PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559

ศาลรัฐธรรมนูญตีกลับให้ กรธ. แก้ไขร่าง รธน. เปิดทาง ส.ว. ร่วมเคาะนายกฯ คนนอก


คำนิวิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 6/2559 ระบุร่างรัฐธรรมนูญที่ กรธ. แก้ไขเรื่องคำถามพ่วง ยังไม่ชอบกับผลประชามติ จึงขอให้แก้มาตรา 272 ใหม่ เพื่อให้ผู้มีสิทธิเสนอ "ขอยกเว้นการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อ" เป็น "สมาชิกรัฐสภา" คือ ส.ส. และ ส.ว.แต่งตั้ง รวมจำนวนไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง และให้เริ่มนับระยะเวลา 5 ปีที่ใช้ตัวบทนี้ ตั้งแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตาม รธน.
28 ก.ย. 2559 ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 6/2559 ว่า ร่างรัฐธรรมนูญซึ่งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้แก้ไขส่วนที่เกี่ยวข้องตามร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ไม่ชอบกับผลการออกเสียงประชามติ และให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญดำเนินการแก้ไขตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในส่วนที่เกี่ยวข้องในร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ดังนี้
1.ผู้มีสิทธิเสนอขอยกเว้นการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อ คือ สมาชิกรัฐสภาจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา
2.กำหนดเวลาและวันเริ่มนับเวลาตามร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 วรรคหนึ่งและวรรคสอง คือ “ในระหว่างห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้”
ให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญดำเนินการแก้ไขตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปรับแก้ถ้อยคำปรารภให้สอดคล้องกันต่อไป ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1 ) พุทธศักราช 2558 มาตรา 37/1
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย จรัญ ภักดีธนากุล, ชัช ชลวร, ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ, นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, บุญส่ง กุลบุปผา, ปัญญา อุดชาชน, วรวิทย์ กังศศิเทียม, อุดมศักดิ์ นิติมนตรี
สำหรับร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ระบุว่า
"มาตรา 272 ในวาระเริ่มแรก เมื่อมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 268 แล้ว หากมีกรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 ไม่ว่าด้วยเหตุใด และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 ในกรณีเช่นนั้น ให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยพลัน และในกรณีที่รัฐสภามีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาให้ยกเว้นได้ ให้สภาผู้แทนราษฎรดําเนินการตามมาตรา 159 ต่อไป โดยจะเสนอชื่อผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 หรือไม่ก็ได้"

ศาลให้กรธ.แก้ร่างรธน.มาตรา272 ให้สว.มีสิทธิเข้าชื่อเปิดทางนายกฯคนนอก"

ศาลรัฐธรรมนูญให้กรธ.แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ให้ สส.-สว.จำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งมีสิทธิเสนอขอเว้นเสนอชื่อนายกฯจากบัญชีรายชื่อ เปิดทางนายกฯคนนอก

เมื่อวันที่ 28 ก.ย. ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาวินิจฉัยกรณีที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ส่งร่างรัฐธรรมนูญซึ่งแก้ไขในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้พิจารณาวินิจฉัยว่าเป็นการชอบด้วยกับผลการออกเสียงประชามติแล้วหรือไม่ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)

ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ร่างรัฐธรรมนูญที่กรธ.ได้แก้ไขในส่วนที่เกี่ยวข้องตามร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 272 มีประเด็นที่ไม่ชอบด้วยกับผลการออกเสียงประชามติ สรุปได้ดังนี้

(1.) ผู้มีสิทธิเสนอขอยกเว้นการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 ในประเด็นนี้ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 วรรคสอง ที่กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้น ยังไม่สอดคล้องกับผลการออกเสียงประชามติที่มีเจตนารมณ์ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านห้าปีแรก เนื่องจากร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 272 วรรคสองมีเจตนารมณ์มุ่งหมายให้เป็นทางออกกรณีไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีได้ 

อีกทั้งขั้นตอนในการเสนอขอยกเว้นตามความในร่างมาตรา272 วรรคสองนี้ มิใช่เป็นการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี หากแต่เป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้นหลังจากขั้นตอนการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามวรรคหนึ่งแล้ว แต่ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาไม่สามารถให้ความเห็นชอบได้ ขั้นตอนการเสนอขอยกเว้นอันเป็นขั้นตอนที่จะนำไปสู่กระบวนการพิจารณาให้ความเห็นชอบซึ่งต้องกระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา จึงควรเป็นอำนาจและหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาที่ร่วมกันแก้ปัญหาข้อขัดข้องให้ผ่านพ้นไปได้ด้วย สมตามเจตนารมณ์ของผลการออกเสียงประชามติ ดังนั้น ผู้มีสิทธิเสนอขอยกเว้นการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อพรรคการเมือง คือ สมาชิกรัฐสภาจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งขอองจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

(2)กำหนดเวลาและวันเริ่มนับเวลาตามร่างรัฐธรรมนูฐ มาตรา 272 วรรคหนึ่งและวรรคสองในประเด้นนี้ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า การเริ่มนับกำหนดเวลาตามมาตรา 272 ถือเป็นสาระสำคัญในประเด็นเพิ่มเติม เนื่องจากร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติว่า "ในระหว่างห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 268" และวรรคสอง บัญญัติว่า "ในวาระเริ่มแรก เมื่อมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 268 แล้ว" การกำหนดเวลา และวันเริ่มนับกำหนเเวลาตามร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 272 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ต้องสอดคล้องกัน จึงได้กำหนดให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีเข้ามาทำหน้าที่บริหารราชการในช่วงระยะเวลาเดียวกัน และสามารถขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ สำเร็จบรรลุผลตามแผนยุทธศาสตร์ชาติและเจตนารมณ์ที่ร่างรัฐธรรมนูญกำหนดอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน ซึ่งที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาจะต้องประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ดังนั้น กำหนดเวลาและวันเริ่มนับเวลาตามร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 วรรคหนึ่งและวรรคสอง คือ "ในระหว่างห้าปีแรกนับตั้งแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้

ศาลจึงวินิจฉัยว่า ร่างรัฐธรรมนูญซึ่งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้แก้ไขในส่วนที่เกี่ยวข้องตามร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ไม่ชอบด้วยกับผลการออกเสียงประชามติและให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญดำเนินการแก้ไขตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในส่วนที่เกี่ยวข้องในร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ดังนี้

(1) ผู้มีสิทธิเสนอขอยกเว้นการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อ คือ สมาชิกรัฐสภาจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

(2)กำหนดเวลาและวันเริ่มนับเวลาตามร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 272 วรรคหนึ่งและวรรคสองคือ "ในระหว่างห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้"

ให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญดำเนินการแก้ไขตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในส่วนที่เกี่ยวข้อวรวมทั้งปรับแก้ถ้อยคำในคำปรารภให้สอดคล้องกันต่อไป ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 
(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  มาตรา (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่) พุทธศักราช 2558 มาตรา 37/1

ศาลรธน.ตีกลับร่างรธน.ขัดประชามติสว.วืดเสนอชื่อนายกฯ

28 ก.ย. 59 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาวินิจฉัย กรณีที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ส่งร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้วินิจิฉัยว่าถูกต้องครบถ้วนตามคำถามพ่วงที่ผ่านประชามติ เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา หรือไม่
โดยประเด็นสำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย คือการให้อำนาจ ส.ว.มีสิทธิเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี และการขอยกเว้นการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากบัญชีพรรคการเมือง และเรื่องของระยะเวลา
ทั้งนี้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ร่างรัฐธรรมนญที่ กรธ.ได้แก้ไขในส่วนที่เกี่ยวข้องตามร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 มีประเด็นที่ไม่ชอบด้วยกับผลการออกเสียงประชามติ จึงให้ กรธ.กลับไปดำเนินการแก้ไขตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ดังนี้
1. ผู้มีสิทธิเสนอขอยกเว้นการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อ คือ สมาชิกรัฐสภาจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา
2.กำหนดเวลาและวันเริ่มนับเวลาตามร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 วรรคหนึ่งและวรรคสอง คือ ในระหว่างห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้
ต่อมา นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวชี้แจงเพิ่มเติมภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยใน 3 ประเด็น คือ ประเด็นแรก กรณีผู้มีสิทธิ์เสนอชื่อนายกรัฐมนตรี และผู้ให้ความเห็นชอบนายกรัฐมนตรี ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้มีสิทธิ์เสนอชื่อนายกรัฐมนตรี คือ ส.ส. เท่านั้น ส่วนผู้มีสิทธิ์เห็นชอบแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี คือ ที่ประชุมร่วมรัฐสภา (ส.ส. และ ส.ว.) ตามที่ กรธ.ได้แก้ไขให้สอดคล้องกับผลประชามติ
ประเด็นที่สอง ผู้มีสิทธิ์เสนอขอยกเว้นเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากบัญชีพรรคการเมือง ตามร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 88 ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า มาตรา 272 วรรคสอง ที่กำหนดให้ ส.ส. จำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เสนอชื่อต่อประธานรัฐสภาเพื่อขอให้งดเว้น มาตรา 88 นั้น ยังไม่สอดคล้องกับผลการออกเสียงประชามติ ดังนั้นจึงให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภา (ส.ส. และ ส.ว.) ลงชื่อไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ในการเสนอขอยกเว้นเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากบัญชีพรรคการเมือง
และประเด็นที่สาม ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ให้กำหนดระยะเวลาและเริ่มนับเวลาตามมาตรา 272 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง คือ ในระหว่าง 5 ปีแรก นับตั้งแต่มีรัฐสภาชุดแรกตามร่างรัฐธรรมนูญนี้ 

พล.อ.ประยุทธ์ บอกรักน้อง แต่ช่วยไม่ได้

"ถามว่า ผมรักน้องไหม ผมก็รัก แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ผมช่วยเขาไม่ได้ และผมก็มาตะแบง ชี้แจงส่งเดชไม่ได้"
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดถึง บิ๊กติ๊ก พล.อ.ปรีชา. จันทร์โอชา น้องชาย กรณีบริษัทลูกชายรับงานกองทัพภาค3และตั้งบริษัทในค่ายทหาร
“เขาสอบหมด บริษัทบ้าบอคอแตกอะไรนั่น อยากจะสอบอะไรก็สอบไปเถอะไป จะสอบครัวสอบส้วมก็สอบไป จะมาโยงกับผมทำไม เขาก็รับผิดชอบของเขาเองสิ ไม่ใช่เออ ไอ้ห่า ตระกูลผมเสียหาย มันคนละเรื่อง คนละคน 
แต่ถามว่าผมรักน้องไหม ผมก็รัก แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ผมช่วยเขาไม่ได้ และผมก็มาตะแบง ชี้ แจงส่งเดชไม่ได้ เป็นเรื่องของกลไกก็รับไป
และผมก็ไม่เคยไปว่าใคร ทุกอย่างเป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรม ใครอยากสอบก็สอบไป
เขามาขอโทษ บอกว่าไม่ได้ทำความผิด เพียงแต่บางอย่างอาจจะไม่สมควร เขายอมรับตรงโน้น แต่เรื่องของบริษัทเขาบอกว่าเตรียมหลักฐานไว้เต็มที่ ผมยังไม่รู้ว่าเขามีบริษัท ตั้งมาหลายปีแล้ว หลานก็โตแล้ว ไม่เจอหน้ามากี่ปีแล้ว ผมเป็นคนไม่ค่อยเจอครอบครัว เพราะทุ่มเวลาให้กับงานมาตลอด และรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้อยู่กับครอบครัว พ่อแม่พี่น้อง ตั้งแต่เด็ก แต่ความผูกพันยังเหมือนเดิม สายเลือดมันต้องมีอยู่แล้ว แต่หน้าที่เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด ลดปัญหาความขัดแย้งให้มากที่สุด ใครทำอะไรก็ต้องระวังตัวเอง รับผิดชอบกันเองก็แค่นั้น
เดี๋ยวถ้าผมทำอะไรผิด พล.อ.ปรีชา ก็ต้องรับผิดชอบแทนผมสิ แล้วสื่อก็ต้องไปถามพล.อ.ปรีชาด้วยว่า เห็นว่านายกฯ เป็นยังไง เขาจะตอบอย่างไรไปถามเขาดู เขาบอกว่าเขาจะทำให้ดีที่สุด ผิดพลาดอะไรก็ไปว่ากันมา เขาก็ยอมรับในกระบวนการสอบสวนก็จบแค่นั้น อย่าไปเพิ่มปัญหาหรือภาระ ผมไม่ได้ปกปิด มีก็มีก็รับกันไป” นายกฯ กล่าว
27กย.2559 ทำเนียบรัฐบาล

นายกรัฐมนตรี เผยรู้ตัวนักข่าวที่ด่าตนเองแล้ว ขู่มีกล้องวงจรปิด ขอให้ระมัดระวังเพราะเป็นผู้ใหญ่แล้ว

นายกรัฐมนตรี เผยรู้ตัวนักข่าวที่ด่าตนเองแล้ว ขู่มีกล้องวงจรปิด ขอให้ระมัดระวังเพราะเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยอมรับรัฐประหารเข้ามา แต่ทำเพื่อประเทศชาติ 
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีคอลัมนิสต์ให้ฉายาเป็นเผด็จการคลาสสิก หรือ เป็นผู้นำเผด็จการที่มีคุณธรรมว่า ส่วนตัวยอมรับว่ารัฐประหารเข้ามา โดยไม่คิดถึงอันตรายของตน แต่มองประเทศชาติเป็นหลัก เพราะชีวิตตายตั้งแต่เป็นทหารแล้ว ดังนั้นวันนี้ควรตอบแทบประเทศชาติอย่างเต็มภาคภูมิคิดเพียงแค่นี้ ทั้งนี้ ในอนาคตใครจะดูแลหรือไม่ดูแลตนไม่ได้คาดหวัง ซึ่งทั้งหมดได้ตัดสินเอง ไม่ได้ถามใคร 
อย่างไรก็ตามหลังการให้สัมภาษณ์นักข่าวได้สอบถามนายกรัฐมนตรีถึงประเด็นที่ระบุวานนี้ ว่ามีนักข่าวด่าซึ่งนายกรัฐมนตรียอมรับว่าเป็นเรื่องจริง โดยจะให้คนไปตรวจสอบว่าเป็นใคร ซึ่งตนรู้ตัวแล้วและขอให้ระวังเพราะเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว พร้อมขู่ว่า มีกล้องวงจรปิด แต่จริงๆคงไม่ละเมิด

“วิษณุ” ชี้บ้านพักราชการตั้งบริษัทไม่ผิดกฎหมาย แต่เหมาะสมหรือไม่เป็นอีกเรื่อง

“วิษณุ” ชี้บ้านพักราชการตั้งบริษัทไม่ผิดกฎหมาย แต่เหมาะสมหรือไม่เป็นอีกเรื่อง
เมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ 28 กันยายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการที่ลูกชาย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม น้องชายนายกรัฐมนตรี ใช้บ้านพักในค่ายทหารจดทะเบียนตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างว่า ไม่ทราบข้อเท็จจริง แต่คิดว่าหากมีบ้านอยู่ที่นั่น เวลาจดทะเบียนก็ต้องใช้ตามนี้ แต่การเอาตรงนี้มาตีความว่าจดทะเบียนในค่ายทหาร ซึ่งเป็นคำพูดที่เอาไว้เหน็บแนมกันมากกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า บ้านพักข้าราชการสามารถนำมาเป็นที่ตั้งบริษัทได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ได้ “พูดกันตรงๆ นะ ไม่มีอะไรห้ามเลย ลองคิดว่าเป็นบ้านเช่าก็ได้ คุณไปอาศัยเขาอยู่ และขอบ้านนั้นเป็นที่ตั้งบริษัท มันก็สามารถทำได้ และถามกลับว่าถ้ามันเป็นของข้าราชการล่ะ มันก็ไม่มีปัญหานี่” รองนายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่า โดยหลักการหรือความเหมาะสมแล้ว ก็ไม่ควรทำหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า “ไม่รู้ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ประเทศไทยมีอะไรที่โดยหลักการไม่น่าทำมีอีกเยอะ แต่ก็ทำ”

ยกฟ้อง3ศาลอดีตผอ.รพ.วชิรปราการ-ศัลยแพทย์ คดีร่วมฆ่าผ่าตัดเปลี่ยนไต

ยกฟ้อง3ศาล’อดีตผอ.รพ.วชิรปราการ-ศัลยแพทย์’คดีร่วมฆ่า ผ่าตัดเปลี่ยนไต
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 กันยายน ที่ห้องพิจารณา 714 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีหมายเลขดำ ด.1242/2545 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ และนางหนูแดง ดีโยธา กับนายเจริญ ดีโยธา มารดาและบิดาของ น.ส.ลัดดา ดีโยธา เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นพ.สิโรจน์ กาญจนปัญจพล อดีตผู้อำนวยการ รพ.วชิรปราการ จ.สมุทรปราการ, นพ.วีระเดช เลิศดำรงลักษณ์ ศัลยแพทย์, นายนันทวิทย์ ธงไชย อดีตผู้จัดการ รพ.วชิรปราการ และ นพ.วิวัฒน์ ถิระพานิช ศัลยแพทย์ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม
คดีนี้อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2545 ระบุว่า เมื่อวันที่ 24-26 กุมภาพันธ์ 2540 จำเลยร่วมกันปลอมเอกสารหนังสืออุทิศให้อวัยวะของ รพ.วชิรปราการ โดยให้นายเจริญ ดีโยธา และนายสมเกียรติ ตันชนะชัย พ่อและสามีของ น.ส.ลัดดา ดีโยธา ผู้ป่วยอุบัติเหตุรถชน ลงลายมือชื่อไว้ ต่อมา นพ.สิโรจน์ จำเลยที่ 1 และนพ.วิวัฒน์ จำเลยที่ 4 ร่วมกันผ่าตัดเอาไตทั้งสองข้างและตับของคนไข้ทั้งสองออกไป และนพ.สิโรจน์ กับ นพ.วีระเดช จำเลยที่ 1-2 ยังร่วมกันผ่าตัดเอาไตของนางนาง นงค์พรมมา ผู้ป่วยอุบัติเหตุรถชนออกไป ขณะที่คนไข้ทั้งสองยังใส่เครื่องช่วยหายใจและยังไม่ถึงแก่ความตาย เพื่อนำไปปลูกถ่ายอวัยวะให้ผู้ป่วยรายอื่น เป็นเหตุให้คนไข้ทั้งสองถึงแก่ความตาย เหตุเกิดเมื่อปี 2540 หลังเกิดเหตุ ญาติของคนไข้ที่เสียชีวิต เข้าร้องเรียนต่อกองปราบปรามให้ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องดังกล่าว
ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2548 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด เนื่องจากเห็นว่า แม้หนังสืออุทิศอวัยวะ จะมีการเติมข้อความด้วยลายมือว่า “ตับ” ลงในเอกสาร แต่พยานโจทก์ไม่ได้ยืนยันในรายละเอียดว่าเหมือนลายมือของ นพ.สิโรจน์ จำเลยที่ 1 จึงมีข้ออันควรสงสัยว่าจำเลยที่ 1 จะเป็นผู้เขียนข้อความดังกล่าวลงในหนังสืออุทิศอวัยวะของคนไข้ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยที่ 1 ในข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอม ส่วนในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้เห็นว่า มีการใช้ยาหรือมีการทำโดยประการใดๆ ของพวกจำเลย ทำให้คนไข้ทั้งสองแกนสมองตายโดยเจตนา ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า คนไข้ทั้งสองถึงแก่ความตายแล้ว ก่อนที่จะมีการผ่าตัดนำอวัยวะ (ไตและตับ) ออกไป ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2553 จากนั้นอัยการโจทก์และโจทก์ร่วมยื่นฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า โจทก์ร่วมฎีกาถึงปัญหาการเสียชีวิตตามกฎหมาย ศาลเห็นว่า การตายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ต้องเป็นการทำให้ตาย แต่ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติลักษณะการตายไว้ชัดแจ้ง จึงต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยการตาย ซึ่งแพทยสภามีการออกประกาศเกี่ยวกับการวินิจฉัย โดยมีประเด็นเรื่องแกนสมองถูกทำลายจนสิ้น ไม่สามารถทำให้ระบบหัวใจทำงานได้และร่างกายขาดออกซิเจน หากขาดเครื่องช่วยหายใจ ร่างกายจะขาดการตอบสนอง กรณีของผู้ป่วยทั้งสอง แพทย์ได้ตรวจถึง 2 ครั้ง ทิ้งช่วงเวลาห่างกัน 10 ชั่วโมง พบว่าผู้ป่วยไม่หายใจทั้งสองครั้ง จึงลงความเห็นในบันทึกว่าแกนสมองถูกทำลายโดยสิ้นเชิง และก่อนผ่าตัดอวัยวะวิสัญญีแพทย์ได้ตรวจแล้วผู้ตายไม่หายใจ การที่จำเลยที่ 1, 2 และ 4 ร่วมกันผ่าตัดเอาไตออกจากผู้เสียชีวิตทั้งสองที่อยู่ในสภาวะสมองตายตามการวินิจฉัยของแพทย์ ตามหลักเกณฑ์ของแพทยสภา ถือเป็นการกระทำต่อคนตายแล้ว จึงไม่อาจเป็นการฆ่าได้อีก ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้อัยการโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ได้เดินทางมาศาล ขณะที่ นพ.สิโรจน์ เดินทางมาพร้อมคนใกล้ชิดที่มาให้กำลังใจและร่วมฟังคำพิพากษาด้วย โดย นพ.สิโรจน์ ปฏิเสธให้ความเห็นเกี่ยวกับคดี มีเพียงทนายความที่กล่าวว่า หมอได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่ทำถูกต้อง เพราะหมอเรียนมาเพื่อช่วยชีวิตคน ไม่ใช่ทำร้ายคน 20 ปีที่ผ่านมาหมอเป็นทุกข์ แต่ศาลได้ให้ความยุติธรรมแล้ว
ด้าน นพ.วีระเดชกล่าวสั้นๆ ว่า “เรียบร้อยดีครับ”

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน จี้สอบปมครอบครัว"บิ๊กติ๊ก"

นที่ 27 กันยายน องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เผยแพร่ความเห็นต่อสังคม ระบุว่า มีความเห็นต่อกรณีข่าวของครอบครัว พลเอก ปรีชา จันทร์โอชา ที่กำลังเป็นประเด็นสังคมอันอาจจะนำพาไปสู่ปัญหาของความเชื่อมั่นในความซื่อตรงของผู้นำประเทศ ดังนี้
1.จะต้องมีการตรวจสอบติดตามให้ข้อเท็จจริงปรากฏอย่างชัดเจนและรวดเร็ว และการตรวจสอบต้องเป็นไปตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมายโดยไม่มีการเข้าไปก้าวก่ายหรือครอบงำอย่างเด็ดขาด ทุกอย่างต้องให้โปร่งใส อยู่ในสายตาของสาธารณชน
2. และเพื่อเป็นการป้องกันมิให้กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นอีก รัฐบาลต้องให้ความสำคัญในการกำหนดนโยบายเรื่อง ประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) ในการบริหารจัดการโครงการต่างๆ ทั้งนี้ เพราะระบบอุปถัมภ์ หรือการเอื้อประโยชน์ต่อคนใกล้ชิดเป็นจุดอ่อนของสังคมไทย และเป็นจุดเริ่มต้นที่ร้ายแรงของการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นสิ่งที่จะต้องทำให้หมดไปจากประเทศ ต้องช่วยกันต่อต้านไม่ให้ค่านิยมในการอุปถัมภ์เป็นข้ออ้างในการทุจริตคดโกง
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ สนับสนุนการทำงานของรัฐบาลในการต่อสู้กับการคอร์รัปชันและชื่นชมในความสุจริตซื่อตรงของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำประเทศที่มีนโยบายชัดเจนและมีผลงานในการปราบปรามลงโทษผู้ทุจริตคดโกง เราเชื่อมั่นว่าเรื่องนี้จะได้รับการตรวจสอบ สะสางอย่างโปร่งใสตามกระบวนการยุติธรรม และจะเป็นการกำหนดบรรทัดฐานใหม่ของประเทศไทยต่อไปในภายหน้า
1

'อิศรา' ถาม 'แม่ทัพภาค 3' ตอบ! ไฉน หจก.ลูกพล.อ.ปรีชา จดทะเบียนตั้งในค่ายทหาร

"..ผมก็ไม่ทราบว่ามันจะทำได้หรือไม่ได้ อาจจะถามหน่วยงานที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรงนี้เราไม่ได้เป็นเจ้าของเรื่องที่สามารถบอกว่าการจัดตั้งหจก.ในบ้านพักราชการทหารจะสามารถทำได้หรือไม่.."
pickkkkooo
จากกรณีที่สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า ห้างหุ้นส่วนจัด (หจก.) คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ของนายปฐมพล จันทร์โอชา บุตรชาย ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เป็นคู่สัญญารับเหมาก่อสร้างเป็นคู่สัญญารับเหมาหน่วยงานภาครัฐทั้งสิ้น 11 โครงการ (สัญญา) รวมวงเงิน 155,603,000 บาท เป็นโครงการของกองทัพบก (กองทัพภาคที่ 3) จำนวน 7 โครงการ 97,651,000 บาท (ธ.ค.57-เม.ย.59) สำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 9 กรมทรัพยากรน้ำ 1 โครงการ 44,887,000 บาท (5 มี.ค. 58) และ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พิษณุโลก 3 โครงการ 13,065,000 บาท (ส.ค.-ต.ค.58) (อ่านประกอบ : เปิดขุมทรัพย์! หจก.‘ปฐมพล จันทร์โอชา’ 11 สัญญา 155.6 ล. - ‘ทัพภาค 3’ 97.6 ล.)
ขณะที่ สำนักข่าวอิศรา www.isrnews.org ตรวจสอบพบว่า ที่ตั้ง หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น เลขที่ 128/31/007 ตำบลอรัญญิก อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก เป็นบ้านพักในค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ (อ่านประกอบ: ที่ตั้ง หจก. ‘ปฐมพล จันทร์โอชา’ อยู่ในค่ายทหาร-แจ้งงบการเงินมีเครื่องมือ 7 แสน)
ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา www.isranrws.org ได้โทรศัพท์ไปสอบถามข้อเท็จจริงจาก พล.ท.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล แม่ทัพภาคที่ 3 เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบ้านพักในค่ายทหารของ นายปฐมพล จันทร์โอชา ที่ใช้จดทะเบียนจดตั้ง หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ก่อนเข้ารับงานของกองทัพภาคที่ 3 
ปรากฎรายละเอียดนับจากบรรทัดนี้ เป็นต้นไป  
@ ขั้นตอนการจัดประมูลงานของกองทัพภาคที่ 3 เป็นอย่างไร
"ผมไม่ทราบรายละเอียด เพราะไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการประมูลงาน ผมดูแลกองทัพภาคที่ 3 ก็ดูแลงานคุมกำลังเป็นหลัก ส่วนการประมูลโครงการต่างๆก็มีหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลอยู่ และไม่ทราบด้วยซ้ำว่ามีหจก.ลูกพล.อ.ปรีชา เข้ามาประมูลโครงการของกองทัพภาคที่ 3 เพิ่งรู้ก็ตอนเป็นข่าว"

@ มีข้อมูลว่า หจก.ที่นายปฐมพลถือหุ้นอยู่ตั้งอยู่ในค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ
"ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ไม่ทราบว่ามีบริษัทของนายปฐมพลตั้งอยู่ในค่ายทหาร"
@ ตามระเบียบแล้วบ้านพักข้าราชการทหารสามารถนำมาใช้จัดตั้งหจก.ได้หรือไม่
"ผมก็ไม่ทราบว่ามันจะทำได้หรือไม่ได้ อาจจะถามหน่วยงานที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรงนี้เราไม่ได้เป็นเจ้าของเรื่องที่สามารถบอกว่าการจัดตั้งหจก.ในบ้านพักราชการทหารจะสามารถทำได้หรือไม่"
“จริงๆผมยังไม่รู้เลยว่าเขาเอาที่อยู่ตามบ้านพักไปจดทะเบียนจัดตั้งหจก.เพียงอย่างเดียวหรือไม่ แล้วตัวหจก.จริงๆ อาจจะอยู่ข้างนอกหรือไม่”
@ หากที่อยู่ในการจัดตั้งหจก.ไม่ตรงกับที่อยู่ของหจก.จริง อาจถูกมองว่าเป็นเรื่องผิดปกติ
"ผมบอกแล้วว่าผมยังไม่รู้รายละเอียดเลย"
@ มีข้อกังขาว่าหากจดทะเบียน หจก.ในบ้านพักข้าราชการได้ สาธารณูปโภคเช่น น้ำ ไฟฟ้า สามารถใช้ฟรีได้หรือมีส่วนลดให้
"บ้านพักทหารน้ำ-ไฟไม่ฟรีนะครับ ข้าราชการก็เสียตามปกติ มีมิติเตอร์น้ำ จากการประปา มีมิติเตอร์ไฟจากการส่วนไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ไม่ได้ใช้ฟรี เพียงแต่อาจจะมีส่วนลดอย่างที่ว่า ซึ่งคิดตามเปอร์เซ็นต์หน่วยที่ใช้ไป"
@ ขณะนี้นายปฐมพลยังพักอยู่ในบ้านพักหลังดังกล่าวหรือไม่
"ช่วงนี้นายปฐมพลไม่ได้อยู่ค่ายแล้ว ออกไปอยู่ข้างนอกนานแล้ว"
@ ย้ายออกไปพร้อมกับพล.อ.ปรีชาที่ต้องไปรับตำแหน่งสูงขึ้น
"คงใช่ เขาออกมาอยู่ที่กทม. ส่วนหจก.ก็ไม่น่าจะอยู่ในค่ายตั้งแต่เริ่มต้น เพียงแต่ว่าอาจจะจดทะเบียนตามบ้านที่เขาอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นแบบนั้น ผมไม่ทราบในรายละเอียดเหมือนกัน"
@ ได้เข้าไปดูบ้านพักหลังดังกล่าว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือไม่
"ไม่ได้ไปดูหรือตรวจสอบอะไร เพราะพล.อ.ปรีชาและนายปฐมพลย้ายออกไปนานแล้ว"

'ปรีชา' บอกเพิ่งรู้ลูกใช้บ้านในค่ายตั้งบริษัท ด้านขาใหญ่ต้านโกงปัดจ้อปมนี้พัลวัน

'ปรีชา' บอกเพิ่งรู้ลูกใช้บ้านในค่ายตั้งบริษัท ด้านขาใหญ่ต้านโกงปัดจ้อปมนี้พัลวัน

พล.อ.ปรีชา เผยเพิ่งรู้ว่าลูกชายเอาบ้านในค่ายไปจดทะเบียนตั้งบริษัท ประธาน ป.ป.ช. ยันไม่หนักใจสอบครอบครัวปรีชา แต่ต้องรอบคอบ ขณะที่ 'วันชัย ตัน' เผยขาใหญ่ต้านคอรัปชั่น ปฏิเสธพูดปมลูกปรีชาพัลวัน PPTV เปิดตัวละครใหม่ หจก. นำพล อินเตอร์เทรด
27 ก.ย. 2559 จากกรณีสื่อหลายสำนักรายงานว่าห้างหุ้นส่วนจัด (หจก.) คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ซึ่งมีปฐมพล จันทร์โอชา บุตรชาย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ที่เป็นคู่สัญญารับเหมาก่อสร้างหน่วยงานภาครัฐหลายโครงการนั้น ตั้งเลขที่ 128/31/007 ตำบลอรัญญิก อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก อยู่ในค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ (สนามบิน) ตำบลอรัญญิก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก กองทัพภาคที่ 3 โดยมีลักษณะแบ่งเป็นบ้านพักของนายทหาร อยู่ติดกับพื้นที่สนามกอล์ฟดงภูเกิด (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
ล่าสุดวันนี้ (27 ก.ย.59) โพสต์ทูเดย์รายงานว่า พล.อ.ปรีชา กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เพิ่งทราบ เพราะไม่รู้เห็น ซึ่งตอนลูกชายเอาบ้านในค่ายไปจดทะเบียนตั้งบริษัทนั้นไม่รู้จริงๆ
“ตอนนั้นเขาจัดการเอง เพราะไม่มีบ้าน มีแต่บ้านในค่าย และพร้อมให้ตรวจสอบตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการให้มีการตรวจสอบ ผมพร้อมชี้แจงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)” พล.อ.ปรีชา กล่าว

ประธาน ป.ป.ช. ยันไม่หนักใจสอบครอบครัว พล.อ.ปรีชา แต่ต้องรอบคอบ

ขณะที่ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. กล่าวว่า เรื่องคดีลูกชายและภริยาของ พล.อ.ปรีชานั้น เมื่อมีคนมาร้อง ทางเจ้าหน้าที่ก็คงจะต้องไปตรวจสอบข้อมูล ซึ่งเป็นขั้นตอนการแสวงหาข้อเท็จจริง ส่วนระยะเวลาขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานว่ามีอะไรบ้าง เป็นขั้นตอนปกติที่ ป.ป.ช.ต้องทำ
“เรื่องนี้ไม่หนักใจ แต่ต้องทำด้วยความละเอียดรอบคอบ เพราะสังคมเฝ้ามองอยู่ ทั้งนี้ระยะเวลาในการดำเนินการคงตอบไม่ได้ ก็ดำเนินการไปตามขั้นตอน ทุกเรื่องมีความสำคัญหมด คงไม่ล่าช้า เพราะทุกเรื่อง ป.ป.ช.ก็เร่งหมด” ประธาน ป.ป.ช. กล่าว

'วันชัย ตัน' เผยขาใหญ่ต้านคอรัปชั่น ปฏิเสธพูดปมลูกปรีชาพัลวัน

วานนี้ (26 ก.ย.59) วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานข่าว PPTV โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'Vanchai Tantivitayapitak' ในลักษณะสาธารณะด้วยว่า "สถานการณ์บอกตัวตน วันนี้นักข่าว PPTV โทรไปขอสัมภาษณ์ผู้นำหลายคนมีชื่อเสียงด้านการรณรงค์ให้ผู้คนต่อต้านการคอรัปชั่น ตอนแรกก็ยินดีให้สัมภาษณ์เมื่อนักข่าวบอกว่าเรื่องคอรัปชั่น แต่พอบอกประเด็นเรื่อง ลูกชายปลัดกระทรวงกลาโหมประมูลงานกองทัพได้ ปรากฏว่าทุกคนปฏิเสธกันหมดโดดหนีพัลวัน บางคนติดประชุมด่วนกระทันหัน บางคนไม่รับสายอีก"
 
ที่มา 'Vanchai Tantivitayapitak'

PPTV เปิดตัวละครใหม่ หจก. นำพล อินเตอร์เทรด

ขณะเดียวกัน วานนี้ PPTV ได้เผยแพร่รายงานด้วยว่า กรณีดังกล่าวนี้ ตัวละครที่น่าสนใจอีกหนึ่งบริษัท คือ หจก.นำพล อินเตอร์เทรด ซึ่งทีมข่าว PPTV ค้นพบข้อมูลที่ยืนยันได้อย่างน้อย 3 โครงการ ว่า เป็นหนึ่งในบริษัท ที่เข้าประกวดราคาแข่งกับ คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น (ของบุตรชาย พล.อ.ปรีชา) และแพ้การประกวดราคา ไปหลักพันบาททั้ง 3 โครงการนี้ รวมทั้งมีประวัติรับงาน กับกองทัพ มากกว่า 100 โครงการ และเฉพาะช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา รับงานกองทัพ 50 โครงการ เป็นของกองทัพภาคที่ 3 ถึง 49 โครงการ
รายงานของ PPTV ชี้ให้เห็นว่า ความน่าสนใจของ หจก.นำพลฯ คืออาจจะเป็นคู่สัญญาที่ใหญ่ที่สุดของกองทัพภาคที่ 3  ซึ่งไม่นับ โครงการก่อนหน้าปี 2558  อีกมากกว่า 50 โครงการ ลักษณะโครงการ มีตั้งแต่ จัดซื้อเครื่องแต่งกาย รองเท้า เสื้อยืด เครื่องสนาม เครื่องแบบทหาร ไปจนถึงจัดซื้อรถจักรยานยนต์ จัดซื้อเครื่องหาพิกัดด้วยดาวเทียม และปรับปรุงอาคาร ก่อสร้างอาคาร แต่ หจก.นำพลฯ กลับมาแพ้การประกวดราคา ในโครงการที่มี คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น เป็นคู่แข่ง ในราคาที่ต่างกันเพียงหลักพันบาท (อ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ เปิดข้อมูล “นำพล อินเตอร์เทรด” คู่เทียบ หจก.ลูก พล.อ.ปรีชา)

“ป.ป.ช.” เผย จะสอบ “น้องนายกฯ” ช้าเร็วตอบไม่ได้


“ป.ป.ช.” เผย จะสอบ “น้องชาย-น้องสะใภ้-หลานชาย” “บิ๊กตู่” ต้องทำตามขั้นตอน ช้าหรือเร็วตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับรายละเอียดของเรื่อง

           26 ก.ย.59 -- พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์ภึงกรณีที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นหนังสือป.ป.ช.ให้ตรวจสอบพล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหมกับพวก รวม 4 คน กรณีอำนวยความสะดวกในการใช้ทรัพย์สินราชการให้นางผ่องพรรณ จันทร์โอชา ภรรยาพล.อ.ปรีชา ในฐานะนายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมในการเดินทางไปสร้างฝายที่จ.เชียงใหม่ รวมถึงกรณี พล.อ.ปรีชาใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ช่วยเหลือห้างหุ้นส่วนจำกัด ของบุตรชายให้ได้รับงานก่อสร้างในหน่วยงานต่างๆ ว่า เมื่อมีผู้มายื่นร้อง ทางป.ป.ช.ก็ต้องให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริงตามขั้นตอนการแสวงหาข้อเท็จจริงเสียก่อน แล้วจึงพิจารณาอีกครั้งว่า จะดำเนินการไต่สวนอย่างไรต่อไป ซึ่งการใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบนั้นก็ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน เรื่องกล่าวหามีประเด็นใดบ้าง มีใครบ้างที่ต้องเข้าไปตรวจสอบ และดูพยานเอกสารด้วยตามขั้นตอน                                          
           ผู้สื่อข่าวถามว่า หนักใจหรือไม่ที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นน้องชายนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ไม่หนักใจ และต้องทำด้วยความละเอียดรอบคอบ เพราะสังคมเฝ้ามองอยู่เราก็ต้องทำให้ถูกต้อง และจะช้าหรือเร็วคงตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเนื้อหาของเรื่องว่ามีอะไรบ้าง เพราะถ้ามีหลายประเด็นก็อาจต้องใช้เวลามากหน่อย ขึ้นอยู่กับข้อกล่าวหา อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวยังไม่รายงานเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.แต่อย่างใด แต่ยังไม่ต้องรายงานทันที เพราะหลังจากรับเรื่องร้องแล้วนั้น ทางสำนักเลขาธิการป.ป.ช.โดยอำนาจหน้าที่แล้วทางเลขาธิการป.ป.ช.มีอำนาจหน้าที่ในการตั้งคณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงยังไม่ต้องรายงานคณะกรรมการ จะรายงานก็ต่อเมื่อมีผลการแสวงหาข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า จะรับเรื่องไว้ไต่สวนหรือไม่                                           
           เมื่อถามว่า จะต้องสอบลึกถึงเรื่องการรับเหมางานในพื้นที่ทัพภาค 3 ของบริษัทบุตรชายพล.อ.ปรีชา หรือไม่ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ก็ต้องดูที่ประเด็นข้อกล่าวหา เวลาตรวจสอบก็ต้องตรวจสอบตามข้อกล่าวหานั้นๆ    
 เมื่อถามถึงความคืบหน้ากรณีฝายแม่ผ่องพรรณ ประธานป.ป.ช. กล่าวว่า ก็ต้องดูให้รอบคอบหากเป็นประเด็นที่ถูกกล่าวหา                                                  
           ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องดังกล่าวเป็นที่สนใจของสังคม ทางป.ป.ช.จะเร่งรัดให้ดำเนินการหรือไม่ ประธานป.ป.ช. กล่าวว่า ดำเนินการไปตามขั้นตอน ทุกๆเรื่องต่างมีความสำคัญทั้งหมด
           เมื่อถามว่า ขณะนี้ป.ป.ช.ถูกวิจารณ์ว่าทำงานล่าช้า ประธานป.ป.ช. กล่าวว่า ไม่ล่าช้า เพราะตอนนี้ป.ป.ช.เร่งสอบทุกเรื่อง เร่งมากจนเป็นประเด็นขึ้นมาว่าไปเลือกทำเฉพาะตรงนั้นตรงนี้ ความจริงเร่งทุกเรื่อง และตนเองก็มีนโยบายแล้วว่า ให้เร่งเรื่องค้างต้องเสร็จภายใน 2 ปีข้างหน้า เรื่องที่รับไว้ก่อนที่กรรมการชุดนี้จะเข้ามา 2,100 เรื่องที่อยู่ระหว่างไต่สวนปี 59 ทำไป 500 เรื่อง ที่เหลือทำให้เสร็จในปี 61 ตอนนี้เร่งทุกเรื่อง 

งบการเงินมัด! หจก.‘ปฐมพล’ ปิกอัพ‘ซูซูกิ’1 คัน -ไม่มีที่ดิน อาคาร ฟันงาน 155.6 ล.

ชัดๆ เปิดงบการเงิน หจก. 'ปฐมพล จันทร์โอชา' ปี 57 เครื่องมือเครื่องใช้ แค่ 5 หมื่นบ. เพิ่มเป็น 1.6 ล.ปี 58 รถปิกอัพ‘ซูซุกิ แคร์รี่’ราคา 3 แสน 1 คัน ไม่มีที่ดิน อาคาร ก่อนฟันโครงการรัฐ 2 หน่วยงานรัฐ - ทัพภาค 3 กว่า 155.6 ล.
piidddddddd26 916
กรณีห้างหุ้นส่วนจัด (หจก.) คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ของนายปฐมพล จันทร์โอชา บุตรชาย ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เป็นคู่สัญญารับเหมาก่อสร้างเป็นคู่สัญญารับเหมาหน่วยงานภาครัฐทั้งสิ้น 11 โครงการ (สัญญา) รวมวงเงิน 155,603,000 บาท เป็นโครงการของกองทัพบก (กองทัพภาคที่ 3) จำนวน 7 โครงการ 97,651,000 บาท (ธ.ค.57-เม.ย.59) สำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 9 กรมทรัพยากรน้ำ 1 โครงการ 44,887,000 บาท (5 มี.ค. 58) และ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พิษณุโลก 3 โครงการ 13,065,000 บาท (ส.ค.-ต.ค.58) (อ่านประกอบ : เปิดขุมทรัพย์! หจก.‘ปฐมพล จันทร์โอชา’ 11 สัญญา 155.6 ล. - ‘ทัพภาค 3’ 97.6 ล.)
สำนักข่าวอิศรา www.isrnews.org รายงานไปก่อนหน้านี้ว่า ที่ตั้ง หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น เลขที่ 128/31/007 ตำบลอรัญญิก อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก เป็นบ้านพักในค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ ขณะเดียวกกันงบการเงิน ปี 2555-5656 ไม่มีรายได้ ช่วงปี 2557 สินทรัพย์ 11 ล้านบาท เครื่องจักรอุปกรณ์ 7 แสน หนี้สิน 9 ล้าน (อ่านประกอบ: ที่ตั้ง หจก. ‘ปฐมพล จันทร์โอชา’ อยู่ในค่ายทหาร-แจ้งงบการเงินมีเครื่องมือ 7 แสน)
ล่าสุดพบว่า หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อ วันที่ 4 พฤษภาคม 2555 จนถึงสิ้นปี 2558 ไม่มีที่ดินและอาคารสำนักงาน ปัจจุบันมีเครื่องมือ อุปกรณ์ และพาหนะเพียง 1,777,756 บาท (ราคาสุทธิ) ในจำนวนนี้เป็นรถยนต์ ซูซุกิ แคร์รี ปิกอัพเพียง 1 คน มูลค่า 340,934 บาท ( ราคาก่อนหักค่าเสื่อม ราคา 70,428 บาท)
มีรายละเอียดดังนี้
ปี 2555 งบการเงิน มีสินทรัพย์ 997,622 บาท ( เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด) หนี้สิน 5,000 บาท (ค่าสอบบัญชี) งบกำไรขาดทุน ไม่มีรายได้ มีค่าใช้จ่ายในการบริหาร 7,378 บาท ขาดทุนสุทธิ 7,378 บาท
ปี 2556 งบการเงิน สินทรัพย์ 997,622 บาท (เท่าปี 2555) หนี้สิน 5,000 บาท (ค่าจ้างและบริการค้างจ่าย) งบกำไรขาดทุนไม่มีรายได้ มีค่าใช้จ่ายในการบริหาร 5,000 บาท
1ppp
2ppp
ปี 2557 งบการเงิน สินทรัพย์ 11,025,515 บาท แบ่งเป็น สินทรัพย์หมุนเวียน 3 รายการ 10,639,941 บาท ได้แก่ เงินลดและรายการเทียบเท่าเงินสด 266,984 บาท ลูกหนี้การค้าและลูกหนี้อื่น 9,583,177.57 บาท หนี้สินหมุนเวียนอื่น 789,869 บาท ทรัพย์สินไม่หมุนเวียน 385,574 บาท ได้แก่ เครื่องมือเครื่องใช้
อาทิ สว่าน กระแทก ตู้เชื่อม เครื่องจี้ปูน ฯลฯ ราคาที่ซื้อ 46,881 บาท ราคาสุทธิ 46,881 บาท และ ยานพาหนะ รถยนต์ SUZUKI CARRY PIC UP 1 คัน ราคาซื้อ 340,934 บาท ราคาสุทธิ 338,692 บาท หนี้สิน 9,092,666 บาท งบกำไรขาดทุน รายได้ 9,583,186 บาท ค่าใช้จ่าย 9,114,515 บาท กำไรสุทธิ 445,227 บาท
6ppp
7ppp
ปี 2558 งบการเงิน สินทรัพย์ 9,537,331 บาท สินทรัพย์หมุนเวียน 3 รายการ 7,759,575 บาท
ได้แก่ เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 806,633 บาท ลูกหนี้การค้าและลูกหนื้อื่น 6,161,028 บาท สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น 791,913 บาท สินทรัพย์ ไม่หมุนเวียน 1,777,756 บาท ได้แก่ เครื่องมือเครื่องใช้ 1,677,701 บาท ยานพาหนะ 340,934 บาท (เท่าเดิม) และเครื่องใช้สำนักงาน 59,100 บาท หักค่าเสื่อมราคา 299,979 บาท งบกำไรขาดทุน รายได้ 45,342,927 บาท ค่าใช้จ่าย 42,882,788 บาท กำไรสุทธิ 1,968,111 บาท
3ppp
4ppp
5ppp
น่าสังเกตว่า
1.ไม่มีที่ดินอาคารมาตั้งแต่ก่อตั้งเดือน พ.ค. 2555
2.นับแต่ก่อตั้งเพิ่งมีรายได้ช่วงปี 2557-2558 รวม 54,926,113 บาท (ตัวเลขที่ปรากฎในงบการเงิน)
3.ปี 2557-2558 มีพาหนะเพียง รถยนต์ SUZUKI CARRY PIC UP ราคา 340,934 บาท เพียง 1 คัน
ทั้งหมด คือ สถานะทางบัญชีผู้คว้างานรัฐอย่างน้อย 11 โครงการ 155.6 ล้านบาท