PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2560

'ลี้ภัยการเมืองกับผู้ต้องหาหนีคดี'

พบ "รอยปู" แล้ว!
"พลเอกประวิตร" บอกเมื่อวาน (๘ ก.ย.๖๐) กล้องวงจรปิดจับภาพได้
มีคนขับรถมาให้ถึง "ด่านทหารที่สระแก้ว"
จับภาพได้แค่นั้น ........
ส่วนจะเข้าเขมร หรือไปทางไหนต่อจากนั้น ท่านบอกว่า จับภาพไม่ได้ จะต้องไปนำตัวคนขับรถมาสอบถามดูก่อน
จาก "บิ๊กป้อม" มีแค่นี้
แต่ที่แพร่ตามโซเชียล อ้างแหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคง รู้ละเอียดว่ายิ่งลักษณ์ นั่งรถยี่ห้ออะไร ทะเบียนอะไร
แล้วไปเปลี่ยนรถ มีนายตำรวจ "ระดับผู้กำกับ" ขับพาข้ามเข้าเขมรเข้าทางปอยเปต
มีรถจากทางปอยเปต รับไปต่ออีกที!
ก็ไม่มีอะไรต้องแปลกใจ..........
ถ้าการหนีของยิ่งลักษณ์ ไม่มีทหาร-ตำรวจ ร่วมรู้เห็นและเป็นพาหะ นั่นแหละ จะแปลกมากกกก
วันก่อน "พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี" บอกนักข่าว..........
"จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี โดย พ.ต.ท.เยื้อน ประภาวัต พาหนีออกจากกรุงเทพฯ
ไปลงเรือออกทางระยอง ไปเกาะกง มีคนรอรับพาข้ามไปกัมพูชา ออกไปประเทศจีน
เชื่อว่า คุณยิ่งลักษณ์ ก็หนีออกเส้นทางนี้เหมือนกัน สะดวกและใกล้ชายแดนที่สุด”
พลเอกพัลลภแก่แล้ว ถ้าความจำไม่เลอะเลือน ก็คงเลอะเทอะเพราะคนพาหนี ไม่ใช่ พ.ต.ท.เยื้อน
เป็นใคร เดี๋ยวให้ท่านอ่านเอง!
แต่ที่ควรทำความเข้าใจให้ชัด การหนีของจอมพล ป. เป็นการหนีบนเวทีการเมือง
ถูกปฏิวัติ จำเป็นต้องหนีอำนาจผู้ชนะ
ซึ่งทั้งผู้หนี ผู้ร่วมหนี หรือผู้พาหนี ในกรณีปฏิวัติ-รัฐประหารนี้ จะถือเป็นคดีการเมือง
คนพาหนี นอกจากไม่มีโทษทางอาญาปกติแล้ว
จะได้รับการยอมรับ-นับถือด้านจิตใจ ด้านการทำตามหน้าที่ซื่อตรงด้วยซ้ำไป
นอกจากไม่ถือเป็นโทษกันแล้ว ยังจะได้ยศ-ได้ตำแหน่งหน้าที่งานการคืนให้ด้วยซ้ำ!
ตรงข้ามกรณียิ่งลักษณ์ ตอน คสช.เข้าคุมอำนาจปกครองประเทศ ก็อยู่ได้เป็นปกติสุข
เธอไม่มีโทษทั้งทางการเมืองและทางอาญา เพราะนั่นเป็นการเมืองเรื่องของอำนาจ
เมื่ออำนาจใหม่ ไม่ไล่ล่า เธอก็อยู่ของเธอได้ตามปกติ อยากไปไหน..ก็ไป ไม่มีใครห้าม
เธอมาหนีเอาเมื่อ ๒๓ สิงหา ๖๐
ห่างจากที่ คสช.ยึดอำนาจกว่า ๓ ปีแล้ว จึงไม่เป็นเหตุ-ไม่เป็นเงื่อนไข ที่เธอจะยกประเด็น "หนีภัย-ลี้ภัย" ทางการเมือง ไปอ้างที่ไหน
ชัดเจนไปทางเดียว........
ยิ่งลักษณ์ ที่เธอหนี เพราะเธอเป็น "ผู้ต้องหาคดีอาญา" ผิด-ไม่ผิด, ติด-ไม่ติด ผู้กระทำย่อมรู้อยู่แก่ใจตัวเอง
การหนีของเธอ เป็นการ "หนีคดีอาญา-หนีคำสั่งศาล" ในสถานะผู้ต้องหา
ดังนั้น ทั้งตัวคนหนี คือยิ่งลักษณ์ และคนพาหนี........
จะเป็นนายตำรวจระดับผู้กำกับหรือใครก็ตาม รวมทั้งผู้ประจำด่านที่ปล่อยหนีออกไป
มีความผิดร่วมทางอาญาทั้งสิ้น!
เพื่อเป็นการศึกษา "ประวัติศาสตร์การเมือง" เรื่องหนีทางการเมือง
"คุณเล็ก พงษ์สมัครไทย"
นำข้อมูลจาก "ตำรวจอารักขา" พล.ต.อ.ชุมพล โลหะชาละ หนังสือที่ระลึกงาน "พระราชทานเพลิงศพ" เมื่อ ๒๙ ต.ค.๔๔
เขียนไว้ในหนังสือศิลปวัฒนธรรม เมื่อ ๑ กันยา ๔๘ ผมขออนุญาต "เก็บความ" บางตอนมาเผยแพร่ต่อตรงนี้ ขออนุญาตด้วย
(๑๗ กันยายน ๒๕๐๐ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ขับรถเองหนีจากกรุงเทพฯ มาซ่อนตัวอยู่จังหวัดตราด)
จอมพล ป. ถาม พ.ต.อ.ชุมพล โลหะชาละ ว่า
"คุณชุมพล คุณมีปัญหาอะไรไหม หมายถึงมีคดีทางการเมืองบ้างไหม?"
"กระผมไม่เคยมีปัญหากับใคร และไม่มีผู้บังคับบัญชาคนไหนใช้ให้กระผมกระทำในสิ่งที่ผิดครับผม"
"คุณจะไปกับผมไหม?"
"ท่านต้องการกระผมหรือเปล่า กระผมไม่มีเงินติดตัวเลย อาจจะเป็นภาระให้ท่านก็ได้ ท่านก็ใช่ว่าจะมีเงินไปมาก เงินภายนอกประเทศไม่มีเลย อยู่ในต่างประเทศจะหาใครอุ้มชู คงจะยาก เงินที่ท่านมีอยู่เพียงท่านคนเดียวคงไปได้ไม่ไกล"
"ผมอยากให้คุณไปกับผม" จอมพล ป.พูดตัดบท
"กระผมทำหน้าที่อารักขาท่าน ขณะนี้หน้าที่ยังไม่สิ้นสุด ถ้าท่านคิดว่าจำเป็นที่จะต้องเอากระผมไปด้วย กระผมก็ยินดีและเต็มใจไปกับท่าน อนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึง ผมเชื่อมั่นว่าภรรยาซึ่งเป็นครูคงจะมีรายได้พอจะเลี้ยงลูกทั้งสี่ของเราได้"
จากนั้น พ.ต.อ.ชุมพล ฝากเครื่องแบบตำรวจไว้กับ "พลโทบุลศักดิ์ วรรณมาศ" ให้ช่วยไปมอบให้ภรรยา และแจ้งข่าวการอารักขานายกรัฐมนตรีตามหน้าที่ ซึ่งจำเป็นต้องเสียสละความสุขส่วนตัว
ตอนบ่าย คณะจอมพล ป.มีผู้ติดตามประกอบด้วย นายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขาฯ นายกฯ และ "พ.ต.อ.ชุมพล โลหะชาละ" นายตำรวจอารักขา
บ่าย ๒ โมง เรือเริ่มเดินเครื่องออกจากท่า แม้จะอยู่ตามชายฝั่งแต่เนื่องจากเป็นเรือเล็กและคลื่นแรงเรือจึงโคลงอย่างหนัก
.............................................
"พล.ต.อ.ชุมพล โลหะชาละ" ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นไว้ว่า
การเดินเรือคราวนี้ เลวร้ายกว่าครั้งที่ออกจากตราดมาก ท้องทะเลปั่นป่วนและมืดสนิท
พายุโหมกระหน่ำอย่างเกรี้ยวกราด คลื่นแต่ละลูกเหมือนภูเขา น้ำทะเลเข้าไปในเรือแต่ละโครม ทำให้เรือถูกกระแทกอย่างแรง จนเอียงวูบเหมือนจะจม แต่ไม่จม
ผมเจอทะเลบ้าครั้งนี้ อาเจียนจนไม่มีอะไรจะอาเจียนอีก แต่ยังครองสติได้ เมื่อน้ำทะเลซัดเข้าไปในท้องเรือ น้ำท่วมห้องเครื่อง ผมและลูกเรืออีกคนหนึ่ง พยายามสูบน้ำออกจากห้องเครื่อง
แต่ปริมาณน้ำที่สูบออก เหมือน "เยี่ยวเด็ก" แต่น้ำที่เข้าไปเหมือน "ทำนบพัง" เครื่องถึงที่สุดของมัน คือดับสนิท
เมื่อเครื่องเรือดับ การบังคับเรือทำไม่ได้เลย เรือหาปลาลำนี้ก็เหมือนกาบมะพร้าวลอยไปตามยถากรรม ตามแรงกระแทกของคลื่นยักษ์
ขณะนี้ ผมไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าลงไปช่วยสูบและวิดน้ำออกจากห้องเครื่อง ถ้าเรือจมแน่นอนว่า ต้องจมไปกับเรือ
การผจญกับคลื่นลม ความแปรปรวนของท้องทะเล และเรือต้องลอยไปตามยถากรรมนั้น ผมโผล่จากท้องเรือเห็นจอมพล ป.นั่งสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางความมืด
ดูเหมือนว่า ท่านไม่ได้ตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากนัก ไม่มีอาการเมาคลื่น หรืออะไรทั้งสิ้น
เรือประมงลำเล็กๆ ของเราจวนเจียนจะจมหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่จม ผมถามกัปตันเรือว่า ขณะนี้เราอยู่ที่ไหน อยู่ห่างจากฝั่งเท่าไร เรากำลังอยู่ฝั่งเขมร หรือลอยอยู่ในทะเลไทย
กัปตันตอบว่า "ไม่รู้"
ขณะที่เครื่องเรือเงียบสนิทและรอให้พายุสงบ
ท้องทะเลยังปั่นป่วนต่อไป เรือจะอับปางลงนาทีหนึ่งนาทีใดก็ไม่รู้ ผมขึ้นจากท้องเรือเพราะสู้กับปริมาณน้ำทะเลที่คลื่นซัดเข้าเรือไม่ไหว มานั่งกอดเสาอยู่หน้าจอมพล ป.
ไม่มีอะไรทำที่ดีไปกว่าภาวนา บนบานศาลกล่าวนึกถึงพระ-นึกถึงเจ้า พร้อมทั้งคิดว่า เราไม่เคยสร้างกรรมชั่วอะไรไว้ ทำไมจะต้องมาตายอย่างทารุณกลางทะเลบ้าอย่างนี้
ผมยังคิดว่า ถ้าตกลงไปในทะเลบ้า หรือมีเหตุให้เรือจม หรือจมไปกับเรือ ผมจะยิงขมับตัวเองทันที จะไม่ยอมทรมานด้วยการจมน้ำตายเด็ดขาด
ภัยที่พวกเราผจญอยู่ในคืนนั้น มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวสุดขีด คงไม่มีภัยใดที่น่ากลัวเท่านี้หรือกว่านี้อีกแล้ว ในช่วงที่เครื่องเรือดับและเรือผจญคลื่นขนาดใหญ่ของทะเลที่บ้าคลั่ง พายุโหมกระหน่ำอย่างไม่ปรานี
การอยู่ในสภาพที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าทำใจให้สงบพร้อมที่จะตาย เหตุการณ์รุนแรงอยู่กว่าครึ่งชั่วโมง มันเป็นครึ่งชั่วโมงที่ยาวนาน เป็นครึ่งชั่วโมงที่ทรมานโหดร้ายที่สุดในชีวิต
ลมฝนค่อยเบาลง แน่นอนคลื่นเล็กลงเป็นลำดับ ในที่สุดท้องทะเลก็เงียบสงบอีกครั้ง
ผมหายจากอาการเมาคลื่น รีบลงไปใต้ท้องเรือช่วยกันวิดน้ำออกจนหมด เอาผ้ามาบิดให้แห้ง เช็ดเครื่องเรือ เผาหัว ติดเครื่องได้อีกครั้ง
ที่แน่นอนที่สุดของธรรมชาติอย่างหนึ่งคือ หลังพายุฝนท้องฟ้าจะแจ่มใส
ดวงดาวบนท้องฟ้าระยิบระยับ กัปตันเรือสามารถบอกได้ทันทีว่าขณะนี้เราอยู่ที่ไหน ห่างจากฝั่งเท่าไหร่โดยอาศัยดวงดาว ซึ่งเปรียบเสมือนแผนที่เดินเรือของพวกเขา
ถึงตีห้าเศษๆ คณะจึงรู้ว่าเรืออยู่ทางทิศตะวันออก เพราะท้องฟ้าเริ่มสว่างจ้า เห็นชัดเจนจนมองเห็นฝั่ง และเบื้องหน้าคือ "เกาะกง" จุดหมายการลี้ภัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม
เรือแล่นเข้าเกาะกงอย่างช้าๆ และก่อนถึงฝั่งทหารประจำเกาะขับเรือเข้าเทียบเรือประมงของคณะผู้ลี้ภัย
จอมพล ป.แจ้งให้ทหารเหล่านั้นทราบว่า ท่านเป็นใคร มาจากไหน และต้องการมาลี้ภัย
ทหารเขมรรับทราบ และให้คณะลอยเรือรออยู่ก่อน เพื่อจะรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
ครู่ต่อมา ทหารเขมรได้ขึ้นมาควบคุมเรือ แล้วลอยลำเข้าไปยังเกาะ และเชิญให้จอมพล ป. คุณฉาย วิโรจน์ศิริ และ พ.ต.อ.ชุมพล พักอาศัยที่เรือนรับรองในค่ายทหาร
ส่วนนาย "ดาบตำรวจเฉลิม ชัยเชียงเอม" กัปตันเรือ และลูกเรือ ทางทหารเขมรปล่อยให้เดินทางกลับประเทศไทย....ฯลฯ...
ครับ...........
"ลี้ภัยการเมือง" กับ "หนีคดีอาญา" คุณค่าและความหมายมันต่างกันประมาณนี้แหละ.

บิ๊กเจี๊ยบปิดปากคดียิ้งลักษณ์

เครียด !!

บิ๊กเจี๊ยบ พลเอกเฉลิมชัย ผบ.ทบ.ดูเครียด ขรึม นิ่ง ....เพราะรับเต็มๆ คนเดียว ทั้งในฐานะ เลขาธิการ คสช.และผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย

วันนี้ งดให้สัมภาษณ์ เริ่อง "ยิ่งลักษณ์"หนีไปทางสระแก้ว พื้นที่กองกำลังบูรพา ของทบ....

วันนี้ เลย ไม่ทักทาย ไม่สบตา นักข่าวเลย ฝากทีมงาน ทบ.แจ้งนักข่าว ตั้งแต่แรก ว่า งดให้สัมภาษณ์ 

แม้นักข่าว จะรอกว่า 2ชม. แต่ บิ๊กเจี๊ยบ ก็คำไหนคำนั้น ไม่ให้สัมภาษณ์จริงๆ...ไม่แม้แต่ สบตา แค่ยกมือปฏิเสธ แค่นั้น.....

ทั้งนี้เพราะ ยังไม่มีความคืบหน้า ใดๆ เรื่องการติดตาม อดีตนายกฯ"ยิ่งลักษณ์" หลังจาก พลเอกประวิตร เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า พบเห็นรถเบนซ์ในภาพวงจรปิดผ่านไปทางสระแก้ว ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่กองกำลังบูรพา กองทัพภาค 1 กองทัพบก

บิ๊กเจี๊ยบ จึงขอให้สัมภาษณ์ วันพฤหัสฯ งาน ปิดกลักสูตร รร.เสธ.ทบ.เลย

"บางคนผิด ไม่ผิด ยังไม่รู้ แต่ก็หนีแล้ว"



"บางคนผิด ไม่ผิด ยังไม่รู้ แต่ก็หนีแล้ว"
"บิ๊กตู่" ยัน กม.ไม่ได้มีไว้แกล้งใคร ไม่ใช่แค่คนจนติดคุก เพราะคนรวยหนีได้ เหน็บ 
"บางคนผิด ไม่ผิด ยังไม่รู้ แต่ก็หนีแล้ว ชี้เลิกคดี เพื่อปรองดองไม่ได้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวว่า วันนี้เราต้องทำให้บ้านเมืองเป็นปกติ มีสันติสุขเกิดขึ้นให้กับคนในชาติ หลายคนบอกว่ารัฐบาลไม่ทำอะไร ผมจะทำได้อย่างไร จะไปสั่งให้คนเลิกทะเลาะกันได้หรือไม่
หรือจะสั่งให้ศาลยุติธรรม ยกเลิก ให้อภัยกันทั้งหมด มันทำได้หรือไม่ ซึ่งมันทำไม่ได้ ประเทศไหนก็ทำไม่ได้

"ผมถามสถานทูต เอกอัครราชทูต ของแต่ละประเทศว่าทำได้หรือไม่ เขาตอบว่าทำไม่ได้ หากเราจะยกเลิกเพื่อการปรองดองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคดีความ หรือเรื่องอะไรต่างๆก็ตาม
รวมไปถึงคดีอาญา คงต้องยกเลิกให้ผู้ต้องหาออกมาทั้งหมด มันทำไหม ไม่มีประเทศไหนทำได้ ไปหามาประเทศไหนทำได้ ให้บอกผมมา
สิ่งสำคัญในวันนี้ต้องใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นส่วนหนึ่งในการเข้าถึงสิทธิมนุษยชนด้วยความเป็นธรรมอย่างทั่วถึง

"ไม่ใช่มาบอกว่าคนจนติดคุก คนรวยไม่ติดคุก มันติดคุก ทุกคนแหละ อยู่ที่ว่าจะอยู่ให้ติดหรือจะหนีไป เรื่องจริงมันเป็นอย่างนั้น ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครคิดหรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น
แต่สิ่งสำคัญเราโดนมองแล้วว่า ถ้าเราไปทำอะไรก่อนที่คดีความจะตัดสิน โดยที่เราไปแพ่งเล็งใคร ก็จะโดนกล่าวหาเรื่องสิทธิมนุษยชนอีก นี่คือความขัดแย้งการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ ถ้าทำอะไรขณะที่ยังไม่มีเรื่องมีราว เพียงแค่นำเข้าสู่กระบวนการยังแตะอะไรกันไม่ได้เลย อันนั้นคือความยากง่ายของเจ้าหน้าที่ในการทำงาน จึงอยากเรียนไว้ตรงนี้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เราจะต้องมีความรัก ความสามัคคี รู้สิทธิหน้าที่ เคารพสิทธิซึ่งกันและกัน โดยไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น คนไทยต้องรู้กฎหมายว่าเป็นอย่งไร เราเกี่ยวข้องตรงไหน ถ้ามองเพียงว่ารัฐธรรมนูญมีกว่า 300 มาตรา แล้วทำได้ทุกอย่าง แบบนี้จะทำอะไรคงไม่สำเร็จ สิทธิมนุษยชนเองก็ทำไม่ได้ จึงต้องดูตรงนี้ด้วย เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะร่วมมือกัน
" และกฎหมายไม่ได้มีไว้เล่นงานคนดี กฎหมายไม่ได้มีไว้ ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียม แต่กฎหมายมีไว้คุ้มครองคนทุกคนให้มีโอกาสให้เข้าสู่ประโยชน์ของทรัพยากร "

"กฎหมายไม่ได้มีไว้แกล้งใคร เพียงแต่ใครก็ตามที่ทำผิดกติกาเหล่านั้น ก็ต้องถูกพิจารณาในกระบวนการยุติธรรม ถ้าไม่มีสาเหตุ ไม่มีเรื่อง ไม่มีหลักฐาน ไม่มีใครทำอะไรได้ เขาก็สู้คดีกันเยอะแยะไป บางครั้งอาจจะไม่ตรงกับสิ่งที่สังคมตัดสินไปแล้ว เพราะวันนี้เราตัดสินกันเองเยอะแยะ โดยตัดสินกันด้วยความรู้สึก ตัดสินกันด้วยระบบโซเชี่ยล และตัดสินกันทางสื่อ จนเกิดความวุ่นวายไปหมด

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว่า วันนี้มีความแตกต่างเรื่องการดำรงชีวิต ตรงนี้จะต้องดูแลกัน ไม่เช่นนั้นจะเกิดความวุ่นวายไปหมด คนจนติดคุก คนรวยไม่ติดคุก เพราะคนจนหนีไปไหนไม่ค่อยได้ใช่ไหม ยอมรับตรงนี้สิ เราก็ต้องดูแลเขาว่าจะทำอย่างไร ถ้าเขาผิดก็ต้องติดคุก แต่เขาไม่หนี เพราะหนีไม่ได้ ไอ้บางคนผิด ไม่ผิดยังไม่รู้ แต่ก็หนีแล้ว อย่างนี้คิดว่ามันไม่ใช่ อย่าไปสร้างความรู้ผิดๆแบบนี้

"นี่ผมไม่ได้พูดถึงใครเลยนะ เดี๋ยวจะหาว่าผมไปว่าใครอีก ผมพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม
แต่อย่ามายุ่งกับรัฐบาลและคสช.มากเกินไป ต้องนึกถึงสิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้น ทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จบหน้าที่ผมแล้ว และเรื่องนี้ผมไม่ได้ทำขึ้นมาใหม่ แต่เป็นเรื่องเดิมที่นำเข้าสู่กระบวนการ เพื่อจะได้จบเสียที ปัญหาใหม่ก็ยังรออยู่อีก คนทำผิดวันหน้าก็มีอีก" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ต้องย้อนกลับไปดู 70 ปีที่แล้ว ประเทศไทยมีการพัฒนาตามลำดับนั่นคือยุทธศาสตร์ภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา พระองค์รับฟังปัญหาด้วยพระองค์เอง และหาแนวทางช่วยเหลือพัฒนา ประเทศไทยถึงเดินหน้ามาถึงทุกวันนี้ ฉะนั้นอย่าลืมของเดิมประวัติศาสตร์ของไทย วันนี้หลายคนพยายามไม่ภาคภูมิใจ แต่จะไปสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ ซึ่งมันคนละเรื่องกัน จึงขอฝากให้ทำความเข้าใจในการศึกษาของเยาวชนด้วย
เราต้องหาวิธีการทำงานร่วมกันให้ได้เพื่อให้ไม่มีความขัดแย้งกัน ส่วนใหญ่คนเรามักเชื่อมั่นว่าตัวเองถูกเสมอ แต่ตนไม่คิดว่าตัวเองถูกตนจะฟังก่อนเสมอ บางครั้งอาจจะเร็วไปบ้าง
จากนั้นผมก็จะมาทบทวน อันไหนใช่ไม่ใช่ก็มาทบทวนและปรับปรุงตัวเอง ไม่ใช่ว่าผม โลเล แต่เราต้องลดปัญหาให้ได้ก่อน บางคนชอบอะไรแรงๆ ขอถามว่าแรงแล้วมันได้อะไรขึ้นมา ขอให้กฎหมายเขาได้ทำงาน ผมมีหน้าที่บริหารและรักษาความสงบเรียบร้อย ทำให้บ้านเมืองเกิดความสันติสุขและสร้างบรรยากาศในการปรองดอง เว้นบางคนที่ไม่อยากปรองดองก็ปล่อยเขาไป ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ระบุไว้ว่าศักดิ์ศรี สิทธิเสรี และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง หน้าที่ของทุกคนคือต้องคุ้มครองเขาด้วยเป็นการคุ้มครองทุกคน
เป็นหน้าที่ของทุกคนไม่ใช่ของผมคนเดียว อะไรก็ประยุทธ์ๆอย่างเดียวก็ไม่ใช่
ผมเป็นผู้นำในการบริหารและแก้ไขปัญหา ผมไม่ใช่ผู้นำเรื่อยเปื่อยส่งเดช"

ผ่าพฤติกรรมอำนาจพิเศษ “ปี 4” ท้าทายตรวจสอบ : เวลาพิสูจน์ คสช. เสี่ยงเสียของ

ผ่าพฤติกรรมอำนาจพิเศษ “ปี 4” ท้าทายตรวจสอบ : เวลาพิสูจน์ คสช. เสี่ยงเสียของ

ห้วงดาวพฤหัสโยกย้ายจากราศีกันย์เข้าสู่ราศีตุล

โหรทำนายทายทักดวงเมืองรุ่งโรจน์ ส่งนัยที่ดี ในการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ

แต่ในสถานการณ์ที่ติดพันมาจากเงื่อนไขเก่า ว่าตามผลสำรวจล่าสุดของสถาบันพระปกเกล้าได้เปิดเผยแบบสำรวจความคิดเห็นประชาชน ปี 2560 ในโอกาสครบรอบ 19 ปีสถาบัน

โดยสำรวจเกี่ยวกับผู้นำรัฐบาล ส่วนราชการ ศาลและองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยและพัฒนาของสถาบันพระปกเกล้า ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยสุ่มตัวอย่างประชาชนทั่วประเทศ อายุ 18 ปีขึ้นไป รวม 33,420 คน เก็บข้อมูลวันที่ 24 เมษายน ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2560

ประทับตราโพลมาตรฐานของหน่วยงานรัฐบาล

ไฮไลต์อยู่ตรงที่ผลสำรวจพบว่า ความเชื่อถือของนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 2545–2560 นายกรัฐมนตรีที่ได้รับความเชื่อมั่นสูงสุดในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาคืออดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ได้รับความนิยมถึง 92.9 เปอร์เซ็นต์

ขณะที่นายกรัฐมนตรีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในลำดับถัดมาคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับความนิยมร้อยละ 87.5 ในปี 2558 ซึ่งเป็นหนึ่งปีหลังรัฐประหาร

นำมาซึ่งพาดหัวข่าว คนยังปลื้ม “ทักษิณ” มาเป็นที่หนึ่ง

นั่นก็เลยนำมาซึ่งอาการหงุดหงิดของผู้นำอย่าง “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.ที่หัวร้อนกับคำถามสื่อมวลชนว่าด้วยผลของพระปกเกล้าโพล

สะท้อนว่าประเทศไทยยังก้าวไม่พ้นคนชื่อ “ทักษิณ”

“สื่อหลายคนยังก้าวไม่พ้น เสนอกันทุกวัน ก้าวไม่พ้นสักที ผมลืมไปแล้ว ปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎหมายว่ากัน การก้าวพ้นต้องสร้างการรับรู้ ถ้ามัวคิดถึงแต่ตรงนั้น ประเทศไม่ต้องเดินไปไหนแล้ว”

และยังออกแนวน้อยใจที่นักข่าวไม่ถามถึงเรื่องที่เดินทางไปร่วมประชุม BRICS ที่ประเทศจีนว่าเหนื่อยหรือไม่ ไปแล้วจะกลับมาหรือเปล่า ไปเที่ยวไหนมาหรือเปล่า

เอาเป็นว่า “นายกฯลุงตู่” ฉุนโพล พาลดะไปหมด

แต่นั่นก็เป็นอะไรที่เหมือนจะคุ้นชินกันแล้ว ตามสไตล์ของผู้นำรัฐบาลทหาร คสช.ที่ปั้นหน้ายักษ์ แสดงอาการหงุดหงิดกับสื่อมวลชนเป็นประจำ

ทำเหมือนนักข่าวเป็นกระโถนท้องพระโรง เป็นที่ระบายเวลาผู้นำมีปัญหาค้างคาใจ ไปลงกับตัวต้นเหตุตรงๆไม่ได้ก็มาระบายกับสื่อ

ปลดปล่อยอารมณ์เครียดๆให้พ้นไปวันๆ

ยิ่งเป็นอะไรที่สถานการณ์มาถึงจุดนี้ กลายเป็น “คนกันเอง” ที่ก่อแรงเสียดทาน สารพัดรายการที่เกิด ปัญหาเหยียบตาปลา ปมขบเหลี่ยมกันในขุมข่ายที่แฝงอยู่กับอำนาจ คสช.

สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน เป็น “3 ก๊ก” ภาค “เรือแป๊ะ”

ไล่กันตั้งแต่ประเด็นติดพันจากการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี “ล่องหน” ไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีจำนำข้าว

กระตุกรอยร้าวในขุมอำนาจฝ่ายต้าน “ทักษิณ”

ตามรูปการณ์แบบที่พรรคประชาธิปัตย์กับกลุ่มพันธมิตรฯตีปี๊บประจานเกมฮั้ว วิจารณ์ฝ่ายความมั่นคง คสช.เปิดทางให้อดีตผู้นำหญิงหนีไปอยู่กับพี่ชาย

นัยว่าเป็นการเกี้ยเซียะ เพื่อดีลอำนาจหลังเลือกตั้งรอบต่อไป

ขณะที่การแกะรอยตามอดีตนายกฯหญิงก็เป็นปริศนาคลุมเครือ แม้ล่าสุดจะมีการเปิดปมรถเก๋งพาหนีไปจอดทิ้งชายแดนไทย-กัมพูชาก็ยังไม่ชัดใครพาหนี

ตรงกันข้ามกับปรากฏการณ์ที่เห็นจังหวะการโยนกันไปโยนกันมาระหว่างทหารกับตำรวจ

ไม่มีใครรับเป็นเจ้าภาพหลักในการอุ้มเผือกร้อน

โดยสภาวะตอนนี้ รัฐบาล คสช.ตกอยู่ในความหวาดระแวงของแนวร่วมฝั่งเดียวกัน

และนั่นก็โยงมาถึงปรากฏการณ์โยกย้ายขุนทหารประจำปีที่ประกาศอย่างเป็นทางการ โฟกัสไปที่ “น้องรัก” ของพี่ใหญ่อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม

ชักแถวเข้ามาคุมเก้าอี้สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กเข้” พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ว่าที่ปลัดกลาโหม
พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ว่าที่รองปลัดกลาโหม “บิ๊กอ้อม” พล.ท.วีรชัย อินทุโศภณ ผบ.หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.) ว่าที่ผู้ช่วย ผบ.ทบ. “บิ๊กตู่น้อย” พล.ท.กู้เกียรติ ศรีนาคา ว่าที่แม่ทัพภาคที่ 1
แนวรบป่ารอยต่อฯยังแน่นปึ้ก

ตามรูปการณ์ที่ผู้เชี่ยวชาญสายทหารวิเคราะห์ว่า “บิ๊กแดง” พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ว่าที่ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ในฐานะน้องรัก “บิ๊กตู่” ที่ว่ากันว่าเป็น “เต็งหนึ่ง” จ่อเก้าอี้จ่าฝูงกองทัพบก

มีน้องรัก “บิ๊กป้อม” ประกบซ้ายขวา ชักจะไม่ชัวร์แล้ว

หันไปที่สถานการณ์ในดงสีกากีที่เปิดศึกวัดพลังภายในกันฝุ่นตลบ การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางกระแสข่าวซื้อขายตำแหน่งดังเซ็งแซ่ไม่หยุด

มีการขุดปมแฉพลตำรวจตรีใหญ่กว่าพลตำรวจเอก

ลามต่อเนื่องกับกระแสข่าวลือการเปลี่ยนตัว ผบ.ตร. การสลับไพ่กันระหว่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.กับ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.

โดยสถานการณ์ที่โยงเป็นคนละเรื่องเดียวกัน กับปรากฏการณ์ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ที่ศาลยกฟ้องบริษัทเอกชนที่ถูกตำรวจไล่บี้ดำเนินคดี ท่ามกลางเสียงโห่มวยล้มต้มคนดู

และก็เป็น พล.ต.อ.ศรีวราห์ที่ยอมรับว่าสั่งย้ายตำรวจระดับผู้กำกับในท้องที่รับผิดชอบ พร้อมประกาศเดินหน้าลุยคดีต่อไม่ยอมให้ประเทศชาติเสียหาย ท้าชนพลตำรวจตรีที่ใหญ่กว่าพลตำรวจเอก

เด็กเส้น “พี่ใหญ่” เด็กสาย “บิ๊กตู่” เปิดศึกล่อกันเอง

ไหนจะรายการขัดลำกันเองระหว่างรัฐมนตรีสายท็อปบูต จากปมปัญหาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสตึงมนัมที่ พล.อ.ประยุทธ์มีคำสั่งให้ชะลอโครงการออกไป

ทั้งๆที่นายกรัฐมนตรีของไทยได้ตกลงกับผู้นำกัมพูชาไปแล้ว เพื่อหาแหล่งน้ำในอนาคตรองรับเมกะ-โปรเจกต์ โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(อีอีซี) ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากทางกัมพูชาเป็นอย่างดี โดยมีการสั่งให้ พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พลังงาน ศึกษาโครงการ รายงาน ครม.เป็นระยะแต่ไปๆมาๆ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ออกมายืนยันเลยว่า กรมชลประทานสามารถบริหารจัดการแหล่งน้ำภายในประเทศได้ ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำจากกัมพูชา

ทำให้ฝ่ายปฏิบัติสะดุด งงกับนโยบายที่พลิกไปพลิกมาของฝ่ายบริหาร นั่นไม่เท่ากับเครดิตความเชื่อมั่นของนายกรัฐมนตรีไทยในเวทีนานาชาติ

ท่ามกลางกระแสชิงเค้กผลประโยชน์จากมูลค่าโครง– การที่มหาศาล

สรุปทุกปมที่ไล่เรียงมา ไม่ว่าจะปมเขื่อนสตึงมนัม เรื่องของทัวร์ศูนย์เหรียญ การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ การวางขุมกำลังในกองทัพ และแรงตกกระทบจากการที่อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ล่องหน

ก่อสถานการณ์ขบเหลี่ยมเหยียบตาปลากันของกลุ่มอำนาจแฝง คสช.

มันสะท้อนเลยว่า ธรรมชาติของเกมอำนาจทาง การเมือง ทั้งรัฐบาลจากการเลือกตั้งและรัฐบาลอำนาจพิเศษจากการรัฐประหาร หากขาดซึ่งการประสานผลประโยชน์แล้ว

มันเดินหน้าไปต่อลำบาก ส่งผลให้การบริหารต้องสะดุด

จุดนี้แหละทำให้ “บิ๊กตู่” หงุดหงิด เพราะเรื่องของคนกันเองที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ไม่กล้าบอกพี่ น้อง เพื่อน เตือนกันตรงๆ

อะไรไม่สำคัญเท่ากับว่า บังเอิญมาตรงจังหวะวันที่ 5 กันยายน วันต่อต้านคอร์รัปชันแห่งชาติ ในบรรยากาศสถานการณ์มันก็เลยขัดๆกันยังไงชอบกล กับสถานะของรัฐบาลอำนาจพิเศษที่ถือธงนำปฏิรูปประเทศ เดินหน้าลุยล้างนักการเมืองโกงกินบ้านเมือง

ทำให้ภาพชักจะไม่แตกต่างจากรัฐบาลเผด็จการทหารในยุคก่อนๆที่ไร้กระบวนการตรวจสอบ
ตอนหมดอำนาจ “ตอโผล่” เต็มไปหมด

เรื่องของเรื่องมาถึงวันนี้ มันก็เข้าสู่ห้วงปีที่ 4 ท้ายเทอมรัฐบาล คสช.แล้ว ห้วง 3 ปีที่ผ่านมาน่าจะเพียงพอกับการเปรียบเปรยสุภาษิตที่ว่า ระยะทาง พิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์ คสช.

หมดเวลาจะมาขอโอกาสอะไรกันแล้ว

ถ้าสถานการณ์ยังเป็นอยู่เยี่ยงนี้ โอกาสเสี่ยงเสียของซ้ำมีความเป็นไปได้สูง

เอาเป็นว่า อย่างน้อยๆในสภาวะหนีเสือปะจระเข้ ไฟต์บังคับที่ชาวบ้านไม่มีทางเลือก

ก็น่าจะเกรงใจประชาชนเจ้าของประเทศกันบ้าง.

“ทีมการเมือง”

ทางบังคับตามแสง ‘พลุ’

ทางบังคับตามแสง ‘พลุ’

จุดพลุ “รัฐบาลแห่งชาติ” สว่างวาบ

ถึงรอบนี้ “ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์” ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง จะไม่พูดชัด แต่ที่เอ่ยถึงรัฐบาลหลังเลือกตั้ง โดยระบุ พรรคต่างๆจะร่วมมือตั้งรัฐบาลร่วมกันได้ “ถ้าจำเป็น และมีคนที่ทหารไว้วางใจมาร่วม”

นั่นก็น่าจะเป็นรูปแบบ “รัฐบาลแห่งชาติ” กลายๆ

ที่สำคัญ มาสำทับด้วยคิวที่ “อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เดินทางออกนอกประเทศ “ดร.เอนก” จับกระแสข่าวมาบอกต่อ คิวนี้เพราะ “เงื่อนไขพิเศษ”

โยงการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง รวมทั้งคิวปรองดอง

“จบได้เพราะมีอำนาจบางอย่างทำให้จบ”

ข้อมูลการข่าวแหลมๆ ชนิดคนในวงอำนาจเริ่มเงี่ยหู รอขยับตาม

เพียงแต่ก็ยังหวั่นกันว่าจะเหมือนหลายครั้งในอดีต พลุรัฐบาลแห่งชาติจุดขึ้น สว่างวาบแล้วก็ดับวูบ
กลายเป็น “รัฐบาลแห่งชวด” อีกหรือไม่

แล้วก็อย่างที่เห็น ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะขั้วฝ่ายการเมืองยังรักษาทรง ในภาวะที่วิกฤติขัดแย้งแตกแยกลงลึก และแค่คลายตัวจะหักอารมณ์มวลชนเสียทีเดียวก็ต้องคิดหนัก

ทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แบ่งรับแบ่งสู้ ต้องดูที่ชุดความคิด นโยบายไปกันกับพรรคประชาธิปัตย์ได้หรือไม่ โหนหลักการตำรับหรู

นั่นก็เลยเข้าทางคนพรรคเพื่อไทย ออกมาสับแหลกรูปหล่อ ทั้งจาตุรนต์ ฉายแสง–วัฒนา เมืองสุข แกนนำเพื่อไทย ประสานเสียงชูหลักการประชาธิปไตย ไม่เอาด้วยกับ คสช. ไม่หนุน “นายกฯคนนอก”

เลือก “แทงเต็ง” เย้ยประเภท “แทงกั๊ก” กันเลย

แต่แน่นอน อันนี้ต้องวงเล็บไว้ว่าเป็นความเห็นส่วนตัว เพราะประเภท “สายตรง” พูดแล้วหมายถึง “เจ้าของขั้วตัวจริง” ยังไม่มีท่าทีออกมา โดยเฉพาะ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” ถึงแข็งกร้าวและเดินตรง แต่แสดงให้เห็นหลายครั้ง

“พร้อมเลี้ยว” ได้ตลอด

ในห้วงที่เพลี่ยงพล้ำยาว “น้ำหนักต่อรอง” ลดน้อยถอยลงแปรผันตามเวลา “อำนาจที่หลุดมือ”

ล่าสุด “อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์” น้องสาวก็ส่อซ้ำรอย เร่ร่อนในต่างแดน

ขณะที่คิวพลิกเกมเข้าสู่ของถนัดสำหรับ “นักเลือกตั้งอาชีพ” ก็เริ่มจะมีสัญญาณ “โรดแม็ปขยับออก” อีกแล้ว ส่วนหมากด้านเกมมวลชนก็เริ่มเล่นยาก เช่นเดียวกับ “ช่องรับสัญญาณดี” ก็ไม่แน่ใจว่า “เจาะเข้า” หรือยัง

ล่าสุดแรงกดดันถาโถม ทั้งการไล่บี้ช่องหลบหนีของน้องสาว–ข้อกล่าวหาฟอกเงินโยงลูกชายเริ่มขยับ
ทางเลือกเหลือน้อย หากมีดีลเจรจา “ทักษิณ” ก็คงไม่ตัดทิ้ง

ถึงสุดท้ายอาจต้อง “เสียมากกว่าได้” ก็น่าจะดีกว่าโดนไล่ล้างแบบพลิกกระดานตระกูลชินฯ

เช่นเดียวกัน เมื่อหันมาที่ฝ่ายคุมเกมอำนาจพิเศษเอง ถึงจุดนี้จะบอกว่า “ก้าวข้ามทักษิณ” ไปแล้ว
แต่ใครเชื่อบ้างว่า “ทักษิณ” ไม่ใช่ “ตัวแปรสำคัญ”

ประกอบกับสถานการณ์คุมอำนาจเข้าสู่ขวบปีที่ 4 ไม่ต้องดูที่โพลของสถาบันพระปกเกล้า “บิ๊กตู่” ก็น่าจะชั่งน้ำหนักได้เอง ปั่นงานสร้างโปรไฟล์เต็มพิกัดแล้ว เรียกเรตติ้งปาดแซงหน้า “ทักษิณ” ได้แล้วหรือไม่
ถ้าหากปล่อยมืออำนาจพิเศษ เปิดสนามเลือกตั้งเมื่อไหร่ ก็ยังไม่ชัวร์ว่าจะเดินไป “ตามแผน”

ตามรูปการณ์เลยประเมินได้เลยว่า ทุกขั้วในห้วง 3 ก๊ก

อำนาจประเทศไทยยัง “ยัน” กันอยู่ ถึงจะมีบางฝ่ายเพลี่ยงพล้ำบางจุด แต่ก็มีแต้มต่อบางเรื่อง ยังกดกำราบอีกฝ่ายแบบราบคาบไม่ได้ทั้งหมด

และแน่นอน เกมพลิกผันก็คงต้องบู๊กันยาว กว่าจะรู้ผลลัพธ์ ประเทศไทยก็คงเสี่ยงพังพาบจนยากฟื้น
ฉะนั้นหากมีสัญญาณจากตัวแปรพิเศษนำทาง มีข้อเสนอชนิดปฏิเสธไม่ได้

สูตร “รัฐบาลแห่งชาติ” ก็ไม่แน่ อาจเป็นจริงได้เหมือนกัน.

ทีมข่าวการเมือง

ไม่ใช่ผู้นำเรื่อยเปื่อย

"ผมไม่ใช่ผู้นำ เรื่อยเปื่อย ส่งเดช"

"บิ๊กตู่" บ่น ไม่ใช่ อะไรก็ประยุทธ์ๆอย่างเดียว ผมเป็นผู้นำ ในการบริหาร และแก้ไขปัญหา ผมไม่ใช่ผู้นำเรื่อยเปื่อย ส่งเดช"

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวว่า วันนี้เราต้องทำให้บ้านเมืองเป็นปกติ มีสันติสุขเกิดขึ้นให้กับคนในชาติ หลายคนบอกว่ารัฐบาลไม่ทำอะไร ผมจะทำได้อย่างไร จะไปสั่งให้คนเลิกทะเลาะกันได้หรือไม่ 

หรือจะสั่งให้ศาลยุติธรรม ยกเลิก ให้อภัยกันทั้งหมด มันทำได้หรือไม่ ซึ่งมันทำไม่ได้ ประเทศไหนก็ทำไม่ได้
     
    
"ผมถามสถานทูต เอกอัครราชทูต ของแต่ละประเทศว่าทำได้หรือไม่ เขาตอบว่าทำไม่ได้ หากเราจะยกเลิกเพื่อการปรองดองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคดีความ หรือเรื่องอะไรต่างๆก็ตาม

 รวมไปถึงคดีอาญา คงต้องยกเลิกให้ผู้ต้องหาออกมาทั้งหมด มันทำไหม ไม่มีประเทศไหนทำได้ ไปหามาประเทศไหนทำได้ ให้บอกผมมา 

สิ่งสำคัญในวันนี้ต้องใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นส่วนหนึ่งในการเข้าถึงสิทธิมนุษยชนด้วยความเป็นธรรมอย่างทั่วถึง
 
    
"ไม่ใช่มาบอกว่าคนจนติดคุก คนรวยไม่ติดคุก มันติดคุก ทุกคนแหละ อยู่ที่ว่าจะอยู่ให้ติดหรือจะหนีไป เรื่องจริงมันเป็นอย่างนั้น ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครคิดหรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น 

แต่สิ่งสำคัญเราโดนมองแล้วว่า ถ้าเราไปทำอะไรก่อนที่คดีความจะตัดสิน โดยที่เราไปแพ่งเล็งใคร ก็จะโดนกล่าวหาเรื่องสิทธิมนุษยชนอีก นี่คือความขัดแย้งการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ ถ้าทำอะไรขณะที่ยังไม่มีเรื่องมีราว เพียงแค่นำเข้าสู่กระบวนการยังแตะอะไรกันไม่ได้เลย อันนั้นคือความยากง่ายของเจ้าหน้าที่ในการทำงาน จึงอยากเรียนไว้ตรงนี้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
 
    
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เราจะต้องมีความรัก ความสามัคคี รู้สิทธิหน้าที่ เคารพสิทธิซึ่งกันและกัน โดยไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น คนไทยต้องรู้กฎหมายว่าเป็นอย่งไร เราเกี่ยวข้องตรงไหน ถ้ามองเพียงว่ารัฐธรรมนูญมีกว่า 300 มาตรา แล้วทำได้ทุกอย่าง แบบนี้จะทำอะไรคงไม่สำเร็จ สิทธิมนุษยชนเองก็ทำไม่ได้ จึงต้องดูตรงนี้ด้วย เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะร่วมมือกัน

" และกฎหมายไม่ได้มีไว้เล่นงานคนดี กฎหมายไม่ได้มีไว้ ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียม แต่กฎหมายมีไว้คุ้มครองคนทุกคนให้มีโอกาสให้เข้าสู่ประโยชน์ของทรัพยากร "
 
    
"กฎหมายไม่ได้มีไว้แกล้งใคร เพียงแต่ใครก็ตามที่ทำผิดกติกาเหล่านั้น ก็ต้องถูกพิจารณาในกระบวนการยุติธรรม ถ้าไม่มีสาเหตุ ไม่มีเรื่อง ไม่มีหลักฐาน ไม่มีใครทำอะไรได้ เขาก็สู้คดีกันเยอะแยะไป บางครั้งอาจจะไม่ตรงกับสิ่งที่สังคมตัดสินไปแล้ว เพราะวันนี้เราตัดสินกันเองเยอะแยะ โดยตัดสินกันด้วยความรู้สึก ตัดสินกันด้วยระบบโซเชี่ยล และตัดสินกันทางสื่อ จนเกิดความวุ่นวายไปหมด 
 
    
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว่า วันนี้มีความแตกต่างเรื่องการดำรงชีวิต ตรงนี้จะต้องดูแลกัน ไม่เช่นนั้นจะเกิดความวุ่นวายไปหมด คนจนติดคุก คนรวยไม่ติดคุก เพราะคนจนหนีไปไหนไม่ค่อยได้ใช่ไหม ยอมรับตรงนี้สิ เราก็ต้องดูแลเขาว่าจะทำอย่างไร ถ้าเขาผิดก็ต้องติดคุก แต่เขาไม่หนี เพราะหนีไม่ได้ ไอ้บางคนผิด ไม่ผิดยังไม่รู้ แต่ก็หนีแล้ว อย่างนี้คิดว่ามันไม่ใช่ อย่าไปสร้างความรู้ผิดๆแบบนี้
 
    
"นี่ผมไม่ได้พูดถึงใครเลยนะ เดี๋ยวจะหาว่าผมไปว่าใครอีก ผมพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม 

แต่อย่ามายุ่งกับรัฐบาลและคสช.มากเกินไป ต้องนึกถึงสิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้น ทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จบหน้าที่ผมแล้ว และเรื่องนี้ผมไม่ได้ทำขึ้นมาใหม่ แต่เป็นเรื่องเดิมที่นำเข้าสู่กระบวนการ เพื่อจะได้จบเสียที ปัญหาใหม่ก็ยังรออยู่อีก คนทำผิดวันหน้าก็มีอีก" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
    
    
เราต้องหาวิธีการทำงานร่วมกันให้ได้เพื่อให้ไม่มีความขัดแย้งกัน ส่วนใหญ่คนเรามักเชื่อมั่นว่าตัวเองถูกเสมอ แต่ตนไม่คิดว่าตัวเองถูกตนจะฟังก่อนเสมอ บางครั้งอาจจะเร็วไปบ้าง 

จากนั้นผมก็จะมาทบทวน อันไหนใช่ไม่ใช่ก็มาทบทวนและปรับปรุงตัวเอง ไม่ใช่ว่าผม โลเล แต่เราต้องลดปัญหาให้ได้ก่อน บางคนชอบอะไรแรงๆ ขอถามว่าแรงแล้วมันได้อะไรขึ้นมา ขอให้กฎหมายเขาได้ทำงาน ผมมีหน้าที่บริหารและรักษาความสงบเรียบร้อย ทำให้บ้านเมืองเกิดความสันติสุขและสร้างบรรยากาศในการปรองดอง

" เว้นบางคนที่ไม่อยากปรองดอง ก็ปล่อยเขาไป ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ระบุไว้ว่าศักดิ์ศรี สิทธิเสรี และความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง หน้าที่ของทุกคนคือต้องคุ้มครองเขาด้วยเป็นการคุ้มครองทุกคน 

เป็นหน้าที่ของทุกคน. ไม่ใช่ของผมคนเดียว อะไรก็ประยุทธ์ๆอย่างเดียว ก็ไม่ใช่
ผมเป็นผู้นำ ในการบริหาร และแก้ไขปัญหา ผมไม่ใช่ผู้นำเรื่อยเปื่อยส่งเดช"