งนี้ จะต้องติดตามปัจจัยที่สำคัญ

ทั้งกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐเตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยช่วงกลางปีนี้ โดยเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะดูแลให้เงินบาทมีเสถียรภาพและแข่งขันได้
----------------
กระทรวงคมนาคม สรุปการประชุมรถไฟไทย-จีน ครั้งที่ 3 ชัดเจนรูปแบบความร่วมมือ การเดินรถ

นายวรเดช หาญประเสริฐ รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวสรุปผลการประชุมการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงการรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่

10-11 มี.ค. 58 ว่า ที่ประชุมได้สรุปรูปแบบความร่วมมือ EPC โดยได้มีการแบ่งความรับผิดชอบของทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายจีน ทั้งนี้ ไทยจะรับผิดชอบในส่วนของการวางฐานราก และ Power supply

ขณะที่จีนจะรับผิดชอบของเส้นทางบริเวณที่เป็นภูเขา ไหล่เขา เนื่องจากจะต้องใช้เทคโนโลยีของจีน ด้านการเดินรถและการบำรุงรักษา จะจัดตั้งบริษัทร่วมทุนของ 2 ฝ่าย แบ่งการดำเนินการเป็น 3

ช่วง คือ ช่วงแรกระยะปีที่ 1-3 จีนจะเป็นผู้ดำเนินการเดินรถ ช่วงที่ 2 ระยะปีที่ 4-7 ไทย-จีนจะดำเนินการร่วมกัน และช่วงตั้งแต่ปีที่ 7 เป็นต้นไป ไทยจะรับเป็นผู้ดำเนินการ

อย่างไรก็ตาม ด้านแหล่งเงินทุนนั้น แบ่งเป็นการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินจะใช้เงินทุนจากภาครัฐ, การวางฐานราก จะใช้การกู้เงินภายในประเทศ, ระบบรางและระบบอาณัติสัญญาณ จะใช้แหล่งเงินทุน

โดยการกู้เงินจากประเทศจีน ในส่วนของการเดินรถและการบำรุงรักษา จะเป็นแหล่งเงินทุนร่วมกันของไทยและจีน ทั้งนี้ ในเรื่องของข้อกฎหมายต่าง ๆ จะมีการหารือรายละเอียดอีกครั้งในการ

ประชุมครั้งที่ 4

เหตุบังเอิญของ “ชัยสิทธิ์ ชินวัตร”

บังเอิ๊ญญญ....บังเอิญญญ !!
เหตุบังเอิญของ “ชัยสิทธิ์ ชินวัตร” กับเหตุร้ายในบ้านเมือง
เหตเผาเมืองเมษา 52 มีการนำรถบรรทุกแก๊สแอลพีจี 3 คัน ของบริษัทสยามแก๊สแอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ ขู่ระเบิดในสามจุด คือ บริเวณหน้าแฟลตดินแดง , บริษัทคิงพาวเวอร์ ซอยรางน้ำ และ บริเวณหน้าโรงพยาบาลสงฆ์
บริษัทสยามแก๊สฯมีชื่อ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เป็นประธานกรรมการ จดทะเบียนก่อตั้งบริษัท 17 มกราคม 2544 และมีการขยายตัวทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องในยุคที่ทักษิณเรืองอำนาจ โดยในเดือนเมษายน 2548 เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 670 ล้านบาท ยอดขายของกลุ่มบริษัทนี้มีส่วนแบ่งการตลาดค้าก๊าซถึงร้อยละ 30 หรือประมาณ 70,000 ตันต่อเดือน และมีการแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชนในเดือนพ.ย.2548
ในครั้งนั้น พล.อ.ชัยสิทธิ์ ออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุดังกล่าว โดยอ้างว่ารถแก๊สของบริษัททั้ง 3 คันถูกขโมย ไม่มีการดำเนินคดีหรือขยายผลใด ๆ ในเรื่องนี้
3 พ.ย.52 พล.อ.ชัยสิทธิ์ ประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำขาหักที่จังหวัดเชียงราย
9 ธันวาคม 2555 พล.อ.ชัยสิทธิ์ จัดงานมอบถ้วยรางวัลพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้กับทีมมวยไทยที่ชนะเลิศในการแข่งขันที่มาเก๊าฟิชเชอร์แมนวอล์ค เขตปกครองพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน มีการถ่ายทอดสดผ่านช่อง 11 ให้ ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีกล่าวเปิดงานจนถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าไม่เหมาะสม และน่าจะเข้าข่ายกระทำความผิดในการใช้สื่อรัฐเป็นเครื่องมือให้นักโทษคดีใช้เป็นช่องทางสื่อสาร
12 ธันวาคม 2555 สำนักราชเลขาธิการ ทำหนังสือถึง พล.อ.ชัยสิทธิ์ เพื่อสอบถามความชัดเจน เนื่องจากมีการนำชื่อถ้วยพระราชทานไปใช้ โดยยังไม่ได้รับพระบรมราชาอนุญาต”
ต่อมา พล.อ.ชัยสิทธิ์ ได้ทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษถึงสำนักราชเลขาธิการ โดยอ้างว่าเป็นความผิดพลาดในขั้นตอนการขอพระบรมราชาอนุญาตถ้วยรางวัล และวิงวอนสื่อมวลชนอย่าขุดคุ้ยเรื่องนี้
8 มีนาคม 2558 มีหลักฐานเป็นบัญชีรายชื่อและเบอร์โทรศัพท์จากการจับกุมผู้ต้องหาคดีปาระเบิดศาลอาญา ปรากฏว่ามีชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร และ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีต ผบ.ชน. เจ้าของวาทะ “มีวันนี้เพราะพี่ให้” รวมอยู่ด้วย
9 มีนาคม 2558 พล.อ.ชัยสิทธิ์ เปิดแถลงข่าวยอมรับว่ารู้จักกับภรรยาผู้ต้องหา โดยอ้างให้ข้าวให้ปลากิน แต่ไม่ใช่การ์ดส่วนตัว พร้อมยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุร้าย
คุณเชื่อเรื่อง “บังเอิญ” มั้ย ?

หมายจับเพิ่มอีก 4 แก๊งจัดหาอาวุธ บึ้มศาลอาญา

หมายจับเพิ่มอีก 4 แก๊งจัดหาอาวุธ บึ้มศาลอาญา
ศาลอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาคดีปาระเบิดหน้าศาลอาญา เพิ่มอีก 4 ราย ทำหน้าที่ในการจัดหาอาวุธ และ มีรายงานว่าสามารถควบคุมตัว 1 ใน 4 คนได้แล้ว
โดยคืนวานนี้ (10 มี.ค.) ศาลทหารได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหาคดีระเบิดศาลอาญา เพิ่มเติมอีก 4 คน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการจัดหาอาวุธ และจ่ายเงินให้กับกลุ่มผู้ต้องหา
สำหรับคดีนี้ ศาลได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหารวม 2 ชุด โดยชุดแรกจำนวน 5 คน สามารถจับกุมตัวได้แล้ว 4 คน เหลือนายวิระศักดิ์ โตวังจร ที่ทำหน้าที่นำระเบิดมามอบให้กับกลุ่มผู้ก่อเหตุที่ยังหลบหนี
ส่วนชุดที่ 2 ออกหมายจับล่าสุด 4 คน ประกอบด้วยนายณเรศ อินทรโสภา,นายสรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน,นายชาญวิทย์ จริยานุกูลและนายวิชัย อยู่สุข ซึ่งล่าสุดมีรายงานว่าสามารถควบคุมตัว 1 ใน 4 ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับได้แล้ว ขณะนี้อยู่ในความควบคุม และสอบสวนของเจ้าหน้าที่ทหาร


"อรรถวิชช์" ซัด ร่างภาษีบ้านที่ดิน เกาไม่ถูกที่คัน เน้นหา "เงิน" มากกว่า "ปฏิรูป"

วันที่ 11 มีนาคม 2558 นายอรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยถึงกรณีร่างภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ว่า หลักการดีแต่เกาไม่ถูกที่คัน ในร่างเน้น "เงิน" มากกว่า "ปฏิรูป" โดยมีความมุ่งหวังส่วนตัวที่อยากจะเห็น 3 เรื่องเกี่ยวกับประเด็นนี้คือ
http://www.matichon.co.th/online/2015/03/14260528531426052865l.jpg

1.จัดการกับที่รกร้าง ร่างตอนนี้กำหนดเพดานภาษีที่รกร้างกับที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ไว้ 2% เท่ากัน จะไม่จูงใจให้คนนำที่รกร้างมาใช้ประโยชน์

2.จัดโซนนิ่งการใช้พื้นที่ประเภทต่างๆ โดยใช้โครงสร้างภาษีใหม่เป็นที่จูงใจ

3.ลดความเหลื่อมล้ำ ทำธนาคารที่ดิน โฉนดชุมชน หาที่ให้คนจนหรือผู้บุกรุกที่หลวง เช่นที่ริมคลองปิดทางน้ำ ที่ป่า

"ขณะนี้ รัฐเน้น "เงิน" จึงกังวลเรื่องอัตรา พยายามจะปรับลด แต่แท้จริงแล้วหากเน้น "ปฏิรูป" ควรพิจารณาเป้าหมายด้านโครงสร้างมากกว่า จะเสียภาษีเพิ่มกันทั้งที รัฐต้องมีแผนใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ" นายอรรถวิชช์ กล่าว

หมอเหวง ฟ้อง ปปช.ต่อศาลปกครองกลาง

10.00 น. วันนี้ (11 มี.ค. 58) นพ.เหวง โตจิราการ , พล.ต.อ.วิรุฬห์ พื้นแสน ,นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ร่วมกันยื่นฟ้องคณะกรรมการปปช. , นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการปปช.และ นายวิชา มหาคุณ ,นายภักดี โพธิศิริ ,นายวิชัย วิวิตรเสวี ,นายปรีชา เลิศกมลมาศ ,นายใจเด็ด พรไชยา ,พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง , นายณรงค์รัฐ อำมฤกต และ นางสาวสุภา ปิยจิตติ กรรมการปปช. ต่อศาลปกครองกลางเกี่ยวกับกรณีที่คณะกรรมการปปช. ได้มีมติให้ไต่สวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการที
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาได้มีการร่วมกันลงชื่อและพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้ถูกยกเลิกโดยคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 11/2557 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ไปแล้ว โดยขอให้ศาลปกครองมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการปปช. และมีคำสั่งห้ามไม่ให้คณะกรรมการปปช.ชี้มูลความผิดและห้ามมิให้ส่งเรื่องการถอดถอนออกจากการดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ


“บิ๊กตู่” ถกนอกรอบ บิ๊กแม่น้ำ 5 สาย แจงรีดภาษีเหตุงบฯ ลงทุนไม่พอ

“บิ๊กตู่” ถกนอกรอบ บิ๊กแม่น้ำ 5 สาย แจงรีดภาษีเหตุงบฯ ลงทุนไม่พอ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
11 มีนาคม 2558 15:48 น. (แก้ไขล่าสุด 11 มีนาคม 2558 17:52 น.)
“บิ๊กตู่” ถกนอกรอบ บิ๊กแม่น้ำ 5 สาย แจงรีดภาษีเหตุงบฯ ลงทุนไม่พอ
        สปช.เจ้าภาพจัดประชุมแม่น้ำ 5 สาย สโมสรกองทัพบก “บิ๊กตู่” ถกนอกรอบแกนนำ 5 สาย กำชับทุกฝ่ายต้องทำงานสอดคล้องกัน ทั้งแก้ปัญหาทุจริต วางอนาคตประเทศให้เข้มแข็ง รับเหตุรีดภาษีเพราะงบฯ ลงทุนไม่พอ ด้านสโมสรฯ ยอมลดราคาข้าวกระเพราไก่ไข่ดาว จากจานละ 120 เหลือ 80 แถมเอาใจนักข่าว ข้าวราด 2 อย่าง 50 ถ้าราด 3 อย่าง 60 บาท 
      
       ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดี เมื่อเวลา 13.30 น. วันนี้ (11 มี.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประชุมร่วม 5 ฝ่าย เพื่อติดตามการขับเคลื่อนการทำงานตรามโรดแมปครั้งที่ 3 ประกอบด้วย คสช. คณะรัฐมนตรี (ครม.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยการประชุมครั้งนี้ สปช.เป็นเจ้าภาพ
      
       ทั้งนี้ ก่อนการประชุมประธานแม่น้ำ 5 สาย พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้หารือนอกรอบก่อนประชุมอย่างเป็นทางการ ที่ห้องรับรองชั้น 1 เป็นเวลา 30 นาที
      
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างเข้มงวด เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจสนธิกำลังกัน ขณะที่เรื่องของอาหารสวัสดิการสโมสรทหารบกที่ก่อนนี้มีการเสนอข่าวว่าราคาอาหารแพง ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวราคา 120 บาท พบว่ามีการปรับราคาลงมาเหลือ 80 บาท และการประชุมครั้งนี้ทางสโมสรทหารบกได้จัดอาหารเป็นข้าวราดแกงจำหน่ายเฉพาะสื่อมวลชน เช่น ผัดกะเพราไก่ ผัดผักรวมมิตรใส่หมู ไข่ดาว โดยข้าวราดสองอย่างราคา 50 บาท และราด 3 อย่าง ราคา 60 บาท ขณะที่การประชุม 5 ฝ่ายมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สมาชิก คสช.เข้าร่วมการประชุมด้วย
      
       จากนั้น เวลา 14.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวก่อนเข้าสู่วาระการประชุมว่า การประชุมครั้งนี้เพื่อประสานสอดคล้องให้การทำงานเดินหน้าไปได้ ทุกคนทราบถึงสถานการณ์ในปัจจุบันดีว่าเป็นอย่างไร ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเข้ามาทำงานร่วมกัน ด้วยเหตุผลความจำเป็นที่ต้องมีแม่น้ำ 5 สาย ที่ทุกสายต้องเดินหน้าไปพร้อมกัน สิ่งสำคัญทุกคนต้องเข้าใจตรงกันว่าวันนี้บ้านเมืองกำลังมีปัญหาทั้งการบริหารราชการแผ่นดิน การทุจริตคอร์รัปชัน ความไม่โปร่งใส จึงต้องสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศ ปัญหาต่างๆ ก่อนหน้านี้มีมายาวนานจำเป็นต้องมีการปฏิรูปและกำหนดเวลาที่ชัดเจน เพราะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทุกครั้งเท่าที่ติดตามมาไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นทุกอย่างต้องทำงานให้สอดคล้องเพื่อวางอนาคตสร้างความเข้มแข็งให้แก่ประเทศ และอยากให้สื่อสารกับประชาชนด้วยว่าการบริหารราชการแผ่นดินในวันนี้ งบประมาณด้านการลงทุนไม่เพียงพอจึงจำเป็นต้องหาเงินมา จึงมีเรื่องการจัดเก็บภาษีมาพิจารณา
“บิ๊กตู่” ถกนอกรอบ บิ๊กแม่น้ำ 5 สาย แจงรีดภาษีเหตุงบฯ ลงทุนไม่พอ

คดีปปช.อภิสิทธิ สลายการชุมนุม

.....กรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาแก่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ว่าปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบในการสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เมื่อปี 2553 นั้น
.....ลองย้อนกลับไปดูเหตุตั้งแต่วันที่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีในปลายปี 2551 วันนั้นกลุ่ม นปช. ได้ชุมนุมกันอยู่หน้ารัฐสภาเพื่อกด ส.ส. ในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี
.....เมื่อที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสียงข้างมากเลือกนายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี รถยนต์ของ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ที่เดินทางออกจากรัฐสภาถูกขว้างปาได้รับความเสียหาย ส.ส. บางคนถูกกลุ่ม นปช.ทำร้าย
.....การประชุมแถลงนโยบายไม่อาจกระทำในสภาได้ ต้องไปแถลงที่กระทรวงการต่างประเทศ
.....ต้นปี 2552 กลุ่ม นปช มีการชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ ลาออก
.....เมื่อมีการประชุมผู้นำอาเชียนที่พัทยา กลุ่ม นปช ก็พากันเดินไปจากกรุงเทพ บุกไปที่โรงแรมที่จัดประชุม จนต้องยุติการประชุม ผู้นำต่างประเทศต้องหลบหนีกันจ้าละหวั่น ซึ่งศาลจังหวัดพัทยาได้พิพากษาลงโทษจำคุกแกนนำ 13 คน ๆ ละ 4 ปี แล้ว
.....หลังจากนั้นนายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพ เดินทางไปประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานะการณ์ฉุกเฉินที่กระทรวงมหาดไทย ถูกกลุ่ม นปช ตามไปไล่ล่าหมายเอาชีวิตทุบรถยนต์ที่ใช้เป็นพาหนะได้รับความเสียหาย แต่โชคดีที่เป็นรถยนต์กันกระสุน นายอภิสิทธิ์จึงหนีรอดตายออกมาได้
.....ในปี 2553 กลุ่ม นปช ได้ชุมนุมกันอีกเพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ลาออกหรือยุบสภา ช่วงแรกได้ยึดถนนราชดำเนินกลางตั้งแยกผ่านฟ้าจนถึงบริเวณหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์เป็นที่ชุมนุม ต่อมาได้แยกตั้งเวทีที่สี่แยกราชประสงค์ด้วย
.....วันที่ 10 เมษายน 2553 เจ้าหน้าที่ทหารได้ไปขอสถานที่ชุมนุมที่ถนนราชดำเนินคืน เพราะผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ได้ไปชุมนุมอยู่ที่สี่แยกราชประสงค์แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ทหารที่ไปปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้มีอาวุธติดตัวไปเลย
.....วันนั้นเจ้าหน้าที่ทหารถูกกลุ่มคนที่อยู่ในกลุ่ม นปช ใช้อาวุธปืนและระเบิด ยิงและขว้างใส่ ได้รับบาดทั้งสาหัสและไม่สาหัสหลายร้อยคน และถึงแก่ความตายร่วม 10 คนรวมทั้งพลเอกร่มเกล้า ธุวธรรม ด้วย
.....หลังจากนั้นคงจำกันได้ว่า นายอภิสิทธิ์ได้พยายามเจรจากับกลุ่ม นปช เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง มีการเจรจากันโดยถ่ายทอดทางโทรทัศน์ให้ประชาชนได้รับทราบกันทั่วประเทศ แต่ก็ตกลงกันไม่ได้
.....รัฐบาลจึงขอพื้นที่ชุมนุมคืนโดยใช้วิธีการกระชับพื้นที่ คือไม่ให้คนนอกเข้าไปชุมนุมได้ แต่กลุ่ม นปช ก็ได้ใช้อาวุธร้ายแรง ทำร้ายเจ้าหน้าที่ ประชาชนทั่วไปและทำลายทรัพย์สินของราชการและเอกชน ได้รับบาดเจ็บ ถึงแก่ความตายและทรัพย์สินได้รับความเสียหาย
.....การชุมนุมของกลุ่ม นปช ดังกล่าว เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารดำเนินการขอพื้นที่ชุมนุมคืน กลุ่ม นปช ได้ไปฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง เพื่อให้สั่งห้ามกระกระทำของเจ้าหน้าที่ทหาร แต่ศาลแพ่งมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช เป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าหน้าที่ทหารจึงมีอำนาจขอพื้นที่ชุมนุมคืนได้
.....นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ได้ประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานะการณ์ฉุกเฉินและแต่งตั้งให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการบริหารสถานะการณ์ฉุกเฉิน อันเป็นการกระทำเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง จึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย
.....นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารสถานะการณ์ฉุกเฉินก็ได้สั่งการไปตามมติของที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานะการณ์ฉุกเฉิน ให้เจ้าหน้าทหารไปดำเนินการกระชับพื้นที่และขอพื้นที่คืนจากผู้ชุมนุมที่ชุมนุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็เป็นสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน
.....ส่วนที่การปฏิบัติการขอพื้นที่ชุมนุนคืนดังกล่าว มีกลุ่มผู้ชุมนุมและบุคคลภายนอกได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตาย ก็ต้องตรวจสอบให้ได้หลักฐานชัดเจนว่า เหตุที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของเจ้าหน้าทหารหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็จบไม่ต้องพิจารณาเรื่องอื่นอีก แต่ถ้าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารก็ต้องตรวจสอบให้ได้ความชัดเจนว่า เป็นการกระทำที่สมแก่เหตุหรือเกินกว่าเหตุ
.....ถ้าเป็นกระทำที่สมควรแก่เหตุก็จบไม่ต้องพิจารณาเรื่องอื่นอีกเช่นเดียวกัน แต่ถ้าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุก็ต้องพิจารณาต่อไปว่า การกระทำดังกล่าวนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพมีส่วนรู้เห็นหรือคาดหมายล่วงหน้าได้หรือไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
.....ถ้าไม่มีส่วนรู้เห็นและไม่อาจคาดหมายล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น บุคคลทั้งสองก็ไม่ต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ครับ

เจาะภาษียุคคสช. ! “ที่ดิน – เหล้าบุหรี่ – โรงเรียนกวดวิชา” มาถูกทางหรือไม่?

เจาะภาษียุคคสช. ! “ที่ดิน – เหล้าบุหรี่ – โรงเรียนกวดวิชา” มาถูกทางหรือไม่?
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน
กลายเป็นกระแสต่อต้านครั้งใหญ่กว่าทุกครั้งที่รัฐบาลคสช.เคยประสบ เมื่อภาษีบ้านและที่ดินกลายเป็นข้อถกเถียงจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงย่ำแย่ พร้อมนโยบายที่ประชาชนจำต้องยอมเสียประโยชน์ครั้งใหญ่ด้วยเหตุผลหลักคือรัฐบาลต้องการเงินเพิ่ม
ตามต่อมาด้วยมาตรการขึ้นภาษีเหล้า - บุหรี่และเริ่มพิจารณาภาษีโรงเรียนกวดวิชา ดูเหมือนรัฐบาลคสช.จะทำสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ในช่วงสถานการณ์ปกติมากมาย แต่ภาษีเหล่านี้กำลังเดินไปถูกทิศถูกทางจริงหรือไม่? ประชาชนถูกบีบให้จ่ายอย่างไม่ยุติธรรมจริงหรือ?
หลากภาษีเรี่ยไรเงินเข้าคลัง
ปากคำจากฟากรัฐบาลตั้งแต่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ถึงสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต่างให้เหตุผลเป็นเสียงเดียวกันถึงการเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้นว่ามาจากการที่ “คลังถังแตก”
ภาษีที่กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดและอัปเดตความเปลี่ยนแปลงกันแบบวันต่อวันคงจะหนีไม่พ้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ปรับลดปรับยกเว้นหลายต่อหลายครั้ง
ผศ.ดร.พนิต ภู่จินดา อาจารย์ประจำภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยแสดงความคิดเห็นต่อภาษีดังกล่าวไปแล้วถึงคุณประโยชน์ของภาษีประเภทดังกล่าว แต่ทว่าถึงตอนนี้ภาษีที่กำลังออกนั้นดูจะมีท่าทีว่าไม่ได้ใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติที่มันมีอยู่มากนัก
โดยเขามองว่า การที่รัฐบาลออกมาบอกถึงสาเหตุที่เก็บภาษีที่ดินเพราะต้องการเงินเข้าคลังนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาลเสียฟอร์มด้วยเพราะภาษีดังกล่าวนั้นหากใช้อย่างถูกต้องจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการชี้ทิศทางการพัฒนาของประเทศได้เลยทีเดียว
“ผมว่ารัฐบาลเสียฟอร์มมาก เมื่อวานท่านนายกก็ออกมารับสารภาพว่าต้องการเงิน บอกว่ารัฐบาลที่แล้วทำหนี้ตั้งเยอะ เอาเงินมาใช้หนี้ แต่ภาษีตัวนี้มันเป็นเครื่องมือหลักในการพัฒนาเมือง ถ้าใช้เป็นมันจะเป็นเครื่องมือชี้นำการพัฒนาโดยใช้ประกอบกับผังเมืองรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ตัวกฎหมายนั้นจะกำหนดให้ประชาชน “ทำ” หรือ “ไม่ทำ” แต่ภาษีนั้นจะเป็นตัวบอกให้ประชาชน “ควรจะ” หรือ “ไม่ควรจะ” ทำอะไร ดังนั้นหากนำมาปรับใช้กับเรื่องภาษีที่ดิน เมื่อประชาชนใช้ที่ดินตามวัตถุประสงค์ที่รัฐบาลวางไว้ ประชาชนก็จะเสียภาษีน้อย แต่ถ้าใช้ในแบบที่ไม่ควรก็จะเสียภาษีมาก
“ฉะนั้นภาษีที่ดินในเชิงผังเมืองมันมีประโยชน์ใน 2 ประเด็น 1 คือใช้ชี้นำการพัฒนาอย่างพื้นที่ผังเมืองสีแดงกลางเมืองเป็นพื้นที่พาณิชยกรรม คนที่ใช้ต่ำกว่าพาณิชยกรรม มาทำเป็นบ้านเดี่ยวอยู่ก็ต้องเสียภาษีมากเพราะว่ารัฐเตรียมโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอาคารสูง 30 ชั้นขึ้นไป แต่คุณใช้น้อยกว่าที่รัฐลงทุนไป ฉะนั้นคุณก็ต้องจ่ายมาก เขาบีบให้คุณใช้ที่ดินตามที่ส่วนรวมเขาเห็นว่าดี เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
“2 คือลดความเหลื่อมล้ำ เพราะที่ดินถือเป็นทรัพยากรที่ขาดแคลนมากในเขตเมือง บวกกับตำแหน่งที่ตั้งมันมีผลต่อราคาเพราะฉะนั้นมันก็จะไปบังคับในตำแหน่งที่ทรัพยากรที่ดินขาดแคลนมาก คุณแย่งเขามามาก ก็ต้องชำระภาษีแพงแล้วเอามาชดเชยกับคนที่เสียภาษีน้อย เพราะคุณแย่งของคนอื่นเขาไป”
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือรัฐบาลยังคงเลือกที่จะเก็บภาษีแบบเท่ากันทั้งประเทศและไม่เกี่ยวข้องกับฝังเมืองรวมแต่อย่างใด เขาจึงมองว่าเป็นการใช้นโยบายที่เสียของและไม่ถูกวัตถุประสงค์ อีกประเด็นที่สำคัญคือเป็นการยอมรับว่ารัฐบาลกำลังถังแตก
“ภาษีที่ดินมันไม่ได้ออกแบบมาให้เก็บเงินเข้าคลังเพิ่ม มันออกแบบมาเพื่อชี้นำการพัฒนาอย่างถูกต้องและลดความเหลื่อมล้ำ

ทั้งนี้ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาษีเฉพาะที่ดินนั้น เขามองว่า ประชาชนยังจ่ายไหวและคงไม่มีการคัดค้านเกิดขึ้นมากนัก แต่ถ้ามีการเก็บซึ่งมากเกินไปก็คงมีการเลี่ยงภาษีเพิ่มขึ้น ส่วนของการกระจายตัวของการถือครองที่ดินเขาก็เห็นว่า ภาษีดังกล่าวไม่ได้มีอัตราที่ต่างกันในแต่ละพื้นที่มากอย่างมีนัยยะสำคัญ

“พวกนี้ต้องคำนวณตามหลักเศรษฐศาสตร์เมือง สมมติว่าพื้นที่ที่คุณอยู่เป็นพื้นที่ที่กำหนดไว้ให้เป็นพื้นที่พาณิชยกรรม แล้วมีคนใช้ที่ดินเป็นที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย ราคาหรืออัตราหรือฐานภาษีต่างกัน ถ้าที่ดินแถบนี้คิดเท่านี้เขาถึงจะเลิกอาศัยเป็นที่อยู่หนาแน่นน้อย ซึ่งแตกต่างจากกับพื้นที่หนึ่งของเมืองที่มีลักษณะแบบเดียวกันก็ได้ ฉะนั้นมันจะต้องถูกคิดคำนวณว่าแต่ละพื้นที่มันแตกต่างกัน เพื่อจะบอกว่า พื้นที่นี้ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชยกรรมนะ ต้องราคาเท่านี้เขาถึงจะยอมเปลี่ยน”
ภาษีที่ยุติธรรมขึ้น

การเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นชัดของรัฐบาลชุดนี้นั้น ผศ.ดร.พนิต อธิบายว่า มันคือภาษีโดยตรง ทั้งภาษีที่ดิน ภาษีเหล้า - บุหรี่ หรือภาษีสรรพสามิต และภาษีโรงเรียนกวดวิชา ซึ่งมีลักษณะที่ใครใช้มากก็จ่ายมาก ไม่ได้เก็บทางอ้อมเหมือนภาษีรายได้ส่วนบุคคล
โดยภาษีที่เก็บทั้งหมดนั้น เมื่อไม่นานมานี้มีการเปิดเผยว่าประเทศไทยติดอันดับ 6 ของโลกในด้านการเสียภาษีเมื่อคิดกับจีดีพีของประเทศมากขึ้น 16 เปอร์เซ็นต์ เขาเผยว่า อาจจะดูแพงแต่ภาษีเหล่านี้ขึ้นอยู่กับวิธีคิดของรัฐบาลว่าจะเก็บในสัดส่วนอย่างไร
“อย่างภาษีรายได้ส่วนบุคคลที่ประเทศเยอรมันเก็บ 50 เปอร์เซ็นต์ ของไทย 7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่พอภาษีตัวนี้ถูกตัวอื่นมันก็ต้องแพง”
ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการเก็บภาษีบาป หรือภาษีเหล้า - บุหรี่ ไพ่ น้ำมัน หรือภาษีสรรพสามิตทั้งหมดที่แพงมากแทน เป็นกลไกภาษีที่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารประเทศ
“ยุโรปเสียภาษีรายได้ส่วนบุคคลแพงแต่ไม่ต้องเสียภาษีอย่างอื่น เช่น ตัวรัฐสวัสดิการ คนเรียนฟรี รักษาฟรี มันคือการเล่นตรงนี้ แต่ตอนนี้รัฐบาลเลือกเพิ่มภาษีหลายตัวที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน”
ภาษีที่เก็บโดยตรง เขามองว่า มีส่วนทำให้การเก็บภาษีในภาพรวมมีความยุติธรรมมากขึ้น ใครไม่ทำก็ไม่เสีย หากเป็นภาษีเหล้า - บุหรี่ หากไม่ดื่มไม่สูบบุหรี่ก็ไม่ต้องจ่าย ถือเป็นสิ่งฟุ้มเฟือยที่หากต้องการก็ต้องรับภาระ แต่กับกรณีภาษีที่ดินที่ทุกคนจำเป็นต้องใช้นั้น เขามองว่าเป็นการใช้กลไกการเก็บภาษีโดยตรงที่ไม่ดีนัก
“มันเปลี่ยนวิธีคิดจากเดิมที่คิดค่าเฉลี่ยกันมาเป็นใครทำใครจ่ายภาพรวมมันก็จะมีความยุติธรรมมากขึ้น แต่มันจะมีคนที่เดือดร้อนกับความจำเป็น บางคนเขาใช้เพราะความจำเป็นแล้วต้องจ่ายมากขึ้น คือการจ่ายตรงควรเป็นภาษีฟุ่มเฟือยแต่เดิมเราก็ใช้วิธีนี้มาโดยตลอดคือภาษีสรรพสามิต แต่ของจำเป็นที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ของที่เลี่ยงไม่ได้ คุณคิดภาษีเขามาก เขาก็ตายไม่มีจะจ่าย”
ภาษีคือหน้าที่
ในอีกมุมหนึ่งภาษีก็ถือเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาประเทศโดยรวม หากมีการจัดการที่ยุติธรรม มีมาตรการและมาตรฐานในการจัดเก็บที่มีประสิทธิภาพ ดร.วิษณุ วงศ์สินศิริกุล อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มองว่าการเสียภาษีเพิ่มจะเป็นการทำให้ต้นทุนในการทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
“แต่ในบางเรื่องมันเป็นหน้าที่ของคนไทยหรือประชาชนที่ต้องเสียภาษี มันเป็นความเข้าใจที่ผิดที่ว่าทำไมอยู่ๆ มาเก็บจากฉัน อย่างที่ดิน ทำไมต้องมาเก็บในมุมหนึ่งอยากให้มองว่าการที่คุณมีที่ดินแล้วไม่นำมาทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม การที่ได้ที่ดินเหล่านั้นมาด้วยความได้เปรียบแล้วยังจะเอาเปรียบต่อไปเหรอ อันนี้คือมุมบวกที่ผมมองว่าการเก็บภาษีช่วยให้เกิดความเป็นธรรม”
แต่การเก็บภาษีในสังคมไทยยังมีช่องโหว่ช่องว่างโดยเขามองถึงร้านค้าออนไลน์มากมายที่ถือเป็นการค้าที่อยู่นอกระบบ แม้จะไม่ผิดกฎหมายแต่ไม่มีการเสียภาษีและไม่ได้อยู่จีดีพีของประเทศ ธุรกิจเหล่านี้ควรมีการเสียภาษีที่ถูกต้องโดยรัฐบาลต้องมีมาตรการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพด้วย
ในส่วนของภาษีโรงเรียนกวดวิชานั้น เขามองว่าเป็นสิ่งที่ควรจะมีการเก็บนานแล้ว โดยเมื่อครั้งที่แนวคิดดังกล่าวเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ฝ่ายโรงเรียนกวดวิชามีการออกมาบอกว่าจะผลักภาระไปให้กับผู้ปกครองเด็กจึงมีเสียงต้านออกมามากมาย เขาเห็นว่า กระทรวงพาณิชย์หรือกรมการค้าภายในควรมีบทบาทในการควบคุมราคาเพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค
“รัฐบาลชุดนี้กำลังถูกกระแสต่อต้านในแง่ที่ว่า ทำธุรกิจไม่เป็น ได้แต่รีดเงินภาษีจากคนในประเทศ แต่ถ้าเกิดรัฐบาลจะรีดก็รีด แล้วนำไปสู่การสร้างความเป็นธรรม แล้วแสดงให้เห็นว่ามันเกิดประสิทธิภาพมากขึ้นในการเก็บภาษีและลดความเหลื่อมล้ำได้ผมคิดว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยอมรับและรับได้”
ทว่าหากมาตรการเก็บภาษียังคงเป็นอย่างที่เป็นอยู่ เขามองว่าจะเป็นส่งกระทบที่ไม่ดีนัก ควรมีการจัดการรายละเอียดต่างๆ ให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น
“ถ้าอยู่ดีๆ บอกจะเก็บแล้วมาตรการจัดเก็บทุกอย่างเหมือนเดิม ผมว่าอันนี้กระทบมากแล้วจะทำให้เกิดแรงต่อต้านที่สูงขึ้นมากทีเดียว แต่ถ้าเก็บเพิ่มขึ้นแล้วมีมาตรการปฏิรูปให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่ามันมีความแตกต่างจากเดิมยังไง แล้วรัฐบาลแสดงให้เห็นว่า ถ้าทำตามนี้เป้าหมายภาษีจะได้ตามนี้ ผมคิดว่าตรงนี้ประชาชนรับได้
“หลายยุคสมัยที่ผ่านมาจนถึงรัฐบาลชุดนี้เองก็ยังไม่มีการปรับมาตรการหรือมาตรฐานในการจัดเก็บภาษีมีแต่การเพิ่มภาษี สคบ.เป็นหน่วยงานที่น่าจะถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากกว่านี้ ผนวกกับกรมการค้าภายใน มันต้องดูว่ารายละเอียดในการบังคับใช้เป็นยังไง ถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่หมายถึงวิธีการจัดเก็บยังเป็นแบบนี้อยู่มาตรฐานเท่านี้ แต่จะขึ้นภาษี มันส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะว่าอย่างน้อยที่สุดต้นทุนในการทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจมันเพิ่มสูงขึ้น”
การเก็บภาษีนั้นเป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพอย่างหนึ่งของรัฐบาล ในมุมหนึ่งก็ส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างมหาศาล และอีกมุมมันสามารถชี้นำการพัฒนาประเทศได้
จนถึงตอนนี้รายละเอียดทั้งหมดคงเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องรอกันต่อไปว่าสุดท้ายรัฐบาลจะสามารถจัดการออกแบบมาตรการเก็บภาษีให้มีประโยชน์ต่อสังคมทั้งหมดได้หรือไม่ หรือจะเป็นเพียงแค่เรี่ยไรเงินเข้าคลังเท่านั้น
ข่าวโดย ASTV