PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ใครจะอยู่.....ใครจะไป??!!

ใครจะอยู่.....ใครจะไป??!!
ถึงเวลาต้องตัดสินใจ...."เพื่อนพ้องน้องพี่"
"นายกฯบิ๊กตู่" ควง รมต.กระสุนตก ทั้ง "พี่ป๊อก" พลเอก อนุพงษ์ มท.1 พี่เลิฟ ทหารเสือราชินีฯ และ "เพื่อนฉัตร" พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตร เพื่อน ตท.12 ตรวจน้ำท่วม ที่นครศรีธรรมราช ท่ามกลางกระแสปรับ ครม. "ประยุทธ์5" ที่จะลดสัดส่วนทหารลง

นายกฯประชุมผวจ.14จว.ใต้

"บิ๊กตู่" 14พ่อเมือง
"นายกฯ" ถก ผู้ว่าฯ14 จังหวัดใต้ -ประจวบคีรีขันธ์ สั้งทำระบบฐานข้อมูล
วางแผนล่วงหน้า เตรียมพร้อมรับสถานการณ์น้ำ พายุ/ แนะระวัง สื่อออนไลน์และโซเซียลมีเดีย บิดเบือนข้อมูล ต้องรีบแก้ไข

ที่ ห้องประชุมศูนย์อำนวยการและประสานพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีประชุมมอบนโยบายแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้ และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วยผู้บริหารส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ GISTDA กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา เป็นต้น เพื่อรับฟังภาพรวมสถานการณ์และแนวทางการบริหารจัดการน้ำ

รวมถึงรับทราบปัญหา อุปสรรคการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยซึ่งภาคใต้ได้รับผลกระทบจากพายุดีเปรสชั่นทะเลจีนใต้ตอนล่าง ส่งผลให้มีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นมา

แต่ทั้งนี้ คาดว่าปริมาณน้ำฝนจะลดลงตั้งแต่วันที่ 4 เป็นต้นไป และจะได้รับผลกระทบอีกครั้งในวันที่ 8 - 10 พฤศจิกายนนี้ โดยได้มีการแจ้งเตือนให้ประชาชนในพื้นทีเสี่ยงเฝ้าระวังเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ และขอให้ติดตามการประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิดในระยะนี้

ส่วนการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์น้ำจากพายุดังกล่าว กรมชลประทานเร่งดำเนินการลดระดับน้ำให้อยู่ในเกณฑ์การบริหารจัดการอย่างเคร่งครัด ประกอบด้วยอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 4 แห่ง อ่างเก็บน้ำขนาดกลาง 39 แห่ง พร้อมกับเตรียมความพร้อมติดตั้งเครื่องจักร เช่น เครื่องสูบน้ำ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า รถลากจูงเครื่องผลักดันน้ำ จำนวน 16 จุด ในพื้นที่ภาคใต้ 14 อำเภอที่มีความเสี่ยงแล้ว

นายกฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า การลงพื้นที่ในวันนี้เพื่อมาตรวจเยี่ยมติดตามการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมให้กำลังใจชาวบ้าน รวมถึงให้กำลังใจข้าราชการทุกคนที่ร่วมมือกันตั้งใจทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน และขอให้ประชาชนมีกำลังใจในการต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้

และย้ำด้วยว่าแนวทางการบริหารจัดการน้ำที่ดีคือการเตรียมข้อมูล นำข้อมูลเดิมที่เคยเกิดเหตุมาวางแผนล่วงหน้าเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ทรงมีความห่วงใยความเดือดร้อนของประชาชน และทรงติดตามทุกปัญหาของราษฎร นอกจากนี้ ขอให้ส่วนราชการน้อมนำแนวทางพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มาปรับประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์ให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ ลดผลกระทบต่อประชาชน พร้อมกับร่วมมือกันสร้างเครือข่ายให้เข้มแข็งตั้งแต่เกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ

รวมถึงสร้างฐานข้อมูลให้เป็นระบบสามารถเรียกดูข้อมูลได้ทันที โดยส่วนราชการต้องเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลแก้ไขปัญหา ต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ส่งเสริมอาชีพให้ประชาชนอย่างเหมาะสมในแต่ละพื้นที่และสอดคล้องกับสถานการณ์ พร้อมกับสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำทางด้านโอกาสให้กับประชาชน

และย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดให้ความสำคัญในเรื่องการติดต่อสื่อสาร และเฝ้าติดตามโดยเฉพาะสื่อออนไลน์และโซเซียลมีเดีย หากเกิดการบิดเบือนข้อมูลและให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ ต้องรีบแก้ไข และสร้างความเข้าใจ ไม่ปล่อยให้ปัญหาขยายวงกว้าง จนไม่สามารถควบคุมได้

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เพื่อสักการะพระบรมธาตุ

"แม้ฝนตกหนักมาก แต่ผม ก็ต้องมา เพราะเป็นห่วงประชาชน

ได้ไปเต็มๆ......"แม้ฝนตกหนักมาก แต่ผม ก็ต้องมา เพราะเป็นห่วงประชาชน ที่รอคอยอยู่"
"นายกฯบิ๊กตู่" เดินกางร่ม ลุยฝน มาพบ พี่น้อง ที่ ปากพนัง นครศรีธรรมราช....แม้สภาพอากาศไม่ดี แต่เช้า เพราะฝน ที่นครฯตกหนัก แต่นายกฯก็ไม่ยกเลิก ภารกิจ แต่ปรับแผน นั่งเครื่องEmbraer มาลง สุราษฎร์ฯ แทน แล้ว นั่งรถต่อไป นครฯ ท่ามกลางสายฝน ที่ตกหนักตลอดทาง
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบปะและกล่าวกับประชาชนท่ามกลางฝนตกหนักที่ศูนย์ประสานการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ว่า ตลอดการเดินทางมาพบปะพี่น้องชาวนครศรีธรรมราช
"แม้ฝนตกหนักมาก แต่ก็ต้องมา เพราะเป็นห่วงประชาชนที่รอคอยอยู่"
นายกฯได้กล่าวถึงสถานการณ์น้ำในปีนี้ว่าแม้ปริมาณน้ำจะมาก แต่รัฐบาลสามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างเป็นระบบ จึงช่วยให้พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ ไม่ได้รับผลกระทบ
แต่ประชาชนนอกคันกั้นน้ำ อาจได้รับความเดือดร้อนบ้าง เนื่องจากมีความจำเป็นที่จะต้องระบายน้ำ
จึงขอขอบคุณทั้ง 12 ทุ่งรับน้ำที่เสียสละพื้นที่ด้วย
ขณะที่ภาคใต้ ก็ต้องพร้อมรับมือ เนื่องจากพายุดีเปรสชันจากทะเลจีนใต้พาดผ่าน อาจส่งผลกระทบและฝนตกหนักในหลายพื้นที่ จึงขอให้ประชาชนเตรียมพร้อมและปฎิบัติตามการแจ้งเตือน พร้อมติดตามข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กำชับผู้ประกอบการท่องเที่ยว เพิ่มความระมัดระวัง และ ต้องดูแลนักท่องเที่ยวในพื้นที่เสี่ยง อย่าให้เกิดอันตรายเป็นอันขาด ส่วนเรื่องทางการเมือง ขณะนี้รัฐบาลดำเนินการตามขั้นตอน ขอให้ทุกคนมองไปยังอนาคต เพื่อให้ลูกหลานมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และ กลับมาพัฒนาครอบครัวตนเอง หลายอย่างต้องปรับเปลี่ยน โดยมีกลไกของข้าราชการ ที่ขับเคลื่อนการทำงานในพื้นที่ ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญระดับจังหวัด โดยแต่ละจังหวัดต้องดึงจุดเด่นออกมาเพื่อสร้างความเข้มแข็ง แบบประชารัฐของตนเอง ให้เกิดการแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ ก่อนเชื่อมต่อไปยังอาเซียน
นอกจากนี้ รัฐบาลมีแผนในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและแผนการเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน พร้อมทั้ง ด้านการคมนาคม และ ด้านอาชีพ ให้แก่เกษตรกร รวมไปถึงผู้เลี้ยงปศุสัตว์
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมตลาดสินค้าพื้นบ้าน แม้ฝนจะตกหนัก และนิทรรศการที่ทางจังหวัดได้จัดเตรียม ก่อนจะประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 15 จังหวัดและ เจ้าหน้าที่ทีเกี่ยวข้องเพื่อติดตามสถานการณ์ และ รับฟังอุปสรรค รวมถึงข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาเพื่อป้องกันอุทกภัยในพื้นที่

"ครม.ตู่ ๕" ยุคไทยแลนด์ ๔.๐

เตือนๆ กันไว้....
อย่าให้น้ำผึ้งหยดเดียว ลุกลามกลายเป็นความไม่พอใจของประชาชนเชียวนะครับ
เพราะคำว่าสายเกินไปมันเกิดขึ้นได้เสมอ
หากไม่ลงมือแก้ปัญหาเสียแต่เนิ่นๆ
ปัญหาใหญ่ระดับโลก ระดับชาติ ที่เริ่มต้นจากเรื่องเล็กๆ กลายเป็นวิกฤติแสนสาหัส มันมีให้เห็นนักต่อนักแล้ว
สงครามโลกครั้งที่ ๑ จุดประเด็นจาก....
การลอบปลงพระชนม์อาร์คดยุค ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของบัลลังก์จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี โดยกัฟรีโล ปรินซีป ชาวเซิร์บบอสเนีย
การแก้แค้นของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีต่อราชอาณาจักรเซอร์เบีย
เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ก่อให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ในทวีปยุโรป
ฝ่ายสัมพันธมิตร ประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซีย สู้รบเข่นฆ่ากับฝ่ายมหาอำนาจกลาง มีเยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการีและอิตาลี
ผลคือ....มีผู้ได้รับบาดเจ็บ สูญหายและล้มตาย รวมกันกว่า ๔๐ ล้านคน
กรณีประชาชนชาวชลบุรีออกมาขับไล่ผู้ว่าราชการจังหวัด แม้จะเทียบกันไม่ได้ในแง่ของปรากฏการณ์ แต่ก็มีสัญญาณให้เห็นว่า อาจเกิดกรณีน้ำผึ้งหยดเดียวเหมือนกัน
เป็นความไม่ฉลาดของ "ราชการ" ในการบริหารจัดการความไม่พอใจของประชาชน
นี่...ไทยแลนด์ ๔.๐ แล้วนะครับ
ยังย้อนยุคใช้วิธีการก่อนปีกึ่งพุทธกาลกันอีก
ระวังการข่มขู่ให้กลัว จะกลายเป็นหายนะของคนขู่เสียเอง
ครับ...เมื่อคืนวันพุธ อส.ฝ่ายปกครอง รับหน้าเสื่อไปคุยกับผู้ชุมนุม
แต่กลายเป็นไปข่มขู่ว่ามีหมายศาล มี พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ๒๕๕๘ พร้อมจะสลายการชุมนุมได้ทันที
พูดแบบนี้ ไม่ต่างราดน้ำมันเข้ากองเพลิง!
นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี บอกว่าไม่รู้ไม่เห็น
โทษว่า อส.ประกาศไปโดยพลการ
แถมไม่เอาผิดกับการกระทำโดยพลการที่ว่านี้
อ้างว่า....เพราะ อส.แค่หวังดีและตักเตือนประชาชนเท่านั้น
ให้เหตุผลแบบนี้มันก็จบเห่ซิครับ!
หากไม่มีใครสั่ง....
ใครจะเชื่อว่า อส.จะกล้าทำถึงขนาดนั้น
ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ สาเหตุของปัญหานั้นมีความละเอียดอ่อนอยู่ในตัว หากไม่รีบจบ เกรงว่าจะบานปลายไปกว่านี้
หากกระทรวงมหาดไทยต้นสังกัดยังเอาแต่นิ่งเฉยแบบนี้ มันจะลามเข้าหารัฐบาล
ใครผิดใครถูก บางเรื่องอาจไม่ใช่ปัญหาที่ต้องแก้ไขก่อน
แต่การจัดการกับความรู้สึกของประชาชน ในประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนสูง มันรอไม่ได้
การปล่อยให้ฝ่ายผู้ว่าฯ ตอบโต้ที ฝ่ายประชาชนเอาคลิปเก่าๆ มาแฉที นอกจากหาทางลงไม่ได้แล้ว ก็ระวังเอาไว้นะครับ....
พวกที่หมอบรอเวลากลับมาป่วน
มันรอจังหวะอยู่!
คลิปล่าสุดที่บอกว่า "แฉ! ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี"
ย้อนไปเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙ ปีที่ผ่านมา ประชาชนชาวจังหวัดชลบุรีได้เดินทางมาร่วมพิธีแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๙ แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีไม่อนุญาตให้ประชาชนแสดงความอาลัย
และมีคำสั่งยกเลิกงานพิธีโดยไม่มีเหตุผล
คราวนั้นประชาชนก็ไม่พอใจผู้ว่าฯ ชลบุรีมาแล้ว
นั่นเท่ากับว่า ที่บานปลายกันอยู่ในเวลานี้ มันก็คือเรื่องราวที่สะสมกันมา
มองไม่ออกจริงๆ ว่า ผู้ว่าฯ ภัครธรณ์จะอยู่ชลบุรีต่อได้อย่างไร?
วันนี้การชุมนุมของชาวบ้านยังไม่มีใครแทรกเข้าไป
แต่วันหน้าไม่มีใครรู้ได้หรอกครับว่า การเมืองจะเข้ามาฉวยโอกาสหาประโยชน์จากความขัดแย้งนี้หรือไม่
และเมื่อไหร่!
เอาแค่ว่า...รัฐบาล คสช.ไม่ใส่ใจความผิดพลาด การบริหารจัดการ การวางดอกไม้จันทน์ ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ไม่สนใจเรื่องที่ประชาชนเขาทวงถามเรื่องป้ายไวนิลดอกดาวเรืองหน้าพระเมรุมาศจำลอง จังหวัดชลบุรี
แค่นี้ก็ใช้เวลาอธิบายกันยาวยืดแล้วครับ
ถ้ากระทรวงมหาดไทยยังเฉย รัฐบาลไม่หือไม่อือ อ้างรอผลสอบก่อน ปล่อยให้ไล่กันทุกวัน มันจะไม่ใช่แค่เฉพาะจังหวัดชลบุรี
อาจจะลามไปยังจังหวัดอื่นๆ
เพราะเอาเข้าจริง บางจังหวัดก็มีปัญหาลักษณะคล้ายกันนี้ ที่ไม่เกิดเรื่องเพราะประชาชนแค่บ่น แต่ไม่อยากจะเอาความ
หากมีคนไปยุอาจกลายเป็นหนังคนละม้วน!
ฉะนั้น...รีบเถอะครับ
เอาผู้ว่าฯ ภัครธรณ์ไปเก็บรักษาไว้ในที่ที่สะดวกต่อการแก้ปัญหาก่อน
เคลียร์เรื่องวุ่นๆ ที่ชลบุรีให้จบ
ให้ประชาชนเขาพอใจ
เสร็จแล้วค่อยเคลียร์ปัญหาหนักอกให้ท่านผู้ว่าฯ
ทำแบบนี้ไม่มีคำว่าสาย
ถ้าไม่...
ท่านๆ ทั้งหลายก็ต้องยอมรับเสียงตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์ ด่าว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีเป็นเด็กของรัฐบาล คสช.
ท้ายสุดโดยสามัญสำนึก ทุกคนต้องรู้ครับว่า ไม่ควรปล่อยให้การถวายดอกไม้จันทน์เป็นเงื่อนไขสร้างภาพลบ
กลายเป็นว่าลูกๆ มาทะเลาะกัน
ก็ลองกลับไปพินิจพิจารณากันดูครับว่า ที่ผ่านมา "พ่อ" ได้สอนอะไรเอาไว้บ้าง
"ในการปฏิบัติงานนั้นย่อมมีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อปัญหาเกิดขึ้นต้องแก้ไข อย่าทิ้งไว้พอกพูนลุกลามจนแก้ยาก
ขอให้ทุกคนระลึกว่าปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไขได้ ถ้าแก้คนเดียวไม่ได้ก็ช่วยกันคิดช่วยกันแก้หลายๆ คน หลายๆ ทาง ด้วยความร่วมมือปรองดองกัน"
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๓
วานนี้ (๒ พฤศจิกายน) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า....
พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ความเป็นรัฐมนตรีจึงให้สิ้นสุดตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เป็นต้นไป
ก็ได้เวลาปรับ "ครมตู่ ๕.๐" ครับ
เบื้องลึกเบื้องหลัง "จับกัง ๑" ลาออก เท่าที่ฟังนายกฯ ลุงตู่ให้สัมภาษณ์ก็ได้ความว่าไปประกอบธุรกิจส่วนตัว
แต่บางกระแสข่าวบอกว่า ทนไม่ได้เพราะถูกหักหน้าจากกรณี "ลุงตู่" งัด ม.๔๔ ย้ายนายวรานนท์ ปีติวรรณ อดีตอธิบดีกรมการจัดหางาน
นั่นก็ว่ากันไปครับ
ก็เอาเป็นว่า งานในกระทรวงแรงงานยุคนี้ไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านมา
ไม่ใช่กระทรวงที่จะส่งใครไปนั่งซดไวน์ก็ได้เหมือนรัฐบาลก่อน
หลังจากไทยมีปัญหาแรงงาน การค้ามนุษย์ จนหลุดไปอยู่เทียร์ ๓ รัฐบาลนี้ใช้ความพยายามอย่างหนักจนอเมริกาจัดลำดับให้กลับมาอยู่เทียร์ ๒ อีกครั้ง
ทำให้อุปสรรคทางการค้าได้รับการผ่อนคลายลง
นี่คือสิ่งที่ต้องรักษาไว้
และต่อยอดให้ดีขึ้นในวันข้างหน้า
ขณะที่ปัญหาแรงงานต่างด้าวก็ใช่ว่าจะหมดไป เมื่อไขลานกันไม่ไหว จำต้องเปลี่ยนม้ากลางศึกก็ต้องเปลี่ยน
"ครม.ตู่ ๕.๐" ปรับเล็กปรับใหญ่ ไม่สำคัญเท่าปรับแล้วทำงานมีประสิทธิภาพหรือไม่
ข่าวแว่วๆ ปรับเที่ยวนี้ ลดจำนวนนายพลลง เพิ่มพลเรือนให้มากขึ้น
เป็นนิมิตหมายที่ดีในการหาคนมาใช้ให้ตรงกับงาน
ที่สำคัญต้องยึดคำสอนพ่อเอาไว้ให้ได้
''...ทุกคนต่างมีหน้าที่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทำเฉพาะหน้าที่นั้น เพราะว่าถ้าคนใดทำหน้าที่เฉพาะของตัวโดยไม่มองดูคนอื่น งานก็ดำเนินไปไม่ได้ เพราะเหตุว่างานทุกงานจะต้องพาดพิงกัน จะต้องเกี่ยวโยงกัน ฉะนั้น แต่ละคนจะต้องรู้ถึงงานของผู้อื่นแล้วช่วยกันทำ...".
ผักกาดหอม

เปลว สีเิงิน 3/11/60

รัฐบาลทหาร-รัฐบาลผสม โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน

รัฐบาลทหาร-รัฐบาลผสม โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน



(แฟ้มภาพ) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล
เมื่อเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานว่างลง ด้วยการลาออกของ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ซึ่งชนวนเหตุมาจากกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจตามมาตรา 44 เด้งด่วนอธิบดีกรมการจัดหางาน เลยทำให้เจ้ากระทรวงไม่อาจจะนั่งอยู่ต่อไปได้ ตัดสินใจโบกมือลา พร้อมด้วยทีมทำงานยกคณะ

จะเรียกว่าเกิดรอยร้าว หรือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่มีอะไรหรอกน่า ย่อมแล้วแต่จะมอง

ผลที่ตามมาแน่ๆ อีกประการก็คือ จะต้องนำไปสู่การปรับ ครม.

เพียงแต่จะปรับเล็กหรือปรับใหญ่

แต่เชื่อว่าจะเกิดกระแสกดดันจากหลายๆ ฝ่าย เรียกร้องให้นายกฯลงมือปรับใหญ่

โดยเฉพาะกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ

เนื่องจากปัญหาปากท้องของชาวบ้าน ปล่อยทิ้งเอาไว้ยาวนาน จะมีผลต่อการเลือกตั้งที่จะมาถึงในอนาคตอันใกล้ ชาวบ้านจะนึกถึงรัฐบาลที่เคยมีความสามารถมากฝีมือในด้านนี้ขึ้นมาอย่างจับใจ

แม้แต่เครือข่ายม็อบนกหวีด ที่ลงทุนลงแรงจนทำให้มีรัฐบาล คสช.ในวันนี้ เริ่มจะพูดคุยกับมวลชนตนเองไม่ไหว เพราะราคายางพาราตกต่ำอย่างไม่กระเตื้องขึ้นเลยในช่วงรัฐบาลนี้

ราคาข้าวก็น่าตกใจ ตันละไม่กี่พันบาท ไหนจะเจอภัยน้ำท่วมยิ่งสร้างวิกฤตให้กับชีวิตชาวนามากขึ้น

ข่าวว่า ภายในรัฐบาลเอง คนที่กุมงานด้านเศรษฐกิจ ก็อยากให้นายกฯตัดสินใจเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี จากที่มียศนำหน้าแต่นั่งในกระทรวงด้านนี้ ขอเป็นพวกอดีตนักบริหารมืออาชีพที่มีประสบการณ์จริงเข้ามานั่งทำงานมากกว่า

นอกจากจะช่วยอุดจุดอ่อนของรัฐบาลขณะนี้แล้ว ยังจะเป็นการช่วยให้พรรคการเมืองในฟากฝ่าย คสช. พอจะมีทางชนะเลือกตั้งได้มากขึ้น

อันจะเป็นการปูทางให้ “นายกฯคนนอก” มีโอกาสเดินกลับเข้าทำเนียบได้สะดวกสบายขึ้น

แต่ผู้นำรัฐบาล คสช. ซึ่งจะต้องตัดสินใจว่าจะปรับเล็กหรือปรับใหญ่แบบล้างกระทรวงเศรษฐกิจ ก็คงต้องคิดหนักในหลายๆ ด้าน

ปรับโฉมรัฐมนตรีเศรษฐกิจแล้วจะได้ผลจริง กู้วิกฤตข้าวยากหมากแพงได้จริงหรือไม่

เพราะถ้าไม่มั่นใจว่าจะได้ผล อาจไม่คุ้มค่า เพราะการปรับใหญ่มีความเสี่ยงต่อความ
ขัดแย้งภายในของกลุ่มแกนนำ คสช.เอง

เครือข่ายเพื่อนพ้องรุ่น 12 จะต้องได้รับผลกระทบแน่ๆ ถ้ามีการปรับแบบพลิกโฉม

ถือว่ามีได้มีเสียไปคนละแบบ

แต่ไม่เท่านั้น ยังมีประเด็นการตรวจสอบคุณสมบัติของรัฐมนตรีในคดีถือหุ้นเกิน 5% ซึ่งมีกระแสข่าวว่า มี 3 รัฐมนตรี ที่ต้องโดนแน่ๆ

นี่ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ต้องปรับ ครม.แบบไม่ใช่เล็กๆ แน่ๆ

คงต้องจับตามองกันต่อไปว่า ลงเอยแล้วโฉมหน้าของ ครม.บิ๊กตู่ 5 จะออกมาแนวไหน

ยังเป็นรัฐบาลทหารต่อไป หรือจะเริ่มเป็นรัฐบาลผสมพลเรือน-ทหาร โดยมีสัดส่วนทหารลดลง

แต่ทั้งหลายทั้งปวง ความที่รัฐบาล คสช. เลือกจะอยู่ในอำนาจยาวนาน ต่างไปจากรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารในอดีต ซึ่งมักจะอยู่แค่ปีสองปี จัดระบบระเบียบแล้วก็รีบถอยไป

ทว่ารัฐบาลบิ๊กตู่อยู่มา 3 ปีกว่าแล้ว ด้วยเหตุผลต้องปฏิรูปให้เสร็จสิ้นรอบด้านอะไรเหล่านั้น

อยู่นานไปก็ต้องเผชิญกับปัญหาความไม่ถนัดในการบริหารงานรอบด้านแบบรัฐบาลนักการเมือง

แถมยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงการปรับ ครม.หนแล้วหนเล่า ราวกับเป็นรัฐบาลที่มาตามครรลองปกติ

………………..
สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน

ยิ่งยื้อ ปลดล็อก พันธมิตร “แนวร่วม” ยิ่ง “เผยแสดง”


ประหนึ่งว่า การออกมาตัดประเด็นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในเรื่อง “ปลดล็อก” พรรคการเมือง

ทุกอย่างจะ “จบ”

นักการเมืองก็จะ “เงียบ” เพราะ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ก็ดี เพราะ นายวัฒนา เมืองสุข ก็ดี ต่างยืนยันตรงกันว่า

จะไม่เรียกร้อง จะไม่วิงวอน

และคำยืนยันอันมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อประสานเข้ากับจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ถือได้ว่าเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด

เพราะคน 1 เป็นหัวหน้า คสช. เพราะคน 1 เป็นรองหัวหน้า คสช.

ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ตอบตรงกันมิใช่หรือว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับ “คสช.”

แล้วจะมีใครใน คสช.ที่จะใหญ่ยิ่งกว่า 2 ท่านนี้

กระนั้น หากติดตามเหตุผลที่ว่าจะไม่เรียกร้อง จะไม่วิงวอนอีกแล้ว ซึ่งดังมาจากทั้ง นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ และ นายวัฒนา เมืองสุข ก็มิใช่ว่าจะงอก่อ งอขิง

อย่าลืมว่า 2 คนนี้เป็น “นักกฎหมาย”

มีความเข้าใจในกฎหมายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า นายมีชัย ฤชุพันธุ์ และไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า นายวิษณุ เครืองาม ตลอดจน นายพรเพชร วิชิตชลชัย

คนแรกจบจาก “ท่าพระจันทร์” คนหลังจบจาก “สามย่าน”

ที่พวกเขาจะไม่วิงวอน จะไม่ร้องขอ เพราะตระหนักในบทบาทและ

ความหมายของหลักกฎหมายอย่างน้อยก็ 2 ฉบับ

1 เป็นรัฐธรรมนูญ 1 เป็นกฎหมายลูกว่าด้วยพรรคการเมือง

หาก คสช.และรัฐบาลจะเดินตามโรดแมปก็มีความจำเป็นต้อง 1 เดินตามรัฐธรรมนูญ และ 1 เดินตามกฎหมายลูกว่าด้วยพรรคการเมือง ไม่มีหนทางอื่น

เว้นแต่จะเห็นว่าคำสั่ง คสช.ใหญ่กว่าเท่านั้น

หากมองกระบวนการทางการเมืองหลังรัฐธรรมนูญประกาศและบังคับใช้เมื่อเดือนเมษายน 2560 เป็นต้นมาเหมือนกับการทำศึก สงคราม

ก็จะมีความเข้าใจอย่างเห็นเป็นรูปธรรม

สภาพที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกมาตัดบทในเรื่อง “ปลดล็อก” พรรคการเมือง

เหมือนกับจะเป็นปฏิบัติการ “รุก” ต่อ “นักการเมือง”

หากประเมินไปในน้ำเสียงจากกองเชียร์ภายใน “แม่น้ำ 5 สาย” ก็เหมือนกับ คสช.ตัดโอกาสมิให้พรรคเพื่อไทยได้เคลื่อนไหว

แต่ในความเป็นจริงเป็นเช่นนั้นหรือ

ตรงกันข้าม พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องการให้ “ปลดล็อก” พรรคชาติไทยพัฒนาก็ต้องการให้ “ปลดล็อก” แม้กระทั่งพรรคภูมิใจไทยก็ต้องการให้ “ปลดล็อก”

มิได้มีแต่เพียง “เพื่อไทย”

และเหตุผลของพวกเขาก็มิได้เพื่อตัวเอง หากแต่ยืนอยู่กับหลักการแห่ง “รัฐธรรมนูญ” ยืนอยู่กับหลักการแห่งกฎหมายลูกว่าด้วยพรรคการเมือง

ลักษณะการแสดงออกของ คสช. และของรัฐบาลจึงมิได้เป็น “การรุก” ตรงกันข้าม เป็นการซื้อเวลาด้วยการยื้อเพื่อต่อรองในเชิง “อำนาจ”

ลักษณะ “ยื้อ” ย่อมมิใช่ “การรุก”

ทั้งนักการเมืองที่ออกมากล่าวในเชิงเป้าหมายก็มิได้ดำเนินการอย่างโดดเดี่ยว ตรงกันข้ามเป้าหมายของการ “ปลดล็อก” ก่อให้เกิด “แนวร่วม” ขึ้นโดยพื้นฐาน

เป็นแนวร่วมในเส้นทาง “ประชาธิปไตย”

เรื่องจำเป็น

เรื่องจำเป็น

สังคมไทยเป็นระบบอุปถัมภ์ คือการใช้อำนาจหน้าที่ช่วยเหลือเอื้อประโยชน์ ให้พวกพ้องญาติพี่น้องลูกเต้าเหล่ากอของตัว

ระบบอุปถัมภ์นี่แหละเป็นต้นตอให้เกิดทุจริตเต็มบ้านเต็มเมือง

รัฐบาล คสช.ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงแก้ปัญหาระบบอุปถัมภ์ด้วยการออก “กฎหมาย 4 ชั่วโคตร” เป็นยาแรงในการปราบปรามการเอื้อประโยชน์เล่นพรรคเล่นพวกให้หมดสิ้นจากแผ่นดินไทย

โดยมุ่งเอาผิดข้าราชการทุกระดับ และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกคน ที่ใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้ตนเอง หรือคนใกล้ชิด หรือคนในครอบครัว อันได้แก่ คู่สมรส บุตรธิดา และบิดามารดาของตัวเอง

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่า มาตรา 5 ของ ก.ม. 4 ชั่วโคตร หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “พ.ร.บ.การขัดกันของผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม” กำหนดห้ามไม่ให้นำความสัมพันธ์ส่วนตัวมาเป็นเงื่อนไขในการใช้อำนาจหน้าที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของตัวเอง

รวมถึงห้ามใช้เวลา ใช้เงินเดือน ใช้ทรัพย์สินทางราชการ เพื่อเอื้อประโยชน์ตนเอง หรือบุคคลอื่นใด ไม่ว่าทางอ้อมหรือทางตรง

เรียกว่าคุมเข้มไม่ให้ใช้อำนาจนอกลู่นอกทาง

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าแม้จะประกาศใช้ ก.ม.ความผิดเอื้อประโยชน์ชั่วโคตรแล้ว ก็ยังกำจัดระบบอุปถัมภ์ไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์

ล่าสุด ที่ประชุม ครม.จึงมีมติเห็นชอบ “ร่างมาตรฐานจริยธรรม” เพื่อใช้บังคับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานและกรรมการองค์กรอิสระ ป.ป.ช. กกต. คตง. กสม. และผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯลฯ

ไม่ให้ใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์คนใกล้ชิดและญาติโกโหติกา

“แม่ลูกจันทร์” ขออนุญาตนำร่างมาตรฐานจริยธรรมบางข้อมาฉายเป็นแซมเปิลดังนี้คือ...

1, ต้องถือประโยชน์ประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน
2, ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ปราศจากอคติส่วนตัว
3, ต้องรักษาความลับทางราชการอย่างเคร่งครัด
4, ต้องไม่ยินยอมให้สมาชิกครอบครัวรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่อาจกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง ฯลฯ

นี่คือบางส่วนของ “มาตรฐานจริยธรรมขั้นสูง” เพื่อให้สังคมเชื่อถือศรัทธาว่าศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระทุกแห่งจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตเที่ยงธรรม

ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ปกป้องพรรค พวกตัวเอง

และไม่จ้องเล่นงานฝ่ายตรงข้ามตะพึดตะพือ

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าแม้จะมี “ก.ม. 4 ชั่วโคตร” และ “มาตรฐานจริยธรรม” เพื่อป้องกันข้าราชการทุกระดับ องค์กรอิสระ และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ให้ใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องและคนในครอบครัวทั้งทางอ้อมและทางตรงก็ตาม

แต่การจะชี้ว่าตรงไหนเอื้อ? ตรงไหนไม่เอื้อ? ต้องพิจารณาเป็นเรื่องๆไป

เช่น...กรณี อจ.มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. และสมาชิก คสช. แต่งตั้งบุตรสาวเป็นเลขาธิการตัวเองในโควตา คสช. จนเกิดกระแสวิจารณ์กันอึกทึกครึกโครม

อจ.มีชัย ซึ่งเป็นเซียนกฎหมายมือวางอันดับหนึ่งของไทยแลนด์ ชี้แจงว่า การแต่งตั้งบุตรสาวเป็นเลขาฯ ในโควตา คสช. เป็นความจำเป็นส่วนตัว

เพราะตำแหน่งนี้ต้องใช้คนที่ไว้วางใจให้รักษาความลับทางราชการ

จึงไม่เข้าข่ายใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์คนในครอบครัว

ข้อสำคัญกฎหมายไม่ได้ห้ามแต่งตั้งลูกสาวเป็นเลขาฯบิดา

ในเมื่อ “มีชัยโมเดล” ทำเป็นตัวอย่างให้เห็นเต็มตา

ทีนี้ใครจะแต่งตั้งภรรยาเป็นเลขาฯ แต่งตั้งแม่ยายเป็นที่ปรึกษา ก็เชิญตามสบายนะคุณโยม.

“แม่ลูกจันทร์”

‘ปั่นป่วน’เร้าแมตช์ใหญ่

‘ปั่นป่วน’เร้าแมตช์ใหญ่

ฟ้าผ่าเปรี้ยง ร้อนทะลุปรอท แซงทุกรายการ

จากคิวคำสั่งหัวหน้า คสช. ม.44 ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ หัวหน้า คสช. ลงนามย้ายนายวรานนท์ ปีติวรรณ พ้นตำแหน่งอธิบดีกรมการจัดหางาน ไปเป็นรองปลัดกระทรวงแรงงาน

และให้นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ จากรองปลัดกระทรวงแรงงาน ไปเป็นอธิบดีกรมการ จัดหางานแทน

อันจะเป็นประโยชน์ในการบริหารราชการกระทรวงแรงงานให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมยิ่งขึ้น

เด้งอธิบดีกรมการจัดหางาน เพื่อให้ “งานเดินคล่อง”

นั่นก็น่าจะเป็นเหตุผลที่หยิบยกมาอ้างได้ ในฐานะผู้นำในการบริหารประเทศ และนายวรานนท์ ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา ที่ถูกคำสั่งฟ้าผ่าก็ต้องยอมรับทั้งน้ำตาซึม

เพียงแต่ที่วุ่นตามมา คล้อยหลังคำสั่ง ม.44 มีข่าวลือสะพัดและเป็นความจริงในที่สุด

กับคิวที่ “บิ๊กบี้” พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน รวมทั้งทีมงาน ผู้ช่วยรมต. ที่ปรึกษา เลขาฯ

แท็กทีมยื่นใบลาออกยกลอต จนป่วนทั้งกระทรวง ถามหาเหตุกันให้วุ่นแน่นอน สำหรับสาเหตุคิวเด้งนายวรานนท์ ล้อเหตุผลคำสั่ง ม.44 น่าจะเป็นเรื่องการทำงานจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว ที่ถูกมองว่ายังล่าช้า กับเส้นตายการบังคับใช้กฎหมาย การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ที่ชะลอไป 180 วัน ครบวันที่ 31 ธ.ค.2560

กฎหมายสำคัญที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์บทลงโทษนายจ้างหนัก ปรับ 8 แสนบาทต่อแรงงานผิดกฎหมาย 1 คน

ประเด็นร้อนที่ทำให้รัฐบาลต้องเผชิญแรงต้าน ถูกถล่มจนต้องเลื่อนบังคับใช้

แน่นอน “วรานนท์” เริ่ม “ไม่เข้าตา” ผู้นำตั้งแต่นั้น

ไม่เท่านั้น ในห้วงต้องเร่งจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวก่อนกฎหมายบังคับใช้ ทั้งการตั้งศูนย์รับจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว การประสานประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะ กัมพูชาที่มีปัญหาและชักบานปลาย

แล้วในที่สุดก็แจ็กพอตแตกที่ “วรานนท์” ในที่สุด

ยังไม่รวม ข้อมูลอีกด้านคือปมการจัดซื้อ “เครื่องสแกนม่านตา” เพื่อมาใช้ในการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าว โครงการ ลักษณะเดียวกับ “เครื่องตรวจวัดความเร็ว” ที่กำลังร้อนฉ่า

โปรเจกต์พันล้าน โยงปมไม่สนองนโยบายอย่างไร ยังไม่ชัดนัก

แต่ทั้งหมดทั้งปวง ทุกคิวของอดีตอธิบดีกรมการจัดหางาน กลายเป็นแรงกระแทกไปถึง “บิ๊กบี้-พล.อ.ศิริชัย” ในฐานะเจ้ากระทรวง ที่เคยมีข่าวซุบซิบการทำงานไม่เข้าเป้าจนผู้นำกระเซ้าแรงๆ รมต.รุ่นน้อง

“ไม่บี้งานให้เหมือนชื่อ”

และก่อนหน้านั้น ถ้าจำกันได้ ทั้งคิวแต่งตั้งปลัดกระทรวงที่ “บิ๊กบี้” เสนอรายชื่อไป 2 รอบ รวมทั้งเคยมีชื่อ “วรานนท์” ถูกชงขึ้นแท่น “บิ๊กตู่” ตีกลับทุกครั้ง กระทั่งชื่อจรินทร์ จักกะพาก เป็น “เสือข้ามห้วย” จากกระทรวงมหาดไทยมานั่งเก้าอี้บิ๊กกระทรวงแรงงาน

ก็น่าจะทำให้ “บิ๊กบี้” ขยับไม่สะดวก อึดอัดไปใหญ่

ถึงจะติดยี่ห้อ “น้องเลิฟของพี่ใหญ่” อยู่ในเครือข่าย “มูลนิธิป่ารอยต่อฯ” เส้นปึ้กก็ตาม

และแน่นอน ประจวบเหมาะกับสถานการณ์ที่มีการจับจ้องคิวปรับ ครม.ก่อนเข้าโค้งสุดท้ายเลือกตั้งใหญ่ตามโรดแม็ปที่ผู้นำประกาศปลายปี 2561 พอดิบพอดี

ปรากฏการณ์ “บิ๊กบี้” ไขก๊อก เลยเป็นจุดเร้าเกมยกเครื่อง

ในห้วงเปลี่ยนผ่าน พลังแฝง-พลังจริงแต่ละขั้วอำนาจยังไม่นิ่ง ในภาวะที่รัฐบาลท็อปบูต-“ครม.เพื่อนพ้องน้องพี่” ถูกโฟกัสหนัก มีแรงขย่มเขย่าทั้งภายนอก-ภายใน

“บิ๊กตู่” มีงานหนัก ปรับ ครม.ชุด “โชว์ส่งท้าย” ก่อน “ไปต่อ”

ส่วนจะปรับใหญ่แค่ไหน รอลุ้นอีกไม่นาน.

ทีมข่าวการเมือง

"พายุ “ด็อมเร็ย” (DAMREY)

ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา
"พายุ “ด็อมเร็ย” (DAMREY) และฝนตกหนักถึงหนักมาก และคลื่นลมแรงบริเวณภาคใต้ (มีผลกระทบถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560)"
ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 03 พฤศจิกายน 2560
1. เมื่อเวลา 10.00 น. พายุไต้ฝุ่น “ด็อมเร็ย” (Damrey) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด 12.8 องศาเหนือ ลองจิจูด 113.6 องศาตะวันออก ห่างประมาณ 500 กิโลเมตรทางด้านตะวันออกของ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกด้วยความเร็ว 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนเข้าชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนล่างในวันที่ 4 พ.ย. 60 และจะอ่อนกำลังลงก่อนเคลื่อนเข้าปกคลุมประเทศกัมพูชาต่อไป
2. หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ตอนล่าง ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนตกชุกหนาแน่น กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนตกสะสม อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และลมกระโชกแรง
พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมีดังนี้
บริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล
สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังแรง โดยอ่าวไทยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง เรือเล็กบริเวณดังกล่าวควรงดออกจากฝั่ง ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังคลื่นซัดเข้าหาฝั่งไว้ด้วย
จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิดในระยะนี้
ประกาศ ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 11.00 น.
กรมอุตุนิยมวิทยาจะออกประกาศฉบับต่อไปใน วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 17.00 น.
นายวันชัย ศักดิ์อุดมไชย อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา