PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

โจทย์แทรกที่น่าห่วง!

โจทย์แทรกที่น่าห่วง!



สั่นสะเทือนวงการสงฆ์
ฉากปฏิบัติการที่เจ้าหน้าที่คอมมานโดยกพลบุกวัดดังหลายแห่ง รวบพระเถระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูป นำตัวส่งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ก่อนถูกจับสึก ควบคุมตัวเข้าเรือนจำ
หลุดจากผ้าเหลืองอันเป็นผลมาจากการกวาดล้างทุจริตคดีเงินทอนวัด
แต่ที่ดูฮือฮามากที่สุดคือ การจู่โจมล็อกตัว พระพุทธะอิสระ คาวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ตั้ง 2 ข้อหาฉกรรจ์ อั้งยี่ ซ่องโจร และปลอมแปลงพระปรมาภิไธย
ถูกนำตัวไปสึกจีวรปลิว เดินคอตกเข้าคุกกลายเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาแผ่นดิน สิ้นสภาพอดีตแกนนำ กปปส.ที่เคยยิ่งใหญ่ย่านถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อครั้งชัตดาวน์เมืองกรุง
ช็อตร้อนล้างบางวงการดงขมิ้นรอตั้งแท่นสังคายนาพระนอกรีตที่ทำให้พุทธศาสนามัวหมอง คั่นจังหวะสถานการณ์การเมืองที่คลายความคุกรุ่นลง
หลังจากศาลสั่งให้ประกันตัว 15 แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ผ่อนแรงกดดันจากเวทีโลกที่เรียกร้องให้รัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปล่อยตัวเหล่าหัวโจกที่ถูกควบคุมตัวจากการเรียกร้องคืนเวทีเลือกตั้งในช่วงครบรอบ 4 ปี คสช.ยึดอำนาจ
ในรูปการณ์ที่ท็อปบูตรู้จักผ่อนหนัก ผ่อนเบา ลดโทนความตึงเครียด ไม่ดื้อดึงใช้ไม้แข็งอย่างเดียว
เพราะหากจะวัดกันจริงๆ ถ้าไม่นับเสียงโหวกเหวกจากแนวร่วมกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง และขั้วการเมืองที่ฉวยโอกาสผสมโรงแล้ว คนส่วนใหญ่ของประเทศก็ดูนิ่งๆ ไม่ได้ต่อต้านการจับแกนนำคนอยากเลือกตั้งเที่ยวนี้
สะท้อนความรู้สึกคนส่วนใหญ่อยากอยู่อย่างสงบ ขยาดความขัดแย้งเวียนมาฉายซ้ำ
อารมณ์คนไทยยังแหยงม็อบมากกว่ากลัวอดเลือกตั้ง
นั่นก็เป็นเหตุผลที่ท็อปบูตกล้ากระชับอำนาจเข้มข้น ไม่ผ่อนปรนให้ชุมนุมทางการเมืองในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
ปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองถูกสะกดอยู่ในวงที่ควบคุมได้ ในห้วงที่กลุ่มขบวนการนักศึกษา และขาใหญ่ทางการเมืองต่างมีบาดแผลคดีความติดตัวต้องระวังการขยับตัวมากขึ้น
บรรยากาศม็อบหลังจากนี้น่าจะลดความถี่ลงไปเยอะ
สถานการณ์มาถึงจุดที่ “บิ๊กตู่” ยืนระยะได้สบายๆ โอกาสที่จะเพลี่ยงพล้ำทางการเมืองเป็นไปได้ยาก
ยิ่งการจดทะเบียนเปิดตัวพรรคใหม่ล่าสุด “รวมพลังประชาชาติไทย” หรือ รปช. ในเวอร์ชันกลุ่ม กปปส. ที่จะคอยตัดแต้มพรรคประชาธิปัตย์ในสนามเลือกตั้ง
ถือเป็นผลดีช่วยผ่อนแรง “บิ๊กตู่” ให้เบาลงในการกลับมาเบิ้ลอำนาจ
แม้จะเสียรังวัดถูกลดทอนเครดิตจากผลโพลของเพจตัวเอง “ขอล้าน Like สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็น นายกฯ” ที่ปรากฏมีผู้ตอบคำถามไม่อยากให้ “ลุงตู่” นั่งเก้าอี้ผู้นำต่อ 89% มีเพียง 11% ที่สนับสนุนให้ทำหน้าที่ต่อ
แต่ไม่อาจวัดผลได้ว่า เป็นข้อมูลของจริงที่เชื่อถือได้หรือไม่ เพราะคำตอบในโลกโซเชียลสามารถสร้างขึ้นมาโดยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพื่อปั่นกระแสให้เป็นไปตามที่ต้องการ
แค่วันเดียวมีผู้มาตอบคำถามร่วม 5 แสนคน จึงเป็นอะไรที่ต้องฟังหูไว้หู
คำตอบที่ชัวร์ๆต้องรอวัดผลตอนลงสนามเลือกตั้งจริง
ขณะที่ความสุ่มเสี่ยงด้านกฎหมายลูกก็มีแนวโน้มทางสะดวก หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
รอลุ้นอีกฉบับคือร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ที่แนวโน้มน่าจะเป็นทางบวก
ประเมินทิศทางแล้ว “ลุงตู่” น่าจะฝ่าแรงเสียดทานการเมืองและกฎหมายลูกได้อย่างไม่มีปัญหา
เหลือแค่โจทย์แทรกเร่งด่วนที่กำลังแก้ไขกันตัวโก่งเวลานี้คือ ราคาน้ำมันพุ่งปรี๊ด ในคิวที่กระทรวงพลังงานต้องควักเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 30,000 ล้านบาท มาสกัดวิกฤติน้ำมันแพง
เบรกราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท และก๊าซหุงต้มอยู่ที่ 363 บาทต่อถัง 15 กก.
ตรึงราคากันเต็มพิกัด ไม่ให้ลามไปกระทบค่าครองชีพตัวอื่นๆ อาทิ ค่าขนส่งรถ เรือโดยสารสาธารณะ ก๊าซหุงต้ม ที่ตั้งเค้าขยับตามราคาน้ำมันในตลาดโลก
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ก็สกรีนเข้มงวดราคาสินค้าอื่น ไม่ให้ฉวยโอกาสอ้างต้นทุนพลังงานโก่งราคาสินค้า ซ้ำเติมความเดือดร้อนประชาชน
ในภาวะที่ “ลุงตู่” เองก็ต้องหนาวๆร้อนๆ อยู่เฉยไม่ได้กับเรื่องปากท้องชาวบ้าน ต้องเร่งแก้ปัญหากันยกใหญ่
ม็อบอะไรก็ไม่น่าห่วงเท่าม็อบเรื่องปากท้อง
พลาดท่าขึ้นมา ต้นทุนที่ทำไว้เยอะ อาจลดวูบได้ดื้อๆ.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน

ไม่มีความคิดเห็น: