PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

"ตู๋"เหน็บตรรกนิทานคนสร้างบ้านไม่น่าเชื่อถือ



ประธาน นปช. เหน็บตรรกนิทานคนสร้างบ้านไม่น่าเชื่อถือ ระบุคนให้สร้างกับคนสร้างเป็น คสช. พวกเดียวกัน ย้ำใครสร้างหวังอยากอยู่เอง ท้า คสช. กล้าสาบานหรือไม่ จะไม่ส่งพวกเดียวกันมาเป็นนายกฯคนนอก จับตาพบกันครึ่งทางระหว่างเผด็จการกับทรราช
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการมองไกล เมื่อ 22 มี.ค. โดยย้อนเหน็บนิทาน "คนสร้างบ้าน" ของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ว่า ตามสำนวนไทยการคบเด็กสร้างบ้านเป็นการเปรียบเพื่อเตือนถึงปัญหาจะตามมา ดังนั้น คนแก่สร้างบ้านกลับจึงเป็นคนเจ้าเล่ห์และน่ากลัว เพราะมีสารพัดพิษกว่า
นายจตุพร กล่าวว่า นายมีชัยได้อ้างถึงการอ้อนวอนให้สร้างต่อ จนดูประหนึ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้า คสช.มาขอร้องให้สร้างให้เสร็จ ส่วนข้อเสนอให้พบกันครึ่งทางนั้น ตนขอถามว่าทางไหน แต่คงเป็นครึ่งทางระหว่างเผด็จการกับทรราช เพราะแนวทางประชาธิปไตยไม่มีการแบ่งครึ่งใดๆ ได้อีก
นิทานคนสร้างบ้านนั้น นายมีชัยและ กรธ. เป็นผู้รับเหมาที่เข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากคณะรักษาความสนงบแห่งชาติ (คสช.) คนให้สร้างกับผู้รับเหมาเป็นพวกเดียวกัน ดังนั้น เมื่อสร้างเสร็จแล้ว จะส่งคนไปอยู่เพื่อความปลอดภัยคงไม่เป็นไร หากบ้านหลังนั้นเป็นของ คสช. ไม่ใช่เป็นบ้านของคนทั้งประเทศ
นายมีชัยไม่ใช่คนอื่นเลย เพราะเป็นกรรมการ คสช. และถูกให้ไปสร้างบ้านคือ ร่างรัฐธรรมนูญ จึงเป็นการแบ่งงานกันทำ ส่วนระบุถึงมีการข่มขู่นั้น ฝ่ายประชาธิปไตยไม่เคยข่มขู่ ทำได้เพียงแสดงความเห็น แต่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับแสดงออกจะเอาให้ได้ โดยส่งข้อเสนอให้ กรธ. ทำ ถ้าไม่ทำจะส่งไปใหม่จนกว่าจะทำให้
นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าบ้านที่นายมีชัยสร้างขึ้นเป็นบ้าน คสช.จะสร้างโดยเอาหลังคามุดดิน หรือพลิกให้เสาชี้ฟ้า คงไม่มีใครไปสนใจและสิ่งปกติของการสร้างบ้านแล้ว คนให้สร้างต้องอยู่เอง ดังนั้น ใครให้สร้างบ้านจึงมีจุดประสงค์เข้าไปอยู่เอง คงไม่ปล่อยให้พรรคการเมือง หรือนักการเมืองจากเลือกตั้งไปอยู่แน่นอน ถ้าเปรียบรัฐธรรมนูญเป็นบ้าน จึงสะท้อนว่า เมื่อสร้างเอง ต้องอยู่เองเป็นเรื่องปกติทั้งนั้น
"สิ่งนี้ชัดเจนว่า ชนชั้นใดสร้างกฎหมายก็เพื่อชนชั้นนั้น เมื่อ คสช. เขียนรัฐธรรมนูญก็เพื่อ คสช. แต่นี้ไม่ใช่บ้าน เป็นเรื่องของคนทั้งประเทศ ในความเป็นจริงแล้ว รัฐธรรมนูญคือ อนาคตของคนไทยทุกคน หากยึดว่า ปลูกบ้านตามใจผู้อยู่แล้ว ยึดหลัก คสช. เป็นปลูกก็ต้องอยู่เอง นายมีชัยเป็นคนหนึ่งใน คสช. จึงต้องอยู่ ดังนั้น นิทานคนสร้างบ้านจึงเป็นตรรกดูถูกประชาชน แล้วสุดท้ายปลายทาง เมื่อรับงานจากพวกเดียวกัน จึงต้องสร้างให้พวกเดียวกันมาอยู่ ส่วนการอ้อนวอน ร้องขอก็เพื่อตัวเอง ไม่ได้คิดถึงประชาชนเลย"
นายจตุพร กล่าวว่า คสช. กล้าสาบานหรือไม่ว่า จะไม่มีคน คสช. เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีคนนอก เพราะข้อเสนอ 3 ข้อไม่ซับซ้อน แต่สะท้อนความอยากอย่างชัดเจนที่สุด อย่างไรก็ตาม ตนขอภาวนาร่างรัฐธรรมนูญให้เดินไปถึงวันทำประชามติ 7 ส.ค. ซึ่งเป็นวันระพี และเป็นวันพรรคคอมมิวนิสต์ประกาศเสียงปืนแตก ต่อสู้ด้วยอาวุธ

นักวิชาการชี้บึ้มเบลเยียมโยงปารีสเหตุไล่ล่าผู้ลี้ภัย

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม นายฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงกรณีเหตุระเบิดสนามบินกรุงบรัสเซลส์ รวมถึงสถานีรถไฟในประเทศเบลเยียม ว่า ส่วนตัวมองว่าไม่สามารถมองเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากการก่อการร้ายที่สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ในปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพราะมีการปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง ในระหว่างที่ข้อมูลต่างๆ ยังไม่ชัดเจนหรืออยู่ระหว่างการสอบสวน จะเป็นสุญญากาศที่เต็มไปด้วยความหวั่นวิตก หน่วยงานความมั่นคงต้องคิดหนัก หากมองภาพรวมและความต่อเนื่องจากกรณีการก่อการร้ายที่กรุงปารีส ตนมองว่าส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่วางแผนดำเนินการดังกล่าวคือกลุ่มที่ข้ามพรมแดนจากเบลเยียม ซึ่งกลายเป็นฐานในการวางแผนและฝังตัว เหตุการณ์ครั้งนี้อาจเป็นการโต้กลับการจับกุมผู้ต้องสงสัยคนสำคัญ สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบคือ ทำให้อียูไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เกิดความวุ่นวาย โกลาหล และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้อียูต้องคิดหนักคือ สรุปแล้วผู้ก่อการร้ายเหล่านี้มีจำนวนเท่าไหร่ในเบลเยียม
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์ กล่าวอีกว่า มีรายงานว่า ส่วนหนึ่งของผู้ลี้ภัยในอียูมีกลุ่มคนเหล่านี้แฝงตัวอยู่ในฐานะพลเรือน โดยพร้อมที่จะกลายเป็นผู้ก่อการร้ายได้ทันทีเมื่อมีคำสั่ง อีกหนึ่งผลกระทบคือ ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดในอียูเอง เนื่องจากขณะนี้ประเทศอียูแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ยอมรับผู้ลี้ภัย และกลุ่มที่ไม่ยอมรับ ซึ่งเหตุการณ์ระเบิดครั้งนี้เชื่อว่าจะทำให้มีการต่อต้านผู้ลี้ภัยในยุโรปมากขึ้นอีก นอกจากนี้ต้องรอดูต่อไปว่าจะมีการแก้กฎหมายและสร้างมาตรการใดๆ เพิ่มเติมด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องของ counter-terrorism หรือการต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งมีการอนุญาตข้ามแดนอย่างอิสระที่กลายเป็นจุดอ่อนของอียู โดยถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการก่อการร้าย
“มองว่าส่วนหนึ่งเป็นการโต้กลับจากการจับกุมผู้ต้องสงสัยคนสำคัญในเหตุการณ์ก่อการร้ายที่ฝรั่งเศสพยายามไล่ล่า นี่ขนาดโดนจับไปส่วนหนึ่งแล้ว ยังมีกำลังที่จะก่อการได้อยู่ อียูจึงต้องคิดหนักแล้วว่าสรุปแล้วมีกลุ่มคนเหล่านี้จำนวนท่าไหร่กันแน่ โดยเฉพาะในเบลเยียมซึ่งกลายเป็นฐานฝังตัว มีรายงานว่า ส่วนหนึ่งแฝงมากับผู้ลี้ภัย ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ผู้ลี้ภัยทางการเมืองทั้งหมด ส่วนหนึ่งเป็นการลี้ภัยทางเศรษฐกิจด้วย ยุโรปที่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มรับกับไม่รับผู้ลี้ภัยอยู่แล้วนั้น เชื่อว่าการระเบิดครั้งนี้จะทำให้มีการต่อต้านผู้ลี้ภัยมากขึ้นอีก โดยหลายประเทศก็มีมาตรการต่อต้านผู้ลี้ภัยอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องรอดูกันต่อไปคือ จะมีมาตรการหรือการแก้กฎหมายอะไรหรือเปล่า อย่างประเด็นของ counter-terrorism คือการเข้า-ออกโดยไม่ต้องใช้วีซ่า ซึ่งกลุ่มไอเอสอาศัยจุดอ่อนนี้ในการก่อการ” นายฐิติวุฒิกล่าว

ญี่ปุ่นกังวลหากทรัมป์ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี

ญี่ปุ่นกังวลหากทรัมป์ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี

จากการรายงานของสื่อญี่ปุ่น ถึงแม้ญี่ปุ่นจะไม่ได้เปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีการแสดงออกถึงความไม่สบายใจในเรื่อง ความเป็นไปได้สูงที่เศรษฐีอสังหาอย่างโดนัลด์ ทรัมป์จะได้เป็นตัวแทนผู้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคพรรครีพับลิกัน และได้รับคะแนนสูงในการเลือกตั้ง

สิ่งที่ญี่ปุ่นกังวลไม่ใช่เพียงแค่คำพูดที่เหยียดผู้อพยพและสตรีเพศแต่ยังกังวลถึงคำพูดของทรัมป์ที่กล่าวตำหนิพันธมิตรอีกด้วย 
“ถ้าเกิดญี่ปุ่นถูกโจมตี สหรัฐฯจำเป็นต้องช่วยญี่ปุ่น แต่ถ้าหากสหรัฐฯถูกโจมตี ญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องช่วยก็ได้ นี่มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”

สื่อญี่ปุ่นกล่าวว่า ในขณะที่สหรัฐฯมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการป้องกันญี่ปุ่น ขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็สนับสนุนฐานทัพและสนับสนุนเงินค่าที่พักอาศัยต่างๆเป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งมีเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯออกมากล่าวว่า “ทรัมป์ยังไม่รู้ว่าทางฝ่ายญี่ปุ่นได้ทำคุณประโยชน์อะไรบ้าง”

แต่ทว่าก็มีคนออกมาแสดงความคิดเห็นว่า การวิจารณ์ของทรัมป์ไม่ใช่แค่ความคิดผิวเผินหรือเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน แต่เป็นความเชื่ออันหนักแน่น

นายThomas Wright จากสถาบันBrookings ของอเมริกาได้ลงบทความชิ้นหนึ่งเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยวิเคราะห์ว่า เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ทรัมป์ก็มีแนวคิดว่าความสัมพันธ์ของสหรัฐฯกับประเทศพันธมิตรนั้นไม่เสมอภาค และถ้าเขาได้รับเลือก จะมีนโยบายในด้านนี้ออกมาอย่างไร?การคาดการณ์ของWright ได้ทำให้ทุกคนรู้สึกตระหนกตกใจไปตามๆกัน

“ไม่เพียงแต่จะมีการเจรจาเรื่องสนธิสัญญาการรักษาความปลอดภัยของประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาใหม่อีกครั้ง อาจจะมีการถอนกำลังทหารอเมริกาออกจากเอเชีย และอาจจะมีท่าทีที่อ่อนลงในประเด็นเกี่ยวกับความมั่นคงเช่นปัญหาทะเลจีนใต้

สื่อญี่ปุ่นชี้ว่า ถ้าเกิดเป็นเช่นนี้ สหรัฐฯก็จะไม่ใช่ผู้นำของโลกอีกต่อไป และถ้าเกิดภูมิภาคนี้เข้าสู่สถานการณ์ที่วุ่นวาย สหรัฐอเมริกาก็จะได้รับความเดือดร้อนและการสูญเสียมากมายมหาศาล

เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ที่มีข้อมูลเชิงลึกของญี่ปุ่นและสหรัฐฯได้ ส่งจดหมายที่สามารถเรียกได้ว่า “จดหมายท้าทาย” ให้ทรัมป์ อีกทั้งมูลนิธิ Sasakawa Peace Foundationของญี่ปุ่นและศูนย์เพื่อการศึกษายุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ (CSIS) ของสหรัฐฯยังได้รวบรวมนโยบาย 40 ประการในการกระชับความสัมพันธ์ของญี่ปุ่นและสหรัฐฯอีกด้วย

คำแนะนำนี้ค่อนข้างมีน้ำหนักเพราะจัดทำโดยชาวญี่ปุ่นร่วมกับชาวสหรัฐฯที่เข้าใจในประเทศญี่ปุ่น เช่น ริชาร์ด อาร์มิเทจ (Richard Armitage) อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศ John Hamre อดีต รัฐมนตรีช่วยว่าการการทรวงกลาโหมสหรัฐฯทั้งยังใช้เวลาร่างนานถึง 3 ปีเลยทีเดียว
(ขอบคุณข่าวจาก www.chinanews.com)

แนวคิด อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เหตุสังหารยิวทั่วยุโรป (ตอน 3 พ่ายสงคราม)


วันที่ 10 ก.ค.57

 เผย..แนวคิด อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เหตุสังหารยิวทั่วยุโรป (ตอน 3 พ่ายสงคราม)


ก่อนชาวยิวมีธรรมเนียมการทำธุรกิจแบบเอารัดเอาเปรียบ ผูกขาด แบบที่สมัยนี้หลายประเทศถือว่าผิดกฎหมาย ตัวอย่าง เช่น ชาวยิวกลุ่มหนึ่ง เป็นลูกหลานของกิจการค้าเพชรพลอยที่มั่งคั่งร่ำรวย และอิ่มตัวแล้ว จะต้องหาทางไปลงทุนในกิจการอย่างอื่น กลุ่มนายทุนชาวยิวพวกนั้นจะมาประชุมกัน สมมติว่าตกลงจะลงทุนในธุรกิจโรงงานทำขนมปัง


นายทุนชาวยิวจะให้ทุนลูกหลาน คนรุ่นใหม่ ไปลงทุนทำธุรกิจโรงงานทำขนมปัง แต่เขาจะไม่ทำแค่แห่งเดียว แต่จะทำหลายๆ โรงงาน หลายๆ ชื่อ พร้อมๆ กัน เนื่องจากมีเงินทุนหนา ตอนแรกจะยอมขาดทุน โดยอาศัยเงินทุนจากกิจการเพชรพลอยมาค้ำโรงงานทำขนมปัง ไว้ ก็เพื่อกดดันให้โรงงานทำขนมปัง ของคนเยอรมันที่เป็นรายย่อยเลิกกิจการไปนั่นเอง..หลักการคล้ายโชห่วยของไทย โดนห้างใหญ่เยอร์มัน ฝรั่งเศส มาเปิด จนเจ๊งวินาศตอนนี้


เมื่อโรงงานขนมปังอื่นเริ่มประกาศขายกิจการ ยิวก็จะเข้าไปซื้อกิจการนั้นเพิ่ม พอยิวมีส่วนแบ่งรวมในตลาดมากพอ ก็จะกดดันร้านขายขนมปัง โดยสร้างเงื่อนไขว่า ต้องซื้อขนมปังจากโรงงานของชาวยิวเท่านั้น ถ้าพบว่าร้านขายขนมปังแห่งใด ซื้อจากโรงงานของคนเยอรมัน โรงงานขนมปังของยิวทั้งหมด จะไม่ยอมขายขนมปังให้ ด้วยข้ออ้างสารพัด เช่น ผลิตไม่ทัน ฯลฯ


โรงงานยิว จะขายขนมปังให้ร้านของชาวยิวในราคาถูกพิเศษ แบบไม่เอากำไร ทำให้ร้านขายขนมปังของชาวยิว สามารถขายปลีกขนมปังในราคาถูกกว่าร้านของคนเยอรมัน แล้วยิวบีบให้ร้านขายขนมปังเยอรมัน ต้องซื้อจากโรงงานของชาวยิวในราคาที่แพงกว่าเท่านั้น โรงงานขนมปังของคนเยอรมันที่เหลือ ก็เจ๊งหมด ค่อยๆทะยอยปิดกิจการลงยิวก็เข้าไปกดราคาบังคับซื้อร้านขายขนมปังเอาถูกๆ อีก พอยิวได้ครอบครองโรงงานขนมปังทั้งหมด ก็เริ่มตั้งร้านขายขนมปังของตนเอง ส่วนคนงานทำขนมปังก็เริ่มถูกกดค่าแรง ไม่มีทางย้ายที่ทำงาน เพราะโรงงานทั้งหมดเป็นของยิว

ในที่สุดยิวก็ครอบครองกิจการผลิต จำหน่ายขนมปังได้ทั้งหมด ครบวงจรแล้ว ยิวก็จะขึ้นราคาขนมปังตามใจชอบ ฟันกำไรชดเชยกับที่ยอมขาดทุนในตอนแรก ประชาชนเยอรมันต้องซื้อขนมปังในราคาแพง
พอผ่านไปหลายปี บรรดาลูกหลานชาวยิวในธุรกิจขนมปังเริ่มเติบโต ธุรกิจขนมปังอิ่มตัวแล้ว ขาวยิวก็จะประชุมกันอีกว่าจะยึดครองการค้าชนิดใดของคนเยอรมันต่อไป เป็นวงจรแบบนี้เรื่อยๆ 

ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เศรษฐกิจเยอรมันทรุดไปทั่ว ส่งผลให้เปิดโอกาสให้ยิวเข้ายึดครองธุรกิจไปหลายประเภท ลัทธิยิวนิยมทำให้ คนยิวมีโอกาสได้ตำแหน่งงานที่ดีในธุรกิจที่มีคนยิวเป็นเจ้าของ


คนยิวแม้ไม่ใช่ครอบครัวนายทุน ก็พลอยมีฐานะการเงินที่ดี ในสังคมไปตามๆ กัน ส่วนคนเยอรมันก็ต้องเป็นลูกจ้างกรรมกรในโรงงานของยิว แถมถูกกดค่าแรง การยึดครองธุรกิจของยิว ยังนำมาใช้สร้างชนชั้นวรรณะ สินค้าชั้นดีที่ผลิตได้ไม่ทันความต้องการ จะเก็บไว้ขายให้ชาวยิวเท่านั้น ส่วนของห่วยๆ ก็ค่อยขายให้คนเยอรมัน คนเยอรมันสมัยนั้นจึงคับแค้นใจเพราะถูกกดขี่ทุกทางเอามากๆ


ปัญหาชนชั้นในเยอรมันยิ่งหนักหนา เมื่อชนชั้นคนรวย เป็นกลุ่มชนต่างชาติ และรวยขึ้นมาด้วยวิธีการผูกขาดผิดกฎหมายการค้า ส่งผลให้คนเยอรมันเจ้าของประเทศยากจน สมัยนั้นรองเท้า จำเป็นสำหรับชีวิตเอามากๆ เมื่อเกิดจลาจลทำร้ายชาวยิวตามท้องถนนในเมืองต่างๆ คนยิวนอกจากถูกทุบตีทำร้ายแล้ว จะถูกถอดแย่งเอารองเท้าไปด้วย ชาวยิวที่ตกเป็นเหยื่อ จะถูกบังคับให้เดินเท้าเปล่าไปตามถนน
ฮิตเลอร์ เองจึงเกลียดยิวมาก เพราะยิวเป็นผู้มายึดครองเยอรมันในอดีต และขับไล่ชนชั้นอารยันออกจากประเทศเยอรมัน เมื่อยิวเข้ามายึดครองเยอรมันแล้ว ก็ได้มาแย่งที่ทำมาหากิน และแย่งอาหารของชาวเยอรมัน ทำให้ฮิตเลอร์ในวัยเด็ก ต้องมานอนอาศัยอยู่ตามกองขยะ และสถานีรถไฟ นอกจากการที่ยิวมาแย่งอาหารแล้ว ยิวยังทำอาหารไม่สะอาด เช่น การทำอาหารโดยการใช้เท้าเหยียบ ทำให้ชาวเยอรมันพากันป่วยเป็นโรคระบาดต่างๆ


ฮิตเลอร์ จึงฝังใจแต่เด็กว่า เผ่าพันธุ์ยิว มีสติปัญญาสูงมาก มีศาสนาที่ทำให้เขาอดทน พากเพียร พยายาม และมีความชาตินิยมในเผ่าพันธุ์สูง ถ้าเผ่าพันธุ์นี้ รวมตัวเป็นปึกแผ่น และ ขยายอำนาจก็อันตรายเกินไป สำหรับเพื่อนร่วมโลก..ความโลภ และความไร้ยุติธรรม ของชาวยิวนั่นเอง ที่ฆ่าชาวยิว
แนวคิดของคนเยอรมัน กับยิวในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น เยอรมันแพ้สงคราม จึงต้องปฏิบัติตามสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซึ่งร่างขึ้นโดยกลุ่มนายธนาคารยิวสากล และเป็นการเอารัดเอาเปรียบชาวเยอรมันเป็นอย่างมาก


แต่ละประเทศ จะต้องหาเงินกู้จากนายธนาคารยิว ที่ทรงอิทธิพลการเงินอยู่ทั่วยุโรป เพื่อจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ แหล่งทรัพยากรสำคัญของประเทศจะต้องนำออกมาใช้อย่างไม่มีทางเลี่ยงชาวยิวจึงตั้งใจว่า สนธิสัญญานี้จะเป็นการบีบบังคับให้เกิดสงครามโลกขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพราะรู้ว่า ในที่สุดคนเยอรมันก็จะสิ้นสุดความอดทน ลุกขึ้นต่อสู้ สงครามก็จะปะทุขึ้นอีกแน่นอน


มาเล่าเรื่อง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จัดการยิว ต่อเนื่องจากตอนที่ 2 ที่https://www.facebook.com/media/set/


กันยายน ค.ศ. 1939 เยอรมนีก็ได้รุกรานโปแลนด์ทางตะวันตก อังกฤษและฝรั่งเศสตอบโต้โดยประกาศสงครามต่อเยอรมนีในวันที่ 3 กันยายน ซึ่งได้สร้างความประหลาดใจแก่ฮิตเลอร์ และเมื่อวันที่ 17 กันยายน กองทัพโซเวียตรุกรานโปแลนด์จากทางตะวันออก


เขาทำ"สงครามลวง" สั่งการให้โปแลนด์ตะวันตกเฉียงเหนือ โดยผู้ปกครองที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งใหม่ 2 คนให้ยอมรับความขัดแย้งกับผู้ปกครองอีก 1 คน และไม่ให้พาดพิงถึงเขา การจัดการกับกรณีพิพาทแนวนี้ ได้ถูกพัฒนาเป็นตัวอย่างของทฤษฎี สั่งการอย่างคลุมเครือและคาดหวังให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ดำเนินนโยบายนั้นเองโดยอเมริกา และ EU ในปัจจุบัน


ฮิตเลอร์สั่งการให้เสริมสร้างกำลังทหารตามชายแดนตะวันตกของเยอรมนี และใน ค.ศ. 1940 กองทัพเยอรมัน รุกรานเดนมาร์กและนอร์เวย์ และกองทัพของฮิตเลอร์โจมตีฝรั่งเศส และพิชิตลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์และเบลเยียม ชัยชนะเหล่านี้กระตุ้นให้อิตาลี เข้าพวกกับฮิตเลอร์ และฝรั่งเศสยอมจำนนกับเยอรมันในเวลาต่อมา


อังกฤษ ซึ่งกองทัพถูกบีบให้ออกจากฝรั่งเศสทางทะเล ยังคงสู้รบเคียงข้างเครือจักรภพอังกฤษอื่น ๆ ในยุทธนาวีทางทะเล ฮิตเลอร์เสนอแผนสันติภาพต่ออังกฤษ ซึ่งขณะนี้นำโดยนายพลวินสตัน เชอร์ชิลล์ และเมื่อการเสนอนั้นถูกปฏิเสธ ฮิตเลอร์ได้สั่งการให้เครื่องบินทิ้งระเบิดโจมตีต่อ สหราชอาณาจักรทันที
การรุกรานสหราชอาณาจักรที่วางแผนไว้ของฮิตเลอร์สำเร็จ โดยโจมตีทางอากาศต่อฐานทัพอากาศกองทัพอากาศอังกฤษ และสถานีเรดาร์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ แต่กองทัพอากาศของเยอรมนี ยังไม่สามารถเอาชนะกองทัพอากาศอังกฤษได้


วันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 1940 สนธิสัญญาไตรภาคี ลงนามในกรุงเบอร์ลิน โดยจักรวรรดิญี่ปุ่น, ฮิตเลอร์ และ อิตาลี ต่อมาขยายไปรวมถึงฮังการี โรมาเนียและบัลแกเรีย จุดประสงค์ของสนธิสัญญา คือ เพื่อขัดขวางสหรัฐอเมริกามิให้สนับสนุนอังกฤษ จนถึงปลายเดือนตุลาคม ค.ศ. 1940 ฮิตเลอร์สั่งการโจมตีทางอากาศยามกลางคืนตามนครต่าง ๆ ของอังกฤษ รวมทั้งลอนดอน และเมืองสำคัญอื่น ๆ


ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1941 กองทัพเยอรมันไปถึงลิเบีย เพื่อสนับสนุนอิตาลี แล้วเขาสั่งการรุกรานยูโกสลาเวีย และตามด้วยการรุกรานกรีซในเวลาอันรวดเร็ว กองทัพเยอรมันถูกส่งไปสนับสนุนกำลังกบฏอิรัก ที่สู้รบกับอังกฤษ และรุกรานครีต ฮิตเลอร์ออกคำสั่งรุกหน้าอย่างเดียว


ทหารโซเวียตตรงพรมแดนตะวันออกของเยอรมนีในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1941 อาจเป็นเหตุให้ฮิตเลอร์ มีความคิด "บุกไปข้างหน้า" เพื่อเผชิญหน้ากับความขัดแย้งอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ มิถุนายน ค.ศ. 1941 ทหารเยอรมัน 3 ล้านนายโจมตีสหภาพโซเวียต การรุกรานนี้ได้ยึดพื้นที่ได้กว้างใหญ่ไพศาล รวมทั้งรัฐบอลติก เบลารุส และยูเครน


การรุกรานสหภาพโซเวียตของกองทัพบกเยอรมันถึงขีดสุดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1941 เมื่อกองพลทหารราบ รุกเข้าไปภายในรัศมี 24 กิโลเมตรจากกรุงมอสโก ใกล้พอที่จะเห็นยอดแหลมของราชวังเครมลิน


แต่เพราะพวกเขาไม่ได้เตรียมการสำหรับสภาพอันโหดร้ายของฤดูหนาวรัสเซีย และการต้านทานอย่างดุเดือดของกองทัพโซเวียต จึงผลักดันกองทัพเยอรมันถอยออกมาเป็นระยะทางกว่า 320 กิโลเมตร จากกรุงมอสโก


วันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ รัฐฮาวาย 4 วันให้หลังการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการต่อสหรัฐอเมริกาของฮิตเลอร์ ทำให้เยอรมนีเข้าสู่สงครามกับกำลังผสม 3 ประเทศ ซึ่งมีประเทศจักรวรรดิใหญ่ที่สุดในโลก คือ จักรวรรดิอังกฤษ ประเทศอุตสาหกรรมและการเงินยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คือ สหรัฐอเมริกา และประเทศที่มีกองทัพใหญ่ที่สุดในโลก คือ สหภาพโซเวียต


ธันวาคม ค.ศ. 1941 ฮิตเลอร์ ตัดสินใจสั่งกำจัดยิวแห่งรัสเซียเหมือนเป็นพลพรรค เป็นคำสั่งสังหารฆาตกรรมทางเผ่าพันธ์ ที่ดำเนินระหว่างการล้างชาติโดยนาซี เดือน มกราคม ค.ศ. 1942 มีการสังหารชาวยิว และผู้ถูกเนรเทศอื่นซึ่งถูกพิจารณาว่าไม่พึงปรารถนา ฮิตเลอร์กล่าวต่อเพื่อนร่วมงานว่า "สุขภาพดีของเราจะฟื้นคืนก็ด้วยการสังหารยิวเท่านั้น"


มีค่ายกักกันและค่ายมรณะนาซีประมาณ 30 แห่ง ฤดูร้อน ค.ศ. 1942 สถานที่ตั้งค่ายกักกันถูกดัดแปลงให้สามารถรองรับผู้ถูกเนรเทศจำนวนมากเพื่อสังหารหรือใช้แรงงานทาส ฮิตเลอร์มีความสนใจโดยตรงในการพัฒนาห้องรมแก๊ส ระหว่าง ค.ศ. 1939 -1945 แค่ 6 ปี ตำรวจลับเอสเอส ของรัฐบาลเยอรมัน รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตถึง 11-14 ล้านชีวิต ในจำนวนนี้เป็นชาวยิว 6 ล้านคน หรือคิดเป็น 2 ใน 3 ของประชากรยิวในยุโรป และชาวโรม 500,000 - 1,500,000 คน การเสียชีวิตเกิดขึ้นในค่ายกักกันและค่ายมรณะ ย่านชาวยิว และการประหารชีวิตหมู่


เหยื่อการล้างชาติ หลายคนถูกรมแก๊สจนเสียชีวิต ขณะที่บางคนเสียชีวิตเพราะหิวโหย หรือป่วยขณะใช้แรงงานทาส นโยบายของฮิตเลอร์ยังส่งผลให้มีการสังหารชาวโปแลนด์ และเชลยศึกโซเวียต พวกคอมมิวนิสต์และศัตรูการเมืองอื่น พวกรักร่วมเพศ ผู้พิการทางกายหรือใจ ผู้นับถือลัทธิพระยะโฮวาห์ นิกายแอดเวนติสต์ และผู้นำสหภาพแรงงาน ฮิตเลอร์ ไม่เคยปรากฏว่าเยือนค่ายกักกันและมิได้พูดถึงการสังหารอย่างเปิดเผย


ปลาย ค.ศ. 1942 กองทัพเยอรมันพ่ายแพ้ในยุทธการครั้งที่สอง ทำให้แผนการของฮิตเลอร์ในการยึดคลองสุเอซและตะวันออกกลางสะดุด ค.ศ. 1943 ยุทธการสตาลินกราดในรัสเซีย สิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของกองทัพเยอรมัน ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ตามด้วยความพ่ายแพ้เด็ดขาดในยุทธการเคิสก์ ในตะวันออกกลาง


การตัดสินใจทางทหารของฮิตเลอร์เริ่มไม่มั่นคงเพิ่มขึ้น และฐานะทางทหารและเศรษฐกิจของเยอรมนีบั่นทอนลงไป พร้อมกับสุขภาพของฮิตเลอร์ คนใกล้ชิดและคนอื่นๆ เชื่อว่า ฮิตเลอร์อาจป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน


ค.ศ. 1943 ฝ่ายสัมพันธมิตรรุกรานอิตาลี จนมุสโสลินีถูกปลด ยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ช่วง ค.ศ. 1943 - 1944 สหภาพโซเวียตค่อย ๆ บีบให้กองทัพของฮิตเลอร์ ล่าถอยตามแนวรบด้านตะวันออก วันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 กองทัพสัมพันธมิตรตะวันตกขึ้นฝั่งทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ในหนึ่งในปฏิบัติการสะเทินน้ำสะเทินบกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด


ด้วยเหตุความเสื่อมถอยของกองทัพเยอรมัน โอกาสที่เยอรมนีจะแพ้สงครามเพิ่มขึ้น นายทหารหลายคนจึงสรุปว่า ความพ่ายแพ้หลีกเลี่ยงไม่ได้ และการตัดสินใจผิดพลาดหรือการปฏิเสธของฮิตเลอร์ จะยืดสงครามออกไปและส่งผลให้ประเทศชาติพังพินาศย่อยยับ ระหว่าง ค.ศ. 1939 และ 1945 มีหลายแผนในการลอบสังหารฮิตเลอร์ ความพยายามลอบสังหารหลายครั้งต่อฮิตเลอร์จึงเกิดขึ้นระหว่างช่วงนี้
กรกฎาคม ค.ศ. 1944 แผนที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดมาจากภายในเยอรมนี คือ เดือน แผนลับ ส่วนหนึ่งของติดตั้งระเบิดไว้ในกองบัญชาการแห่งหนึ่งของฮิตเลอร์ (รังหมาป่า) ฮิตเลอร์รอดชีวิตอย่างหวุดหวิด เพราะบางคนผลักกระเป๋าเอกสารที่บรรจุระเบิดไปหลังขาโต๊ะประชุมที่หนักอย่างไม่รู้ เมื่อเกิดระเบิดขึ้น โต๊ะสะท้อนแรงระเบิดส่วนมากไปจากฮิตเลอร์


ภายหลัง ฮิตเลอร์สั่งการตอบโต้อย่างโหดร้าย ซึ่งส่งผลให้มีการประหารชีวิตคนกว่า 4,900 คน จนถึงปลาย ค.ศ. 1944 กองทัพโซเวียตได้ขับไล่ กองทัพเยอรมันถอยกลับไปยังยุโรปตะวันตก และสัมพันธมิตรตะวันตก รุกคืบเข้าไปในเยอรมนี


หลังได้รับแจ้งความล้มเหลวของการรุกของเยอรมัน ฮิตเลอร์จึงตระหนักว่าเยอรมนีกำลังแพ้สงคราม ความหวังของเขา จึงขึ้นอยู่กับการถึงแก่อสัญกรรมของประธานาธิบดีอเมริกา แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ แห่งอเมริกา ดังนั้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1945 มีการเจรจาสันติภาพกับอเมริกาและอังกฤษ ฮิตเลอร์จึงสั่งการให้ทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมทั้งหมดของเยอรมนี ก่อนที่จะตกอยู่ในมือฝ่ายสัมพันธมิตร


มุมมองของเขา คือ ความล้มเหลวทางทหารของเยอรมนีเสียสิทธิ์ในการอยู่รอดเป็นชาติ การดำเนินการแผนการเผาทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ถูกมอบหมายไปยังรัฐมนตรีทางอาวุธ ผู้ขัดคำสั่งเขาอย่างเงียบ ๆ วันที่ 20 เมษายน วันเกิดปีที่ 56 ฮิตเลอร์เดินทางครั้งสุดท้ายจากที่พักของผู้นำไปยังสวนที่ถูกทำลายของทำเนียบรัฐบาลไรช์ เขามอบกางเขนเหล็กให้ทหารเด็กแห่งยุวชนฮิตเลอร์


วันที่ 21 เมษายน แนวรบโซเวียต ได้เจาะผ่านการป้องกันสุดท้ายของกองทัพเยอรมัน และรุกเข้าไปยังชานกรุงเบอร์ลิน ฮิตเลอร์สั่งการให้ทหารที่ภักดี และกองทัพเยอรมันที่ 9 ได้รับคำสั่งให้โจมตีขึ้นทางเหนือในการโจมตีแบบโอบล้อม แต่นายทหารก็แข็งข้อ ทรยศกับเขา


ต่อมาประชุมทหารเมื่อวันที่ 22 เมษายน เขาได้รับบอกเล่าว่า การโจมตีนั้นไม่เคยเกิดขึ้น และรัสเซียได้ตีฝ่าเข้าไปในกรุงเบอร์ลิน ทำให้ฮิตเลอร์ขอให้ทุกคน ยกเว้นคนสนิทบางคนออกจากห้องประชุม จากนั้นเขาได้ประณามต่อการทรยศ และความไร้ความสามารถของผู้ไต้บังคับบัญชาของเขาอย่างเผ็ดร้อน
เขาประกาศเป็นครั้งแรกว่า เยอรมนีแพ้สงคราม ฮิตเลอร์ประกาศว่าเขาจะอยู่ในกรุงเบอร์ลินจนถึงจุดจบ คนสนิทเขาได้ออกประกาศวันที่ 23 เมษายน กระตุ้นให้พลเมืองเบอร์ลินป้องกันนครอย่างกล้าหาญ วันเดียวกันนั้น ผู้ปกครองที่แต่งตั้งส่งโทรเลขจากรัฐบาวาเรีย ว่าตั้งแต่ฮิตเลอร์ถูกตัดขาดในกรุงเบอร์ลิน ตัวเขาควรเป็นผู้นำเยอรมนีแทน โดยบอกว่าฮิตเลอร์ไร้ความสามารถ


ฮิตเลอร์ตอบโต้ด้วยความโกรธ โดยสั่งจับกุม และเมื่อเขียนคำสั่งเสียเมื่อวันที่ 29 เมษายน เขาถอดผู้ปกครองที่แต่งตั้งออกจากตำแหน่งทั้งหมดในรัฐบาล กรุงเบอร์ลิน ถูกตัดขาดจากส่วนที่เหลือของเยอรมนีอย่างสิ้นเชิง วันที่ 28 เมษายน ฮิตเลอร์พบว่า คนสนิทกำลังพยายามเจรจาเงื่อนไขการยอมแพ้ ต่อสัมพันธมิตรตะวันตก เขาจึงสั่งจับกุมคนสนิทและสั่งยิงทิ้งทันทีในกรุงเบอร์ลิน


หลังเที่ยงคืนวันที่ 29 เมษายน ฮิตเลอร์สมรสกับเอวา เบราน์ ในพิธีตามกฎหมายเล็ก ๆ ในห้องแผนที่ภายในที่พักผู้นำ หลังทานอาหารเช้างาน งานแต่งงานที่เรียบง่ายกับภรรยาใหม่ของเขา จากนั้น เขานำเลขานุการ ไปอีกห้องหนึ่งและบอกให้เขียนคำสั่งเสียสุดท้ายของเขา เหตุการณ์ดังกล่าวมีคนสนิทหลายคนเป็นพยานและลงนามเอกสาร ในช่วงบ่ายฮิตเลอร์ได้รับแจ้งข่าวถึงการลอบสังหารผู้นำเผด็จการชาวอิตาลี เบนิโต มุสโสลินี ซึ่งตั้งใจที่จะหนีการจับตัว


วันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1945 หลังการสู้รบถนนต่อถนนอย่างเข้มข้น กองทัพโซเวียตอยู่ในระยะหนึ่งหรือสองช่วงตึก จากทำเนียบรัฐบาลเยอรมัน ฮิตเลอร์และภรรยาทำการฆ่าตัวตาย ภรรยากัดแคปซูลไซยาไนด์ และฮิตเลอร์ยิงตัวตายด้วยปืนพกของเขา ร่างไร้วิญญาณของฮิตเลอร์และภรรยา ถูกนำขึ้นบันได และผ่านทางออกฉุกเฉินของบังเกอร์ ไปยังสวนที่ถูกระเบิดหลังทำเนียบรัฐบาล


ทั้งสองร่างถูกวางไว้ในหลุมระเบิด ราดด้วยน้ำมัน และจุดไฟ ขณะที่กองทัพโซเวียตยิงปืนใหญ่ถล่มต่อเนื่อง เยอรมันยอมจำนน เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม บันทึกในจดหมายเหตุโซเวียต ซึ่งได้มาหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย แสดงให้เห็นว่า ศพของฮิตเลอร์ ภรรยา ลูก ๆ ทั้งหกคน ทหารคนสนิท และสุนัขของฮิตเลอร์ ถูกฝังและขุดขึ้นมาหลายครั้ง


การฆ่าตัวตายของอิตเลอร์ เป็น "คาถา" เสื่อม เมื่อปราศจากผู้นำ ลัทธิชาติสังคมนิยมก็ "ระเบิดเหมือนกับฟอง" พฤติการณ์ของฮิตเลอร์และอุดมการณ์นาซี ถูกคนเกือบทั้งโลกมองว่า ผิดศีลธรรมอย่างร้ายแรง


ฮิตเลอร์ส่งเสริมภาพลักษณ์ของตนต่อสาธารณะว่า เป็นภาพลักษณ์ชายที่อยู่เป็นโสดโดยปราศจากชีวิตครอบครัว อุทิศตนทั้งหมดให้แก่ภารกิจทางการเมืองและประเทศชาติ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1931 เกลี เราบัล หลานสาวของเขา ฆ่าตัวตายด้วยปืนของฮิตเลอร์ในอพาร์ตเมนต์ของเขา หลานของเขามีความสัมพันธ์ กับฮิตเลอร์


ความตายของเธอนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ลึกล้ำและยาวนาน เขาพบ เอวา เบราน์ ภรรยาลับของเขา ใน ค.ศ. 1929 และสมรสกับเธอในเดือน เมษายน ค.ศ. 1945 ก่อนการเสียชีวิต


เขามองว่าชาวอาหรับ "เป็นเชื้อชาติต่ำกว่า" เขาเชื่อว่า ชาวเยอรมันที่เป็นเชื้อชาติสูงส่งกว่า ฮิตเลอร์ยกย่องศาสนาชินโตและวัฒนธรรมญี่ปุ่น แต่ฮิตเลอร์นั้นเน้นการปฏิบัติมากกว่า เขาทุกข์ทรมานจากอาการและโรคต่าง ๆ ได้แก่ โรคลำไส้แปรปรวน รอยโรคที่ผิวหนัง หัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคพาร์กินสัน ซิฟิลิส และมีเสียงในหู


อีกด้านหนึ่ง เขาเป็นคนกินมังสวิรัติ ไม่กินเนื้อ เพราะกลัวโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้มารดาของเขาเสียชีวิต เขาเป็นผู้นำต้านการทดลองในสัตว์ และเลือกทานอาหารอย่างลึกซึ้ง คนสนิทสั่งให้สร้างเรือนกระจกใกล้กับที่พักผู้นำ เพื่อให้ฮิตเลอร์มีผลไม้และผักเพียงพออย่างต่อเนื่องตลอดสงคราม เขาไม่ดื่มเหล้า และไม่สูบบุหรี่ เขาเป็นตัวตั้งตัวตีการรณรงค์งดสูบบุหรี่อย่างเข้มแข็งทั่วประเทศเยอรมนี


เขาเริ่มใช้แอมเฟตามีน (ยาบ้า) เป็นครั้งคราวตั้งแต่ ค.ศ. 1937 และเริ่มติดยาใน ค.ศ. 1942 ทำให้มีการตัดสินใจที่ไม่ยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ไม่อนุญาตการร่นถอยทางทหาร เขาได้รับการสั่งจ่ายยาถึง 90 ชนิดที่แตกต่างกันระหว่างสงคราม และกินยาหลายเม็ดต่อวัน เพราะปัญหากระเพาะอาหารเรื้อรังและอาการป่วยอื่น ๆ


เขาทุกข์ทรมานจากแก้วหูทะลุ อันเป็นผลของแรงระเบิดในแผนลับ 20 กรกฎาคม ใน ค.ศ. 1944 และถูกถอนเสี้ยนไม้สองร้อยชิ้น ออกจากขาของเขา มือฮิตเลอร์สั่นและเดินย่องแย่ง ซึ่งเริ่มขึ้นก่อนสงคราม และเลวร้ายลงเมื่อใกล้บั้นปลายชีวิต เขารักษาโรคพาร์กินสันใน ค.ศ. 1945


ฮิตเลอร์เคยมีแผนการใหญ่ ตั้งแต่ก่อนเขาก้าวขึ้นสู่อำนาจ ในการทำลายอิทธิพลของศาสนจักรคริสต์ภายในจักรวรรดิไรช์ โดยการทำลายล้างศาสนจักร เป็นเป้าหมายตั้งแต่เริ่มต้น แต่เป็นการไม่เหมาะสมที่จะแสดงท่าทีสุดโต่งนี้อย่างเปิดเผย เจตนาของเขา คือ รอกระทั่งสงครามยุติแล้วจึงค่อยทำลายอิทธิพลของศาสนาคริสต์


เมื่อฮิตเลอร์พ่ายแพ้ จึงเป็นจุดจบของประวัติศาสตร์ยุโรปที่ถูกเยอรมนีครอบงำ และถูกแทนที่ด้วยสงครามเย็น ซึ่งเป็นการเผชิญหน้าระดับโลกระหว่างสหภาพโซเวียต กับ สหรัฐอเมริกา ในเวลาต่อมา นโยบายของฮิตเลอร์ในอดึต ทำให้มนุษย์ได้รับความทุกข์ทรมานในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 40 ล้านคนโดยประมาณ หรือ 27 ล้านคนเฉพาะในสหภาพโซเวียต..!!!


สมดุล ตาชั่งอำนาจเชิงสงครามในยุคปัจจุบัน จึงมี 2 ฝ่ายหลัก คือ อเมริกา กับ สหภาพยุโรป และ อีกฝ่าย คือ รัสเซีย กับจีน แต่ประเทศใหญ่ๆ ในยุโรป ปัจจุบันถูกอเมริกา เอาเปรียบต่างๆ นาๆ จนเริ่มจะสุดกลั้น จึงเริ่มหันไปจับมือกับ รัสเซีย และ จีน เพราะขืนอยู่กับอเมริกา ต่อไป แล้วถูกรุมทำสงครามโลกครั้ง 3 ขึ้นมา ยุโรปคงสิ้นเผ่าพันธุ์เป็นแน่แท้


ส่วนอเมริกานั้น ภายในประเทศ รัฐบาลเขาได้ใช้ ความล้ำเลิศอันน่าอ้ศจรรย์ทางด้านข้อมูลครอบงำประชาชนคนอเมริกัน เพราะเขารู้ตัวว่ากำลังจะสูญเสียการควบคุมบงการ และรัฐบาลอเมริกาก็กลัวว่าจะสูญเสียการบงการควบคุมมิตรประเทศของเขาด้วย แต่จริงๆ แล้วรัฐบาลสหรัฐไม่เคยได้มีการควบคุมหรือบงการอย่างแท้จริงเชิงอำนาจเลย


รัฐบาลสหรัฐฯ ที่มียิวมีอิทธิพลครอบงำเหนืออีกที เป็นพวกเสพติดอำนาจ และต้องการให้อำนาจนั้นอยู่ในกำมือ ตามนิสัยของยิว ด้งนั้นรัฐบาลสหรัฐฯ จึงพยายามสั่งให้ประเทศเล็กๆ ซ้ายหันขวาหัน ซึ่งในขณะนี้การไม่ยอม และโต้ตอบกลับเริ่มมีมากขึ้นๆ


ไม่เกิน 5 ปี สมดุลอำนาจโลก จะเอียงมาทาง รัสเซีย กับจีน แน่นอน เมื่อนั้นอเมริกาต้องก่อสงครามในภูมิภาคนี้ ที่มีผลใกล้เคียงกับดินแดนไทย เพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ในการเล่นงานจีน สิ่งที่คนไทยต้องเตรียมการรับ คือ ชะลอ ลด ยกเลิก การติดต่อค้าขายทางเศรษฐกิจกับอเมริกา แล้วเปิดตลาดใหม่มุ่งเอเชีย เพื่อดึงเงินทุน และความมั่งคั่งกลับมาอยู่เอเชีย


เมื่อเกิดสงคราม ประเทศทางเอเชีย ก็จะได้เปรียบทางชัยภูมิ เพราะการทำสงครามนั้น ไม่อาจดื้อทำได้นานๆ เพราะความเสียหายทางเศรษฐกิจมันมาก จะเป็นแรงบีบกดดันผู้นำประเทศนั้นๆ ให้เร่งปิดเกมส์ และเมื่อเริ่มเห็นลางพ่ายแพ้ ประเทศพันธมิตรก็จะแปรพักตร์ ไปสวามิภักดิ์อีกฝ่ายหนึ่งเสมอ...สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 เป็นบทเรียนพยากรณ์ผลของครั้งที่ 3


บทเรียนฮิตเลอร์ เยอรมัน ที่เล่ามาสอนว่า ประเทศใดแม้จะเก่งกาจสามารถ และมีแสนยานุภาพอาวุธมากเพียงใด..เมื่อถูกรุมกินโต๊ะ..ก็ไม่อาจรอดชะตากรรมไปได้..ธรรมชาติจะปรับสมดุล โดยตัวมันเองเสมอ
@ เสธ น้ำเงิน3
https://www.facebook.com/topsecrettha

'มูดี้ส์' คาด 'สิงคโปร์-มาเลเซีย-ไทย' ซบเซาต่อ 2 ปี


'มูดี้ส์' คาด 'สิงคโปร์-มาเลเซีย-ไทย' ซบเซาต่อ 2 ปี
มูดี้ส์ รายงานว่า แนวโน้มการเติบโตสำหรับประเทศเศรษฐกิจในอาเซียนจะแตกต่างกันไปภายในสองปีนี้ โดยสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทยจะยังซบเซาไปอีก 2 ปี
นักวิเคราะห์อาวุโสของสถาบันมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส นายราหุล กอช กล่าวว่า แนวโน้มการเติบโตของประเทศที่เน้นการส่งออกรายใหญ่แห่งอาเซียนอย่างสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทยจะยังคงซบเซา ส่วนประเทศที่เน้นการบริโภคภายในประเทศอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์มีแนวโน้มดีขึ้นในปีนี้และปีหน้า
มูดี้ส์ระบุว่า มูลค่าการค้าทั้งหมดซึ่งรวมถึงการส่งออกและนำเข้า มีสัดส่วนสูงที่สุดในสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย ทำให้ทั้งสามประเทศมีความเปราะบางต่อภาวะชะลอตัวผ่านช่องทางการส่งออกและการลงทุนที่อ่อนแอมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค
นอกจากนี้ มูดี้สยังเผยว่า ขณะนี้ทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทยกำลังเผชิญกับภาวะนี้ครัวเรือนสูงด้วย
ท่าทีล่าสุดของมูดี้ส์เป็นสัญญาณเตือนสำหรับบรรดาผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกที่กำลังพึ่งพาประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยเฉพาะในเอเชีย เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในไม่กี่ปีข้างหน้า ท่ามกลางภาวะตกต่ำยืดเยื้อของการค้าทั่วโลกที่ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว

โปรดเกล้าฯ รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ให้จัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ



โปรดเกล้าฯ รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ให้จัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ
Cr:kapook
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ประกาศรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2559 กรณีให้มีการจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ
วันที่ 22 มีนาคม 2559 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2559 โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ทั้งนี้ให้แก้ไข 4 มาตรา โดยมาตรา 1 และ 2 เป็นชื่อและกำหนดการบังคับใช้ ส่วนมาตรา 3 ให้ยกเลิกความในวรรคสามของมาตรา 39/1 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) เปลี่ยนเป็น "เมื่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว ให้แจ้งคณะรัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบ และให้คณะรัฐมนตรีแจ้งคณะกรรมการการเลือกตั้งทราบโดยเร็ว เพื่อดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติตามมาตรานี้ และให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจัดคำอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญโดย สรุปในลักษณะที่ประชาชนจะสามารถเข้าใจเนื้อหาสำคัญ ๆ ของร่างรัฐธรรมนูญได้โดยสะดวก และส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งภายในสิบห้าวันนับแต่วันถัดจากวันที่แจ้ง คณะรัฐมนตรี"
สำหรับมาตรา 4 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสี่ วรรคห้า วรรคหก วรรคเจ็ด วรรคแปด วรรคเก้า วรรคสิบ วรรคสิบเอ็ด และวรรคสิบสอง ของมาตรา 39/1 "ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งในการดำเนินการจัดให้มีการออก เสียงประชามติ และประกาศผลการออกเสียงประชามติ และจัดพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญและคำอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญตามวรรคสาม เพื่อเผยแพร่ด้วยวิธีการใด ๆ ให้ประชาชนทราบได้โดยสะดวกและเป็นการทั่วไป หลักเกณฑ์ วิธีการ และกำหนดเวลาในการจัดให้มีการออกเสียงประชามติ คุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ การเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญและคำอธิบายร่างรัฐธรรมนูญการออกเสียงประชามติ การนับคะแนน บัตรเสีย และการประกาศให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ"

กรธ. รับลูกข้อเสนอ คสช. 250 ส.ว.ช่วงเปลี่ยนผ่าน พร้อมเปิดทางนายกฯ ‘คนนอก’

กรธ. รับลูกข้อเสนอ คสช. 250 ส.ว.ช่วงเปลี่ยนผ่าน พร้อมเปิดทางนายกฯ ‘คนนอก’

กรธ. รับข้อเสนอ คสช. ยอมบัญญัติ 250 ส.ว. ช่วงเปลี่ยนผ่าน เปิดที่นั่ง ผบ.เหล่าทัพ แต่ขอทดลองเลือกไขว้ 50 คน จาก 20 อาชีพ ที่มานายกฯ ให้พรรคการเมืองเสนอ 3 รายชื่อ แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ ให้รัฐสภาประชุมร่วมเลือกตัวนายกฯนอกบัญชี ยันบัตรเลือกตั้งมีใบเดียว
22 มี.ค. 2559 มติชนออนไลน์ รายงานว่า เมื่อเวลา 16.10 น. นรชิต สิงหเสนี โฆษก กรธ. แถลงผลการประชุม กรธ. ว่าตามที่มีข้อเสนอแนวทางการปรับปรุงบทเฉพาะกาลในร่างรัฐธรรมนูญจากแม่น้ำ 4 สาย ซึ่งส่งหนังสือมาให้ กรธ.ประกอบการพิจารณานั้น ขณะนี้ กรธ. ได้พิจารณาจนได้ข้อสรุปเรียบร้อยแล้ว โดยวิธีการได้มาซึ่งสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เอกสารที่ส่งมาระบุว่ามีผู้เสนอเป็นอันมากว่าควรใช้แบบบัตรเลือกตั้งจำนวน 2 ใบ รวมทั้งการกำหนดให้มีเขตเลือกตั้งใหญ่ ซึ่งแนวทางนี้ไม่ได้เป็นข้อเสนอจากแม่น้ำ 4 สาย ดังนั้น กรธ. พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่สามารถเข้ากับหลักการที่ กรธ. วางไว้ในร่างรัฐธรรมนูญได้ จึงยืนยันว่าเราจะใช้บัตรเลือกตั้งแบบใบเดียว โดยส่วนนี้จะไม่มีการระบุไว้ในบทเฉพาะกาล
นรชิตกล่าวต่อว่า ประเด็นที่มาของวุฒิสภา (ส.ว.) นั้น กรธ. พิจารณาแล้วเห็นว่า จะเขียนในบทเฉพาะกาล ให้ระยะแรกมี ส.ว. มาจากการสรรหา จำนวน 250 คน ตามข้อเสนอแม่น้ำ 4 สาย แต่ขอให้จำนวน 50 คนจากทั้งหมด 250 คน สรรหาจากผู้ได้รับเลือกตามสาขาวิชาชีพ 20 สาขาวิชาชีพตามที่ กรธ. กำหนดไว้เดิม โดยหลักการจะมีการเลือกโดยวิธีการสมัครเช่นเดิม ตั้งแต่ ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ เบื้องต้นมองไว้น่าจะมีประมาณ 231 คน จาก 77 จังหวัด และจาก 231 คน ก็ขอให้คณะกรรมการสรรหาประมาณ 7-8 คน เลือกจาก 231 คน ให้เหลือ 50 คน ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวจะเป็นปลาน้ำเดียวกันจากคนที่มาจากการสรรหา รวมทั้งเป็นการทดลองวิธีการของ กรธ. ว่าสามารถปฏิบัติได้โดยคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
นรชิตกล่าวต่อว่า ส่วนอำนาจของ ส.ว. ให้มีอำนาจตามปกติ บวกกับอำนาจที่แม่น้ำ 4 สายขออำนาจในการผลักดันกฎหมายปฏิรูป การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ รวมทั้งถ้าขัดกันระหว่างสภาผู้แทนกับวุฒิสภาในเรื่องกฎหมายปฏิรูป ก็ให้มีการพิจารณาในที่ประชุมร่วม ส่วนการพิทักษ์รัฐธรรมนูญเราเขียนไว้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องพิจารณา 2 สภาร่วมกัน ที่เรียกว่ารัฐสภา ส่วนการบริหารประเทศ ที่บอกว่าให้ ส.ว. มีอำนาจขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ รวมทั้งลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล ทาง กรธ. คิดว่าเป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร จึงไม่ได้มีบทบัญญัตินี้ไว้ในบทเฉพาะกาล
นรชิตกล่าวต่อว่า ส่วนการให้พรรคการเมืองเสนอชื่อบุคคลที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี 3 ชื่อ ทางแม่น้ำ 4 สาย เสนอว่าขอให้ไม่ใช้บทบัญญัติที่ให้เสนอ 3 รายชื่อเป็นนายกฯ กรธ. พิจารณาแล้วเห็นว่าการเลือกนายกรัฐมนตรี ยังคงยืนยันในหลักการที่ให้พรรคการเมืองต้องเสนอชื่อว่าที่นายกฯจำนวน 3 คนตามเดิม แต่หากเกิดกรณีสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถเลือกนายกฯได้ให้มีการประชุมรัฐสภา คือการประชุมร่วมกันของสภา และวุฒิสภา เพื่อขอยกเว้นการเลือกนายกฯนอกบัญชี 3 คน ซึ่งถ้ารัฐสภาโดยเสียงข้างมาก 2 ใน 3 เห็นด้วยก็ให้กระทำได้ สำหรับการเรียกประชุมรัฐสภาดังกล่าว ถ้ามี ส.ส. เข้าชื่อกันไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสภา ก็สามารถเรียกประชุมรัฐสภาได้ โดยมติที่จะขอยกเว้นการเลือกนายกฯนอกบัญชี ต้องใช้เสียง 2 ใน 3 เห็นด้วย เมื่อได้รับการยกเว้น ตามมติของรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว ก็กลับไปให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ดำเนินการเลือกนายกฯกันเอง โดยวุฒิสภามีบทบาทเพียงร่วมกับสภาผู้แทนราษฎรอนุมัติการยกเว้นไม่ใช่ให้ เลือกนายกฯมาจากนอกบัญชี 3 ชื่อได้
เมื่อถามว่า จะไม่มีผู้นำเหล่าทัพใน ส.ว. อีกแล้วหรือไม่ นรชิต กล่าวว่า ผู้นำเหล่าทัพเป็นสิ่งที่เราจะพิจารณา แต่เท่าที่มีการพูดคุยกันอาจเปิดทางว่ากรณีของการสรรหาเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสรรหาที่ระบุไว้ประมาณ 8-10 คนที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือรัฐบาล ขณะเดียวกันอาจเปิดช่องว่าสามารถให้ผู้ดำรงตำแหน่งใน คสช. สามารถได้รับการสรรหาเป็น ส.ว. ได้ไม่เกินร้อยละ 2.5 หรือร้อยละ 5 ก็ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ กรธ. เปิดช่องไว้ให้
เมื่อถามว่า จะมีการเปิดคุณสมบัติไม่ห้ามข้าราชการประจำนี้เข้ามาดำรงตำแหน่งด้วยหรือไม่ นรชิต กล่าวว่า กรณีนี้เป็นข้อยกเว้น เฉพาะ ส.ว. ตามบทเฉพาะกาล
“หลักการ ส.ว. ถือเป็นการพบกันครึ่งทาง เพื่อให้เรามีประสบการณ์สำหรับการเลือกตั้ง ส.ว. ทางอ้อม แบบที่กำหนดไว้ในบทถาวร ขณะที่อีก 200 คน ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสรรหา โดยกำหนดให้ ส.ว. 6 คน สามารถเป็นข้าราชการประจำได้ แต่ไม่ได้ระบุว่า ต้องเป็นผู้นำเหล่าทัพเหมือนตามคำขอ “โฆษกกรธ.กล่าว

ที่ประชุมมหาเถรฯ "สมเด็จช่วง"ขอลาออก 3 ตำแหน่งสำคัญ


ที่ประชุมมหาเถรฯ "สมเด็จช่วง"ขอลาออก 3 ตำแหน่งสำคัญ

รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ที่ผ่านมา ที่อาคารสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) พุทธมณฑล จ.นครปฐม มีการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.)วาระปกติ มีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานการประชุม ระหว่างการประชุมสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ได้แจ้งด้วยวาจาต่อที่ประชุมว่า ขอลาออกจากตำแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์ประกอบด้วย เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ประธานคณะพระธรรมจากริก และตำแหน่งแม่กองงานพระธรรมทูต ซึ่งที่ประชุมมหาเถรฯ มีมติเห็นชอบ ตามที่เสนอ พร้อมทั้งมีมติแต่งตั้ง พระวิสุทธิวงศาจารย์ (วิเชียร อโนมคุโณ) วัดปากน้ำภาษีเจริญ, กรรมการมหาเถรฯ และเจ้าคณะภาค 7 ขึ้นดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ, พระเทพกิตติเวที (ฉ่ำ ปุญฺญชโย) เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตร เจ้าคณะภาค 17 ดำรงตำแหน่งประธานคณะพระธรรมจาริก และตั้ง สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (อัมพร อัมพโร) เจ้าอาวาสวัดราชบพิธ กรรมการมหาเถรฯ ดำรงตำแหน่งแม่กองงานพระธรรมทูต โดยให้มีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ภายหลังการประชุมมหาเถรฯ นายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า การขอลาออกจากทั้ง 3 ตำแหน่งดังกล่าวเป็นความต้องการของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ โดยท่านแจ้งด้วยวาจาต่อที่ประชุมด้วยตัวของท่านเอง ซึ่งทางมหาเถรฯ ก็มีมติเห็นชอบ เหตุที่ท่านตัดสินใจลาออกนั้น น่าจะมาจากด้วยท่านอายุมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ จะยังคงดำรงตำแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ อยู่เช่นเดิม
รายงานข่าวแจ้งว่า ทั้ง 3 ตำแหน่งที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ขอลาออกนั้น ถือว่ามีความสำคัญในทางการปกครองคณะสงฆ์มาก โดยเฉพาะตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ซึ่งมีหน้าที่ปกครองพระสงฆ์ในเขตปกครองภาคเหนือทั้งหมด ขณะที่ตำแหน่งประธานคณะพระธรรมจาริก จะมีหน้าที่ในการควบคุม ดูแล พระสงฆ์ที่ทำหน้าที่เป็นพระธรรมจากริก คือ พระสงฆ์ที่ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาบนพื้นที่ดอยสูงในแถบภาคเหนือ ส่วนตำแหน่งแม่กองงานพระธรรมทูตนั้น จะมีหน้าที่คอยควบคุมดูแลพระธรรมทูตที่ทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาในพื้นที่จังหวัดต่างๆทั่วประเทศทั้งหมด

นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงชี้การข่าวเบลเยียมยังไม่ดีพอ

นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงชี้การข่าวเบลเยียมยังไม่ดีพอ
นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงของบีบีซีชี้การข่าวเบลเยียมไม่ดีพอ ขณะที่อังกฤษป้องกันเหตุร้ายได้เพราะชุมชนมุสลิมช่วยเป็นหูเป็นตา ด้านนักข่าวสายคมนาคมเผยระเบิดเกิดขึ้นก่อนผ่านจุดสแกน
นายแฟรงก์ การ์ดเนอร์ ผู้สื่อข่าวสายความมั่นคงของบีบีซีกล่าวว่า ไม่แปลกใจที่เกิดเหตุโจมตีท่าอากาศยานเบลเยียม แต่สิ่งที่น่าตกใจคือผู้ลงมือประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ทั้งนี้ หลังจากเกิดเหตุโจมตีที่สำนักงานนิตยสารชาร์ลี เอ็บโด ในกรุงปารีส เมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 12 คน นั้น สมาชิกรายย่อย ๆ ของกลุ่มก่อการร้ายที่เล็ดลอดจากการถูกจับกุมไปได้ มีอยู่หลายกลุ่ม โดยคนเหล่านี้รับเอาแนวคิดของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่ารัฐอิสลามหรือไอเอสมาปฏิบัติ รวมทั้งยังมีอาวุธและระเบิดในครอบครอง
นายการ์ดเนอร์กล่าวด้วยว่า หน่วยข่าวกรองของเบลเยียมพยายามพัฒนาขีดความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ นับตั้งแต่เกิดเหตุร้ายที่ปารีส แต่อย่างไรก็ดี เบลเยียมยังไม่มีระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานต่าง ๆ อย่างดีพอ ขณะที่อังกฤษสามารถป้องกันการเกิดเหตุร้ายได้ โดยอาศัยความร่วมมือของกลุ่มมุสลิมที่คอยแจ้งข้อมูลข่าวสารแก่ตำรวจกรณีพบพฤติกรรมต้องสงสัย แต่เบลเยียมยังทำเช่นนี้ไม่ได้
ด้านนายริชาร์ด เวสต์คอท ผู้สื่อข่าวสายคมนาคมของบีบีซีรายงานว่า จากข้อมูลที่ได้รับทราบว่าเหตุระเบิดที่สนามบินในกรุงบรัสเซลส์เกิดขึ้นก่อนผ่านขั้นตอนตรวจสอบความปลอดภัยจึงไม่น่าจะเป็นความพลาดที่เกิดขึ้นในบริเวณที่มีการตรวจสแกน
นายเวสต์คอทกล่าวด้วยว่าการควบคุมเหตุการณ์ทำนองนี้ไม่ให้เกิดขึ้นที่สนามบินมักเป็นสิ่งที่มีข้อจำกัด การป้องกันเหตุการณ์ต้องอาศัยการได้รับข้อมูลข่าวกรองล่วงหน้า
ด้านบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าเที่ยวบินที่เดินทางไปยังกรุงบรัสเซลส์ของเบลเยี่ยม ล่าสุดลงจอดอย่างปลอดภัย โดยเที่ยวบินของการบินไทยที่ออกเดินทางไปแล้วในวันนี้ ( 22 มี.ค.) คือเที่ยวบินที่ ทีจี 934 เส้นทาง กรุงเทพฯ – บรัสเซลส์ ซึ่งมีผู้โดยสารจำนวน 326 คน และลูกเรือจำนวน 20 คน ได้ออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เวลา 00.30 น. และไปถึงท่าอากาศยานบรัสเซลส์ เวลา 07.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ของวันเดียวกัน โดยได้ลงจอดอย่างปลอดภัย ผู้โดยสารและลูกเรือทุกคนไม่ได้รับอันตรายจากเหตุระเบิดซึ่งเกิดขึ้นที่สนามบินซาเวนเทมในกรุงบรัสเซลส์
สำหรับเที่ยวบินขากลับ ทีจี 935 เส้นทางบรัสเซลส์ – กรุงเทพฯ ซึ่งตามตารางการบินปกติจะออกเดินทางจากบรัสเซลส์ในเวลา 13.10 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) และถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เวลา 06.10 น. ของวันรุ่งขึ้น คาดว่าจะเลื่อนเวลาทำการบินออกไป จนกว่าท่าอากาศยานบรัสเซลส์จะให้บริการได้ตามปกติ ‪#‎Brussels‬

คำต่อคำ ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา โรดแมปมันสั้นไปขอยืด ต้องเด็ดขาดเคลียร์กันตอนนี้

คำต่อคำ ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา โรดแมปมันสั้นไปขอยืด ต้องเด็ดขาดเคลียร์กันตอนนี้

ปีย์ใน รายการ newtalk ชี้ต้องให้การศึกษาประชาชนให้เข้าใจประชาธิปไตยที่แท้จริง ระบุตนคุยกับนักการเมืองได้เพียง ‘อภิสิทธิ์’ เพราะเลเวลเดียวกัน แนะ คสช.ต้องจริงจังกับ ‘การปรับทัศนติ’ ตลอดชีวิตก็ต้องทำ ชี้ก็แค่ชีวิตเดียว เพราะมีอีก 71 ล้านที่ต้องดู
เมื่อวันที่ 7 มี.ค. ที่ผ่านมา รายการ new)talk ดำเนินรายการโดย อัญชะลี ไพรีรัก หรือ ปอง ได้สัมภาษณ์ คุณปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ เครือแปซิฟิก ผู้รับสัมปทานดำเนินการ สถานีวิทยุ จส.100 และประธานกรรมการ บริษัท แอดวานซ์ พับลิชชิ่ง จำกัด ผู้ผลิตนิตยสารดิฉัน และ คอสโมโพลิแทน (Cosmopolitan) ซึ่งบทสัมภาษณ์ดังกล่าวถูกนำมาพูดถึงและวิพากษ์วิจารณ์ต่อนัยสำคัญทางการเมืองในปัจจุบัน
โดย ปีย์ เสนอว่า ควรยืดเวลาโรดแมป และควรให้การศึกษาประชาชนให้เข้าใจประชาธิปไตยที่แท้จริงก่อน รวมทั้งความเสมอภาคคืออะไร ไม่เช่นนั้นก็กลับไปเหมือนเดิม นักการเมืองซื้อเสียง เข้ามาโกงบ้านเมือง แล้วก็ประชาชนลุกขึ้นมา เกิดรัฐประหาร อีก 100 ปีมันก็เป็นแบบนี้ พร้อมเชื่อด้วยว่าหากทำประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญก็จะถูกคว่ำ ถ้ายังเดินตามโรดแมปเดิม
นอกจากนี้ ปีย์ ยังเสนอด้วยว่า ต้องจริงจังกับการปรับทัศนคติ เพราะถ้าใช้คำว่า ‘ปรับทัศนคติ’ ก็คือต้องปรับความคิดเห็นของเขา ถ้าเขายังปรับไม่ได้จะให้เขาออกมาทำไม ให้เขาอยู่ราบ 11 หรือโอเรียนเต็ลก็ได้ แต่ปรับจนเห็นเหมือนกัน แม้จะต้องปรับทั้งชีวิต ก็แค่ชีวิตเดียว เรามีตั้ง 71 ล้านคน ที่เราต้องดูแล
ปีย์ ใน รายการ new)talk เมื่อวันที่ 7 มี.ค.59
โดยมีรายละเอียดดังนี้
ปอง : ด้านหลังของเรานั่งกันอยู่ในห้องรับแขก ด้านหลังข้างในเป็นห้องรับประทานอาหาร ห้องประชุม ห้องนี้แหละค่ะ เมื่อสองสามปีก่อนเป็นข่าวครึกโครมมากว่า เป็นบ้านที่เปิดห้องแล้วนั่งประชุมกันเพื่อที่จะล้มรัฐบาลคุณทักษิณ คุณทักษิณพูดเองเลยนะคะ อยู่ในบันทึกของสื่อมวลชนเลยนะคะ กลายเป็นเรื่องที่ทุกคนพุ่งเป้ามาที่คุณปีย์ ซึ่งคุณปีย์ทำ จส.100 ทำดิฉัน ทำหนังสือ คอสโมโพลิแทน (Cosmopolitan)  เป็นสื่อมวลชนรุ่นใหญ่ ต้นทางของเราเป็นครูบาอาจารย์ของเรา อยู่ดีๆ ทำไมไปอยู่หน้าสื่อการเมือง และก็อยู่ในใจคุณทักษิณขนาดนั้น คุณทักษิณมองคุณปีย์เหมือนเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง หัวขบวนตัวตั้งตัวตีที่ล้มรัฐบาลคุณทักษิณมาโดยตลอดในช่วง 4 ปี มานี้
ปีย์ :  มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นนะครับ  คือเราเป็นผู้ใหญ่ คุณปองยังไม่ทำเลยว่าผมอายุเท่าไหร่ ปีนี้ผม 79 ผมก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาตั้งแต่สมัยไหนแล้วก็ไม่รู้ สมัยจอมพล ป. สมัยอะไรต่างๆ และพ่อก็ทำงานกระทรวงต่างประเทศ แล้วมันก็รู้อะไรต่ออะไรลึกซึ้ง จะว่าลึกซึ้งก็ไม่ใช่แต่เห็นบรรยากาศของประเทศ เพราะผมเชื่อไม่มีใครรู้อะไรลึกซึ้งหรอก
ปอง : ตอนนั้นคุณปีย์จัดตั้งการประชุมกลุ่มต่อต้านคุณทักษิณ (ชินวัตร) ที่นี่จริงไหม
ปีย์ : ไม่ใช่เป็นประชุม พูดง่ายๆ มาทานข้าวที่นี่ ไม่ได้ไปทานข้าวข้างนอก
ปอง : แล้วจับกลุ่มกันที่จะล้มรัฐบาลคุณทักษิณจริงไหม
ปีย์ : เอิ่ม ไม่จริงหรอกครับ  เพราะว่าอย่างที่คุณพัลลภ (พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี)ไปพูดมันคนละเรื่องกัน วันที่มาคุยกันนะครับ มาคุยกันเรื่องว่าวันนั้นศาลเข้าเฝ้าและผลออกมาเป็นอย่างไร ก็มาพูดกันคุณอักขราทร มาคุยกันไม่มีทหารสักคนหนึ่ง มีทหารคนเดียวคือพล.อ.สุรยุทธ์ (จุลานนท์) ซึ่งปลดเกษียรแล้ว แต่ทีนี้การทำงานอย่างเนี่ยมันไม่มาทำกันตรงนี้หรอก ก็เป็นการคุยกันระหว่างผู้ที่
ปอง : แล้วทำไมคุณทักษิณถึงพุ่งเป้ามาที่คุณปีย์
ปีย์ : ก็อาจจะเป็นการที่คุณพัลลภเดินทางไปเมืองจีนแล้วไปเล่าอะไร ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเล่าอะไรบ้าง
ปอง: คุณปีย์คิดว่าเป็นข้อมูลที่เพี้ยน
ปีย์ : แน่นอน
ปอง : แต่มันมีข้อมูลที่เห็นในเฟซบุ๊กค่ะ ในเฟซบุ๊กเมื่อสองสามวันก่อนของคุณปีย์ เฟซบุ๊กคุณปีย์มี 3 อัน แล้วมีทวิตเตอร์อีก 1 อัน ซึ่งมีผู้ติดตามจำนวนมาก ในเฟซบุ๊กบอกว่า “ผมชอบนายกบิ๊กตู่ โดยเฉพาะที่ให้สัมภาษณ์ใน Aljazeera ถึงเหตุที่ทำรัฐประหาร” คุณปีย์เขียนว่า “สุดยอดมาก เด็ดเดี่ยวมาก แน่วแน่มาก ทำเพื่อชาติมาก เพราะว่าถ้าไม่ทำแล้วบ้านเมืองไม่รู้จะเป็นอย่างไรต่อไป” คุณปีย์ถึงกับบอกว่า “บทสัมภาษณ์นี้ถูกเผยแพร่ออกไปน้อยเหลือเกิน จะต้องให้ต่างชาติได้รับรู้ ช่วยกันแชร์ให้มากๆ นะครับ”  โอโหนี่พ่อยกเบอร์หนึ่งเลย
ปีย์ : มันไม่ใช่นะ มันไปอ่านเข้าไปเห็นเข้า ก็คิดว่า ถ้าชาวต่างชาติรู้อย่างนี้ เขาจะได้รู้เจตนาของประเทศไทย หลายคนทั่วโลกยังไม่รู้เลยว่าประเทศไทยจุดยืนตรงไหน และวันนั้นคุณประยุทธ์พูดได้ชัดเจนมากว่าทำไมต้องทำรัฐประหาร
ปอง : คุณปีย์เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร
ปีย์ : ใช่ครับ ก็เห็นคุณปองเหนื่อยเหลือเกิน
ปอง : คุณปีย์ไม่เป็นประชาธิปไตย เอาเสียเลย
ปีย์ : เป็นประชาธิปไตยสุดๆ เลยครับ แต่การเป็นประชาธิปไตยนะครับ ที่สำคัญที่สุดประชาชนต้องมีการศึกษา และเข้าใจระบบประชาธิปไตย งั้นก็มีการซื้อเสียงกัน แล้วพวกใครมากก็ไปจัดการโกงบ้านโกงเมืองกัน
ปอง : ทำไมคุณปีย์ถึงไว้ใจและเชื่อมั่น พล.อ.ประยุทธ์ ได้มากขนาดนี้
ปีย์ : ตอนนี้มันไม่ตัวเลือกไงครับ ผมมอง พล.อ.ประยุทธ์มา 20 ปี เป็นผู้ชายนิสัยดี แล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างที่สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ สนุกสนานไปกับอารมณ์ แต่เป็นคนที่เขียนเพลงก็ได้ แต่งเพลงก็ได้ แต่งกลอนก็ได้ แต่งกลอนนะครับ เอาใบที่เขียนอาหารไว้บนโต๊ะเสวย แล้วมีอะไรบ้าง พลิกกลับหลังว่างเขียน 10 นาทีเสร็จ เขาเป็นคนที่มีอารมณ์ แต่เวลาเดียวกันเอาจริง เอาจัง
ปอง : ทำไมคุณปีย์มองว่าก่อน พล.อ.ประยุทธ์ มา มันไม่สงบสุข
ปีย์ : คุณปองไม่น่าถามผมแบบนี้เลย คุณปองเหนื่อยมากกว่าคนอื่นอีก
ปอง : แต่ตอนนั้นรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ก็มั่นใจว่ากำลังทำให้ประเทศพัฒนา เดินหน้าไป พล.อ.ประยุทธ ต่างหากที่ทำให้ประเทศหยุดชะงัก
ปีย์ : ผมทำนานะครับที่เชียงราย ผมรู้ว่าการซื้อข้าวมันเป็นอย่างไร รอบบ้านผมนะครับปีที่ 2 ถึงได้เงิน เขาอยู่กันยังไงหละครับ แต่เผอิญโฉนดผมมันชื่อปีย์ ผมเลยได้วันแรกเลย งั้นความไม่เท่าเทียมมันเกิดขึ้นให้ผมเห็นโครงการทั้งหมด จำนำข้าวและโครงการอื่นๆ อีกหลายโครงการ ในยุครัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ผมก็คิดว่าถ้าไปอย่างนี้ประเทศก็มีแต่พังกับพัง แล้วเมื่อคุณสุเทพก็มองเห็น คุณอภิสิทธิก็มองเห็น ก็ขึ้นมาต่อสู้ ต่อสู้ในสภาไม่ได้ ก็ออกมาต่อสู้แบบต้องออกมาข้างถนน
ปอง : คุณปีย์เห็นด้วยตอนนั้น ผบ.ทบ.ลุกขึ้นมา
ปีย์ : ถ้าไม่ลุกขึ้นมานะครับ ผมว่าไม่รู้จะจบยังไง ผมก็เริ่มว่าคนเสื้อแดงมาอยู่แล้วที่ แล้วก็เห็นคุณปองก็อยู่แล้วที่อนุเสาวรีย์ ถ้าเกิดชนกัน คุณมีอะไรจะสู้คุณมีหนังสติ๊กหรอ มีปืนกี่กระบอก มันสู้กันไม่ได้ มันก็จะมีการล้มตายกันมหาศาล
ปอง : คุณปีย์บอกว่าการทำรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น มาถูกที่ถูกจังหวะ ถูกเวลา ท่ามกลางปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานั้น คุณปีย์เห็นด้วยกับการรัฐประหารขนาดนั้นเลยหรอ
ปีย์ : ไม่ใช่ถูกที่ถูกเวลานะครับ ผมมองว่าการล้มตายจะน้อย คิดว่าน่าจะทำก่อนหน้านั้นด้วย กว่าที่คุณปองจะต้องนำคนเป็นล้านล้านคนออกมานี่
ปอง : มองว่า 1-2 ปีที่ผ่านมา ของรัฐบาล คสช. เป็นไงบ้าง
ปีย์ : ตอนนี้ผมคิดว่าเขามาจัดระเบียบ แล้วก็มาดูว่าบ้านเมืองเป็นอย่างไร เพราะไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ แล้วบ้านเมืองมันเป็นอย่างไร
ปอง : คุณปีย์พึงพอในในช่วง 1-2 ปีมานี้
ปีย์ : ผมพึงพอใจในระดับหนึ่ง อีกระดับหนึ่งก็ไม่พึงพอใจ เอาเรื่องสั้นๆ ง่ายๆ อย่าง 2-3 วัน รองนายกฯ 2 คนเดินทางไปรัสเซีย ไปทำไมครับ เวลานี้เรามีปัญหาโลกนะครับ ถ้าเราไปรัสเซีย จีนจะรู้สึกอย่างไรครับ ไปรัสเซีย  อเมริกันจะรู้สึกอย่างไรครับ แล้วเราจะมีเพื่อนมากขึ้นหรอ แต่ในความรู้สึกผมรุ้สึกว่าทางรัฐบาลไปเพื่อจะไป make friends กับรัสเซีย ไปดินเนอร์กับปูติน แต่หารู้ไม่ว่าวันที่ดินเนอร์กับปูติน ที่จีนเขาคิดอย่างไร และที่อเมริกาเขาคิดอย่างไร โลกเดี่ยวนี้มันสื่อสารภายในไม่กี่วินาที
ปอง : คือบางเรื่องคุณปีย์ก็เห็นด้วย บางเรื่องคุณปีย์ก็ไม่เห็นด้วย แต่รวมๆ แล้วก็อย่างให้อยู่ต่อเพื่อที่
ปีย์ : จะให้พวกเราเข้าใจว่าระบบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไร เมื่อเราเข้าใจแล้ว เราก็จะได้ไปเลือกตั้งเอาหรือไม่เอา หรือเปลี่ยนตรงไหน ด้วยสายตาประชาชน
ปอง : แล้วนายจะอยู่ต่อได้อย่างไร ในขณะที่ปัจจุบันถูกกล่าวหาว่า เข้ามาด้วยอำนาจพิเศษและรัฐประหารแล้วก็จะสืบทอดอำนาจ ถูกกระทุ้งทุกวันเลย
ปีย์ : โอ้ย แล้วจะถูกกระทุ้งมากกว่านี้อีก เป็นผมนะครับ ง่ายๆ ก็เปลี่ยนนายกฯอีกคน เรามีตั้ง 71 ล้านคน ไม่ใช่ทุกได้ แต่การที่ว่าถ้าคุณตู่ รับแรงนี้ไม่ไหว แต่ผมเชื่อว่าการเป็นทหารของเขาเนี่ยเขารับไหว  แล้วขอให้เพื่อนๆ เขาหรือพี่ๆ เขา ช่วยหน่อย ประคับประคอง ถ้าพี่ๆ เพื่อนๆ ไม่ช่วยประคับประคอง ต่างคนต่างเดิน มันก็ไปไม่ได้
ปอง : คุณปีย์คิดว่า อะไรควรเป็นก่อนหน้าหลัง ที่นายกประยุทธ์ควรจะต้องทำในช่วงเวลานี้
ปีย์ : ผมว่าตอนนี้เรื่องเศรษฐกิจนายกจะต้องดูแล้ว เพราะว่านายกบอกว่าประชากรของเรา 70% เป็นเกษตรกร แต่ในเวลาเดียวกันที่ท่าเรือแหลมฉบัง หรือท่าเรือคลองเตย เรือที่เข้ามารับสินค้าลดลง 40% เราจะไปขายใครครับ โลกมันจนทั้งโลก เมื่อมันเป็นทั้งโลกก็ให้ประชาชนใจเข้าใจสิครับว่ามันเป็นทั้งโลก แล้วก็อยู่กันอย่างพอเพียง ผมว่ามันไม่เกิน 3 ปี หมายถึงเศรษฐกิจ ไม่ใช่ว่าเราเดินไปขอข้าวทาน คือต้องมองว่าเศรษฐกิจโลกตั้งแต่กรีซล้มมา  แล้วก็สเปน อิตาลี ฝรั่งเศส กู้เงินเยอรมัน ตอนนี้ดอยเชอ แบงก์ กำลังจะล้ม ภายในอาทิตย์นี้ แล้วธนาคารจีนก็กำลังจะล้ม
ปอง : ถ้าหากดูจากรูปทรง พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาล ให้เต็ม 10 ให้เท่าไหร่
ปีย์ : เต็ม 10 ให้ 6 พูดง่ายๆ ครับ เราจะขับเครื่องบินเราต้องใช้นักบินขับ ที่มีชั่วโมงบินสูง แต่เราเอานักบินที่มีชั่วโมงไม่สูงมันก็ต้องใช้เวลาหน่อยในการที่จะปรับ
ปอง : นายกรัฐมนตรีบอกว่า ตั้งแต่รัฐประหารมาไปชวนใครมาทำงานก็แทบไม่มีใครอยากจะมาเลย
ปีย์ : เพราะว่าทุกคนรู้สึกว่าถ้าไปร่วมด้วยแล้ว เมื่อจบแล้วตัวเองจะเอาตัวไปไว้ที่ไหน เพราะทุกคนจะมองเป็นศัตรู เพราะฉะนั้นต้องสอนคนไทยหน่อยว่า ไม่ใช่นะ มาช่วยเป็นครูสอน สอน แล้วก็ช่วยชาติ หลังจากนั้นแล้วเราจะเชิดชู  ความรู้สึกจะเปลี่ยนทันทีเลยครับ
ปอง : รัฐประหารครั้งนี้ทำให้มันเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปหน่อยเถอะ ปฏิรูปให้มันดีก่อนเลือกตั้ง ประเด็นคือเราจะเดินผ่านมันไปอย่างไร ขณะปัจจุบันนี้รัฐมนตรีเราถูกไล่เช้าไล่เย็น
ปีย์ : ผมผ่านปฏิวัติมาหลายหนแล้ว ทุกคนก็จะโดนแบบนี้ แล้วก็ต้องหนี หรือไม่ก็ไปตายต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะไม่เป็นอย่างนี้คือจะทะเลาะกันเอง คุณเผ่ากับจอมพลสฤษดิ์ก็ทะเลาะกันเอง แล้วก็จอมพล ป. ก็หนีไป มันไม่ได้จบสิ้นที่ว่าเราต้องให้การศึกษากับประชาชน ให้ประชาชนเข้าใจว่าระบบประชาธิปไตยเป็นอย่างไร ไม่ใช่มานั่งซื้อเสียงกัน ใครมีเงินก็เข้ามาบริหารประเทศ แล้วก็มาโกงประเทศจนคนทนไม่ไหวก็ลุกหือ แล้วก็ปฏิวัติอีก อีก 100 ปีมันก็เป็นแบบนี้
ปอง : ถ้าหากปฏิวัติแล้วไม่ผ่าตัดรักษาโรคให้กับประเทศไทย เดี๋ยวมันก็ต้องมีอีก ฉีกรัฐธรรมนูญอีก เขียนกันอีก วันก่อนอาจารย์มีชัย บอกว่าอีกทีไม่ทำแล้วนะ
ปีย์ : ท่านก็ไม่ไหวแล้วครับ แล้วผมเชื่อว่า ท่านประยุทธ์มีความอดทนสักนิดนึง ทนหน่อยและทำให้มันเรียบร้อย ถ้าคุณตู่ทนไม่ได้ ก็ไปสิครับ แล้วมันก็กลับมาอีก ลูกคุณตู่ก็ต้องเจอรัฐประหารอีก แล้วก็หลานคุณตู่ มันต้องเด็ดขาดแล้วเคลียร์กันตอนนี้ มันเป็นโอกาสที่จะเคลียร์ได้ แต่ถ้าใจไม่ถึงที่จะไม่เคลียร์จะเอาตัวรอดไปก็อีกเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่พล.อ.ประยุทธ์ คนเดียวครับ ต้องนึกถึงรอบๆ ข้าง พล.อ.ประยุทธ์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นทุกคนใจถึงร่วมกัน คนเดียวทำไม่ได้หรอกครับ อย่าไปเสียเวลากับเรื่องไม่เข้าเรื่อง อย่าไปทะเลาะกัน อย่าไปขัดคอกัน
เรื่องที่ควรทำคือต้องให้การศึกษากับประชาชนว่ารัฐธรรมนูญที่จะออกมานี้เป็นอย่างไร มีประโยชน์อย่างไรต่อประเทศ แล้วคุณจะเลือกหรือไม่เลือก ไม่ช่ให้คนมาซื้อเสียงว่าคุณไปโหวตสิไม่เอาหรือไปโหวตสิว่าเอา
ปอง : ถ้ารัฐประหารมันกินเวลายาวนานออกไป สภาพของพรรคการเมือง สภาพของนักการเมืองจะเป็นอย่างไร ไม่ถูกตอน ไม่ถูกทำหมั่น
ปีย์ : นักการเมืองตอนนี้ก็เดือดร้อนสิครับ เพราะเงินเดือนก็ไม่ได้ งานที่ไหนก็ไปทำไม่ได้ ก็ต้องออกไปเดินหาเสียงไปอะไร รายได้ตกไป มันเป็นธรรมชาติ เราควรมองประเทศเป็นหลักก่อน ให้ประชาชนของเราเป็นประชาธิปไตยให้ได้
ปอง : ถ้าหากรัฐบาลอยู่ต่อไป การเมืองมันจะเป็นอย่างไร  มันจะวุ่นวายไหม
ปีย์ : อันนี้มันขึ้นอยู่กับหลายๆ คนที่อยู่รอบๆ ข้างนายก ต้องช่วยกันไม่ให้เป็นอย่างนี้ แล้วก็ต้องจริงจังนิดหน่อย ตอนแรกๆ ที่รัฐประหารรู้สึกว่าจริงจังมาก แต่เดี่ยวนี้รู้สึกจริงจังน้อยลงไปหน่อย โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้น 2-3 วันนี้  เรื่องปรับทัศนคติ มันไม่จริงจังแล้วมันดูเป็นเรื่องเล่นแล้ว ผมอยากให้จริงจังแบบที่ว่า จิตใจของผมคือต้องการให้ประชาชนเข้าใจรัฐธรรมนูญที่ออกมาและเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ แล้วก็ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงมา ถ้าได้มามันจะไม่มีปฏิวัติอีกแล้ว แต่ผมเชื่อว่าคุณประยุทธ์นี่กำลังจะปรับอันนี้ ให้ประชาชนเข้าใจว่าระบบการเลือกตั้งที่ถูกต้องควรจะเป็นอย่างไร ผมถึงบอกว่าผมไม่เห็นด้วยกับโรดแมปที่ตั้งไว้สั้นๆ นี่ ถ้าโรดแมปนี่ถ้ามันเป็นโรดจริงๆ ก็ต่อถนนให้มันยาวหน่อย ให้ความรู้กับประชาชน ให้เข้าใจระบบประชาธิปไตยที่แท้จริง เพื่อได้เลือกตั้ง แล้วเราจะได้อยู่กันอย่างสงบสุข
ปอง : การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้ คุณปีย์ก็เลยมองว่าอย่าพึ่งเลยหรอ
ปีย์ : สำหรับผมนะครับ ถ้าผมมีอำนาจแล้วก็สั่งใครได้ก็บอกอย่าพึ่งเลยครับ เพราะถ้าเลือกตอนนี้ มันก็หมายความว่ารัฐธรรมนูญออกมาว่าจะเอาหรือไม่เอารัฐธรรมนูญอันนี้ที่คุณมีชัยร่าง ถ้าคนไม่ชอบไปบอกประชาชนทั้งหมด ไม่เอาอย่าเลือก ประชาชนก็ไม่เลือก ถามว่าไม่เลือกเพราะอะไร ก็เพราะเขาบอกมา ถามว่ารู้ไหมว่ารัฐธรรมนูญเขียนว่าอะไร ไม่รู้
ปอง : แสดงว่าคุณปีย์มั่นใจว่าเป็นไปตามโรดแมปของนายกรัฐมนตรี อีกไม่ช้าไม่นานการทำประชามติคว่ำแน่
ปีย์ : ถูกต้อง ผมมองว่าไม่ผ่าน หรือผ่าน ก็ผ่านแบบล่อแล้ มันก็จะเป็นสมัย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปถึงจุดนั้นเลย เพราะประเทศไทยตั้งแต่กบฏแมนฮัตตันมา มันก็มารูปนี้ล่ะครับ มาอยู่ได้พักนึงมันก็ยุ่งเหยิงเพราะความไม่เข้าใจ คุณปองรู้ไหมครับว่าอย่างนี้นะครับ 2475 ตรงกับปี พ.ศ.อะไร ตรงกับปี ค.ศ.1932 หรือ 30 ซึ่งตอนนั้นเกิด World Recession ในอเมริกาต้องขอข้าวไปกิน ต้องเดินขอข้าว ทางเราไม่รู้เรื่องเลย เพราะเราห่างการสื่อสารเราไม่มีเลย เราก็ไม่รู้มันเป็นอะไร ท่านก็ปลดข้าราชการ ท่านดึงนักศึกษาที่เรียนต่อกลับ ความเข้าใจของ Recession มันเกิดขึ้นแล้วมันก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ รัฐประหารจอมพล ป. เสร็จแล้วก็เปลี่ยนแปลงเปลี่ยนแปลง  ผมอยู่มาไม่รู้กี่รัฐประหารแล้ว มันกลับมาอีก ไม่ได้แก้ปัญหา ผมอยากให้เป็นรัฐประหารสิ้นสุดไม่ต้องมีรัฐประหารอีก คือให้ความรู้คน ให้ความรู้ประชาชน เข้าใจจริงๆ เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ และวิธีการปกครองประเทศ ประเทศทุกประเทศมีความเห็นต่าง คำว่าแตกแยกแรงไปหน่อย และในความเห็นต่าง นั้นรอ 4 ปี เลือกรัฐบาลใหม่ มันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่นุ่มนวล
ปอง : แต่รัฐบาลที่มาจากรัฐประหารในยุคปัจจุบันนี้ จะถูกต่างชาติ มองด้วยสายตาตะวันตก
ปีย์ : นี่ก็เป็นอันหนึ่ง ที่เราต้อศึกษาต่างชาติ
ปอง : ท่าทีที่อเมริกาจะบีบให้ไทยไปสู่การเลือกตั้งให้ได้ ตอกย้ำบ่อยๆ คุณปีย์มองอย่างไร
ปีย์ : ผมว่าอเมริกันเกี่ยวกับการมองโลก อเมริกันไม่ฉลาดเลย ถ้าอเมริกันฉลาดในมิดเดิลอีสต์คงไม่ฆ่ากันขนาดนี้ คงไม่เสียทหาร ไม่เสียงบประมาณ ขนาดนี้ที่ทำให้ซีเรียรบกัน หรือเกิดการแตกแยกในมิดเดิลอีสต์ เพราะฉะนั้นการมองโลกของอเมริกัน ผมว่าแคบมาก
ปอง : ถ้าหากเราจะตอบอเมริกาว่าสถานการณ์บ้านเมืองเราเป็นอย่างนี้ เราจะเลือกตั้งแน่ๆ เราควรจะต้องตอบเขาว่าอย่างไร
ปีย์ : อย่ามายุ่งได้ไหม เมืองใครก็เป็นเมืองมัน
ปอง : ถ้าหากยืดออกไปพล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่เลือกตั้ง อย่างที่เคยบอกเอาไว้ว่าสิ้นปี 60 นี่  คุณยิ่งลักษณ์ถามเลยนะ
ปีย์ : ก็ไม่ต้องตอบ คุณยิ่งลักษณ์ก็เป็นนักการเมือง สิ่งที่น่าจะทำที่สุดก็คือเชิญคุณยิ่งลักษณ์มาแล้วอธิบายให้คุณยิ่งลักษณ์ฟังว่าประเทศต้องไปอย่างไร คุณยิ่งลักษณ์ตอนนี้ก็อาจมีความรู้แล้วว่าข้างบนเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อก่อนนี้อาจจะไม่มี  ก็อธิบายให้ฟังว่าเราจะทำอย่างนี้ ไปกันได้ไหม ถ้าทุกคนคุยกัน ไม่ได้ทะเลาะกัน
ปอง : คุณปีย์บอกว่าให้ตั้งวงเลย เรียกนักการเมืองมา แล้วคุยเลยว่า เราขอปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งก่อนนะ แล้วอาจจะใช้เวลาหน่อยนะ มันคงไม่ใช่เวลามันสั้นไป โรดแมปมันสั้นไปขอยืด คุณปีย์ว่านักการเมืองเขาฟังไหม
ปีย์ : พูดอย่างนั้นเขาก็ไม่ฟังครับ ต้องบอกคุณทำอย่างไรถึงจะยืดได้ ถ้าเขาไม่ยอมประเทศก็เป็นแบบนี้ ผมเชื่อว่าวันนี้เรานั่งกันนี้ เราไม่รู้เลยว่าเราจะไปกันทางไหน บ้านผมพูดง่ายๆ ครับ ผมมีคนทำงานที่บ้านสัก 8-9 คน ช่วงเลือกตั้ง ทุกคนลากลับบ้านกันหมดไปเลือกตั้ง ถามไปทำไม ไปรับเงิน ถ้าตราบใดมันเป็นอย่างนี้ประเทศจะเป็นอย่างไร เราต้องแก้ปัญหาเริ่มที่ให้การศึกษา ให้คนเราเข้าใจจริงๆ ว่าประชาธิปไตยคืออะไร ความเสมอภาคคืออะไร ความเหลื่อมล้ำมันต้องมีขนาดนั้น ไม่ใช่เหลื่อมล้ำกันจนขนาดนี้
ปอง : เขาบอกว่าคุณปีย์ คือนักเจรจา และก็ครองตำแหน่งนี้มานานหลายสมัยมาก ไม่มีใครล้มแชมป์นี้ได้ ถ้าหากคุณปีย์จะทำหน้าที่เจรจาแทนนายกรัฐมนตรี ไปพูดกับบรรดาเหล่านักการเมืองทั้งหมด ว่าฉันจะยืดออกไป คุณปีย์จะพูดว่า
ปีย์ : ผมไม่ไป ผมนอน เพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง เพราะเขาเห็นแก่ตัว ผมจะเลือกไปกับคุณอภิสิทธิ์เพราะผมสื่อในเลเวลเดียวกัน แต่ถ้าผมไปคุยกับอดีตคุณสมัคร คุยกันไม่รู้เรื่อง ไปคุยกับคุณยิ่งลักษณ์ผมไม่มีโอกาสครับ แกอาจจะสวยเกินไปมั้ง
ปอง : เดี๋ยวต้องไปคุยกับคุณวัฒนา เมืองสุข คุณปีย์คิดว่าคุณวัฒนา ไปรับทัศนะคติเที่ยวนี้ดีไหม
ปีย์ : ไปปรับอะไรกันเช้าถึงเย็น ผมไม่ได้พูดถึงคุณวัฒนา ผมพูดถึงว่าถ้าใช้คำว่า ‘ปรับทัศนคติ’ ก็คือต้องปรับความคิดเห็นของเขา ถ้าเขายังปรับไม่ได้จะให้เขาออกมาทำไม ให้เขาอยู่ราบ 11 หรือโอเรียนเต็ลก็ได้ครับ แต่ปรับจนเห็นเหมือนกัน
ปอง : โอ้โห อาจจะต้องทั้งชีวิต
ปีย์ : ก็แค่ชีวิตเดียว เรามีตั้ง 71 ล้านคน ที่เราต้องดูแล คุณประยุทธ์มีคน 71 ล้านกว่า ที่ต้องดูแล
ปอง : ถ้าเอาเข้าไปปรับทัศนคติทั้งชีวิต ชีสักวิตหนึ่ง
ปีย์ : มันจะอะไรกัน แต่อาจจะปรับได้นะครับ ให้รอบด้านให้ดูหนัง ให้อ่านหนังสือ ให้รู้ว่าโลกเขาเป็นยังไง อาจจะปรับได้
ปอง : ทัศนคติคุณปีย์ต่อนักการเมืองไทย ถ้าจะบอกว่าไม่สู้จะดีนัก ใช่ไหม
ปีย์ : ก็เห็นแก่เงิน และคอรัปชั่น
ปอง : อุปสรรคของประเทศนี้คือนักการเมือง
ปีย์ : พูดแบบนี้เดี๋ยวเขาโกรธผมนะ แต่ก็คงจะใช่ล่ะครับ ผมมองว่านักการเมืองที่เข้ามาเล่นการเมือง ควรจะมี ความรู้เรื่องโลก เรื่องประเทศไทยมากกว่านี้ ไม่ใช่กลับมาแล้ววันเสาร์อาทิตย์ก็ไปดอนเมืองขึ้นกลับไปท้องถิ่น รู้เฉพาะรอบตัวเล็กๆ คุณภาพคือต้องรู้แบบกว้าง อย่างคุณอภิสิทธิ์มานั่งคุยด้วย รู้ว่าคุณอภิสิทธิ์รู้เรื่องโลก แต่ไปคุยกับหลายคนในพรรคไม่รู้หรอก นึกออกไหมครับ รู้ว่าเมืองเพชรเป็นอย่างไร นักการเมืองต้องมองโลกให้กว้างกว่านี้
ปอง : คุณปีย์มองท่าทีของคุณทักษิณในช่วงนี้อย่างไรบ้าง
ปีย์ : ก็วนไปวันมา จะไปไหนล่ะครับ มนุษย์มันก็เหมือนต้นไม้ เอาไปอยู่ที่ไม่มีรากมันก็ทรมาน แล้วก็โวยวายไปทั่ว
ปอง : คุณปีย์มองว่าการใช้สื่อต่างประเทศ ของคุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์อย่างไรบ้าง
ปีย์ : ศูนย์ครับ คนกี่คนอ่านรู้เรื่องครับ คุณทักษิณพูดแต่นักข่าวเป็นคนเขียน คำถามที่นักข่าวถาม คุณทักษิณตอบ มันยัง ไปไม่ได้
ปอง : ความพยายามของคุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์ที่จะใช้พื้นที่สื่อในต่างประเทศ เป็นการเอาโลกล้อมไทยบีบคุณประยุทธ์ มันจะได้ผลไหมคะ ในฐานะที่เป็นนักสื่อสาร
ปีย์ : มันไม่ได้ผล ดูที่คุณประยุทธ์พูดภาษาไทยแต่คนถามเป็นภาษาอังกฤษ คุณประยุทธ์พูดออกมาจากใจและออกมาจากเจตนา จะดีจะเลวอย่างไรมันออกมาคนไทยฟังรู้เรื่อง ถ้าพรุ่งนี้ออกมาเป็นภาษาอังกฤษนะครับ แล้วคนแปลหละครับ เขาก็แปลตามใจเขา มันไม่ได้แปลตามใจคุณทักษิณ
ปอง : คุณปีย์คิดอย่างไรกับหมายเรียกกรณี พล.ร.อ.พระจุณณ์ ตามประทีป
ปีย์ : เราพูดไม่ได้ว่าจะเป็นสารวัต ต่างจังหวัดต้องจ่ายเท่าไหร่ ในกรุงเทพต้องจ่ายเท่าไหร่ เราพูดไม่ได้ เพราะเราไม่เห็นตอนเขาจ่าย
ปอง : แต่มันมีจริงไหม
ปีย์ : มาถามอะไรผม มีใครในห้องนี้ที่นั่งกันอยู่ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จริง
ปอง : ถ้าจะบอกว่าตำรวจบ้านเราที่เลื่อนตำแหน่ง ไม่ต้องเสียเงินเสียทองเลยจริงไหม
ปีย์ : มันก็มีแหละครับ แต่ทั้งนี้มันคงน้อย
ปอง : ถ้ามีใครสักคนพูดว่า ยุคผมการเลื่อนตำแหน่งไม่เสียเงินเสียทอง คุณปีย์เชื่อไหม
ปีย์ : ผมเชื่อ ถ้าหลานผมได้เป็นอธิบดีตำรวจ  ยังอีกนานครับ
ปอง : ได้คุยกับ พล.ร.องพะจุณณ์ ไหมคะ หลังถูกหมายเรียก
ปีย์ : ได้คุยครับ ให้กำลังใจสู้ๆ
ปอง : คุณธรรม จริยธรรมของสื่อมวลชน คุณปีย์มองยังไง
ปีย์ : อาย มันหลายเรื่องอย่างเรื่อง มันไม่ใช่สมัยนี้ มันก็มีอยู่คนเดียวเท่านั้นที่ผมคิดว่าผมจะกราบไหว้ได้ ว่ามีจรรยาบรรณสูง ก็คือพระพุทธเจ้าไง นอกนั้นไม่ใช่เอียงซ้ายเอียงขวา จ่ายหน้าจ่ายหลัง มันเป็นกฏของคนไทยธรรมดา
ปอง : ในรอบ 10 ปีที่มีปัญหาบ้านเมืองขาดนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากสื่อมวลชนด้วย คุณปีย์คิดอย่างไร
ปีย์ : ความสัมพันธ์ของนักการเมืองและสื่อมวลชน ผมอยาจะบอกว่าดีมากเลย เพราะว่าการสัมพันธ์ สื่อมวลชนกับนักธุรกิจ นักธุรกิจจ่ายสื่อมวลชนเป็นรายๆ ใครทำผิดมากๆ เราก็ไม่ด่าเขา เพราะว่าถ้าขืนด่าเดี่ยวไม่ได้รับ เนื่องจากผมทำสื่อมานาน คนนั้นไปอยู่นั้น อยู่นี้ บรรณาธิการบริหารมีอำนาจน้อยกว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีอำนาจน้อยกว่านายกรัฐมนตรี การปกครองก็ลำบาก
ปอง : หมายถึงสื่อมวลชนถูกใช้ ถูกมวลชนถูกซื้อ ไปเป็นกระบอกเสียงให้นักการเมืองและนักธุรกิจ แต่ก็ไม่ทั้งหมดก็มีบางส่วน
ปีย์ : นักธุรกิจถ้าไม่ใหญ่จริงก็ไม่มีประโยชน์ที่จะซื้อ ถ้าใหญ่จริงเขาก็ต้องซื้อพวกสื่อมวลชนไว้
ปอง : ถ้าถามคุณปีย์ว่า ณ วันนี้ถ้าเดินออกไปเจอพล.อ.ประยุทธ์ คุณปีย์อย่างจะพูดว่า
ปีย์ : สวัสดีครับ จบ
ปอง : แล้วถ้าเจอคุณทักษิณ
ปีย์ : สวัสดีครับ จบ
ปอง : เจอคุณยิ่งลักษณ์
ปีย์ : ไม่รู้จัก
ปอง : เจอคุณอภิสิทธิ์
ปีย์ : สวัสดีครับ จบ
ปอง : เพราะ
ปีย์ : จะไปพูดอะไรครับต่างคนก็ต่างรู้ว่าตัวเองรู้หมดทุกอย่างแล้ว เชื่อเถอะถ้าผมโทรไปหานายกฯตอนนี้ เขาจะตอบว่า พี่ครับพี่แก่แล้วพี่อยู่เฉยๆ เถอะ เราอ่านเกมส์ออก ทุกคนมีข้อมูลหมด