PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2560

'ลี้ภัยการเมืองกับผู้ต้องหาหนีคดี'

พบ "รอยปู" แล้ว!
"พลเอกประวิตร" บอกเมื่อวาน (๘ ก.ย.๖๐) กล้องวงจรปิดจับภาพได้
มีคนขับรถมาให้ถึง "ด่านทหารที่สระแก้ว"
จับภาพได้แค่นั้น ........
ส่วนจะเข้าเขมร หรือไปทางไหนต่อจากนั้น ท่านบอกว่า จับภาพไม่ได้ จะต้องไปนำตัวคนขับรถมาสอบถามดูก่อน
จาก "บิ๊กป้อม" มีแค่นี้
แต่ที่แพร่ตามโซเชียล อ้างแหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคง รู้ละเอียดว่ายิ่งลักษณ์ นั่งรถยี่ห้ออะไร ทะเบียนอะไร
แล้วไปเปลี่ยนรถ มีนายตำรวจ "ระดับผู้กำกับ" ขับพาข้ามเข้าเขมรเข้าทางปอยเปต
มีรถจากทางปอยเปต รับไปต่ออีกที!
ก็ไม่มีอะไรต้องแปลกใจ..........
ถ้าการหนีของยิ่งลักษณ์ ไม่มีทหาร-ตำรวจ ร่วมรู้เห็นและเป็นพาหะ นั่นแหละ จะแปลกมากกกก
วันก่อน "พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี" บอกนักข่าว..........
"จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี โดย พ.ต.ท.เยื้อน ประภาวัต พาหนีออกจากกรุงเทพฯ
ไปลงเรือออกทางระยอง ไปเกาะกง มีคนรอรับพาข้ามไปกัมพูชา ออกไปประเทศจีน
เชื่อว่า คุณยิ่งลักษณ์ ก็หนีออกเส้นทางนี้เหมือนกัน สะดวกและใกล้ชายแดนที่สุด”
พลเอกพัลลภแก่แล้ว ถ้าความจำไม่เลอะเลือน ก็คงเลอะเทอะเพราะคนพาหนี ไม่ใช่ พ.ต.ท.เยื้อน
เป็นใคร เดี๋ยวให้ท่านอ่านเอง!
แต่ที่ควรทำความเข้าใจให้ชัด การหนีของจอมพล ป. เป็นการหนีบนเวทีการเมือง
ถูกปฏิวัติ จำเป็นต้องหนีอำนาจผู้ชนะ
ซึ่งทั้งผู้หนี ผู้ร่วมหนี หรือผู้พาหนี ในกรณีปฏิวัติ-รัฐประหารนี้ จะถือเป็นคดีการเมือง
คนพาหนี นอกจากไม่มีโทษทางอาญาปกติแล้ว
จะได้รับการยอมรับ-นับถือด้านจิตใจ ด้านการทำตามหน้าที่ซื่อตรงด้วยซ้ำไป
นอกจากไม่ถือเป็นโทษกันแล้ว ยังจะได้ยศ-ได้ตำแหน่งหน้าที่งานการคืนให้ด้วยซ้ำ!
ตรงข้ามกรณียิ่งลักษณ์ ตอน คสช.เข้าคุมอำนาจปกครองประเทศ ก็อยู่ได้เป็นปกติสุข
เธอไม่มีโทษทั้งทางการเมืองและทางอาญา เพราะนั่นเป็นการเมืองเรื่องของอำนาจ
เมื่ออำนาจใหม่ ไม่ไล่ล่า เธอก็อยู่ของเธอได้ตามปกติ อยากไปไหน..ก็ไป ไม่มีใครห้าม
เธอมาหนีเอาเมื่อ ๒๓ สิงหา ๖๐
ห่างจากที่ คสช.ยึดอำนาจกว่า ๓ ปีแล้ว จึงไม่เป็นเหตุ-ไม่เป็นเงื่อนไข ที่เธอจะยกประเด็น "หนีภัย-ลี้ภัย" ทางการเมือง ไปอ้างที่ไหน
ชัดเจนไปทางเดียว........
ยิ่งลักษณ์ ที่เธอหนี เพราะเธอเป็น "ผู้ต้องหาคดีอาญา" ผิด-ไม่ผิด, ติด-ไม่ติด ผู้กระทำย่อมรู้อยู่แก่ใจตัวเอง
การหนีของเธอ เป็นการ "หนีคดีอาญา-หนีคำสั่งศาล" ในสถานะผู้ต้องหา
ดังนั้น ทั้งตัวคนหนี คือยิ่งลักษณ์ และคนพาหนี........
จะเป็นนายตำรวจระดับผู้กำกับหรือใครก็ตาม รวมทั้งผู้ประจำด่านที่ปล่อยหนีออกไป
มีความผิดร่วมทางอาญาทั้งสิ้น!
เพื่อเป็นการศึกษา "ประวัติศาสตร์การเมือง" เรื่องหนีทางการเมือง
"คุณเล็ก พงษ์สมัครไทย"
นำข้อมูลจาก "ตำรวจอารักขา" พล.ต.อ.ชุมพล โลหะชาละ หนังสือที่ระลึกงาน "พระราชทานเพลิงศพ" เมื่อ ๒๙ ต.ค.๔๔
เขียนไว้ในหนังสือศิลปวัฒนธรรม เมื่อ ๑ กันยา ๔๘ ผมขออนุญาต "เก็บความ" บางตอนมาเผยแพร่ต่อตรงนี้ ขออนุญาตด้วย
(๑๗ กันยายน ๒๕๐๐ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ขับรถเองหนีจากกรุงเทพฯ มาซ่อนตัวอยู่จังหวัดตราด)
จอมพล ป. ถาม พ.ต.อ.ชุมพล โลหะชาละ ว่า
"คุณชุมพล คุณมีปัญหาอะไรไหม หมายถึงมีคดีทางการเมืองบ้างไหม?"
"กระผมไม่เคยมีปัญหากับใคร และไม่มีผู้บังคับบัญชาคนไหนใช้ให้กระผมกระทำในสิ่งที่ผิดครับผม"
"คุณจะไปกับผมไหม?"
"ท่านต้องการกระผมหรือเปล่า กระผมไม่มีเงินติดตัวเลย อาจจะเป็นภาระให้ท่านก็ได้ ท่านก็ใช่ว่าจะมีเงินไปมาก เงินภายนอกประเทศไม่มีเลย อยู่ในต่างประเทศจะหาใครอุ้มชู คงจะยาก เงินที่ท่านมีอยู่เพียงท่านคนเดียวคงไปได้ไม่ไกล"
"ผมอยากให้คุณไปกับผม" จอมพล ป.พูดตัดบท
"กระผมทำหน้าที่อารักขาท่าน ขณะนี้หน้าที่ยังไม่สิ้นสุด ถ้าท่านคิดว่าจำเป็นที่จะต้องเอากระผมไปด้วย กระผมก็ยินดีและเต็มใจไปกับท่าน อนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึง ผมเชื่อมั่นว่าภรรยาซึ่งเป็นครูคงจะมีรายได้พอจะเลี้ยงลูกทั้งสี่ของเราได้"
จากนั้น พ.ต.อ.ชุมพล ฝากเครื่องแบบตำรวจไว้กับ "พลโทบุลศักดิ์ วรรณมาศ" ให้ช่วยไปมอบให้ภรรยา และแจ้งข่าวการอารักขานายกรัฐมนตรีตามหน้าที่ ซึ่งจำเป็นต้องเสียสละความสุขส่วนตัว
ตอนบ่าย คณะจอมพล ป.มีผู้ติดตามประกอบด้วย นายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขาฯ นายกฯ และ "พ.ต.อ.ชุมพล โลหะชาละ" นายตำรวจอารักขา
บ่าย ๒ โมง เรือเริ่มเดินเครื่องออกจากท่า แม้จะอยู่ตามชายฝั่งแต่เนื่องจากเป็นเรือเล็กและคลื่นแรงเรือจึงโคลงอย่างหนัก
.............................................
"พล.ต.อ.ชุมพล โลหะชาละ" ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นไว้ว่า
การเดินเรือคราวนี้ เลวร้ายกว่าครั้งที่ออกจากตราดมาก ท้องทะเลปั่นป่วนและมืดสนิท
พายุโหมกระหน่ำอย่างเกรี้ยวกราด คลื่นแต่ละลูกเหมือนภูเขา น้ำทะเลเข้าไปในเรือแต่ละโครม ทำให้เรือถูกกระแทกอย่างแรง จนเอียงวูบเหมือนจะจม แต่ไม่จม
ผมเจอทะเลบ้าครั้งนี้ อาเจียนจนไม่มีอะไรจะอาเจียนอีก แต่ยังครองสติได้ เมื่อน้ำทะเลซัดเข้าไปในท้องเรือ น้ำท่วมห้องเครื่อง ผมและลูกเรืออีกคนหนึ่ง พยายามสูบน้ำออกจากห้องเครื่อง
แต่ปริมาณน้ำที่สูบออก เหมือน "เยี่ยวเด็ก" แต่น้ำที่เข้าไปเหมือน "ทำนบพัง" เครื่องถึงที่สุดของมัน คือดับสนิท
เมื่อเครื่องเรือดับ การบังคับเรือทำไม่ได้เลย เรือหาปลาลำนี้ก็เหมือนกาบมะพร้าวลอยไปตามยถากรรม ตามแรงกระแทกของคลื่นยักษ์
ขณะนี้ ผมไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าลงไปช่วยสูบและวิดน้ำออกจากห้องเครื่อง ถ้าเรือจมแน่นอนว่า ต้องจมไปกับเรือ
การผจญกับคลื่นลม ความแปรปรวนของท้องทะเล และเรือต้องลอยไปตามยถากรรมนั้น ผมโผล่จากท้องเรือเห็นจอมพล ป.นั่งสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางความมืด
ดูเหมือนว่า ท่านไม่ได้ตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากนัก ไม่มีอาการเมาคลื่น หรืออะไรทั้งสิ้น
เรือประมงลำเล็กๆ ของเราจวนเจียนจะจมหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่จม ผมถามกัปตันเรือว่า ขณะนี้เราอยู่ที่ไหน อยู่ห่างจากฝั่งเท่าไร เรากำลังอยู่ฝั่งเขมร หรือลอยอยู่ในทะเลไทย
กัปตันตอบว่า "ไม่รู้"
ขณะที่เครื่องเรือเงียบสนิทและรอให้พายุสงบ
ท้องทะเลยังปั่นป่วนต่อไป เรือจะอับปางลงนาทีหนึ่งนาทีใดก็ไม่รู้ ผมขึ้นจากท้องเรือเพราะสู้กับปริมาณน้ำทะเลที่คลื่นซัดเข้าเรือไม่ไหว มานั่งกอดเสาอยู่หน้าจอมพล ป.
ไม่มีอะไรทำที่ดีไปกว่าภาวนา บนบานศาลกล่าวนึกถึงพระ-นึกถึงเจ้า พร้อมทั้งคิดว่า เราไม่เคยสร้างกรรมชั่วอะไรไว้ ทำไมจะต้องมาตายอย่างทารุณกลางทะเลบ้าอย่างนี้
ผมยังคิดว่า ถ้าตกลงไปในทะเลบ้า หรือมีเหตุให้เรือจม หรือจมไปกับเรือ ผมจะยิงขมับตัวเองทันที จะไม่ยอมทรมานด้วยการจมน้ำตายเด็ดขาด
ภัยที่พวกเราผจญอยู่ในคืนนั้น มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวสุดขีด คงไม่มีภัยใดที่น่ากลัวเท่านี้หรือกว่านี้อีกแล้ว ในช่วงที่เครื่องเรือดับและเรือผจญคลื่นขนาดใหญ่ของทะเลที่บ้าคลั่ง พายุโหมกระหน่ำอย่างไม่ปรานี
การอยู่ในสภาพที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าทำใจให้สงบพร้อมที่จะตาย เหตุการณ์รุนแรงอยู่กว่าครึ่งชั่วโมง มันเป็นครึ่งชั่วโมงที่ยาวนาน เป็นครึ่งชั่วโมงที่ทรมานโหดร้ายที่สุดในชีวิต
ลมฝนค่อยเบาลง แน่นอนคลื่นเล็กลงเป็นลำดับ ในที่สุดท้องทะเลก็เงียบสงบอีกครั้ง
ผมหายจากอาการเมาคลื่น รีบลงไปใต้ท้องเรือช่วยกันวิดน้ำออกจนหมด เอาผ้ามาบิดให้แห้ง เช็ดเครื่องเรือ เผาหัว ติดเครื่องได้อีกครั้ง
ที่แน่นอนที่สุดของธรรมชาติอย่างหนึ่งคือ หลังพายุฝนท้องฟ้าจะแจ่มใส
ดวงดาวบนท้องฟ้าระยิบระยับ กัปตันเรือสามารถบอกได้ทันทีว่าขณะนี้เราอยู่ที่ไหน ห่างจากฝั่งเท่าไหร่โดยอาศัยดวงดาว ซึ่งเปรียบเสมือนแผนที่เดินเรือของพวกเขา
ถึงตีห้าเศษๆ คณะจึงรู้ว่าเรืออยู่ทางทิศตะวันออก เพราะท้องฟ้าเริ่มสว่างจ้า เห็นชัดเจนจนมองเห็นฝั่ง และเบื้องหน้าคือ "เกาะกง" จุดหมายการลี้ภัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม
เรือแล่นเข้าเกาะกงอย่างช้าๆ และก่อนถึงฝั่งทหารประจำเกาะขับเรือเข้าเทียบเรือประมงของคณะผู้ลี้ภัย
จอมพล ป.แจ้งให้ทหารเหล่านั้นทราบว่า ท่านเป็นใคร มาจากไหน และต้องการมาลี้ภัย
ทหารเขมรรับทราบ และให้คณะลอยเรือรออยู่ก่อน เพื่อจะรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
ครู่ต่อมา ทหารเขมรได้ขึ้นมาควบคุมเรือ แล้วลอยลำเข้าไปยังเกาะ และเชิญให้จอมพล ป. คุณฉาย วิโรจน์ศิริ และ พ.ต.อ.ชุมพล พักอาศัยที่เรือนรับรองในค่ายทหาร
ส่วนนาย "ดาบตำรวจเฉลิม ชัยเชียงเอม" กัปตันเรือ และลูกเรือ ทางทหารเขมรปล่อยให้เดินทางกลับประเทศไทย....ฯลฯ...
ครับ...........
"ลี้ภัยการเมือง" กับ "หนีคดีอาญา" คุณค่าและความหมายมันต่างกันประมาณนี้แหละ.

ไม่มีความคิดเห็น: