PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2560

หาทางออก! ตำรวจร่อนหนังสือถึงขนส่งฯ ชง 3 แนวทาง “นั่งแค็บ – ท้ายกระบะ” ถูกกม.

หาทางออก! ตำรวจร่อนหนังสือถึงขนส่งฯ ชง 3 แนวทาง “นั่งแค็บ – ท้ายกระบะ” ถูกกม.


เมื่อวันที่ 11 เมษายน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) มีรายงานว่า พล.ต.ท.วิทยา ประยงค์พันธุ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผู้ช่วยผบ.ตร.) มีหนังสือ ที่ ตช.0011.14/1217 ลงวันที่ 7 เมษายน เรื่องหลักเกณฑ์รองรับการใช้รถกระบะบรรทุกโดยสาร ตามพ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 เพิ่มเติม ถึงอธิบดีกรมขนส่งทางบก ใจความว่า ด้วยปรากฏว่าตร.ได้นำแนวทางบังคับใช้เข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่งตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 14/2560 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2560 มาปฏิบัติและประชาสัมพันธ์ แต่ได้รับคำร้องเรียนจากผู้ใช้รถยนต์กระบะบรรทุกส่วนบุคคลจำนวนมาก ว่าไม่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนด ตามพ.ร.บ.รถยนต์ 2522 ที่ห้ามมิให้บรรทุกผู้โยยสารในช่องแค็บ หรือกระบะท้ายรถยนต์ได้ ด้วยความจำเป็น และข้อขัดข้องในการจดทะเบียนให้ถูกต้องหลายประการ
“กรณีนี้ ตร.ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า กรมการขนส่งทางบกควรพิจารณาออกหลักเกณฑ์ และวิธีการที่มีความปลอดภัย ในระดับหนึ่ง ให้กับประชาชน ที่มีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์กระบะบรรทุก เป็นรถยนต์โดยสารบ้างเป็นบ้างโอกาส โดยมิต้องไปจดทะเบียน เปลี่ยนแปลงลักษณะรถ เป็นรถยนต์บรรทุกผู้โดยสารส่วนบุคคล เกิน 7 คน ตามกฎหมาย ดังนี้
1.ที่แค็บด้านหลังคนขับ และผู้โดยสารตอนหน้า เฉพาะรุ่นที่มีความกว้างเพียงพอ เห็นสมควรให้อนุญาตติดตั้งเข็มขัดนิรภัยแบบ 2 จุด หรือ 3 จุด แล้วใช้เป็นที่โดยสารได้
2.สำหรับกระบะบรรทุก ตอนหลังรถ หากมีความจำเป็น จะต้องบรรทุกผู้โดยสารระหว่างการเดินทาง ให้กระทำได้โดยจำกัดจำนวนผู้โดยสาร ที่ให้บรรทุกได้ ไม่เกิน 6 คนและพิจารณากำหนดจุดติดตั้งราวจับยึด หรือติดตั้งเข็มขัดนิรภัยเท่าที่ทำได้
3.กรณีใช้บรรทุกผู้โดยสารตามข้อ2. จะต้องจำกัดความเร็วให้อยู่ในระดับปลอดภัยมากกว่าปกติ เห็นควรให้ใช้ความเร็วไม่เกินความเร็วในเขตเทศบาล( 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง )” ข้อเสนอของตร. ต่อกรมการขนส่งทางบก

ก.ดิจิทัลฯประกาศให้ปชช.งดติดตาม-ติดต่อ บุคคล3ราย ไม่ว่าเจตนาหรือไม่เจตนา

ก.ดิจิทัลฯประกาศให้ปชช.งดติดตาม-ติดต่อ บุคคล3ราย ไม่ว่าเจตนาหรือไม่เจตนา


วันนี้ (12 เมษายน) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.อ.สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวง รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงนามในประกาศกระทรวงดิจิทัลฯ เรื่องการงดเว้นการติดต่อกับบุคคลบนสื่ออินเทอร์เน็ต โดยระบุว่า ด้วยศาลอาญา ได้มีคำสั่งให้ระงับการแพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันไม่เหมาะสม ตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 จึงขอให้ประชาชนโดยทั่วไป งดการติดตาม ติดต่อ เผยแพร่ หรือกระทำการใดๆที่มีลักษณะเป็นการเผยแพร่ เนื้อหา ข้อมูล ของ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ และ นายแอนดิว แม็กเกรเกอร์ มาแชล์ (Andrew MacGregor Marshall บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สื่อสังคมออนไลน์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อมิให้เป็นการกระทำความผิดว่าด้วย พ.ร.บ.ดังกล่าว ทั้งเจตนา และไม่เจตนา

ประกาศ ณ วันที่ 12 เมษายน 2560 ลงชื่อโดย นาวาเอกสมศักดิ์ ขาวสุวรรณ รองปลัดกระทรวง รักษาราชการแทน ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

แนวโน้ม การเมือง กับ “รัฐธรรมนูญ” ใหม่ ความคาดหวังใหม่

แนวโน้ม การเมือง กับ “รัฐธรรมนูญ” ใหม่ ความคาดหวังใหม่

พลันที่ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดวันประกาศและบังคับใช้ที่แน่นอนในวันที่ 6 เมษายน ภาพทางการเมืองในอนาคตก็เริ่มมีความแจ่มชัด
นี่คืออิทธิพลและผลสะเทือน
ความหมายจึงมิได้อยู่ที่ว่า แม้จะมีการฉีกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ทิ้งไปในรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
แล้วประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญ “ฉบับชั่วคราว”
แต่ในที่สุด เมื่อถึงกาละอันเหมาะสมในอีกเกือบ 3 ปีต่อมา ก็มีความจำเป็นต้องประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญอย่างเป็นปกติ
เพราะนี่คือเงื่อนไขทางการเมือง เพราะนี่คือเงื่อนไขทางสังคม
และไม่ว่าการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญเป็นที่แน่นอนเมื่อใด นั่นก็หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองจะต้องบังเกิดตามมา
อย่างแรกสุดก็คือ จะต้องมีการเลือกตั้ง
AFP PHOTO / MIKE CLARKE

ระบอบประชาธิปไตย
การเมือง “การเลือกตั้ง”

แม้ในห้วงก่อนหน้ารัฐประหารเดือนกันยายน 2549 และในห้วงก่อนหน้ารัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 จะมีกระแสโจมตีระบบการเลือกตั้งอย่างสาดเสียเทเสีย
เป้าหมายอยู่ที่พรรคการเมือง เป้าหมายอยู่ที่นักการเมือง
แต่ไม่ว่าหลังรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 ก็มีความจำเป็นต้องมีรัฐธรรมนูญ และต่อจากนั้นก็ต้องเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง
เดือนธันวาคม 2550 และเดือนกรกฎาคม 2554
การเลือกตั้งจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญซึ่งขาดมิได้ในโครงสร้างใหญ่ทางการเมือง จะต้องเกิดขึ้นอย่างประสานไปกับการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญ
นี่คือบทบาทและความหมายของ “การเลือกตั้ง”
ไม่ว่าจะหลังรัฐประหารเมื่อเดือนตุลาคม 2501 ไม่ว่าจะหลังรัฐประหารเมื่อเดือนตุลาคม 2520 ไม่ว่าจะหลังรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2534
เพียงแต่ว่าคณะรัฐประหารจะสามารถถ่วงเวลาได้ช้า หรือจำเป็นต้องเลือกตั้งโดยเร็ว
รัฐธรรมนูญจึงเป็นปัจจัยอันทรงความหมายและมีบทบาทเป็นอย่างสูงต่อพัฒนาการแห่งระบอบประชาธิปไตย เพราะมีความสัมพันธ์กับการเลือกตั้ง
AFP PHOTO / MIKE CLARKE

บทบาท ความหมาย
กระบวนการ เลือกตั้ง

มีความพยายามเป็นอย่างมากของคณะรัฐประหารที่จะตรารัฐธรรมนูญขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสืบทอดและรักษาอำนาจของตน
ไม่ว่าจะรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2511 ไม่ว่าจะรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2521
รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2511 สามารถช่วยให้ จอมพลถนอม กิตติขจร ได้ครองอำนาจหลังการเลือกตั้งในปี 2512 แต่อีก 3 ปีต่อมาก็ต้องทำรัฐประหารตัวเองในเดือนพฤศจิกายน 2514 และอีก 2 ปีต่อมาก็ต้องพ้นไปจากอำนาจในเดือนตุลาคม 2516
รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2521 สามารถช่วยให้ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ได้ครองอำนาจหลังการเลือกตั้งในปี 2522 แต่อีก 1 ปีต่อมาก็ถูกสถานการณ์บีบให้ต้องสละอำนาจ
เป็นการบีบจาก ส.ว. ที่ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ แต่งตั้งมากับมือ
AFP PHOTO / GOVERNMENT HOUSE / AFP
รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2534 สามารถช่วยให้ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ได้ครองอำนาจหลังการเลือกตั้งในปี 2535 แต่ก็อยู่ในตำแหน่งได้เพียง 40 กว่าวันก็ถูกสถานการณ์บีบให้ต้องสละอำนาจ
บทเรียนจากอดีตเช่นนี้เองทำให้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ กำหนดเวลาให้กับตนเอง
เมื่อได้รับเชิญจากคณะรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ กำหนดวาระของตนเองอย่างเด่นชัดว่า เมื่อมีการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญและมีการเลือกตั้งก็พร้อมอำลา
การอำลาจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ จึงดำเนินไปอย่างสง่างาม ไม่มีใครมาขับไล่
AFP / LILLIAN SUWANRUMPHA

รัฐธรรมนูญใหม่
กับ ความหวังใหม่

การประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญในวันที่ 6 เมษายน จึงสะท้อนบทบาทและความหมายในทางการเมืองอย่างอัตโนมัติ
เด่นชัดยิ่งว่า การเลือกตั้งน่าจะมีขึ้นต้นปี 2561
หากการเลือกตั้งจะมีขึ้นในต้นปี 2561 นั่นหมายถึง แนวโน้มที่จะต้องมีการตระเตรียมในทางการเมืองล่วงหน้าให้พร้อมสรรพ
1 คือการจัดทำกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญ
ขณะเดียวกัน 1 ซึ่งมีความจำเป็นอย่างสูงคือ การปลดล็อกในทางการเมืองให้กับพรรคการเมืองและนักการเมือง
นี่ย่อมเท่ากับเป็นการเบิกสถานการณ์ใหม่

วีระ จิ้มแรง บิ๊กคนไหนของไทยพันบ่อน

วีระ สมความคิด กัดติดประเด็นบ่อนสายตะกูต่อ...โดยเผยภาพความสนิทสนม ระหว่าง "ลึม เฮง"เจ้าของบ่อน กับพล.อ.กุยกิมรอง ผบ.สูงสุด ของกัมพูชามือขวาตัวจริงของนายกฯฮุนเซน พร้อมโยงว่า พล.อ.
กุยกิม ควรจะมีความสนิทกับ ผู้มีอำนาจของฝ่ายไทยคนใด...ที่ในพิธีเปิดบ่อนวันที่7เม.ย.ที่ผ่านมา ไม่ได้ไปร่วมงาน เพราะเกรงจะถูกจับตา
//
ออกญาลึม เฮง กับพล.อ.กุยกิม (คนใส่หมวก)รอง ผบ.สูงสุด ของกัมพูชา
กุยกิมคือมือขวาตัวจริง
ของนายกฯฮุนเซน
เป็นนายทหารที่มีอำนาจบารมี
มากที่สุดคนหนึ่งของกัมพูชา
และเป็นผู้ที่ฮุนเซนไว้ใจที่สุด
(ติดตามรับใช้ฮุนเซนมาเป็นเวลา
ยาวนาน เคยช่วยชีวิตฮุนเซน)
ออกญาลึม เฮง คือคนสนิทใกล้ชิด
ที่สุดของพล.อ.กุยกิม
(ในวันศุกร์ที่ 7 เม.ย.2560
ที่มีพิธีเปิดบ่อนสายตะกู รีสอร์ท
ข่าวว่า พล.อ.กุยกิม ก็มาร่วมงาน)
ดังนั้น การก่อสร้างบ่อนกาสิโน
สายตะกู รีสอร์ท บนพื้นที่อ้างสิทธิ์
ทับซ้อน บริเวณด่านช่องสายตะกู
ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ จึงไม่ใช่เรื่องยาก
เรื่องยากของออกญาลึม เฮง ก็คือ ต้องเคลียร์กับผู้มีอำนาจทางฝั่งไทย
จะเคลียร์กับใครล่ะ?
ลำพังออกญาลึม เฮง มีอำนาจและบารมีเพียงพอหรือ?
ถ้าพล.อ.กุยกิม มาช่วยเคลียร์ หรือขอให้นายกฯฮุนเซนมาเคลียร์
ก็จบใช่ไหม?
คำถามก็คือ แล้วมาเคลียร์กับบิ๊กคนใดของไทย
ขณะนี้ผู้มีอำนาจของไทย
มีกี่คนที่คุ้นเคยสนิทแนบแน่น
กับนายกฯฮุนเซนมากที่สุด?
ผู้นั้นคือใคร?
ผู้ใดทายถูก
ท่านคือผู้โชคดี
ไปขอรับรางวัลจากออกญาลึม เฮง
เจ้าของบ่อนสายตะกู รีสอร์ท
ได้เลยครับ
ได้ข่าวว่า ของสมนาคุณกว่า
2,500,000 บาท
ที่เตรียมไว้แจกผู้มาร่วมพิธีเปิดบ่อน
(7 เม.ย. 60)
ยังเหลืออีกบานเลย
(เพราะเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยไม่มีผู้ใดกล้าไปร่วมงานสักคน)