PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

แนวคิด อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เหตุสังหารยิวทั่วยุโรป (ตอน 3 พ่ายสงคราม)


วันที่ 10 ก.ค.57

 เผย..แนวคิด อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เหตุสังหารยิวทั่วยุโรป (ตอน 3 พ่ายสงคราม)


ก่อนชาวยิวมีธรรมเนียมการทำธุรกิจแบบเอารัดเอาเปรียบ ผูกขาด แบบที่สมัยนี้หลายประเทศถือว่าผิดกฎหมาย ตัวอย่าง เช่น ชาวยิวกลุ่มหนึ่ง เป็นลูกหลานของกิจการค้าเพชรพลอยที่มั่งคั่งร่ำรวย และอิ่มตัวแล้ว จะต้องหาทางไปลงทุนในกิจการอย่างอื่น กลุ่มนายทุนชาวยิวพวกนั้นจะมาประชุมกัน สมมติว่าตกลงจะลงทุนในธุรกิจโรงงานทำขนมปัง


นายทุนชาวยิวจะให้ทุนลูกหลาน คนรุ่นใหม่ ไปลงทุนทำธุรกิจโรงงานทำขนมปัง แต่เขาจะไม่ทำแค่แห่งเดียว แต่จะทำหลายๆ โรงงาน หลายๆ ชื่อ พร้อมๆ กัน เนื่องจากมีเงินทุนหนา ตอนแรกจะยอมขาดทุน โดยอาศัยเงินทุนจากกิจการเพชรพลอยมาค้ำโรงงานทำขนมปัง ไว้ ก็เพื่อกดดันให้โรงงานทำขนมปัง ของคนเยอรมันที่เป็นรายย่อยเลิกกิจการไปนั่นเอง..หลักการคล้ายโชห่วยของไทย โดนห้างใหญ่เยอร์มัน ฝรั่งเศส มาเปิด จนเจ๊งวินาศตอนนี้


เมื่อโรงงานขนมปังอื่นเริ่มประกาศขายกิจการ ยิวก็จะเข้าไปซื้อกิจการนั้นเพิ่ม พอยิวมีส่วนแบ่งรวมในตลาดมากพอ ก็จะกดดันร้านขายขนมปัง โดยสร้างเงื่อนไขว่า ต้องซื้อขนมปังจากโรงงานของชาวยิวเท่านั้น ถ้าพบว่าร้านขายขนมปังแห่งใด ซื้อจากโรงงานของคนเยอรมัน โรงงานขนมปังของยิวทั้งหมด จะไม่ยอมขายขนมปังให้ ด้วยข้ออ้างสารพัด เช่น ผลิตไม่ทัน ฯลฯ


โรงงานยิว จะขายขนมปังให้ร้านของชาวยิวในราคาถูกพิเศษ แบบไม่เอากำไร ทำให้ร้านขายขนมปังของชาวยิว สามารถขายปลีกขนมปังในราคาถูกกว่าร้านของคนเยอรมัน แล้วยิวบีบให้ร้านขายขนมปังเยอรมัน ต้องซื้อจากโรงงานของชาวยิวในราคาที่แพงกว่าเท่านั้น โรงงานขนมปังของคนเยอรมันที่เหลือ ก็เจ๊งหมด ค่อยๆทะยอยปิดกิจการลงยิวก็เข้าไปกดราคาบังคับซื้อร้านขายขนมปังเอาถูกๆ อีก พอยิวได้ครอบครองโรงงานขนมปังทั้งหมด ก็เริ่มตั้งร้านขายขนมปังของตนเอง ส่วนคนงานทำขนมปังก็เริ่มถูกกดค่าแรง ไม่มีทางย้ายที่ทำงาน เพราะโรงงานทั้งหมดเป็นของยิว

ในที่สุดยิวก็ครอบครองกิจการผลิต จำหน่ายขนมปังได้ทั้งหมด ครบวงจรแล้ว ยิวก็จะขึ้นราคาขนมปังตามใจชอบ ฟันกำไรชดเชยกับที่ยอมขาดทุนในตอนแรก ประชาชนเยอรมันต้องซื้อขนมปังในราคาแพง
พอผ่านไปหลายปี บรรดาลูกหลานชาวยิวในธุรกิจขนมปังเริ่มเติบโต ธุรกิจขนมปังอิ่มตัวแล้ว ขาวยิวก็จะประชุมกันอีกว่าจะยึดครองการค้าชนิดใดของคนเยอรมันต่อไป เป็นวงจรแบบนี้เรื่อยๆ 

ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เศรษฐกิจเยอรมันทรุดไปทั่ว ส่งผลให้เปิดโอกาสให้ยิวเข้ายึดครองธุรกิจไปหลายประเภท ลัทธิยิวนิยมทำให้ คนยิวมีโอกาสได้ตำแหน่งงานที่ดีในธุรกิจที่มีคนยิวเป็นเจ้าของ


คนยิวแม้ไม่ใช่ครอบครัวนายทุน ก็พลอยมีฐานะการเงินที่ดี ในสังคมไปตามๆ กัน ส่วนคนเยอรมันก็ต้องเป็นลูกจ้างกรรมกรในโรงงานของยิว แถมถูกกดค่าแรง การยึดครองธุรกิจของยิว ยังนำมาใช้สร้างชนชั้นวรรณะ สินค้าชั้นดีที่ผลิตได้ไม่ทันความต้องการ จะเก็บไว้ขายให้ชาวยิวเท่านั้น ส่วนของห่วยๆ ก็ค่อยขายให้คนเยอรมัน คนเยอรมันสมัยนั้นจึงคับแค้นใจเพราะถูกกดขี่ทุกทางเอามากๆ


ปัญหาชนชั้นในเยอรมันยิ่งหนักหนา เมื่อชนชั้นคนรวย เป็นกลุ่มชนต่างชาติ และรวยขึ้นมาด้วยวิธีการผูกขาดผิดกฎหมายการค้า ส่งผลให้คนเยอรมันเจ้าของประเทศยากจน สมัยนั้นรองเท้า จำเป็นสำหรับชีวิตเอามากๆ เมื่อเกิดจลาจลทำร้ายชาวยิวตามท้องถนนในเมืองต่างๆ คนยิวนอกจากถูกทุบตีทำร้ายแล้ว จะถูกถอดแย่งเอารองเท้าไปด้วย ชาวยิวที่ตกเป็นเหยื่อ จะถูกบังคับให้เดินเท้าเปล่าไปตามถนน
ฮิตเลอร์ เองจึงเกลียดยิวมาก เพราะยิวเป็นผู้มายึดครองเยอรมันในอดีต และขับไล่ชนชั้นอารยันออกจากประเทศเยอรมัน เมื่อยิวเข้ามายึดครองเยอรมันแล้ว ก็ได้มาแย่งที่ทำมาหากิน และแย่งอาหารของชาวเยอรมัน ทำให้ฮิตเลอร์ในวัยเด็ก ต้องมานอนอาศัยอยู่ตามกองขยะ และสถานีรถไฟ นอกจากการที่ยิวมาแย่งอาหารแล้ว ยิวยังทำอาหารไม่สะอาด เช่น การทำอาหารโดยการใช้เท้าเหยียบ ทำให้ชาวเยอรมันพากันป่วยเป็นโรคระบาดต่างๆ


ฮิตเลอร์ จึงฝังใจแต่เด็กว่า เผ่าพันธุ์ยิว มีสติปัญญาสูงมาก มีศาสนาที่ทำให้เขาอดทน พากเพียร พยายาม และมีความชาตินิยมในเผ่าพันธุ์สูง ถ้าเผ่าพันธุ์นี้ รวมตัวเป็นปึกแผ่น และ ขยายอำนาจก็อันตรายเกินไป สำหรับเพื่อนร่วมโลก..ความโลภ และความไร้ยุติธรรม ของชาวยิวนั่นเอง ที่ฆ่าชาวยิว
แนวคิดของคนเยอรมัน กับยิวในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น เยอรมันแพ้สงคราม จึงต้องปฏิบัติตามสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซึ่งร่างขึ้นโดยกลุ่มนายธนาคารยิวสากล และเป็นการเอารัดเอาเปรียบชาวเยอรมันเป็นอย่างมาก


แต่ละประเทศ จะต้องหาเงินกู้จากนายธนาคารยิว ที่ทรงอิทธิพลการเงินอยู่ทั่วยุโรป เพื่อจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ แหล่งทรัพยากรสำคัญของประเทศจะต้องนำออกมาใช้อย่างไม่มีทางเลี่ยงชาวยิวจึงตั้งใจว่า สนธิสัญญานี้จะเป็นการบีบบังคับให้เกิดสงครามโลกขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพราะรู้ว่า ในที่สุดคนเยอรมันก็จะสิ้นสุดความอดทน ลุกขึ้นต่อสู้ สงครามก็จะปะทุขึ้นอีกแน่นอน


มาเล่าเรื่อง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จัดการยิว ต่อเนื่องจากตอนที่ 2 ที่https://www.facebook.com/media/set/


กันยายน ค.ศ. 1939 เยอรมนีก็ได้รุกรานโปแลนด์ทางตะวันตก อังกฤษและฝรั่งเศสตอบโต้โดยประกาศสงครามต่อเยอรมนีในวันที่ 3 กันยายน ซึ่งได้สร้างความประหลาดใจแก่ฮิตเลอร์ และเมื่อวันที่ 17 กันยายน กองทัพโซเวียตรุกรานโปแลนด์จากทางตะวันออก


เขาทำ"สงครามลวง" สั่งการให้โปแลนด์ตะวันตกเฉียงเหนือ โดยผู้ปกครองที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งใหม่ 2 คนให้ยอมรับความขัดแย้งกับผู้ปกครองอีก 1 คน และไม่ให้พาดพิงถึงเขา การจัดการกับกรณีพิพาทแนวนี้ ได้ถูกพัฒนาเป็นตัวอย่างของทฤษฎี สั่งการอย่างคลุมเครือและคาดหวังให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ดำเนินนโยบายนั้นเองโดยอเมริกา และ EU ในปัจจุบัน


ฮิตเลอร์สั่งการให้เสริมสร้างกำลังทหารตามชายแดนตะวันตกของเยอรมนี และใน ค.ศ. 1940 กองทัพเยอรมัน รุกรานเดนมาร์กและนอร์เวย์ และกองทัพของฮิตเลอร์โจมตีฝรั่งเศส และพิชิตลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์และเบลเยียม ชัยชนะเหล่านี้กระตุ้นให้อิตาลี เข้าพวกกับฮิตเลอร์ และฝรั่งเศสยอมจำนนกับเยอรมันในเวลาต่อมา


อังกฤษ ซึ่งกองทัพถูกบีบให้ออกจากฝรั่งเศสทางทะเล ยังคงสู้รบเคียงข้างเครือจักรภพอังกฤษอื่น ๆ ในยุทธนาวีทางทะเล ฮิตเลอร์เสนอแผนสันติภาพต่ออังกฤษ ซึ่งขณะนี้นำโดยนายพลวินสตัน เชอร์ชิลล์ และเมื่อการเสนอนั้นถูกปฏิเสธ ฮิตเลอร์ได้สั่งการให้เครื่องบินทิ้งระเบิดโจมตีต่อ สหราชอาณาจักรทันที
การรุกรานสหราชอาณาจักรที่วางแผนไว้ของฮิตเลอร์สำเร็จ โดยโจมตีทางอากาศต่อฐานทัพอากาศกองทัพอากาศอังกฤษ และสถานีเรดาร์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ แต่กองทัพอากาศของเยอรมนี ยังไม่สามารถเอาชนะกองทัพอากาศอังกฤษได้


วันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 1940 สนธิสัญญาไตรภาคี ลงนามในกรุงเบอร์ลิน โดยจักรวรรดิญี่ปุ่น, ฮิตเลอร์ และ อิตาลี ต่อมาขยายไปรวมถึงฮังการี โรมาเนียและบัลแกเรีย จุดประสงค์ของสนธิสัญญา คือ เพื่อขัดขวางสหรัฐอเมริกามิให้สนับสนุนอังกฤษ จนถึงปลายเดือนตุลาคม ค.ศ. 1940 ฮิตเลอร์สั่งการโจมตีทางอากาศยามกลางคืนตามนครต่าง ๆ ของอังกฤษ รวมทั้งลอนดอน และเมืองสำคัญอื่น ๆ


ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1941 กองทัพเยอรมันไปถึงลิเบีย เพื่อสนับสนุนอิตาลี แล้วเขาสั่งการรุกรานยูโกสลาเวีย และตามด้วยการรุกรานกรีซในเวลาอันรวดเร็ว กองทัพเยอรมันถูกส่งไปสนับสนุนกำลังกบฏอิรัก ที่สู้รบกับอังกฤษ และรุกรานครีต ฮิตเลอร์ออกคำสั่งรุกหน้าอย่างเดียว


ทหารโซเวียตตรงพรมแดนตะวันออกของเยอรมนีในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1941 อาจเป็นเหตุให้ฮิตเลอร์ มีความคิด "บุกไปข้างหน้า" เพื่อเผชิญหน้ากับความขัดแย้งอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ มิถุนายน ค.ศ. 1941 ทหารเยอรมัน 3 ล้านนายโจมตีสหภาพโซเวียต การรุกรานนี้ได้ยึดพื้นที่ได้กว้างใหญ่ไพศาล รวมทั้งรัฐบอลติก เบลารุส และยูเครน


การรุกรานสหภาพโซเวียตของกองทัพบกเยอรมันถึงขีดสุดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1941 เมื่อกองพลทหารราบ รุกเข้าไปภายในรัศมี 24 กิโลเมตรจากกรุงมอสโก ใกล้พอที่จะเห็นยอดแหลมของราชวังเครมลิน


แต่เพราะพวกเขาไม่ได้เตรียมการสำหรับสภาพอันโหดร้ายของฤดูหนาวรัสเซีย และการต้านทานอย่างดุเดือดของกองทัพโซเวียต จึงผลักดันกองทัพเยอรมันถอยออกมาเป็นระยะทางกว่า 320 กิโลเมตร จากกรุงมอสโก


วันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ รัฐฮาวาย 4 วันให้หลังการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการต่อสหรัฐอเมริกาของฮิตเลอร์ ทำให้เยอรมนีเข้าสู่สงครามกับกำลังผสม 3 ประเทศ ซึ่งมีประเทศจักรวรรดิใหญ่ที่สุดในโลก คือ จักรวรรดิอังกฤษ ประเทศอุตสาหกรรมและการเงินยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คือ สหรัฐอเมริกา และประเทศที่มีกองทัพใหญ่ที่สุดในโลก คือ สหภาพโซเวียต


ธันวาคม ค.ศ. 1941 ฮิตเลอร์ ตัดสินใจสั่งกำจัดยิวแห่งรัสเซียเหมือนเป็นพลพรรค เป็นคำสั่งสังหารฆาตกรรมทางเผ่าพันธ์ ที่ดำเนินระหว่างการล้างชาติโดยนาซี เดือน มกราคม ค.ศ. 1942 มีการสังหารชาวยิว และผู้ถูกเนรเทศอื่นซึ่งถูกพิจารณาว่าไม่พึงปรารถนา ฮิตเลอร์กล่าวต่อเพื่อนร่วมงานว่า "สุขภาพดีของเราจะฟื้นคืนก็ด้วยการสังหารยิวเท่านั้น"


มีค่ายกักกันและค่ายมรณะนาซีประมาณ 30 แห่ง ฤดูร้อน ค.ศ. 1942 สถานที่ตั้งค่ายกักกันถูกดัดแปลงให้สามารถรองรับผู้ถูกเนรเทศจำนวนมากเพื่อสังหารหรือใช้แรงงานทาส ฮิตเลอร์มีความสนใจโดยตรงในการพัฒนาห้องรมแก๊ส ระหว่าง ค.ศ. 1939 -1945 แค่ 6 ปี ตำรวจลับเอสเอส ของรัฐบาลเยอรมัน รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตถึง 11-14 ล้านชีวิต ในจำนวนนี้เป็นชาวยิว 6 ล้านคน หรือคิดเป็น 2 ใน 3 ของประชากรยิวในยุโรป และชาวโรม 500,000 - 1,500,000 คน การเสียชีวิตเกิดขึ้นในค่ายกักกันและค่ายมรณะ ย่านชาวยิว และการประหารชีวิตหมู่


เหยื่อการล้างชาติ หลายคนถูกรมแก๊สจนเสียชีวิต ขณะที่บางคนเสียชีวิตเพราะหิวโหย หรือป่วยขณะใช้แรงงานทาส นโยบายของฮิตเลอร์ยังส่งผลให้มีการสังหารชาวโปแลนด์ และเชลยศึกโซเวียต พวกคอมมิวนิสต์และศัตรูการเมืองอื่น พวกรักร่วมเพศ ผู้พิการทางกายหรือใจ ผู้นับถือลัทธิพระยะโฮวาห์ นิกายแอดเวนติสต์ และผู้นำสหภาพแรงงาน ฮิตเลอร์ ไม่เคยปรากฏว่าเยือนค่ายกักกันและมิได้พูดถึงการสังหารอย่างเปิดเผย


ปลาย ค.ศ. 1942 กองทัพเยอรมันพ่ายแพ้ในยุทธการครั้งที่สอง ทำให้แผนการของฮิตเลอร์ในการยึดคลองสุเอซและตะวันออกกลางสะดุด ค.ศ. 1943 ยุทธการสตาลินกราดในรัสเซีย สิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของกองทัพเยอรมัน ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ตามด้วยความพ่ายแพ้เด็ดขาดในยุทธการเคิสก์ ในตะวันออกกลาง


การตัดสินใจทางทหารของฮิตเลอร์เริ่มไม่มั่นคงเพิ่มขึ้น และฐานะทางทหารและเศรษฐกิจของเยอรมนีบั่นทอนลงไป พร้อมกับสุขภาพของฮิตเลอร์ คนใกล้ชิดและคนอื่นๆ เชื่อว่า ฮิตเลอร์อาจป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน


ค.ศ. 1943 ฝ่ายสัมพันธมิตรรุกรานอิตาลี จนมุสโสลินีถูกปลด ยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ช่วง ค.ศ. 1943 - 1944 สหภาพโซเวียตค่อย ๆ บีบให้กองทัพของฮิตเลอร์ ล่าถอยตามแนวรบด้านตะวันออก วันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 กองทัพสัมพันธมิตรตะวันตกขึ้นฝั่งทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ในหนึ่งในปฏิบัติการสะเทินน้ำสะเทินบกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด


ด้วยเหตุความเสื่อมถอยของกองทัพเยอรมัน โอกาสที่เยอรมนีจะแพ้สงครามเพิ่มขึ้น นายทหารหลายคนจึงสรุปว่า ความพ่ายแพ้หลีกเลี่ยงไม่ได้ และการตัดสินใจผิดพลาดหรือการปฏิเสธของฮิตเลอร์ จะยืดสงครามออกไปและส่งผลให้ประเทศชาติพังพินาศย่อยยับ ระหว่าง ค.ศ. 1939 และ 1945 มีหลายแผนในการลอบสังหารฮิตเลอร์ ความพยายามลอบสังหารหลายครั้งต่อฮิตเลอร์จึงเกิดขึ้นระหว่างช่วงนี้
กรกฎาคม ค.ศ. 1944 แผนที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดมาจากภายในเยอรมนี คือ เดือน แผนลับ ส่วนหนึ่งของติดตั้งระเบิดไว้ในกองบัญชาการแห่งหนึ่งของฮิตเลอร์ (รังหมาป่า) ฮิตเลอร์รอดชีวิตอย่างหวุดหวิด เพราะบางคนผลักกระเป๋าเอกสารที่บรรจุระเบิดไปหลังขาโต๊ะประชุมที่หนักอย่างไม่รู้ เมื่อเกิดระเบิดขึ้น โต๊ะสะท้อนแรงระเบิดส่วนมากไปจากฮิตเลอร์


ภายหลัง ฮิตเลอร์สั่งการตอบโต้อย่างโหดร้าย ซึ่งส่งผลให้มีการประหารชีวิตคนกว่า 4,900 คน จนถึงปลาย ค.ศ. 1944 กองทัพโซเวียตได้ขับไล่ กองทัพเยอรมันถอยกลับไปยังยุโรปตะวันตก และสัมพันธมิตรตะวันตก รุกคืบเข้าไปในเยอรมนี


หลังได้รับแจ้งความล้มเหลวของการรุกของเยอรมัน ฮิตเลอร์จึงตระหนักว่าเยอรมนีกำลังแพ้สงคราม ความหวังของเขา จึงขึ้นอยู่กับการถึงแก่อสัญกรรมของประธานาธิบดีอเมริกา แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ แห่งอเมริกา ดังนั้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1945 มีการเจรจาสันติภาพกับอเมริกาและอังกฤษ ฮิตเลอร์จึงสั่งการให้ทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมทั้งหมดของเยอรมนี ก่อนที่จะตกอยู่ในมือฝ่ายสัมพันธมิตร


มุมมองของเขา คือ ความล้มเหลวทางทหารของเยอรมนีเสียสิทธิ์ในการอยู่รอดเป็นชาติ การดำเนินการแผนการเผาทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ถูกมอบหมายไปยังรัฐมนตรีทางอาวุธ ผู้ขัดคำสั่งเขาอย่างเงียบ ๆ วันที่ 20 เมษายน วันเกิดปีที่ 56 ฮิตเลอร์เดินทางครั้งสุดท้ายจากที่พักของผู้นำไปยังสวนที่ถูกทำลายของทำเนียบรัฐบาลไรช์ เขามอบกางเขนเหล็กให้ทหารเด็กแห่งยุวชนฮิตเลอร์


วันที่ 21 เมษายน แนวรบโซเวียต ได้เจาะผ่านการป้องกันสุดท้ายของกองทัพเยอรมัน และรุกเข้าไปยังชานกรุงเบอร์ลิน ฮิตเลอร์สั่งการให้ทหารที่ภักดี และกองทัพเยอรมันที่ 9 ได้รับคำสั่งให้โจมตีขึ้นทางเหนือในการโจมตีแบบโอบล้อม แต่นายทหารก็แข็งข้อ ทรยศกับเขา


ต่อมาประชุมทหารเมื่อวันที่ 22 เมษายน เขาได้รับบอกเล่าว่า การโจมตีนั้นไม่เคยเกิดขึ้น และรัสเซียได้ตีฝ่าเข้าไปในกรุงเบอร์ลิน ทำให้ฮิตเลอร์ขอให้ทุกคน ยกเว้นคนสนิทบางคนออกจากห้องประชุม จากนั้นเขาได้ประณามต่อการทรยศ และความไร้ความสามารถของผู้ไต้บังคับบัญชาของเขาอย่างเผ็ดร้อน
เขาประกาศเป็นครั้งแรกว่า เยอรมนีแพ้สงคราม ฮิตเลอร์ประกาศว่าเขาจะอยู่ในกรุงเบอร์ลินจนถึงจุดจบ คนสนิทเขาได้ออกประกาศวันที่ 23 เมษายน กระตุ้นให้พลเมืองเบอร์ลินป้องกันนครอย่างกล้าหาญ วันเดียวกันนั้น ผู้ปกครองที่แต่งตั้งส่งโทรเลขจากรัฐบาวาเรีย ว่าตั้งแต่ฮิตเลอร์ถูกตัดขาดในกรุงเบอร์ลิน ตัวเขาควรเป็นผู้นำเยอรมนีแทน โดยบอกว่าฮิตเลอร์ไร้ความสามารถ


ฮิตเลอร์ตอบโต้ด้วยความโกรธ โดยสั่งจับกุม และเมื่อเขียนคำสั่งเสียเมื่อวันที่ 29 เมษายน เขาถอดผู้ปกครองที่แต่งตั้งออกจากตำแหน่งทั้งหมดในรัฐบาล กรุงเบอร์ลิน ถูกตัดขาดจากส่วนที่เหลือของเยอรมนีอย่างสิ้นเชิง วันที่ 28 เมษายน ฮิตเลอร์พบว่า คนสนิทกำลังพยายามเจรจาเงื่อนไขการยอมแพ้ ต่อสัมพันธมิตรตะวันตก เขาจึงสั่งจับกุมคนสนิทและสั่งยิงทิ้งทันทีในกรุงเบอร์ลิน


หลังเที่ยงคืนวันที่ 29 เมษายน ฮิตเลอร์สมรสกับเอวา เบราน์ ในพิธีตามกฎหมายเล็ก ๆ ในห้องแผนที่ภายในที่พักผู้นำ หลังทานอาหารเช้างาน งานแต่งงานที่เรียบง่ายกับภรรยาใหม่ของเขา จากนั้น เขานำเลขานุการ ไปอีกห้องหนึ่งและบอกให้เขียนคำสั่งเสียสุดท้ายของเขา เหตุการณ์ดังกล่าวมีคนสนิทหลายคนเป็นพยานและลงนามเอกสาร ในช่วงบ่ายฮิตเลอร์ได้รับแจ้งข่าวถึงการลอบสังหารผู้นำเผด็จการชาวอิตาลี เบนิโต มุสโสลินี ซึ่งตั้งใจที่จะหนีการจับตัว


วันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1945 หลังการสู้รบถนนต่อถนนอย่างเข้มข้น กองทัพโซเวียตอยู่ในระยะหนึ่งหรือสองช่วงตึก จากทำเนียบรัฐบาลเยอรมัน ฮิตเลอร์และภรรยาทำการฆ่าตัวตาย ภรรยากัดแคปซูลไซยาไนด์ และฮิตเลอร์ยิงตัวตายด้วยปืนพกของเขา ร่างไร้วิญญาณของฮิตเลอร์และภรรยา ถูกนำขึ้นบันได และผ่านทางออกฉุกเฉินของบังเกอร์ ไปยังสวนที่ถูกระเบิดหลังทำเนียบรัฐบาล


ทั้งสองร่างถูกวางไว้ในหลุมระเบิด ราดด้วยน้ำมัน และจุดไฟ ขณะที่กองทัพโซเวียตยิงปืนใหญ่ถล่มต่อเนื่อง เยอรมันยอมจำนน เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม บันทึกในจดหมายเหตุโซเวียต ซึ่งได้มาหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย แสดงให้เห็นว่า ศพของฮิตเลอร์ ภรรยา ลูก ๆ ทั้งหกคน ทหารคนสนิท และสุนัขของฮิตเลอร์ ถูกฝังและขุดขึ้นมาหลายครั้ง


การฆ่าตัวตายของอิตเลอร์ เป็น "คาถา" เสื่อม เมื่อปราศจากผู้นำ ลัทธิชาติสังคมนิยมก็ "ระเบิดเหมือนกับฟอง" พฤติการณ์ของฮิตเลอร์และอุดมการณ์นาซี ถูกคนเกือบทั้งโลกมองว่า ผิดศีลธรรมอย่างร้ายแรง


ฮิตเลอร์ส่งเสริมภาพลักษณ์ของตนต่อสาธารณะว่า เป็นภาพลักษณ์ชายที่อยู่เป็นโสดโดยปราศจากชีวิตครอบครัว อุทิศตนทั้งหมดให้แก่ภารกิจทางการเมืองและประเทศชาติ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1931 เกลี เราบัล หลานสาวของเขา ฆ่าตัวตายด้วยปืนของฮิตเลอร์ในอพาร์ตเมนต์ของเขา หลานของเขามีความสัมพันธ์ กับฮิตเลอร์


ความตายของเธอนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ลึกล้ำและยาวนาน เขาพบ เอวา เบราน์ ภรรยาลับของเขา ใน ค.ศ. 1929 และสมรสกับเธอในเดือน เมษายน ค.ศ. 1945 ก่อนการเสียชีวิต


เขามองว่าชาวอาหรับ "เป็นเชื้อชาติต่ำกว่า" เขาเชื่อว่า ชาวเยอรมันที่เป็นเชื้อชาติสูงส่งกว่า ฮิตเลอร์ยกย่องศาสนาชินโตและวัฒนธรรมญี่ปุ่น แต่ฮิตเลอร์นั้นเน้นการปฏิบัติมากกว่า เขาทุกข์ทรมานจากอาการและโรคต่าง ๆ ได้แก่ โรคลำไส้แปรปรวน รอยโรคที่ผิวหนัง หัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคพาร์กินสัน ซิฟิลิส และมีเสียงในหู


อีกด้านหนึ่ง เขาเป็นคนกินมังสวิรัติ ไม่กินเนื้อ เพราะกลัวโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้มารดาของเขาเสียชีวิต เขาเป็นผู้นำต้านการทดลองในสัตว์ และเลือกทานอาหารอย่างลึกซึ้ง คนสนิทสั่งให้สร้างเรือนกระจกใกล้กับที่พักผู้นำ เพื่อให้ฮิตเลอร์มีผลไม้และผักเพียงพออย่างต่อเนื่องตลอดสงคราม เขาไม่ดื่มเหล้า และไม่สูบบุหรี่ เขาเป็นตัวตั้งตัวตีการรณรงค์งดสูบบุหรี่อย่างเข้มแข็งทั่วประเทศเยอรมนี


เขาเริ่มใช้แอมเฟตามีน (ยาบ้า) เป็นครั้งคราวตั้งแต่ ค.ศ. 1937 และเริ่มติดยาใน ค.ศ. 1942 ทำให้มีการตัดสินใจที่ไม่ยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ไม่อนุญาตการร่นถอยทางทหาร เขาได้รับการสั่งจ่ายยาถึง 90 ชนิดที่แตกต่างกันระหว่างสงคราม และกินยาหลายเม็ดต่อวัน เพราะปัญหากระเพาะอาหารเรื้อรังและอาการป่วยอื่น ๆ


เขาทุกข์ทรมานจากแก้วหูทะลุ อันเป็นผลของแรงระเบิดในแผนลับ 20 กรกฎาคม ใน ค.ศ. 1944 และถูกถอนเสี้ยนไม้สองร้อยชิ้น ออกจากขาของเขา มือฮิตเลอร์สั่นและเดินย่องแย่ง ซึ่งเริ่มขึ้นก่อนสงคราม และเลวร้ายลงเมื่อใกล้บั้นปลายชีวิต เขารักษาโรคพาร์กินสันใน ค.ศ. 1945


ฮิตเลอร์เคยมีแผนการใหญ่ ตั้งแต่ก่อนเขาก้าวขึ้นสู่อำนาจ ในการทำลายอิทธิพลของศาสนจักรคริสต์ภายในจักรวรรดิไรช์ โดยการทำลายล้างศาสนจักร เป็นเป้าหมายตั้งแต่เริ่มต้น แต่เป็นการไม่เหมาะสมที่จะแสดงท่าทีสุดโต่งนี้อย่างเปิดเผย เจตนาของเขา คือ รอกระทั่งสงครามยุติแล้วจึงค่อยทำลายอิทธิพลของศาสนาคริสต์


เมื่อฮิตเลอร์พ่ายแพ้ จึงเป็นจุดจบของประวัติศาสตร์ยุโรปที่ถูกเยอรมนีครอบงำ และถูกแทนที่ด้วยสงครามเย็น ซึ่งเป็นการเผชิญหน้าระดับโลกระหว่างสหภาพโซเวียต กับ สหรัฐอเมริกา ในเวลาต่อมา นโยบายของฮิตเลอร์ในอดึต ทำให้มนุษย์ได้รับความทุกข์ทรมานในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 40 ล้านคนโดยประมาณ หรือ 27 ล้านคนเฉพาะในสหภาพโซเวียต..!!!


สมดุล ตาชั่งอำนาจเชิงสงครามในยุคปัจจุบัน จึงมี 2 ฝ่ายหลัก คือ อเมริกา กับ สหภาพยุโรป และ อีกฝ่าย คือ รัสเซีย กับจีน แต่ประเทศใหญ่ๆ ในยุโรป ปัจจุบันถูกอเมริกา เอาเปรียบต่างๆ นาๆ จนเริ่มจะสุดกลั้น จึงเริ่มหันไปจับมือกับ รัสเซีย และ จีน เพราะขืนอยู่กับอเมริกา ต่อไป แล้วถูกรุมทำสงครามโลกครั้ง 3 ขึ้นมา ยุโรปคงสิ้นเผ่าพันธุ์เป็นแน่แท้


ส่วนอเมริกานั้น ภายในประเทศ รัฐบาลเขาได้ใช้ ความล้ำเลิศอันน่าอ้ศจรรย์ทางด้านข้อมูลครอบงำประชาชนคนอเมริกัน เพราะเขารู้ตัวว่ากำลังจะสูญเสียการควบคุมบงการ และรัฐบาลอเมริกาก็กลัวว่าจะสูญเสียการบงการควบคุมมิตรประเทศของเขาด้วย แต่จริงๆ แล้วรัฐบาลสหรัฐไม่เคยได้มีการควบคุมหรือบงการอย่างแท้จริงเชิงอำนาจเลย


รัฐบาลสหรัฐฯ ที่มียิวมีอิทธิพลครอบงำเหนืออีกที เป็นพวกเสพติดอำนาจ และต้องการให้อำนาจนั้นอยู่ในกำมือ ตามนิสัยของยิว ด้งนั้นรัฐบาลสหรัฐฯ จึงพยายามสั่งให้ประเทศเล็กๆ ซ้ายหันขวาหัน ซึ่งในขณะนี้การไม่ยอม และโต้ตอบกลับเริ่มมีมากขึ้นๆ


ไม่เกิน 5 ปี สมดุลอำนาจโลก จะเอียงมาทาง รัสเซีย กับจีน แน่นอน เมื่อนั้นอเมริกาต้องก่อสงครามในภูมิภาคนี้ ที่มีผลใกล้เคียงกับดินแดนไทย เพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ในการเล่นงานจีน สิ่งที่คนไทยต้องเตรียมการรับ คือ ชะลอ ลด ยกเลิก การติดต่อค้าขายทางเศรษฐกิจกับอเมริกา แล้วเปิดตลาดใหม่มุ่งเอเชีย เพื่อดึงเงินทุน และความมั่งคั่งกลับมาอยู่เอเชีย


เมื่อเกิดสงคราม ประเทศทางเอเชีย ก็จะได้เปรียบทางชัยภูมิ เพราะการทำสงครามนั้น ไม่อาจดื้อทำได้นานๆ เพราะความเสียหายทางเศรษฐกิจมันมาก จะเป็นแรงบีบกดดันผู้นำประเทศนั้นๆ ให้เร่งปิดเกมส์ และเมื่อเริ่มเห็นลางพ่ายแพ้ ประเทศพันธมิตรก็จะแปรพักตร์ ไปสวามิภักดิ์อีกฝ่ายหนึ่งเสมอ...สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 เป็นบทเรียนพยากรณ์ผลของครั้งที่ 3


บทเรียนฮิตเลอร์ เยอรมัน ที่เล่ามาสอนว่า ประเทศใดแม้จะเก่งกาจสามารถ และมีแสนยานุภาพอาวุธมากเพียงใด..เมื่อถูกรุมกินโต๊ะ..ก็ไม่อาจรอดชะตากรรมไปได้..ธรรมชาติจะปรับสมดุล โดยตัวมันเองเสมอ
@ เสธ น้ำเงิน3
https://www.facebook.com/topsecrettha

ไม่มีความคิดเห็น: