PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เตือนธนาธร

ให้ประชาชนตัดสิน!!

"บิ๊กป้อม" โยน กกต. ตรวจสอบ "นโยบาย-อุดมการณ์"พรรคอนาคตใหม่"ของ"ธนาธร"ขัดกม.มั้ย จะนิรโทษกรรม ไม่สน ประกาศจะเป็นนายกฯ บอกให้ประชาชนตัดสิน

            
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม กล่าวถึงการประกาศอุดมการณ์และนโยบายของพรรคอนาคตใหม่ ที่มี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นกัวหน้าพรรค ที่ต้องการจะนิรโทษกรรม คนที่โดนคำสั่ง คสช.ว่า  ทำได้หรือเปล่า ล่ะ ต้อง
ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบว่าคำประกาศและนโยบาย ในเวลานี้ นั้นเป็นขัดกฎหมายใดหรือไม่ 

ส่วนตัวไม่มีความกังวลใดๆ  ว่าจะมีแรงกระเพื่อมต่อรัฐบาล ไม่มีๆ 
          
ส่วนการที่ นายธนากร ประกาศที่จะเป็นนายกฯ หลังการเลือกตั้ง พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่ได้มอง เพราะแล้วแต่ประชาขน

ปฏิบัติการ ‘บุกรวบ’ ‘พุทธะอิสระ’ พ้นสงฆ์ กลับคืนสู่ฆราวาส

ปฏิบัติการ ‘บุกรวบ’ ‘พุทธะอิสระ’ พ้นสงฆ์ กลับคืนสู่ฆราวาส


มีคอมมานโดถึง 100 นาย บุกรวบตัวคามุ้ง นำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ถึงความเหมาะสม
แม้ บิ๊กสีกากีŽ ออกมายืนยันว่า นี่คือ ยุทธวิธีŽ การบุกจับกุม ถูกต้องแต่อาจ
ไม่ถูกใจŽ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาขอโทษกับการ ปฏิบัติการŽ ของตำรวจกองปราบฯ
มูลเหตุที่พนักงานสอบสวน บก.ป.ตั้งข้อกล่าวหาพุทธะอิสระ อดีตแกนนำ กปปส. เวทีแจ้งวัฒนะนั้นคือ อั้งยี่ ซ่องโจร ร่วมทำร้ายร่างกายตำรวจสันติบาล 2 นาย
บาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัส และคดีแอบอ้างเบื้องสูง
ตามคำร้องฝากขังของพนักงานสอบสวน บก.ป. ที่ระบุพฤติกรรมความผิด สรุปได้ว่า
เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2557 ร.ต.ต. สมคิด เชยกมล และ ด.ต.วชิรพงศ์ อุ่นนวลบุรพงศ์ และ ร.ต.ต.สงวน คมขาว เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลประจำ จ.นนทบุรี รับคำสั่งให้สืบสวนหาข่าวม็อบชาวนาที่หน้ากระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี ทั้งหมดแต่งกายนอกเครื่องแบบ เมื่อม็อบชาวนาเดินทางจากหน้ากระทรวงพาณิชย์เพื่อไปยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุดที่ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อดำเนินคดีโครงการจำนำข้าว ตำรวจทั้งสามก็เดินทางมากับม็อบชาวนาด้วย
ขณะนั้น พระสุวิทย์Ž กับพวกได้ยึดพื้นที่ชุมนุมบริเวณดังกล่าวอยู่แล้ว
ภายหลังยื่นหนังสือเสร็จ ตำรวจสันติบาลทั้ง 3 นาย เดินทางกลับมาที่ลานจอดรถ ปรากฏว่ามีกลุ่มการ์ดของผู้ต้องหา 3-4 คน เดินเข้ามาขอดูโทรศัพท์ ด.ต.วชิรพงศ์ โดยทราบว่าเป็นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ จากนั้นร่วมกันทำร้ายร่างกายจับมัดมือไพล่หลัง ใช้ผ้าปิดตา กลุ่มการ์ดยังวิ่งไปหา ร.ต.ต.สมคิด แล้วร่วมกันทำร้ายเช่นเดียวกัน
ขณะที่ ร.ต.ต.สงวนหลบหนีไปได้ กลุ่มการ์ดได้ค้นตัว ร.ต.ต.สมคิด และ ด.ต.วชิรพงศ์ เอาโทรศัพท์มือถือ, นาฬิกา, สร้อยคอพร้อมพระไป และพาทั้งสองไปข้างเวที กปปส. ถนนแจ้งวัฒนะ บังคับให้ตอบคำถามกับบอกรหัสปลดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ และยังทำร้ายเตะต่อยที่ใบหน้า, ศีรษะ, ลำตัว ก่อนใช้ถุงคลุมศีรษะแล้วรัดปากถุงกับลำคอ เพื่อให้ขาดอากาศหายใจ
ต่อมา ผู้บังคับบัญชาของทั้ง 3 นาย ได้แจ้งให้ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ติดต่อกับ พระพุทธะอิสระŽ ให้ปล่อยตัว แต่ผู้ต้องหากลับแจ้งให้ตำรวจไปพบที่บ้านทรงไทย ตรงข้ามกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยให้หัวหน้าการ์ดกลุ่มฉลามขาว การ์ดประจำตัวพระแกนนำ กปปส. มารอรับที่หน้าบริษัท กสท โทรคมนาคม
จากนั้นนำไปเต็นท์หลังเวทีปราศรัยอยู่ห่างจากบ้านทรงไทยประมาณ 100 เมตร พระพุทธะอิสระŽ ใช้วิทยุสื่อสารติดต่อกับบุคคล โดยสอบถามว่าตำรวจสันติบาล 2 คน ยังอยู่หรือไม่ แล้วบอกว่าสารวัตรสืบประสานขอรับตัวกลับ ซึ่งพระแกนนำผู้ชุมนุมหันมาบอกว่าจะปล่อยให้กลับอยู่แล้ว แต่ให้ผู้บังคับบัญชาของตำรวจทั้ง 2 นาย ไปรับเอง
เป็นเวลา 3-4 ชั่วโมง ที่กลุ่มการ์ดผลัดเปลี่ยนกันซักถามและทำร้ายร่างกายตำรวจสันติบาลทั้ง 2 นาย ก่อนปล่อยตัวกลุ่มการ์ดได้ใช้ผ้าเย็นเช็ดใบหน้าและลำตัวพร้อมทั้งทาแป้งเพื่อลบรอยบาดแผล พร้อมทั้งให้ ร.ต.ต.สมคิดกล่าวคำสาบานว่า จะไม่เอาผิดกลุ่มการ์ด กปปส. และนำ ร.ต.ต.สมคิดและ ด.ต.วชิรพงศ์ ไปพบพระพุทธะอิสระ โดยให้นั่งลงกับพื้น ซึ่งแก้มัดที่มือออกแล้วแต่ยังให้ปิดตาไว้ พร้อมกำชับว่าอย่าวิ่งหนี ถ้าหนีจะโดนลูกปืน
พระพุทธะอิสระŽ ได้ซักถามนายตำรวจทั้งสองต่อหน้าสื่อมวลชนประมาณ 30 นาที มีการเผยแพร่ทั้งภาพนิ่ง-วิดีโอลงยูทูบกับเว็บไซต์ข่าวหลายสำนัก จากนั้นผู้บังคับบัญชาของตำรวจทั้งสองนายเดินทางมารับลูกน้อง เพื่อถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ

ผลการตรวจร่างกาย พบว่า ร.ต.ต.สมคิดมีแผลฟกช้ำใบหน้าและกลางอก, บาดแผลฉีกขาดริมฝีปาก, เยื่อแก้วหูฉีกขาดทั้ง 2 ข้าง, กระดูกซี่โครงขวาด้านหลังหัก และตับฉีกขาด ใช้เวลารักษานาน 6 สัปดาห์ ส่วน ด.ต.วชิรพงศ์ได้รับบาดเจ็บแผลถลอกหน้าผากขวา 3X4 ซม., แผลฟกช้ำตามร่างกายหลายแห่ง และโหนกแก้มซ้าย คางซ้าย ฟันซ้ายล่างหักบิ่น และฟกช้ำกลางอก ต้นแขนขวา และถูกยึดทรัพย์สินอีกหลายรายการ รวมมูลค่า 60,900 บาท เป็นความผิด
เหตุเกิดที่ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.
ส่วนอีกคดี ย้อนที่มา เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2560 นายวิชัย ประเสริฐสุดสิริ ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. ให้ดำเนินคดีกับพระพุทธะอิสระที่นำอักษรพระปรมาภิไธย ภปร และอักษรพระนามาภิไธย สก มาประดิษฐานหลังองค์พระเครื่องโดยไม่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต
นายวิชัยได้ตรวจพบทางเว็บไซต์ว่า พระเครื่องดังกล่าวมีการสร้างเมื่อช่วงเข้าพรรษาปี 2554 บรรจุปรอทเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2554 ซึ่งถือว่าเป็นวันที่สร้าง
พระสำเร็จ ผู้กล่าวหาเห็นว่าการกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ, ปลอมขึ้นซึ่งพระปรมาภิไธย และใช้พระปรมาภิไธยที่มีการปลอมขึ้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 250, 252
ต่อมา มีการสอบสวนพยานบุคคลพร้อมทั้งตรวจสอบไปยังสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ยืนยันตรงกันว่า ไม่ได้รายงานขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตตามกฎระเบียบของมหาเถรสมาคม และจากการสอบสวนพยานบุคคลเจ้าหน้าที่ กรมราชเลขานุการในพระองค์ ยืนยันว่าพระพุทธะอิสระไม่ได้ขออนุญาตใช้พระปรมาภิไธยย่อ และอักษรย่อพระนามาภิไธย ตามพฤติการณ์และพยานหลักฐาน ยืนยันได้ว่าเป็นผู้สร้างพระนาคปรก อุดปรอท รุ่นหนึ่งในปฐพี โดยไม่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญอักษรพระปรมาภิไธยและอักษรพระนามาภิไธยย่อไปประดิษฐานหลังองค์พระเครื่องดังกล่าว
เหตุเกิดที่วัดอ้อน้อย ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ระหว่างต้นปี 2554-15 สิงหาคม 2554
จึงแจ้งข้อหาฐาน ปลอมขึ้นซึ่งพระปรมาภิไธยและใช้พระปรมาภิไธยที่มีการปลอมขึ้นŽ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 250, 252
ในชั้นสอบสวน พระสุวิทย์Ž ขณะนั้น ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ทั้ง 2 กรณี คือที่มาของข้อหาซึ่งนำไปสู่ปฏิบัติการจับกุม ฝากขัง กระทั่งศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวจึงต้องสึก
เปลี่ยนสถานะของพระพุทธะอิสระให้กลับคืนสู่ฆราวาส

“บิ๊กตู่” ลั่นเดินหน้าไทยนิยมฯ ชี้คนไม่ชอบรัฐบาล แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ยิ่งต้องดูแล

“บิ๊กตู่” ลั่นเดินหน้าไทยนิยมฯ ชี้คนไม่ชอบรัฐบาล แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ยิ่งต้องดูแล


“บิ๊กตู่” ลั่น เดินหน้าโครงการไทยนิยมฯ ไม่ชอบรัฐบาล แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ยิ่งต้องดูแล
เมื่อเวลา 13.20 น. วันที่ 28 พฤษภาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงโครงการไทยนิยมยั่งยืนว่า มีหลายกระทรวงที่จะต้องลงไปดำเนินการ เช่น กระทรวงการคลังที่จะดำเนินการโครงการบัตรผู้มีรายได้น้อย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็ง เป็นต้น โดยกิจกรรมหลักๆ จะถึงมือประชาชนโดยตรง แต่บางส่วนจะเป็นการดำเนินงานเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ขุดลอกคลอง จึงจำเป็นต้องใช้เครื่องมือ และจัดซื้อจัดจ้าง อย่าบอกว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้รับเหมา เพราะชาวบ้านไม่สามารถทำเองได้ จึงต้องไปตรวจสอบดูว่าจะมีการทุจริตหรือไม่ อย่าพูดว่าทุกอย่างแย่ไปหมด เพราะไม่เป็นธรรม เนื่องจากรัฐบาลพยายามเร่งทำอย่างเต็มที่ ไม่ได้ทำตามคะแนนเสียง เพราะถ้าทำเช่นนั้นก็จะง่ายกว่านี้มาก
“ยิ่งไม่สนับสนุน ยิ่งต้องดูแลเขา เพราะแสดงว่าเขายังไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบเรา แล้วเราจะไม่ชอบเขาด้วย เราจะเกลียดประชาชนของเราเองไม่ได้ วันนี้โครงการลดความยากจนในจังหวัดท้ายๆ ของประเทศ เช่น กาฬสินธุ์ ก็มีความก้าวหน้าตามลำดับ แต่ที่สำคัญคือเราพัฒนาทางโครงสร้าง นำการค้าออนไลน์ การท่องเที่ยวชุมชนเข้ามาเสริม จึงต้องสร้างความเข้าใจและขยายสิ่งเหล่านี้ไปเรื่อยๆ เพราะการทำงานเพื่อคนส่วนใหญ่ไม่ได้ง่ายดายมากนัก เราเห็นใจพ่อแม่พี่น้องทุกคน ที่พยายามทำงานหาเงินให้ได้มากที่สุด เพราะค่าครองชีพในวันนี้อาจจะต้องสูงขึ้น แต่เราจะควบคุมให้ได้มากที่สุด” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ได้ย้ำในที่ประชุม ครม. ให้สร้างความเข้าใจต่อประชาชนในสิ่งที่ถูกต้อง พร้อมนำสิ่งที่เป็นข้อร้องเรียนจากประชาชนมาพิจารณา จะไม่สนใจไม่ได้ เว้นแต่เป็นเรื่องบิดเบือนหรือการทำผิดกฎหมาย พร้อมยังได้เน้นย้ำถึงการลงพื้นที่ ว่าหลังรับทราบปัญหาของประชาชนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานต่างๆ ต้องลงไปพบปะประชาชนและรับฟังปัญหาจากข้าราชการให้มากขึ้น ว่าข้อร้องเรียนต่างๆ มีข้อเท็จจริงอย่างไร อะไรเป็นปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน เพราะบางครั้งการดำเนินโครงการจะติดปัญหาเพียงเล็กน้อย หรือกฎหมายในบางข้อ จึงต้องมีการแก้ไขเพื่อให้เกิดประโยชน์ เป็นมักเป็นผล
“มีคนมักจะไปเปรียบเทียบรัฐบาลนี้ กับรัฐบาลก่อนหน้านี้ แน่นอนในหลักการกว้างๆ เช่น เรื่องการเกษตร การรักษาพยาบาล ซึ่งหลายอย่างก็ดี และหลายประเทศก็ทำ แต่สิ่งที่รัฐบาลต้องคำนึงถึงคือ เราจะหางบประมาณจากไหนมาดูแลตรงนี้ให้ดียิ่งขึ้น ถ้าเราไม่หารือตรงนี้เพื่อหามาตรการลดความเสี่ยงในอีก 5-10 ปี ข้างหน้า ประเทศจะล้มในระบบการเงินการคลัง เรื่องนี้เป็นข้อสังเกตจากธนาคารโลกด้วย เราน่าจะต้องลงไปติดตาม เพราะบางประเทศที่รวยกว่าเรา ทำไมเขาทำไม่ได้เท่าเรา เช่น การรักษาพยาบาลฟรี จึงฝากทุกคนไปพิจารณาเรื่องนี้ด้วย แต่สิ่งที่เราทำนั้นดีแล้ว แต่ทำอย่างไรให้ดีขึ้น อย่าบอกว่าโครงการโน้นคนนี้คิด คนนั้นคิด เพราะอะไรดีผมก็ทำหมด ถ้าต้องแก้ไขผมก็แก้ทั้งหมด ไม่ได้ทำตามกระแส ผมทำนโยบายที่ดี ให้ดีขึ้น และต้องไม่ล้มเหลวในอนาคต” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า นโยบายเก่าที่ชมๆ กันอยู่ก็มีเช่น โครงการรับจำนำข้าว การรักษาพยาบาลฟรี กองทุนหมู่บ้าน แต่ถามว่าเหล่านี้มีปัญหามากหรือไม่ ซึ่งรัฐบาลก็แก้ไขทุกปัญหา ไม่ใช่นโยบายดีแล้วไม่มีข้อเสียเลย เพราะมันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เช่นเดียวกับการทำงานของรัฐบาลที่ต้องแก้ไขในข้อเสียโดยต้องขจัดอุปสรรคให้ได้ ทั้งนี้ตนได้ย้ำทุกกระทรวงให้คิดแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างละเอียด

บิ๊กป๊อกแจงภาพ3ป.

"บิ๊กป๊อก" แจงภาพ "3ป."ทำพิธี กับ"พุทธะอิสระ"

"บิ๊กป๊อก" แจง ภาพ"3ป."ทำพิธี กับ"พุทธะอิสระ" เพราะ "นุ่งผ้าเหลือง มาเชิญ"3อดีตผบ.ทบ."ประวิตร-สมทัต -อนุพงษ์" บิ๊กตู่ ผบ.ทบ.ร่วม ยันไปในฐานะ"พุทธศาสนิกชน" สมควรไป ก็ไป ไม่ได้มีอะไรเป็นข้อเสียหาย /ติง อย่าใช้ความรู้สึก หรือ อารมณ์มาก ชี้ ตำรวจทำตามกฏหมายก็ต้องทำไป เมื่อทำรุนแรงไป ก็ต้องขอโทษสังคม

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี มีการนำภาพ พล.อ.อนุพงษ์ พร้อม พลเอกประวิตร พลเอกประยุทธ์
ร่วมทำพิธี กับ"พุทธะอิสระ" มาเผยแพร่ ว่า
 เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นหลังจาก ผมเกษียณอายุราชการแล้ว 

ทางวัดได้มีการสร้างพระ ซึ่งได้เชิญอดีตผบ.4 ท่าน คือ พล.อ.สมทัต อัตตะนันทน์ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผม และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ที่ตอนนั้นเป็น ผบ.ทบ. ไปร่วมงาน ในฐานะพุทธศาสนิกชน ซึ่งคนไปเยอะ พวกผมก็ไม่ได้ไปที่นี่ ที่เดียว แต่ไปหลายที่ 

เรียนสังคมได้เลยว่า ผมไปในฐานะพุทธศาสนิกชน นุ่งผ้าเหลืองมาเชิญ สมควรไป ก็ไป ไม่ได้มีอะไรเป็นข้อเสียหายในขณะนั้นก็ไป

เมื่อถามว่า ตำรวจจะเสียกำลังใจหรือไม่หลังจากนายกฯ และพลเอกประสิตร รองนายกฯออกมาติงเรื่องการจับกุมมีความรุนแรงเกินไป พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า “ท่านถามผมหรือ ถามผิด ถามใหม่ได้นะ 

แต่อย่างไรก็ตาม ทุกคนก็ต้องทำไปตามหน้าที่ คงต้องตรึกตรองกันดีๆ อย่าใช้ความรู้สึก หรืออารมณ์มาก คนทำตามกฏหมายก็ต้องทำไป 

เมื่อทำไปแล้วประชาชน หรือสังคมคิดว่ารุนแรงไป ก็มีสิทธิคิด นายกฯ และผู้เกี่ยวข้องก็ได้ออกมา ขอโทษสังคมแล้วว่า ในการที่ทำรุนแรงไปทางผู้ปฏิบัติก็มีเหตุผล สังคมก็ต้องลองคิด และตึกตรองเอาเอง”

เมื่อถามว่า แบบนี้รัฐบาลจะเสียคะแนนหรือไม่เพราะอดีตพระพุทธะอิสระเองก็เป็นแกนนำของกลุ่มผู้ชุมนุม พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่มีเสีย เพราะทำไปตามอำนาจหน้าที่ ก็เอาไปโยงแบบนั้น ผมคงไม่เกี่ยวอะไร

เมื่อถามว่า ในโซเชียลฯเอาไปแชร์ในลักษณะว่า มีความสนิทสนมกับอดีต "พระพุทธะอิสระ" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า โซเชียลฯ ก็มีคนพูดถึงหลายครั้งหลายหนแล้ว  ก็ลองตึกตรองดู เรารู้เรื่องอะไรบ้าง แล้วเราควรคิดไปในเรื่องนี้อย่างไร ก็ต้องลองฟัง และนึกกันเอาเอง สื่อเองก็ต้องตรึกตรองด้วย

ภาพ-ข่าว มติชน 

ในพิธีเททองหล่อพระเกตุมาลาพระนาคปรก “ปกเกล้า ปกแผ่นดิน” และยกองค์ฐานองค์พระฯขึ้นประดิษฐาน   ที่วัดอ้อน้อย มีขึ้นเมื่อเวลา 16.00น.วันที่  27 มกราคม 2555

หลวงปู่พุทธะอิสระ หรือพระสุวิทย์ ธีรธมฺโม เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย (ธรรมะอิสระ) อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ให้สัมภาษณ์ ถึงเบื้องหลังการเชิญพลเอกประวิตร  วงษ์สุวรรณ  อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  อดีตผู้บัญชาการทหารบก พลเอกสมทัต  อัตตะนันทน์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) และอดีต ผบ.ทบ. พลเอกอนุพงษ์  เผ่าจินดา  อดีต ผบ.ทบ  และ พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา  ผบ.ทบ. เป็นประธานเททองหล่อพระเกตุมาลาพระนาคปรก "ปกเกล้า ปกแผ่นดิน" และยกองค์ฐานองค์พระฯขึ้นประดิษฐาน  ว่า  คนสมัยโบราณเวลาสร้างหลักบ้านหลักเมืองหรือขึ้นบ้านใหม่จะเลือกคนมีบุญญาธิการ บุญบารมี หรือไม่ก็มียศฐาบรรดาศักดิ์มาเป็นผู้ยกหลักเมือง หลักบ้านหรือเสาเอก
 

หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าวว่า สมัยโบราณเมื่อยกเสาเอกจะใช้ขุนทหารแม่ทัพนายกองเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ มีสติปัญญา เป็นที่รักใคร่ มีคุณธรรมมาประจำในทิศทั้งสี่ ในวันทำพิธีกรรมจะเห็นว่านายทหารทั้งสี่จับสลาก
 
 
"ทุกคนจับสลากกันแม่นมาก ตรงกับที่อธิษฐานไว้ทุกคนเลย อย่างคุณประวิตร เวลาขึ้นที่สูง ขึ้นไม่ไหวเพราะสุขภาพไม่แข็งแรง เขาอธิษฐานว่าขอให้สุขภาพแข็งแรง พอจับสลากออกมาก็ได้ในทิศแข็งแรง ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน พลเอกประยุทธ์ เขาอยากให้หน้าที่ฐานะการงานรุ่งเรือง ก็ได้รุ่งเรืองตามที่ปรารถนา" เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อยกล่าว
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า พลเอกอนุพงษ์จับสลากได้ทิศชนะหมายความว่าอย่างไร หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าวว่า "ถ้าไม่ชนะ คงปฎิวัติไม่สำเร็จ 

ส่วนพลเอกสมทัต ได้ทิศมั่นคง เขาไม่หวั่นไหว ใครมาชวนเขาเป็นนักการเมือง ก็ไม่หวั่นไหว"
 
หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าวว่า นายทหารทั้งสี่คนมาวัดที่วัดอ้อน้อย อย่างเช่นมาทอดกฐิน ทอดผ้าป่ามาช่วยบวชพระบวชเณร เป็นลูกศิษย์เก่า
 
"ในสายตาของอาตมา เขาเป็นคนซื่อตรง เขาเป็นคนดี ก็เลยเชิญเขามาให้เป็นฐานอำนาจที่จะข่มคนที่คิดไม่ดี ทำไม่ดีต่อบ้านต่อเมือง คนที่คิดไม่ดีทำไม่ดีแล้วพูดไม่ดีต่อบ้านต่อเมือง เป็นนัยยะเป็นนิมิตรมงคลนาม เป็นเคล็ดในการทำยันตพิธี ก็มีคนถามว่าทำไมไม่เอาสามเหล่าทัพก็คือทหารบก เรืออากาศแล้วก็ตำรวจ เท่าที่เราดูประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ในแผ่นดินสยามที่ก่อตั้งรากฐานมา บทบาทที่มีอยู่มากและอย่างสูงก็คือทหารบก ที่กอบกู้บ้านเมือง ปกป้อง

แม้กระทั่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ท่านก็เป็นต้นตำรับทหารบกและหน่วยจู่โจม เพราะฉะนั้น ก็เลยใช้ท่านอดีต ผบ.ทบ.และ ผบ.ทบ.คนปัจจุบันมาทำหน้าที่ เขาก็ยินดี อุตส่าห์เสียสละปลีกเวลาแล้วอยู่จนจบพิธี" หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าว

4ผบ.ทบ.ขลัง

4 ผบ.ทบ.ขลัง!!

"นายกฯบิ๊กตู่"แจงสัมพันธ์"พุทธะอิสระ" แค่เชิญไปสร้างพระ  เชิญ4ผบ.ทบ.หวังให้พระขลังหน่อย ยัน ผมก็ไปทุกวัด ก็ไปกันหมด แต่ตอนนั้นการเมือง ไม่เป็นแบบนี้ 

ชี้ภาพทำพิธี เป็นเหตุการณ์เก่า จะเอามาพันกับตอนนี้ มันเกิดประโยชน์หรือไม่  มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่  ผมเคารพ พระทุกองค์นั่นแหล่ะ ผมไปทุกวัด ใครเชิญ ผมก็ไป

ทั้งนี้ พลเอกประยุทธฺ กล่าวถึงพิธีเททองหล่อพระเกตุมาลาพระนาคปรก “ปกเกล้า ปกแผ่นดิน” และยกองค์ฐานองค์พระฯขึ้นประดิษฐาน ที่วัดอ้อน้อย มีขึ้นเมื่อเวลา 16.00น.วันที่  27 มกราคม 2555

หลวงปู่พุทธะอิสระ หรือพระสุวิทย์ ธีรธมฺโม เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย  เชิญพลเอกประวิตร  วงษ์สุวรรณ  อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  อดีตผู้บัญชาการทหารบก พลเอกสมทัต  อัตตะนันทน์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) และอดีต ผบ.ทบ. พลเอกอนุพงษ์  เผ่าจินดา  อดีต ผบ.ทบ  และ พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา  ผบ.ทบ. เป็นประธานเททองหล่อพระเกตุมาลาพระนาคปรก "ปกเกล้า ปกแผ่นดิน" และยกองค์ฐานองค์พระฯขึ้นประดิษฐาน

ประวิตรไม่ปลดผบ.ตร.ตามยุ

ไม่ปลด ผบ.ตร.!!

“บิ๊กป้อม” แจง ขอโทษ แล้ว จบแล้ว เหตุจับ"พุทธอิสระ” รุนแรง ชี้เพราะปชช.บางส่วนไม่เข้าใจ เลี่ยงตอบ เป็นลูกศิษย์ เชื่อไม่ทำเกิดแรงกระเพื่อม กับรัฐบาล ปัดเด้ง ผบ.ตร. เป็นความคิดของ"หมอเหรียญทอง"คนๆเดียว ก็ว่ากันไป แต่ผมขอโทษ แล้ว

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.นพ.เหรียญทอง  แน่นหนาผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ เสนอให้ใช้อำนาจตามมาตรา44ย้าย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. และตำรวจที่เกี่ยวข้องกับชุดปฎิบัติการบุกจับ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ อดีตพระพุทธอิสระ ว่า เป็นความคิดของคนๆเดียวก็ว่ากันไป เรื่องนี้ผมขอโทษประชาชนเกี่ยวกับการปฎิบัติการของเจ้าหน้าที่ไปแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่าสาเหตุที่ตัดสินใจขอโทษ เพราะเกรงจะเกิดผลกระทบในเรื่องใดหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เพราะดูว่ามีประชาชนบางส่วนไม่เข้าใจ จึงออกมาขอโทษ ไม่มีอะไร เมื่อขอโทษแล้วเข้าใจหรือไม่ 

และเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่มีผลกระทบอะไรกับรัฐบาลเพราะเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ซึ่งบางทีก็ทำอะไรเกินเลย ก็ต้องขอโทษ

ส่วนที่ พล.ต.อ.วิระชัย รองผบ.ตร.ชี้แจงว่าการที่ตำรวจต้องบุกเข้าไปจับกุม เนื่องจากมีการ์ด กปปส. ซึ่งอาจมีอาวุธคอยดูแลนายสุวิทย์ นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ข้อมูลและไม่ได้ถาม  แต่เรื่องนี้จบแล้ว ไม่ต้องถามอีก

เมื่อถามกรณีภาพพล.อ.ประวิตร ไปทำพิธีที่วัดอ้อน้อย จนเกิดข้อสังเกตว่ามีความใกล้ชิดสนิทสนมกับนายสุวิทย์ พลเอกประวิตร  กล่าวว่า “โอ้ย!!เรื่องตั้งนานแล้ว ผมยังจำไม่ได้เลย” ผ่านมาตั้ง 6-7 ปี แล้ว

เมื่อถามย้ำว่าท่านฯถือเป็นลูกศิษย์ของอดีตพระพุทธอิสระหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวย้อนว่า “ผมเพื่งรู้จักตอนไปวัด เรียกว่าเป็นลูกศิษย์ หรือเปล่าล่ะ”

เมื่อถามว่าการออกมาตำหนิการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจในการเข้าจับกุมจะทำให้กระทบต่อขวัญและกำลังใจในการปฎิบัติหน้าที่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ต้องดูให้ดีว่า ทำอะไรกับใคร เรื่องนี้จบแล้ว ไม่ตอบแล้ว

ลดโทนทหาร เข้าโหมดเลือกตั้ง

ลดโทนทหาร เข้าโหมดเลือกตั้ง



จับตา “ประยุทธ์” ได้เวลา “คลายล็อก” การเมือง
เป็นอันว่าผ่านจุดพลิกคว่ำพลิกหงาย ห้วงเวลาอันตรายเดือนพฤษภาคม
ตามเงื่อนไขสถานการณ์ครบรอบ 4 ปีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ทำ “รัฐประหารเงียบ” ยึดอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินจากรัฐบาลเลือกตั้ง ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
ต้องถือว่า คสช.ยังกุมสภาพไว้ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด
สามารถจำกัดวงการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ของผู้ชุมนุมกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง วางยุทธศาสตร์ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงบล็อกม็อบไม่ให้บุกถึงหน้าทำเนียบรัฐบาลอย่างที่ประกาศไว้ สุดท้ายต้องถอยกลับเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนที่แกนนำยอมมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่โดยดี
ไม่มีเหตุรุนแรงเสียเลือดเสียเนื้อ
ตามรูปการณ์ที่ คสช.เน้นการใช้กฎหมายเป็นหลักในการจัดการ และงานนี้ใช้ตำรวจเป็นฝ่ายปฏิบัติในการควบคุมฝูงชน โดยไม่ใช้กำลังทหารแต่อย่างใด
นั่นก็เดาทางได้ พล.อ.ประยุทธ์ระมัดระวังมากในการใช้อำนาจ
ไม่ต้องการให้เกิดภาพความปั่นป่วนวุ่นวายกระทบภาพลักษณ์ผู้นำประเทศไทย กระเทือนภาพรวมของรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติระดับหนึ่ง
ขณะเดียวกัน ก็ต้องยอมรับว่า มวลชนคนอยากเลือกตั้งเองก็ยังไม่มีพลังมากพอ
ไร้แนวร่วมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จากเงื่อนไขที่ดูไม่มีน้ำหนัก ดึงดันเรียกร้องให้เลือกตั้งภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 ทั้งๆที่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ประกาศไปแล้วว่าจะเลือกตั้งต้นปีหน้า 2562
ผู้คนส่วนใหญ่เลยมองเป็นการจงใจหาเหตุป่วนมากกว่า
สถานการณ์จึงยังอยู่ในวิสัยที่ คสช. “เอาอยู่” คุมเกมได้
และก็เป็นอะไรที่ทำให้บรรยากาศตึงเครียด ประเด็นกำหนดเลือกตั้งลดดีกรีลงไปอีกระดับหนึ่ง ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยรัฐบาลเตรียมนำขึ้นทูลเกล้าฯ
ตามแนวโน้มที่น่าจะไม่มีปัญหาเหมือนกัน กับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.จะเข้าสู่กระบวนการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 30 พ.ค.นี้
โดยสภาพของปมกฎหมาย ส.ส.ที่สุ่มเสี่ยงน้อยกว่าประเด็น ส.ว.
เอาเป็นว่า ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเลือกตั้งทยอยคลี่คลาย ในจังหวะที่มีการมองข้ามช็อตไปถึงปรากฏการณ์สำคัญในเดือนมิถุนายน ตามโปรแกรมที่ พล.อ.ประยุทธ์จะประกาศกำหนดวันหย่อนบัตร
รวมทั้งการแสดงความชัดเจนทางการเมือง
เรื่องของเส้นทางอำนาจในช่วงเปลี่ยนผ่าน ช่องทางการตีตั๋วต่อเก้าอี้นายกรัฐมนตรี โดยยกระดับความชอบธรรมเป็น “นายกฯคนใน” ผ่านบัญชีพรรคการเมือง
ต่อเนื่องถึงพรรคพลังประชารัฐ
ยี่ห้อที่ค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นฐานการเมืองสนับสนุน “บิ๊กตู่”
เปลี่ยนภาพผู้นำทหาร สลับฉากไปอยู่ในสูทผู้นำจากการเลือกตั้งให้เนียนที่สุด
และนับจากจุดสตาร์ต ณ เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป จะถือได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้หลุดเข้าสู่โหมดการเมือง ก้าวเข้าสู่สงครามในสนามเลือกตั้งอย่างเต็มรูปแบบ
โดยเงื่อนไขสถานการณ์ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ถึงเวลาที่ต้องคลายล็อกกฎเหล็ก เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมเพื่อเตรียมตัวเลือกตั้ง
จังหวะต้องปลดกรงขัง เสือ สิงห์ กระทิง แรด เข้าป่า
ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่า พล.อ.ประยุทธ์และทีม คสช.จะต้องเจอกับแรงเสียดทานจากนักการเมือง เหลี่ยมกระแทกตามฟอร์มของนักเลือกตั้งอาชีพ
หนักหน่วงและรุนแรงมากกว่าที่ผ่านมาอีกหลายเท่า
ได้ลิ้มรสอิทธิฤทธิ์ของนักการเมืองอาชีพแบบจัดเต็มแน่
และเท่าที่โฟกัสส่วนใหญ่ป้อมค่ายการเมืองต่างๆ ก็จัดทัพกันค่อนข้างชัดเจน เห็นเค้าหน้าตาคู่ต่อสู้ที่จะลงสนามชิงอำนาจกันในศึกเลือกตั้งรอบต่อไป
ไล่ตั้งแต่แชมป์เก่าพรรคเพื่อไทย ไม่น่าพลิกไปจาก “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง ที่จะได้ถือธง “นอมินี” ของ “นายใหญ่”
พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่า “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค หลังจาก “ปรมาจารย์ชวน หลีกภัย” ไม่รับมุกโหนกระแส “มหาธีร์ โมฮัมหมัด” ผู้นำเฒ่ามาเลเซีย หนุนศิษย์รักลากต่อไป
ขณะที่ป้อมค่ายขนาดกลางและขนาดเล็ก อย่างพรรคชาติไทยพัฒนา “ลูกท็อป” นายวราวุธ ศิลปอาชา ก็แสดงเจตนารมณ์ชัดในการรักษา “สมบัติเตี่ย” ให้คงอยู่ในสนามต่อไป ขยันเดินสายโชว์จุดขายคนรุ่นใหม่ที่คาบเกี่ยวกับประสบการณ์การเมืองรุ่นเก่า
ส่วนยี่ห้อภูมิใจไทย “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ก็เดินสายแตะไปทั่ว โดยมีเงาของนายเนวิน ชิดชอบ ผู้มีบารมีนอกพรรค ปกคลุมอยู่เบื้องหลัง
นอกนั้นก็เป็นพรรคแจ้งเกิดใหม่ที่กระจัด กระจาย ทั้งฝ่ายที่ประกาศหนุน พล.อ.ประยุทธ์ และฝั่งที่แท็กทีมกับขั้ว “ทักษิณ” อยู่ตรงกันข้ามกับทหาร
ตามสถานการณ์เทียบกับคู่แข่งชิงเก้าอี้นายกฯ ที่เห็นกันอยู่ตรงหน้า
นิด้าโพลออกมา 2 รอบ พล.อ.ประยุทธ์ยังทิ้งห่างอยู่เกินเท่าตัว
และเหมือนจะเพิ่มความชัวร์ ในจังหวะเปิดตัวลงสนามการเมืองในเดือนมิถุนายน
ตามคิวล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ได้สั่งการในที่ประชุม ครม.เติมงบฯโครงการไทยนิยมยั่งยืนกว่า 100,000 ล้านบาท กระจายลงพื้นที่ทั่วประเทศ
ลุยอัดฉีดเศรษฐกิจฐานราก เพื่อต่อยอดการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โหมกระแส ตีปี๊บรับข่าวดีที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจไตรมาสแรกปี 2561
ดีดตัวขึ้นไปสูงถึงร้อยละ 4.8 โตสูงสูดในรอบ 20 ไตรมาส
เป็นโอกาสที่ “บิ๊กตู่” คุยได้เต็มปาก
เต็มคำ กับตัวเลขที่เป็นผลจากความพยายาม
ทำงานอย่างหนักของรัฐบาล คสช.ลากเศรษฐกิจจากจุดต่ำเตี้ย ระดับ 0 กว่าๆจากวิกฤติที่นักการเมืองก่อไว้
โชว์สถานการณ์ภาพรวม เร่งกระตุ้นฐานรากอุดปัญหาปากท้อง
อุดช่องโหว่ ไม่ให้โดนจี้จุดบอดเรื่องเศรษฐกิจ
อย่างน้อย “บิ๊กตู่” ก็ออกตัวได้ ฝีมือผิดฟอร์มรัฐบาลทหารทั่วไป
เหนืออื่นใด จุดสำคัญมันอยู่ตรงสถานการณ์ที่เข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบ จากสถานะ “รัฏฐาธิปัตย์” ต้องเปลี่ยนไปเป็นหนึ่งในคู่ต่อสู้ในเกมชิงธงในสนาม
ตามเงื่อนไขอำนาจพิเศษต้องลดโทนลงโดยอัตโนมัติ
ดาบอาญาสิทธิ์มาตรา 44 ใช้มากเกินไป อาจเสี่ยงแรงสะท้อนกลับ
โดนต่อต้านฐานเอาเปรียบคู่แข่งทางการเมือง
ตามเหลี่ยมนักเลือกตั้งอาชีพจะต้องหาเรื่องจี้จุด หาเหตุย้ำปมตรงนี้แน่
และนั่นก็จะเป็นสถานการณ์บังคับให้ พล.อ.ประยุทธ์ปรับลดโทนความเป็น “ทหารอาชีพ” ลงอีกเยอะ
ประเภทที่เสียงแข็ง หน้าเข้ม ดุดันแบบสั่งลูกน้องในค่ายทหาร อาการหงุดหงิด ตีหน้ายักษ์ใส่สื่อมวลชนเวลาไม่พอใจ ชี้นิ้วให้ถามแบบนั้นแบบนี้
ต้องมาเป็น “ลุงตู่” ที่เล่นได้ทุกบทเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนนิยมทางการเมือง
ต้องเดินสายพบปะชาวบ้าน พูดจาภาษานักเลือกตั้ง
รวมทั้งเรื่องของเพื่อนพ้องน้องพี่ท็อปบูต
ที่กระเตงอยู่รอบเอว ถ่วงน้ำหนักผู้นำ กระตุกแรงเสียดทาน
เรื่องการใช้อำนาจอย่างโปร่งใส แฝงผลประโยชน์
ถึงจุดที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องแก้โจทย์ กับเงื่อนไขสถานการณ์ทางกระแสที่ย้อนแย้งกัน
เพราะวันนี้ประชาชนเอา “นายกฯลุงตู่”
แต่ต่อต้าน ไม่เอาทหาร.
“ทีมการเมือง”

โจทย์แทรกที่น่าห่วง!

โจทย์แทรกที่น่าห่วง!



สั่นสะเทือนวงการสงฆ์
ฉากปฏิบัติการที่เจ้าหน้าที่คอมมานโดยกพลบุกวัดดังหลายแห่ง รวบพระเถระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูป นำตัวส่งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ก่อนถูกจับสึก ควบคุมตัวเข้าเรือนจำ
หลุดจากผ้าเหลืองอันเป็นผลมาจากการกวาดล้างทุจริตคดีเงินทอนวัด
แต่ที่ดูฮือฮามากที่สุดคือ การจู่โจมล็อกตัว พระพุทธะอิสระ คาวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ตั้ง 2 ข้อหาฉกรรจ์ อั้งยี่ ซ่องโจร และปลอมแปลงพระปรมาภิไธย
ถูกนำตัวไปสึกจีวรปลิว เดินคอตกเข้าคุกกลายเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาแผ่นดิน สิ้นสภาพอดีตแกนนำ กปปส.ที่เคยยิ่งใหญ่ย่านถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อครั้งชัตดาวน์เมืองกรุง
ช็อตร้อนล้างบางวงการดงขมิ้นรอตั้งแท่นสังคายนาพระนอกรีตที่ทำให้พุทธศาสนามัวหมอง คั่นจังหวะสถานการณ์การเมืองที่คลายความคุกรุ่นลง
หลังจากศาลสั่งให้ประกันตัว 15 แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ผ่อนแรงกดดันจากเวทีโลกที่เรียกร้องให้รัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปล่อยตัวเหล่าหัวโจกที่ถูกควบคุมตัวจากการเรียกร้องคืนเวทีเลือกตั้งในช่วงครบรอบ 4 ปี คสช.ยึดอำนาจ
ในรูปการณ์ที่ท็อปบูตรู้จักผ่อนหนัก ผ่อนเบา ลดโทนความตึงเครียด ไม่ดื้อดึงใช้ไม้แข็งอย่างเดียว
เพราะหากจะวัดกันจริงๆ ถ้าไม่นับเสียงโหวกเหวกจากแนวร่วมกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง และขั้วการเมืองที่ฉวยโอกาสผสมโรงแล้ว คนส่วนใหญ่ของประเทศก็ดูนิ่งๆ ไม่ได้ต่อต้านการจับแกนนำคนอยากเลือกตั้งเที่ยวนี้
สะท้อนความรู้สึกคนส่วนใหญ่อยากอยู่อย่างสงบ ขยาดความขัดแย้งเวียนมาฉายซ้ำ
อารมณ์คนไทยยังแหยงม็อบมากกว่ากลัวอดเลือกตั้ง
นั่นก็เป็นเหตุผลที่ท็อปบูตกล้ากระชับอำนาจเข้มข้น ไม่ผ่อนปรนให้ชุมนุมทางการเมืองในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
ปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองถูกสะกดอยู่ในวงที่ควบคุมได้ ในห้วงที่กลุ่มขบวนการนักศึกษา และขาใหญ่ทางการเมืองต่างมีบาดแผลคดีความติดตัวต้องระวังการขยับตัวมากขึ้น
บรรยากาศม็อบหลังจากนี้น่าจะลดความถี่ลงไปเยอะ
สถานการณ์มาถึงจุดที่ “บิ๊กตู่” ยืนระยะได้สบายๆ โอกาสที่จะเพลี่ยงพล้ำทางการเมืองเป็นไปได้ยาก
ยิ่งการจดทะเบียนเปิดตัวพรรคใหม่ล่าสุด “รวมพลังประชาชาติไทย” หรือ รปช. ในเวอร์ชันกลุ่ม กปปส. ที่จะคอยตัดแต้มพรรคประชาธิปัตย์ในสนามเลือกตั้ง
ถือเป็นผลดีช่วยผ่อนแรง “บิ๊กตู่” ให้เบาลงในการกลับมาเบิ้ลอำนาจ
แม้จะเสียรังวัดถูกลดทอนเครดิตจากผลโพลของเพจตัวเอง “ขอล้าน Like สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็น นายกฯ” ที่ปรากฏมีผู้ตอบคำถามไม่อยากให้ “ลุงตู่” นั่งเก้าอี้ผู้นำต่อ 89% มีเพียง 11% ที่สนับสนุนให้ทำหน้าที่ต่อ
แต่ไม่อาจวัดผลได้ว่า เป็นข้อมูลของจริงที่เชื่อถือได้หรือไม่ เพราะคำตอบในโลกโซเชียลสามารถสร้างขึ้นมาโดยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพื่อปั่นกระแสให้เป็นไปตามที่ต้องการ
แค่วันเดียวมีผู้มาตอบคำถามร่วม 5 แสนคน จึงเป็นอะไรที่ต้องฟังหูไว้หู
คำตอบที่ชัวร์ๆต้องรอวัดผลตอนลงสนามเลือกตั้งจริง
ขณะที่ความสุ่มเสี่ยงด้านกฎหมายลูกก็มีแนวโน้มทางสะดวก หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
รอลุ้นอีกฉบับคือร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ที่แนวโน้มน่าจะเป็นทางบวก
ประเมินทิศทางแล้ว “ลุงตู่” น่าจะฝ่าแรงเสียดทานการเมืองและกฎหมายลูกได้อย่างไม่มีปัญหา
เหลือแค่โจทย์แทรกเร่งด่วนที่กำลังแก้ไขกันตัวโก่งเวลานี้คือ ราคาน้ำมันพุ่งปรี๊ด ในคิวที่กระทรวงพลังงานต้องควักเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 30,000 ล้านบาท มาสกัดวิกฤติน้ำมันแพง
เบรกราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท และก๊าซหุงต้มอยู่ที่ 363 บาทต่อถัง 15 กก.
ตรึงราคากันเต็มพิกัด ไม่ให้ลามไปกระทบค่าครองชีพตัวอื่นๆ อาทิ ค่าขนส่งรถ เรือโดยสารสาธารณะ ก๊าซหุงต้ม ที่ตั้งเค้าขยับตามราคาน้ำมันในตลาดโลก
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ก็สกรีนเข้มงวดราคาสินค้าอื่น ไม่ให้ฉวยโอกาสอ้างต้นทุนพลังงานโก่งราคาสินค้า ซ้ำเติมความเดือดร้อนประชาชน
ในภาวะที่ “ลุงตู่” เองก็ต้องหนาวๆร้อนๆ อยู่เฉยไม่ได้กับเรื่องปากท้องชาวบ้าน ต้องเร่งแก้ปัญหากันยกใหญ่
ม็อบอะไรก็ไม่น่าห่วงเท่าม็อบเรื่องปากท้อง
พลาดท่าขึ้นมา ต้นทุนที่ทำไว้เยอะ อาจลดวูบได้ดื้อๆ.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน