PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

เลขาธิการสหประชาชาติระบุ ฮังการีปราบปรามผู้อพยพเป็นเรื่องที่ "รับไม่ได้"

เลขาธิการสหประชาชาติระบุ ฮังการีปราบปรามผู้อพยพเป็นเรื่องที่ "รับไม่ได้" ด้านผู้อพยพหลายพันเลี่ยงฮังการีเดินทางเข้าโครเอเชียแทนแล้ว
นายบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ ระบุว่าตนตกใจอย่างมากกับข่าวที่ตำรวจปราบจลาจลฮังการียิงแก๊สน้ำตาและฉีดน้ำแรงดันสูงใส่กลุ่มผู้อพยพวานนี้ โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวกับผู้ขอลี้ภัยนั้น เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้
ด้านทางการฮังการีระบุว่า มีตำรวจปราบจลาจลได้รับบาดเจ็บ 20 นาย จากเหตุดังกล่าว ขณะที่ผู้อพยพพยายามจะพังรั้วกั้นพรมแดนเข้ามา ทั้งยังระบุว่าผู้อพยพพยายามจะใช้เด็กเป็นโล่ห์มนุษย์ในการปะทะกันครั้งนี้ด้วย
ขณะเดียวกัน มีผู้อพยพถึงกว่า 5,000 รายแล้ว ที่เลี่ยงเส้นทางข้ามแดนจากเซอร์เบียไปยังฮังการีซึ่งปิดอยู่ ไปใช้เส้นทางเดินเท้าเข้าประเทศโครเอเชียแทน แต่เส้นทางนี้ก็มีอันตรายจากกับระเบิดจำนวนมาก ซึ่งยังคงตกค้างอยู่จากช่วงสงครามในคาบสมุทรบอลข่าน
ด้านทางการโครเอเชียนั้น แม้ก่อนหน้านี้จะประกาศว่ายินดีรับผู้อพยพก็ตาม แต่ล่าสุดระบุว่า หากผู้อพยพมีจำนวนมากก็อาจต้องพิจารณาหามาตรการรองรับใหม่อีกครั้ง ซึ่งทางการโครเอเชียจะจัดการประชุมร่วมกับออสเตรียและสโลวีเนียถึงเรื่องดังกล่าวในเร็วๆนี้
ภาพประกอบ (ล่างขวา) แผนที่แสดงแนวควบคุมพรมแดนในยุโรปเพื่อสกัดการหลั่งไหลของผู้อพยพ

รายงานพิเศษ : ย้อนรอย นปก.บุกบ้าน “ป๋าเปรม” ... กรรมเริ่มตามทันแกนนำแล้ว!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
17 กันยายน 2558 16:54 น. (แก้ไขล่าสุด 17 กันยายน 2558 17:09 น.)

อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน
      
       ในที่สุด คดี นปก.หรือชื่อใหม่ นปช. บุกบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่เกิดขึ้นมากว่า 8 ปีแล้วก็เริ่มมีบทสรุป แม้จะยังไม่ถึงที่สุดก็ตาม แต่การที่ศาลตัดสินจำคุกแกนนำ นปก. 4 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ถือว่าไม่ธรรมดา และน่าจะสะท้อนได้ระดับหนึ่งว่า พฤติการณ์ของแกนนำ นปก.สร้างความเสียหายเพียงใด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่การนำผู้ชุมนุมบุกไปปราศรัยด่าทอกดดันให้ พล.อ.เปรม ลาออกจากประธานองคมนตรีเท่านั้น แต่ยังก่อจลาจลทำลายทรัพย์สิน และทำร้ายเจ้าหน้าที่อีกด้วย
      
        คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายงานพิเศษ : ย้อนรอย นปก. บุกบ้าน “ป๋าเปรม” ... กรรมเริ่มตามทันแกนนำแล้ว!!

      
       ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2550 แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ซึ่งภายหลังเปลี่ยนเป็นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้เคลื่อนขบวนผู้ชุมนุมจากท้องสนามหลวงบุกไปหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และปักหลักปราศรัยโจมตีด่าทอ พล.อ.เปรม ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและหยาบคาย กล่าวหาว่า พล.อ.เปรมอยู่เบื้องหลังการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 พร้อมกดดันให้ พล.อ.เปรมลาออกจากประธานองคมนตรีฯ ตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงดึกวันดังกล่าว โดยระหว่างการเคลื่อนขบวนของกลุ่ม นปก.ได้มีการฝ่าจุดสกัดของเจ้าหน้าที่หลายจุด พร้อมทำลายแผงเหล็กกั้นและทุ่มทิ้งลงคลอง นอกจากนี้ยังมีการยึดรถขยะของ กทม.ที่ผ่านมาบริเวณดังกล่าว พร้อมทำร้ายร่างกายคนขับรถขยะ ไม่เท่านั้นยังมีการยึดรถเมล์และเจาะลมยางเพื่อปิดถนนบริเวณแยกสี่เสาฯ ด้วย
      
       หลังยึดหน้าบ้านสี่เสาฯ และปราศรัยด่าทอ พล.อ.เปรม ตั้งแต่บ่ายถึงค่ำ แกนนำได้ประกาศว่าจะปักหลักโจมตีจนกว่า พล.อ.เปรมจะลาออก ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ต้องตัดสินใจสลายการชุมนุม เพราะเกรงว่าหากการชุมนุมยืดเยื้อถึงวันรุ่งขึ้นจะกระทบต่อการจราจรและคนทำงาน เจ้าหน้าที่จึงได้พยายามยุติการชุมนุมด้วยการปีนรถปราศรัยเพื่อควบคุมตัวแกนนำ นปก. แต่กลับถูกแกนนำ นปก.บนรถถีบลงมา ขณะที่ม็อบแนวร่วม นปก.ก็ฮือเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ที่มีเพียงโล่ป้องกันตัว จึงเกิดความชุลมุน ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ต้องถอยร่นกลับที่ตั้ง
      
       ขณะที่ผู้ชุมนุมพยายามสรรหาทุกอย่างเป็นอาวุธเพื่อทำร้ายเจ้าหน้าที่และทำลายทรัพย์สินราชการบริเวณนั้น โดยอาวุธของม็อบดังกล่าว มีทั้งไม้หน้าสาม, เก้าอี้, ด้ามธงชาติ, ด้ามร่ม, กระถางต้นไม้ ขนาดอิฐตัวหนอนปูพื้นยังถูกม็อบดังกล่าวงัดขึ้นมาใช้เป็นอาวุธ สุดท้ายเจ้าหน้าที่ต้องใช้ความพยายามถึง 4 ครั้งกว่าจะทำให้การชุมนุมยุติได้ โดยแกนนำ นปก.และแนวร่วมต่างถอยร่นกลับไปปราศรัยต่อที่สนามหลวงในเวลาเกือบเที่ยงคืน แต่ก่อนจาก แนวร่วม นปก.บางคนยังได้ขับรถกระบะพุ่งเข้าชนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บขาหัก 2 นาย แต่สุดท้ายคนขับรถกระบะดังกล่าวก็ถูกควบคุมตัว คือ นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 และเป็น 1 ในแกนนำคนสำคัญของ นปก. โดยถูกควบคุมตัวพร้อมกับแนวร่วมที่ก่อความวุ่นวายอีก 5 คน
      
       สำหรับเหตุจลาจลที่เกิดจากม็อบ นปก.ครั้งนี้ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่บาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 200 นาย ขณะที่ฝ่ายม็อบบาดเจ็บประมาณ 30 คน โดยหลังเกิดเหตุ 1 วัน แกนนำ นปก.รีบออกมาแถลงข่าวปฏิเสธว่าฝ่ายตนไม่ได้ก่อความรุนแรง แต่เป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ที่ยั่วยุก่อนและใช้กำลังสลายการชุมนุม รวมทั้งมีมือที่สามร่วมก่อกวน
      
       ด้าน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ได้เข้าขอโทษ พล.อ.เปรม (23 ก.ค. 2550) ที่ให้การดูแล พล.อ.เปรมไม่ดี โดยมีรายงานว่าในคืนเกิดเหตุ พล.อ.เปรมก็พักอยู่ในบ้านสี่เสาฯ และต้องทนฟังม็อบ นปก.ด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายเป็นเวลานานถึง 6 ชม. อย่างไรก็ตาม พล.อ.เปรมได้บอกกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกฯ ที่นำ ครม.เข้าให้กำลังใจ (24 ก.ค. 2550) ว่า ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เครียด แต่ไม่คิดว่าผู้ชุมนุมจะใช้คำพูดที่หยาบคาย ยั่วยุ และกล่าวหาซ้ำซากและเป็นเท็จ พล.อ.เปรม ยังได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวในวันต่อมา (25 ก.ค. 2550) ด้วยว่า ไม่หวั่นไหวและไม่ท้อถอย ตนทำงานให้ชาติบ้านเมืองมาเยอะแล้ว และจะทำตลอดไปจนตาย
      
       สำหรับการดำเนินคดีผู้ก่อความวุ่นวายครั้งนี้ พล.ต.ต.เจตน์ มงคลหัตถี รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในขณะนั้น ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ได้ขอศาลอาญาเพื่อออกหมายจับแกนนำ นปก.9 คน ประกอบด้วย นายวีระ (วีระกานต์) มุสิกพงศ์, นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายจักรภพ เพ็ญแข, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ,นพ.เหวง โตจิราการ ,นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย, นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ, นายอภิวันท์ วิริยะชัย และนายจรัล ดิษฐาอภิชัย ในความผิดฐานมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งหมดได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะขอศาลฝากขัง ซึ่งทั้งหมดได้ถูกควบคุมตัวในเรือนจำ ก่อนทยอยขอประกันตัวในเวลาต่อมา โดยศาลตั้งเงื่อนไขห้ามผู้ต้องหาประพฤติตนในลักษณะที่จะนำไปสู่การกระทำผิดแบบเดิมอีก และห้ามให้สัมภาษณ์ในลักษณะยั่วยุให้ประชาชนเข้าใจผิดหรือเกิดความแตกแยก มิฉะนั้นจะถอนประกันทันที
      
       ต่อมา วันที่ 30 ส.ค. 2550 พนักงานสอบสวนได้มีความเห็นสั่งฟ้อง 15 นปก.ที่ก่อจลาจลบริเวณหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ พร้อมส่งสำนวนและพยานหลักฐานให้อัยการ โดยยื่นพยานเอกสารจำนวน 15 แฟ้ม กว่า 4,500 หน้า ขณะที่พยานบุคคลมีกว่า 300 ปาก แผ่นวีซีดีบันทึกภาพเหตุการณ์ 67 แผ่น และบันทึกการถอดเทปคำปราศรัยของแกนนำ นปก.บนเวทีอีกกว่า 400 แผ่น ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้อง 15 นปก.โดยแยกออกเป็น 2 ชุด ชุดแรก 10 คน ประกอบด้วย นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล, นายวีระ มุสิกพงศ์, นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายจักรภพ เพ็ญแข, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย, นพ.เหวง โตจิราการ, พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย, นายจรัล ดิษฐาอภิชัย และนายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ...เจ้าพนักงานสั่งให้เลิกกระทำการดังกล่าวแล้วไม่เลิก ร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน โดยใช้กำลังประทุษร้าย เป็นต้น โดยมีอัตราโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี
      
       ส่วนแนวร่วม นปก.ชุดที่ 2 ที่พนักงานสอบสวนสั่งฟ้อง ประกอบด้วย นายบรรธง สมคำ, ม.ล.วีระยุทธ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา หรือนายพิชิต เพียโคตร, นายศราวุธ หลงเส็ง, นายวีระศักดิ์ เหมธุริน และนายวันชัย นาพุทธา โดยมีความผิดในทำนองเดียวกับแกนนำ นปก.ชุดแรก ซึ่งมีอัตราโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปีเช่นกัน ด้านอัยการ (นายเสริมเกียรติ วรดิษฐ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา) ได้ตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาสั่งคดีเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน
      
       เกือบ 2 ปีต่อมา (27 มี.ค. 2552) นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา เผยความคืบหน้าของคดีนี้ว่า อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาเกือบทั้งหมด (13 ราย จาก 15 ราย) โดยให้เหตุผลว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช.ดังกล่าวเป็นไปอย่างเปิดเผย ไม่มีอาวุธ ซึ่งเป็นสิทธิตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ มีผู้ต้องหาเพียง 2 รายที่อัยการเห็นควรสั่งฟ้อง ฐานทำร้ายร่างกายบุคคลอื่นในการชุมนุม เป็นที่น่าสังเกตว่า อัยการได้สั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในคดีนี้ตั้งแต่ 2 เดือนก่อนหน้าแล้ว แต่ไม่ยอมเปิดเผยต่อสื่อมวลชน กระทั่งนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หนึ่งในแกนนำ นปช.ออกมาให้ข่าวในภายหลังว่าอัยการสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ไปกว่า 2 เดือนแล้ว ส่งผลให้อัยการต้องยอมเปิดปากถึงความคืบหน้าคดีนี้ว่ามีความเห็นสั่งไม่ฟ้องไปแล้วจริง
      
       อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญาเผยด้วยว่า หลังมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องแล้ว ได้ส่งความเห็นพร้อมสำนวนกลับไปให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พิจารณา ว่าจะมีความเห็นแย้งกับทางอัยการหรือไม่ หาก ผบ.ตร.เห็นแย้งก็ต้องให้นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด เป็นผู้ชี้ขาดว่าจะสั่งฟ้องผู้ต้องหาหรือไม่
      
       ต่อมา พล.ต.อ.พัชรวาท ได้มีความเห็นแย้ง โดยเห็นควรสั่งฟ้องแกนนำในทุกข้อหา จากนั้นอัยการจึงเสนอให้นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด เป็นผู้ชี้ขาดอีกครั้ง ซึ่งอัยการสูงสุด มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายหรือก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง และข้อหาอื่นตามความเห็นแย้งของ ผบ.ตร.
      
       สำหรับคดีนี้ แบ่งออกเป็น 2 สำนวน สำนวนแรก จำเลยมี 7 คน ประกอบด้วย 1. นายนพรุจ หรือนพรุฒ วรชิตวุฒิกุล แกนนำกลุ่มพิราบขาว 206 2. นายวีระศักดิ์ เหมะธุลิน 3. นายวันชัย นาพุทธา 4. นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ 5. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 6. นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และ 7. นพ.เหวง โตจิราการ สำนวนที่ 2 มีผู้ต้องหา 8 คน ประกอบด้วย นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายจรัล ดิษฐาอภิชัย, นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ, นายบรรธง สมคำ, ม.ล.วีระยุทธ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา หรือนายวิชิต เพียโคตร, นายศราวุธ หลงเส็ง, พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย เสียชีวิตแล้ว และนายจักรภพ เพ็ญแข หลบหนีอยู่ต่างประเทศ
      
       ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2558 ศาลอาญาได้พิพากษาสำนวนแรกแล้ว โดยจำคุกนายนพรุจ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 4 ปี ฐานทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ ส่วนจำเลยที่ 4-7 คือ นายวีระกานต์-นายณัฐวุฒิ-นายวิภูแถลง-นพ.เหวง มีความผิด 3 ฐาน คือฐานมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญ โดยกระทำความผิดเป็นหัวหน้า ให้จำคุกคนละ 3 ปี , ฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน สั่งให้เลิกมั่วสุมแล้วไม่เลิก จำคุกคนละ 2 ปี และฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน รวมเป็น 6 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา แต่คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน จำคุกจำเลยที่ 4-7 เป็นเวลา 4 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2-3 ยกฟ้อง
      
       ขณะที่สำนวนที่ 2 ศาลได้นัดตรวจพยานหลักฐานเมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2558 แต่จำเลยเดินทางมาศาลไม่ครบ มีเพียงนายจตุพร และนายศราวุธที่เดินทางมา อัยการโจทก์และฝ่ายจำเลยจึงได้แถลงต่อศาล ขอเลื่อนการตรวจพยานหลักฐานออกไป ซึ่งอัยการได้ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ติดตามตัวผู้ต้องหาที่เหลือมาศาล โดยศาลนัดตรวจพยานหลักฐานอีกครั้งวันที่ 21 ต.ค. 2558 เวลา 09.00 น. 

หนามยอกเอาหนามบ่ง?



วิเคราะห์ // หนามยอกเอาหนามบ่ง?


CC 71
“นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กำลังต่อยอดโครงการช่วยเหลือประชาชนที่ถูกมองว่าเป็นประชานิยม ให้ก้าวพ้นจาก “กับดักประชานิยม” ซึ่งติดกับดักอยู่แค่หวังผลทางการเมืองเป็นเรื่องหลัก ให้กลายเป็นโครงการประชานิยมที่บันดานให้เศรษฐกิจชุมชนเติบโต และแข็งแรงอย่างยั่งยืน ซึ่งสิ่งนี้ นายทักษิณ ชินวัตร ไม่เคยทำ หากสิ่งที่นายสมคิดกำลังทำอยู่ในขณะนี้เป็นกลยุทธ์ “หนามยอกเอาหนามบ่ง” เพื่อถอนประชานิยมของทักษิณ หรือเพื่อทำให้โครงการเชิงประชานิยมเปลี่ยนสภาพมาเป็นกลไกหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชุน ก็ต้องบอกว่ากลยุทธ์ของนายสมคิดเหนือชั้นจริงๆ”
          พูลเดช กรรณิการ์

สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ – ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ออกมา “ยินดียินร้าย” กับอดีตขุนพลคู่ใจอย่าง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ได้กลับเข้าไปเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจอีกครั้ง เพราะระหว่างนายทักษิณกับนายสมคิด “มีปัญหาทางใจ” กันอย่างลึกซึ้ง โดยที่ไม่มีโอกาสปรับความเข้าใจกันเลยตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
แต่ที่มากกว่านั้นคือ ต่างฝ่ายต่างก็ถือว่าตัวเองแน่ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกัน
นายสมคิดถือว่าตัวเองเป็นดาวฤกษ์ มีแสงในตัวเอง ไม่ต้องอาศัยแสงจากทักษิณเหมือนคนอื่นที่เป็นดาวเคราะห์ จึงต้องอาศัยนายทักษิณทางการเมืองตลอดชีวิต
ส่วนทางด้านนายทักษิณนั้น ก็ถือตัวเองว่าเป็นผู้เปิดโอกาสให้นายสมคิดเกิดทางการเมือง และส่งเสริมให้นายสมคิดเติบใหญ่ทางการเมือง เรื่องอะไรที่คนอย่างเขาจะต้องไป “ปรับความเข้าใจ” กับนายสมคิดให้เสียเหลี่ยม
เมื่อปั้นนายสมคิดขึ้นมาเป็นดาวได้ นายทักษิณก็สามารถปั้นคนอื่นขึ้นมาแทนได้ ไม่ว่าจะเป็น นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ หรือ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา นายทักษิณจึงแทบไม่เคยเอ่ยถึงนายสมคิดทั้งในทางดีและทางร้าย คล้ายกำลังบอกว่า “ไม่ให้ความสำคัญ”
ขณะที่ทางด้านนายสมคิดก็ไม่เคยพูดถึงนายทักษิณไม่ว่าจะทางดีหรือทางร้ายต่อสาธารณะเลยเช่นกัน เหตุผลก็เพราะ หนึ่ง นายทักษิณเป็น “นายเก่า” เป็นผู้มีบุญคุณทางการเมือง สอง นายสมคิดไม่ต้องการเป็นศัตรูกับนายทักษิณ เพราะรู้ว่าการเป็นศัตรูกับนายทักษิณย่อมไม่เป็นเรื่องดีกับตัวเอง และสาม นายสมคิดต้องการลบภาพนายทักษิณออกจากตัวเอง
อย่างไรก็ดี ทั้งสองฝ่ายก็ย่อมต้องพูดถึงกันและกันในทางลับอยู่แล้วไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะทางดีและทางร้าย ตามประสาคนเคยอยู่ด้วยกัน และมีปัญหาทางใจระหว่างกัน
ทว่า แต่ที่เป็นเรื่องแปลกอย่างมากคือ นายทักษิณเงียบกริบ ไม่ออกมาพูดอะไรเลยสักคำถึงสิ่งที่นายสมคิดกำลังทำในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช. นั่นคือ การที่นายสมคิดลงไปแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ประชาชนรากหญ้าและเศรษฐกิจฐานราก ด้วยการนำแนวนโยบายเดียวกับที่นายทักษิณและนายสมคิดเคยทำร่วมกันมาเมื่อครั้งอยู่พรรคไทยรักไทยไปทำอีกครั้ง ซึ่งเคยสร้างความนิยมจากประชาชนให้กับนายทักษิณ นายสมคิด และพรรคไทยรักไทยมาแล้ว
CC 61
แนวนโยบายที่ว่านั้นคือ ทักษิโณมิกส์ หรือ dual track และโครงการประเภทประชานิยม
ซึ่งนายสมคิดหยิบเอาโครงการกองทุนหมู่บ้านของทักษิณมาทำต่อ
ซึ่งนายสมคิดหว่านเงินลงไปที่ชนบท ทั้งหมู่บ้านและตำบล แบบเดียวกับที่ทักษิณเคยทำ เพียงแต่ต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น
นายทักษิณเงียบกริบ ทั้งที่นายสมคิดกำลังนำแนวนโยบายของนายทักษิณไปใช้ ไม่ออกมาแสดงความเห็นด้วย เพื่อ “ยกหาง”นโยบายของตัวเอง และก็ไม่ออกมาต้าน ทั้งที่นายสมคิดกำลังเหยียบเท้าเข้าไปอย่างจริงจังที่ประชาชนรากหญ้า ซึ่งถือว่าเป็นฐานประชาชนของทักษิณ เป็นฐานพลังทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของทักษิณ และเป็นการเหยียบเท้าเข้าไปในนามรัฐบาลของ คสช. ผู้ซึ่งยึดอำนาจจากรัฐบาลน้องสาวของทักษิณ
ซึ่งการเหยียบเท้าลงสู่รากหญ้าของนายสมคิด มันอาจหมายถึง “หนามยอกเอาหนามบ่ง” คือ เอาประชานิยมโดยคนที่เคยทำประชานิยมร่วมกับนายทักษิณ ลงไปทำประชานิยมแข่งกับทักษิณ เพื่อสลายความนิยมของนายทักษิณ      ความเงียบของทักษิณต่อเรื่องที่สำคัญที่สุดเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องผิดปกติมากๆ ทั้งในบริบทการถูกรุกทางการเมือง ในเรื่องที่เป็นความเป็นความตายของระบอบทักษิณก็ว่าได้ หรือในบริบทที่เคยมีปัญหาทางใจกับนายสมคิด กรณี “วัดรอยเท้า” รวมทั้งตามนิสัยของทักษิณที่ไม่ยอมให้ใครมาลูบคม หรือทำอะไรข้างเดียว แม้ว่านายทักษิณจะออกมา “ชน” กับ คสช.หลายครั้งในช่วงหลังมานี้ ในเรื่องการถอดยศ การร่างรัฐธรรมนูญ และเรื่องอื่นๆ แต่นายทักษิณกลับไม่ชนกับนายสมคิด คสช. และนโยบายประชานิยม แปลกมากๆ
ท่าทีแปลกๆของทักษิณต่อเรื่องนี้ จึงเป็นสิ่งที่ปล่อยผ่านไปไม่ได้ แต่จำเป็นต้อง “รู้เขา” และ “รู้เรา” เพราะนี่อาจเป็นชนวนของสงครามการเมืองครั้งใหม่ได้ หรืออาจเป็นการกำจัดระบอบทักษิณออกไปอย่างสิ้นซาก
หนึ่ง ทักษิณเงียบเพราะรู้ว่าหากออกมาพูดอะไรที่เป็นการต่อต้านการหว่านเงินลงไปที่รากหญ้าของรัฐบาล ก็จะเข้าตัวทักษิณ เพราะนโยบายนี้เป็นของทักษิณ นอกจากนี้ การออกมาต้านเงินที่กำลังเข้ากระเป๋าประชาชน ไม่เป็นผลดีต่อทักษิณ ดังนั้น ทักษิณจึงเงียบ ปล่อยให้ประชาชนมีเงินใช้ดีกว่า และประชาชนก็จะนึกถึงเองว่าเป็นเพราะนโยบายของทักษิณเป็นนโยบายที่ดี รัฐบาลของ คสช.และนายสมคิดจึงนำมาใช้
สอง นายทักษิณยังประเมินไม่ออกว่าการที่นายสมคิดนำนโยบายของนายทักษิณมาใช้ เป็นเพราะต้องการเปิดศึกทำสงครามประชาชนเป็น “ตัวแทน” ของ คสช.รบกับทักษิณ หรือเป็นเพราะนายสมคิดต้องการส่งสัญญาณเป็นมิตรมาถึงทักษิณว่า “ผมยังเป็นคนเดิม”
ทักษิณจึงต้องเงียบไว้ก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์ให้แน่ใจเสียก่อนว่าอะไรเป็นอะไร เพราะตอนนี้นายสมคิดกลับมามี “ความหมาย”สำหรับทักษิณไม่น้อย ไม่ว่าอยากจะใช้บริการหรือใช้เป็นหมากก็ตาม
สัญญาณจากนายสมคิดตอนนี้ยังไม่แน่ใจ สัญญาณบวกก็มี จากการที่นายสมคิดไม่เคยพูดถึงทักษิณทางลบ และล่าสุดจากการที่นายสมคิดเชิญนักการเมืองจากพรรคไทยรักไทยร่วมงานวันแต่งงานบุตรชายนายสมคิดมากหน้าหลายตา ซึ่งแสดงว่านายสมคิดไม่ลืมและไม่รังเกียจเพื่อนเก่า
สัญญาณบวกเหล่านี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นการจูนปัญหาทางใจระหว่างกันในอนาคตก็ได้ หรืออาจจูนกันแล้วก็ได้ไม่มีใครรู้ นายทักษิณจึงเงียบกริบ
แต่ถึงนายทักษิณจะมองว่าเป็นสัญญาณลบ โดยมองว่านายสมคิดกำลังเปิดศึกกับทักษิณ ทักษิณก็ไม่มีทางเลือก นอกจากจะต้องยอมให้รากหญ้ามีเงินในกระเป๋าไปก่อน หลังจากนั้น เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะออกมา “ตีกิน” ปิดเกมบุกของนายสมคิดและ คสช.ที่ทำมาทั้งหมดในไม้เดียว
สาม ทักษิณอาจมองว่าการเก็บนายสมคิดไว้ในตอนนี้ย่อมเป็นประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ ตราบใดที่นายสมคิดยังไม่ก้าวลงไปลึกมากนักจนสะเทือนฐานรากหญ้าของทักษิณ โดยอาจต่อสายเจรจาต่อรองตกลงกับ พล.อ.ประยุทธ์ ผ่านทางนายสมคิด ซึ่งดูจะให้ผลมากกว่าผ่านคนอื่น เพราะตอนนี้นายสมคิดเป็นคนที่ พล.อ.ประยุทธ์วางใจมากที่สุด ขณะเดียวกันการที่นายสมคิดคุมเศรษฐกิจทั้งหมด ยังเป็นผลดีต่อเครือข่ายธุรกิจของทักษิณ ที่อาจแทรกตัวเข้าไปพึ่งบารมีของนายสมคิดได้
อย่างไรก็ดี ก็ต้องจับตาดูต่อไปว่า นายทักษิณจะเงียบต่อไป หรือตัดสินใจอย่างไร เมื่อนายสมคิดจะต่อยอดนโยบายเศรษฐกิจฐานรากที่ได้ขับเคลื่อนลงไปสู่ประชาชนรากหญ้าแล้วด้วย 3 แพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะต่อยอดไปสู่มิติทางสังคม ในวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายนนี้ ภายใต้ชื่อปฏิบัติการ “แนวคิดสานพลังประชารัฐ เพื่อเศรษฐกิจฐานราก” โดยนำภาคประชาสังคมและเอกชนมาร่วมขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาลที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ ซึ่งนี่จะเป็นการรุกลงสู่รากหญ้าอย่างเป็นระบบด้วยมิติทางสังคมที่จะต้องมีผลต่อมิติทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งต่อทักษิณและระบอบทักษิณ ทั้งต่อ คสช.และรัฐบาล และทั้งต่อตัวนายสมคิดเอง
นี่ต่างหากเป็นสิ่งที่ทักษิณจะต้องประเมิน เพราะปฏิบัติการนี้เป็นปฏิบัติการเก่าของทักษิณที่ทักษิณรู้ว่ามีความสำคัญอย่างไร? แต่ทักษิณไม่เคยทำ เพราะก้าวไม่พ้น “กับดักประชานิยม” แต่วันนี้นายสมคิดกำลังลงมือทำ!!

วิเคราะห์ // หนามยอกเอาหนามบ่ง?
โดย – พูลเดช กรรณิการ์
17 กันยายน 2558
10.41 น.

“จุติ ไกรฤกษ์” เสนอ 6 มาตรการเร่งด่วนกระตุ้นเศรษฐกิจไทย

17 ก.ย.58 นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข้อเสนอการแก้ปัญหาเศรษฐกิจต่อรัฐบาล โดยมองว่า ปัจจุบันมีนักธุรกิจและนักลงทุนที่พร้อมจะลงทุนในประเทศ แต่กลับนำเงินไปลงทุนต่างประเทศเนื่องจาก การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่มีสิ่งดึงดูดใจเพื่อกระตุ้นการซื้อขายให้กับนักลงทุน รวมถึงขั้นตอนในระบบราชการที่มักดำเนินการล่าช้า 
.
นายจุติ กล่าวว่า ขณะนี้มีทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างการรอขายมากถึง 8 แสนล้านบาท หากรัฐบาลต้องการกระตุ้นให้เกิดการซื้อขาย เพื่อให้เกิดกระแสเงินเข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของไทย รัฐบาลควรดำเนินการต่อไปนี้
.
1. เร่งรัดขั้นตอนการประเมินทรัพย์สิน โดยเสนอให้มีการจ้างที่ปรึกษาเข้ามาช่วยดำเนินการเพื่อลดงานฝ่ายปฏิบัติ และให้เจ้าหน้าที่รัฐเป็นคนกำกับ
2. นำรูปแบบการประมูลรถยนต์ของหน่วยราชการ มาใช้ในการประมูลทรัพย์สินที่เป็นที่ดินและอาคารพาณิชย์ ให้มีรูปแบบที่รวดเร็วและตรวจสอบได้
3. ลดขั้นตอนการชำระเงิน โอนทรัพย์สิน รวมถึงการชำระเงินคืนให้กับเจ้าหนี้ จากเดิม 6 เดือน ให้เหลือไม่เกิน 45 วัน
4. ลดขั้นตอนและระยะเวลาในการดำเนินการธุรกรรม ของธุรกิจประเภทอสังหาริมทรัพย์กับหน่วยงานรัฐทุกประเภท
5. ผ่อนปรนเงื่อนไขบางอย่างเพื่อส่งเสริมการซื้อขายอสังหาฯ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้นักลงทุนนำมาเป็นส่วนลดให้กับผู้ซื้อ เพื่อดึงดูดให้มีการซื้อขายในตลาด
6. ลดภาษีสรรพสามิตและภาษีศุลกากรสำหรับ สินค้าแบรนด์เนมและแฟชั่น ในระยะเวลา 6 เดือน หากสำเร็จให้ต่อได้อีก 6 เดือน โดยประโยชน์ที่จะได้รับ คือ เป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวในอาเซียนเข้าสู่ประเทศไทย และรัฐจะมีรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคลของคนไทย เพราะคนไทยไม่ต้องบินไปซื้อของต่างประเทศแต่ใช้เงินในประเทศแทน

กองทัพเร่งฝึก “นักรบไซเบอร์” รับมือแฮกเกอร์ทั่วโลกโจมตีประเทศไทย

กองทัพเร่งฝึก “นักรบไซเบอร์” รับมือแฮกเกอร์ทั่วโลกโจมตีประเทศไทย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
17 กันยายน 2558 07:03 น.
 กองทัพเร่งฝึก “นักรบไซเบอร์” รับมือแฮกเกอร์ทั่วโลกโจมตีประเทศไทย
       
        บิ๊กตู่ สั่ง “กองทัพ-สมคิด-อุตตมะ” รับมือสงครามไซเบอร์ (Cyber Warfare) เร่งบูรณาการเศรษฐกิจดิจิตอลให้ขับเคลื่อนไปพร้อมปกป้องความมั่นคงของชาติ ด้านกองทัพพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญปฏิบัติการไซเบอร์ ทั้งในเชิงรุก-เชิงรับ สกัดกั้นภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ ที่แฮกเกอร์ระดับโลกใช้ไทยเป็นเป้าโจมตี จัดตั้ง “ศูนย์ไซเบอร์กองทัพ” รับมือแฮกเกอร์ทั่วโลก ที่เข้ามาสร้างผลกระทบต่อประเทศชาติ ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ด้านผู้เชี่ยวชาญระบบคอมพ์ย้ำ ทหารดูแลดีกว่าให้การเมืองคุมศูนย์ฯ 
      
       จากสถานการณ์ไซเบอร์ของประเทศไทยในวันนี้ ที่ถูกจัดอันดับว่าเป็นประเทศที่ถูกโจมตีผ่านระบบไซเบอร์เป็นอันดับที่ 33 จาก 250 ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะสถานการณ์การถูกโจมตีเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานั้น บรรดาหน้าเว็บไซต์ของหน่วยงานราชการ อาทิ เว็บไซต์ของจังหวัดลำพูน และเว็บไซต์ของฝ่ายอำนวยการ 1 บก.อก. กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ถูกเจาะระบบเปลี่ยนหน้าโฮมเพจเป็นข้อความเรียกร้องสันติภาพชาวมุสลิม พร้อมระบุว่าเป็นฝีมือของแฮกเกอร์แอลจีเรีย ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นมาในขณะที่ประเทศไทย ยังไม่มีมาตรการดูแลเรื่องความมั่นคงและปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ที่ชัดเจน และรัดกุม
 กองทัพเร่งฝึก “นักรบไซเบอร์” รับมือแฮกเกอร์ทั่วโลกโจมตีประเทศไทย
เว็บไซต์ของจังหวัดลำพูน เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2558
       
        หากปล่อยไว้โดยไม่เร่งดำเนินการจัดการจากภัยคุกคามจากโลกไซเบอร์ บรรดาแฮกเกอร์ในที่ต่างๆ ทั่วโลก สามารถใช้จุดอ่อนหรือช่องโหว่ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศไทย เข้ามาทำลายหรือรบกวนขัดขวางการทำงานโดยโจมตีระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์โครงสร้างพื้นฐานสำคัญของชาติได้ ทั้งนี้เพราะระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานของภาครัฐ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจโทรคมนาคม ตลอดจนภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการคุกคามในระดับบุคคลและองค์กรซึ่งมีผล กระทบต่อความมั่นคงของประเทศชาติ เศรษฐกิจ และสังคม
      
       ดังนั้นรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงมีนโยบายและสั่งการเพื่อรับมือกับสงครามไซเบอร์ โดยให้มีการบูรณการการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิตอล ควบคู่ไปกับความมั่นคงปลอดภัยด้านไซเบอร์ระดับชาติ ซึ่งมอบหมายให้กระทรวงกลาโหม เป็นผู้ดูแลภาพรวม
      
        ตั้งศูนย์ไซเบอร์กองทัพบกรับมือแฮกเกอร์ทั่วโลก
      
       อย่างไรก็ดีกองทัพมีการเตรียมความพร้อมที่จะปฎิบัติภารกิจดังกล่าว ทั้งในเรื่องการพัฒนาบุคลากรทางการทหารให้มีความเชี่ยวชาญการปฏิบัติการด้าน ไซเบอร์เชิงรับ (Defensive) และการปฏิบัติการด้านไซเบอร์เชิงรุก (offensive) โดยหลายปีที่ผ่านมา มีการนำร่องการอบรมเพิ่มทักษะให้กับกำลังพลของกองทัพ โดยศูนย์เทคโนโลยีทางทหาร กองบัญชาการกองทัพบก ดำเนินการในเรื่องอัตรากำลัง และงบประมาณที่จะฝึกฝนความรู้ทางด้านไซเบอร์ ให้บุคลากรนายทหารระดับสูงจนถึงระดับกลาง ตลอดจนการสรรหาคนเก่งปรับจากชั้นประทวนเป็นชั้นสัญญาบัตรและจะสนับสนุนให้เป็นนักรบไซเบอร์หรือทหารรบไซเบอร์ และในปีที่ผ่านมา ยังมีการเปิดรับสมัครคนนอกที่เก่งด้านไซเบอร์เข้ามาติดยศเป็นนายทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย
      
       ปัจจุบันมีการพัฒนาบุคลากรของกองทัพในรูปแบบการแข่งขันระบบงานจำลองการฝึกด้านไซเบอร์ (Cyber Range) ที่จัดขึ้นภายใต้งาน “อาร์มี ไซเบอร์คอนเทสต์ 2015” (Army Cyber Contest 2015) เมื่อวันที่ 9 กันยายน ที่กองบัญชาการกองทัพบก ซึ่งทั้งหมดเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะขยายศูนย์เทคโนโลยีทางทหารสู่ “ศูนย์ไซเบอร์ของกองทัพบก” ให้เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ภายใต้กรอบการปฎิบัติงานทั้ง “Scope” และ “Scale” ออกเป็น 4 ด้าน คือ 1.ภัยคุกคามที่ส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ 2.ภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จสต.) 3.ภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อสถาบัน 4.ภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของกองทัพ
 กองทัพเร่งฝึก “นักรบไซเบอร์” รับมือแฮกเกอร์ทั่วโลกโจมตีประเทศไทย
พล.ต.ฤทธี อินทราวุธ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีทางทหาร
       
        ด้าน พล.ต.ฤทธี อินทราวุธ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีทางทหาร กล่าวว่า ถือว่าปีนี้เป็นครั้งแรกที่กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพอากาศ กองทัพเรือ ศูนย์สงครามไซเบอร์ และสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการแข่งขัน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการฝึกทักษะเพื่อรองรับการปฏิบัติงานความมั่งคงปลอดภัยด้านไซเบอร์ของชาติ (National Cyber Security) และการเตรียมพร้อมด้านบุคลากรซึ่งเป็นนักรบไซเบอร์ในการปฏิบัติการทางทหาร ถือว่ามีความจำเป็นสำหรับยุคนี้ เพราะไซเบอร์สเปซเป็น “โดเมนที่ 5” ซึ่งนอกเหนือจากการฝึกทักษะทั้งทางพื้นดิน ผืนฟ้า อากาศ และอวกาศแล้ว การปฏิบัติการในไซเบอร์โดเมนจะเข้าไปเกี่ยวพันกับการปฏิบัติการในทุกมิติ
      
       สำหรับระบบงานจำลองการฝึกด้านไซเบอร์ (Cyber Range) ถือเป็นระบบงานที่หลายหน่วยงานของกองทัพให้ความสนใจและในอนาคตอาจจะถูกบรรจุไว้ใน ระบบของศูนย์ไซเบอร์ของกองทัพอีกด้วย
 กองทัพเร่งฝึก “นักรบไซเบอร์” รับมือแฮกเกอร์ทั่วโลกโจมตีประเทศไทย
อาจารย์ปริญญา หอมอเนก ผู้เชี่ยวชาญทางระบบคอมพิวเตอร์และความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (Information Security)
       
        ความมั่นคงด้านไซเบอร์หนุนเศรษฐกิจดิจิตอล
      
       ขณะที่ อาจารย์ปริญญา หอมอเนก ผู้เชี่ยวชาญทางระบบคอมพิวเตอร์และความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (Information Security) ให้ความเห็นกับ Special scoop ว่าการตั้งกองบัญชาการไซเบอร์ สอดคล้องกับสถานการณ์สงครามไซเบอร์ ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ ซึ่งภายในเวลา 5 เดือน เว็บไซต์ถูกเจาะระบบมากถึง 6,000 แห่ง
      
       นอกจากนั้นประเทศไทยยังติดอันดับโลกโดยเป็น 1 ใน 5 ของประเทศที่โดนแฮกมากที่สุด เพราะเว็บไซต์โดนฝังไวรัสโทรจัน หน้าเวบเพจ เป็นว่าเล่น และยังติดอันดับ 7 ประเทศแรกที่โดนเป็นเป้าหมายโจมตีมากที่สุด ซึ่งจากข้อมูลรีเสิร์ชของอเมริการะบุว่า ไทยเป็นประเทศที่เป็นเป้าหมายถูกแฮก ทั้งในมิติเรื่องความมั่นคงรัฐ ด้านธุรกิจ ซึ่งตรงนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องสร้างระบบความมั่นคงปลอดภัยด้านไซเบอร์ขึ้นมา
      
       “เมื่อเร็วๆ นี้เว็บไซต์ภาครัฐถูกแฮกเกอร์เจาะแก้หน้าเว็บไซต์ ซึ่งจุดนี้ก็ต้องยอมรับว่าการรับมือสงครามไซเบอร์ของประเทศไทยยังไม่มีความพร้อม โดยเฉพาะเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งมีเป็นหลักหมื่น ต้องมีการปรับปรุงให้ได้มาตรฐาน เพราะยังกระจัดกระจายต่างคนต่างทำ ยกตัวอย่างองค์การบริการจังหวัดได้งบมาก็ไปเช่าโฮสติ้ง 500 บาทต่อเดือน แถมบางแห่งใช้ชื่อโดเมนลงท้ายว่า .com แทนที่จะใช้ .go.th ปัญหาส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าไม่มีการตั้งหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบดูแลโดยตรง”
      
       ส่วนแนวทางในการแก้ปัญหามีตั้งแต่การตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อตรวจสอบดูแลเว็บไซต์ต่างๆ ที่เป็นของราชการให้ผ่านมาตรฐาน โดยจ้างเอกชนมาทำหน้าที่ตรวจสอบ 10 บริษัทแบ่งให้รายละ 100 เว็บไซต์ แล้วนำมาหรือหากจะยึดการดำเนินการตามแนวทางเดิม โดยหน่วยงานเป็นผู้ดำเนินการเว็บไซต์ด้วยตัวเองนั้น ก็ต้องทำให้มีมาตรฐานมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
      
       อาจารย์ปริญญา บอกด้วยว่า ในการฝึกทหารไซเบอร์ที่กระทรวงกลาโหม เป็นผู้ดูแลกับการตั้งหน่วยงานขึ้นมาตรวจสอบดูแลเว็บไซต์ สามารถดำเนินการไปด้วยกันได้ เพราะถือเป็นการเตรียมคนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้านความมั่นคงด้านไซเบอร์ (Cyber Security)
 กองทัพเร่งฝึก “นักรบไซเบอร์” รับมือแฮกเกอร์ทั่วโลกโจมตีประเทศไทย
บรรยากาศการแข่งขัน “อาร์มี ไซเบอร์คอนเทสต์ 2015” เมื่อวันที่ 9 กันยายน ที่กองบัญชาการกองทัพบก
       
        ขณะเดียวกันการที่ทหารฝึกนำระบบจำลองยุทธ์ทางไซเบอร์ ซึ่งเป็นการแข่งขันสนามจำลองยุทธ์ ประกอบด้วย 1.เกมเทคโนโลยี 2.เอ็ดดูเคชัน 3.เอนเตอร์เทนเมนต์ รวมกัน ซึ่งเกมนี้ส่งเสริมให้มีทักษะประสบการณ์ทางด้านไซเบอร์ และสร้างศักยภาพกำลังพลของกองทัพด้านไซเบอร์ เพระมีการฝึกทั้งเชิงรุกและเชิงรับโดยแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ เรดทีม ทีมเจาะบุกเข้าไปแฮก (Offensive) และบลูทีม( Defensive) เป็นทีมปิด โดยวิธีการนี้จะเพิ่มจำนวนกำลังพลของศูนย์ไซเบอร์กองทัพบกไปถึงเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว คาดว่าภายในเวลา 1- 2 ปี บุคลากรที่เป็นนักรบไซเบอร์ที่มีความเก่งและความเชี่ยวชาญจะเพิ่มเป็นหลักร้อยคน
      
       ที่สำคัญหากประเทศไม่มีความมั่นคงทางไซเบอร์แล้ว แนวคิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบดิจิตอลอีโคโนมีจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ที่ผ่านมาเราใช้เศรษฐกิจนำ แต่อันที่จริงแล้วความมั่นคงและเศรษฐกิจจะต้องไปด้วยกัน จะทำให้ดิจิตอลอีโคโนมีมีความชัดเจนดีขึ้นทั้งเศรษฐกิจและความปลอดภัย
      
       “สมคิด-อุตตมะ” ต้องบูรณาการ “เศรษฐกิจดิจิตอล-ความมั่นคง”
      
       โดยในวันแถลงยุทธศาสตร์ชาติ-ยุทธศาสตร์ทหาร พศ. 2559-2563 ของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวขณะเยี่ยมชมบูทศูนย์เทคโนโลยีทางทหาร ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของภัยบนโลกไซเบอร์ จึงให้นโยบายและแนวทางกับ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และ ดร.อุตตมะ สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นำไปสานต่อ
      
       “ให้นำแนวความคิด การปฏิบัติการไซเบอร์ และการต่อต้านสงครามไซเบอร์ของศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก ใส่ไว้ใน “Digital Economy” จัดเชื่อมโยงเครือข่าย และขยายผลในระดับชาติ รวมไว้ในโครงสร้างระบบเศรษฐกิจแบบ “Digital Economy” ของรัฐบาลและให้กระทรวงกลาโหมไปดูภาพรวม”
      
       อาจารย์ปริญญา ระบุว่า การให้นโยบายครั้งนี้สอดคล้องกับบทบาทและศักยภาพการปฏิบัติงานของ “ศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก” ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และรับมือกับภัยคุกคามที่มองไม่เห็นบนเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จึงกำหนดให้ "ดิจิตอลอีโคโนมีจะต้องเชื่อมต่อกับไซเบอร์ซีเคียวริตี้ เพราะที่ผ่านมาต่างคนต่างทำไม่มีการเชื่อมโยงและบูรณาการดิจิตัลไปในภาคเศรษฐกิจ ขณะที่กองทัพดำเนินการทางด้านความมั่นคงทางไซเบอร์”
      
       “การที่พลเอกประยุทธ์ให้การบ้านรองนายกฯ และ รมว.ไอซีที ถือเป็นจุดเริ่มต้นว่าจะเอาจริงเอาจัง เรื่องไซเบอร์บูรณาการเชื่อมโยงกับนโยบายดิจิตอลอีโคโนมีความชัดเจนมากขึ้น”
 กองทัพเร่งฝึก “นักรบไซเบอร์” รับมือแฮกเกอร์ทั่วโลกโจมตีประเทศไทย
       
        ในเรื่องความมั่นคงปลอดภัยด้านไซเบอร์ของประเทศชาติ (National Cyber security) เป็นเรื่องที่จะต้องมีความยั่งยืนตลอดไป จึงเป็นบทบาทของกระทรวงกลาโหม เพราะหากให้ฝั่งการเมืองคุมเบ็ดเสร็จ ทุกอย่างในความปลอดภัยที่เป็นส่วนตัว Security Privacy อยู่ภายใต้รัฐมนตรีทั้งหมด และเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลนั้นจะมีความเสี่ยงสูงมาก ดังนั้นการที่ให้กระทรวงกลาโหมเข้ามามีส่วนในการดูแลนั้นมีข้อดีคือ สามารถขับเคลื่อนได้ง่าย มีความปลอดภัยมั่นคงและยั่งยืน เพราะเป็นสถาบันที่อยู่กับประเทศชาติตลอดไป
      
       ทั้งนี้เพราะความมั่นคงปลอดภัยด้านไซเบอร์ ไม่ได้มีเฉพาะมิติด้านบุคลากรเท่านั้น ยังมีมิติอื่นๆ อีก เช่นมิติด้านเศรษฐกิจ มิติด้านความมั่นคง หรือความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัวของคน อาจารย์ปริญญา ยังยกตัวอย่างให้เห็น เช่น ข้อมูลบุคคลโดนคนขายประกันโทร.มา ไม่ใช่เรื่องความมั่นคงแต่เป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคลเจอในสิ่งที่ไม่ต้องการ เพราะในมุมมองนี้คือ ต้องได้รับการยอมรับก่อนที่จะนำข้อมูลของเราไปให้คนอื่น เรื่องนี้ยังไม่มีกฎหมายปกป้องสิทธิ อย่างมากทำได้เพียงบ่นต่อว่าร้องเรียนเท่านั้น ซึ่งตัวอย่างการคุ้มครองด้านไซเบอร์ส่วนบุคคล ในอนาคตอาจจะขึ้นตรงกับกระทรวงพาณิชย์ ที่จะมีบทบาทดูแลความมั่นคงและความปลอดภัยของ “คน” ซึ่งครอบคลุมถึงการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์
      
       สำคัญที่สุด คือ การออกแบบกฎหมายคุมเข้มเรื่องนี้ ต้องไม่มองความมั่นคงปลอดภัยด้านไซเบอร์ (Cyber Securrity) ด้านเดียวเท่านั้น เพราะความมั่นคงปลอดภัยด้านไซเบอร์เป็นเรื่องหลัก ส่วนเรื่องความมั่นคงปลอดภัยของ “คน” เป็นเรื่องรองลงมาเข้าทำนองที่ว่า “เรื่องชาติเป็นเรื่องหลัก แต่ถ้าคนรั่วชาติก็รั่ว จึงต้องขับเคลื่อนไปด้วยกัน
      
       อย่างไรก็ดีการดำเนินการเรื่องนี้ ยังเป็นเพียงการนำร่องที่พลเอกประยุทธ์ฝากเป็นการบ้านให้หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลดำเนินการ ซึ่งการจะสามารถบูรณาการทั้ง “เศรษฐกิจดิจิตอล” และ “ความมั่นคงปลอดภัยด้านไซเบอร์”ทั้ง 2 ด้าน ให้ดำเนินการควบคู่กันไปได้ จนสามารถปฏิบัติการในเชิงรับและรุกสงครามไซเบอร์ระดับโลกที่ขยับเข้าใกล้ประเทศไทยมากขึ้นทุกขณะได้เพียงไร คงต้องติดตามกันต่อไป 

ทฤษฎี แมลงสาบ...


ทฤษฎี แมลงสาบ...

นายกฯบิ๊กตู่ อ้างนักวิชาการ ระบุประชาธิปไตย ไม่ได้ดีที่สุด แต่ถ้าประชาธิปไตยมีปัญหาก็ไม่มีอะไรแก้ได้ นอกจากการเข้ามาแบบผม เตือนอย่าชักศึกเข้าบ้าน ย้ำปัญหาภายในต้องแก้ด้วยตัวเอง ด่าคนชักจูงต่างชาติเข้ามาถือว่าไม่ใช่คนไทย เปรียบเป็น"แมลงสาบ"คอยแทะประเทศให้ไม่เกิดเสถียรภาพ ลั่นสู้เพื่อชาติ เตือน"อย่าให้ผมลงทุนคนเดียว เสียสละคนเดียวเพื่อปฎิรูปคนเดียว ผมไม่ต้องการเป็นวีรบุรุษ แต่ต้องการให้คนไทยทั้งหมดเป็นวีรบุรุษ วีรสตรีร่วมกัน"
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ หัวหน้า คสช. กล่าวว่าความขัดแย้งบนโลกใบนี้เริ่มจากความยากจน เมื่อมีความยากจนก็จะมีการหาคนโทษให้ได้ คนที่ยากจน เกษตรกร คนที่รู้สึกว่าเหลื่อมล้ำก็จะโทษรัฐบาล จากนั้นก็มีผู้นำในการต่อสู้ รัฐบาลก็ต้องใช้กำลังและพอต้อสู้กันขึ้นมาต่างชาติ UN ก็จะเข้ามาแล้วก็จะจบลงที่ทั้งรัฐบาลและคนต่อต้านเสียทั้งคู่ โดยมีคนกลางต้องเข้ามา
“ดังนั้นสิ่งที่ผมระวังที่สุดคือจะอย่างไรก็ตาม อย่าให้คนอื่นหรือชาวต่างชาติเข้ามายุ่งในบ้านเรา เพราะมันเป็นดินแดน ประเทศของเรา ตามคำพูดว่า our home our country อย่าลืมว่า นี่คือบ้านของเรากฎหมายของเราก็มีอยู่ ใครก็ตามที่ชอบชักชวนคนนั้น คนนี้ เข้ามา ผมว่าไม่ใช่คนไทย เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าเหตุการณ์ในพื้นที่ของเราเป็นอย่างไร ถ้าเราทะเลาะกันและขัดแย้งกันอยู่อย่างนี้แล้วใครจะทำงาน เราก็จะเสียด้วยกันทั้งคู่ 
ดังนั้นสิ่งที่ผ่านมาผมพยายามทำทุกอย่างให้เกิดความปลอดภัยเรียบร้อยให้สังคมมั่นใจ ซึ่งทุกคนต้องช่วยกัน สร้างความมั่นใจให้กับนอกประเทศด้วย ว่าสิ่งที่เราพยายามทำในวันนี้คือการสร้างปัจจุบันและอนาคต เอาขยะใต้พรมมารื้อใหม่ มันมีเยอะ หลายชั้น ขณะเดียวก็ต้องสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่จะขับเคลื่อนให้อยู่ดีกินดี จากนั้นค่อยเริ่มสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทุกวันนี้มีแต่คนรู้โจทย์ แต่ไม่มีคนทำ ถ้าอ่านหนังสือพิมพ์ ตั้งแต่เช้าถึงเย็นหรือฟังจากสื่อต่างๆ ก็จะบอกว่ามันมีปัญหาอยู่ในทุกๆ ที่ ทั้งๆ ที่มันเป็นปัญหาต่อเนื่องยาวนานเป็น 10 ชาติ รัฐบาลต้องแก้ไขให้ได้ ภายในเวลาเท่านั้น เท่านี้นี้ มันจะทำได้อย่างไร

ที่ผ่านมาทุกคนไม่เคยเรียนรู้การนำไปสู่การปฏิบัติอย่างไร มีแต่หลักการ วิชาการ มีแต่โจทย์ และสิ่งที่ต้องการ เรียกร้องจะเอาสิ่งนั้น สิ่งนี้ พอมันช้าก็บอกว่าเราอยากอยู่เพื่อสืบทอดอำนาจ แต่ความจริงแล้วผมพร้อมที่จะไป แล้วทุกคนก็จะอยู่แบบเดิม ส่วนผมก็ไปแล้ว ดังนั้นสิ่งต่างๆ มีความเสี่ยงว่าสิ่งที่ทำอยู่มันจะเกิดผลหรือไม่

นายกฯ กล่าวว่า เรื่องของปัญหาความมั่นคง ที่ยังมีแมลงสาบคอยแทะไปเรื่อยเปื่อยเป็นตัวคอยทำลายไม่ให้ประเทศเกิดเสถียรภาพ ถ้าเป็นแบบนี้การลงทุนในประเทศก็จะไม่เกิด ประเทศเดินไม่ได้
วันนี้ถ้าประเทศไม่สงบก็ยังเดินไปไม่ได้ ต้องดูแลทุกคนที่มาในประเทศไทย ถ้ามาถามเรื่องการเลือกตั้ง ผมก็ยืนยันว่าเป็นไปตามโรดแม็พที่ชัดอยู่แล้ว ที่ทำทุกวันนี้ไม่มีกำไร เป็นการลงทุนด้วยชีวิต ถ้าทุกคนคิดว่าไม่เป็นประโยชน์ ก็ว่ากันต่อไป

"วันนี้ผมอยู่ที่สว่าง ไม่ได้อยู่ในที่มืด ถูกโจมตีทุกวัน แต่ใจยังสู้อยู่ เพื่อประเทศชาติ สถาบัน และพวกเราทุกคน"

"ระบอบการประเทศที่ดีก็ต้องเป็นประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ได้ดีที่สุดของที่อื่น และถ้าประชาธิปไตยมีปัญหาก็ไม่มีอะไรแก้ได้ นอกจากการเข้ามาแบบผม
ที่ผ่านมาประชาธิปไตยของเรารัฐบาลขับเคลื่อนอะไรไม่ได้ ถ้าเขาดีผมไม่เข้ามาหรอก ผมได้ทรมานเขามา 6-7 เดือน คนข้างนอกก็ตายทุกวันๆ เศรษฐกิจเดินไม่ได้ เดี๋ยวต้องสอบถามคนที่มาเที่ยวก่อนหน้านี้ เขามาดูสนามรบกันหรือเปล่า มีการทำนาในทำเนียบรัฐบาลมันเกิดขึ้นได้ยังไง

“ผมไม่ได้พูดหาเสียง เพราะไม่ได้คิดอยู่ต่อ เพียงพูดให้สำนึกว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น วันนี้คนที่มามอบรางวัลคือผม แล้วก็ถ่ายรูปไว้ วันหน้าก็มารับกับคนอื่นรูปของผมก็ถูกเอาลงไป เอารูปคนใหม่ขึ้นมา ซึ่งเป็นธรรมดา มันเป็นสัจธรรม ไม่มีอะไรที่จะอยู่ยาวนาน นอกจากการทำความดีซื่อสัตย์ สุจริต” นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาถ้าเราไม่ทำอะไรเลยก็มีปัญหา เพราะมีทั้งสองฝ่าย แต่ทำอย่างไรจะไม่ให้เดือดร้อน ต้องเห็นอกเห็นใจ ไม่มีอะไรที่ได้ทุกอย่างหรือเสียทุกอย่าง ไม่มีอะไรขาดทุน ทุกอย่างต้องมีได้มีเสีย มากบ้างน้อยบ้างทุกคนต้องร่วมมือกันช่วยกัน ต้องมีการเสียสละกันบ้าง
"อย่าให้ผมต้องลงทุนคนเดียว เสียสละคนเดียวเพื่อปฎิรูปคนเดียว ผมไม่ต้องการเป็นวีรบุรุษ แต่ต้องการให้คนไทยทั้งหมดเป็นวีรบุรุษ วีรสตรีร่วมกันทำให้ประเทศชาติเดินหน้าเพื่อลูกหลานของท่านและคนที่ยังไม่เกิดในประเทศไทยอีกหลายล้านคน ถ้าเกิดมาแล้วสับสนวุ่นวายเขาไม่อยากเกิด เดี๋ยวไปเกิดประเทศอื่น"
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงครั้งที่ไปเยือนประเทศญี่ปุ่นว่า “นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเคยถามว่า ผมสนใจเล่นการเมืองหรือไม่ ผมตอบว่า ไม่เล่น ผมนั่งดูท่านเล่นดีกว่า ผมไม่ใช่นักการเมือง”

สนช.นัดแถลงเปิดคดีถอดสมศักดิ์รวยผิดปกติ29ต.ค.

สนช.นัดแถลงเปิดคดีถอดสมศักดิ์รวยผิดปกติ29ต.ค.
ข่าวการเมือง วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ.2558 11:04 น.
646501
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีมติกำหนดแถลงสำนวนคดีถอดถอน "สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล" 29 ต.ค. นี้ ขณะสมาชิกยื่นญัตติคำถามถึง 30 ต.ค.
การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่มี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณากระบวนการถอดถอน นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ออกจากตำแหน่ง กรณีร่ำรวยผิดปกติ โดยที่ประชุมมีมติให้คู่กรณีแถลงเปิดสำนวนคดีและแถลงคัดค้าน ในวันที่ 29 ตุลาคม 2558 ทั้งนี้ นายสมชาย แสวงการ เลขานุการ วิป สนช. เสนอให้งดเว้นข้อบังคับ 154 วรรค 2 ขยายเวลาสมาชิกสามารถยื่นญัตติกำหนดประเด็นซักถาม หลังจากวันแถลงเปิดสำนวนคดี คือวันที่ 30 ตุลาคม และที่ประชุม มีมติเห็นชอบ 157 : 0 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง จากนั้น ได้พิจารณาคำขอเพิ่มเติมพยานหลักฐาน ในการนี้ นายสมศักดิ์ ยื่นมา 1 คำขอ มีจำนวน 7 รายการ อาทิ การแปรตีความภาพถ่ายทางอากาศ บันทึกคำให้การของบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ สนช. พิจารณาให้ความเห็นชอบ

รมว.คลังประธานถกเอกชนดูลงทุนก่อนชง ครม.

รมว.คลังประธานถกเอกชนดูลงทุนก่อนชง ครม.
ข่าวเศรษฐกิจ วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ.2558 17:22 น.
646626
'สมคิด' มอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประชุมร่วมเอกชน แก้ปัญหาอุปสรรคการลงทุนกับภาครัฐ ก่อนรายงาน นายกรัฐมนตรี และ ครม.
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยภายหลังการประชุม business Easing ว่า เรื่องหลักที่มีการพูดคุย คือ การอำนวยความสะดวกการค้า การลงทุนให้กับภาคเอกชน ซึ่งเป็นนโยบายที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ระบุไว้ว่า จะต้องเร่งดำเนินการเพื่อดูแลให้เป็นไปด้วยความสะดวก เนื่องจากปัจจุบันพบว่า การจัดอันดับการอำนวยความสะดวกการค้า การลงทุนจากธนาคารโลก ไทยอยู่อันดับที่ 26 ของโลก

สำหรับปัญหาของภาคเอกชนในปัจจุบัน พบว่า ส่วนใหญ่เกิดจากการติดต่อกับหน่วยงานราชการ ต้องติดต่อหลายกระทรวง ทำให้การขอจัดตั้งบริษัทมีความล่าช้า เกิดจากกระบวนการที่ไม่จำเป็น ประกอบกับกฎหมายบางเรื่องไม่เอื้ออำนวยต่อการค้าการลงทุนด้วย

ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการจัดประชุมระหว่างภาครัฐและเอกชน เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา และอุปสรรคที่จะมีต่อการค้าการลงทุน โดยจะเริ่มอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งเมื่อมีความคืบหน้าแล้ว จะรายงานให้นายกรัฐมนตรี และ ครม. รับทราบต่อไป

พัทยาประกาศเขตภัยพิบัติหลังพายุถล่มน้ำท่วมหนัก

พัทยาประกาศเขตภัยพิบัติหลังพายุถล่มน้ำท่วมหนัก
ข่าวภูมิภาค วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ.2558 13:05 น.
646547
นายกเมืองพัทยา เผย ประกาศเขตภัยพิบัติ หลังพายุถล่มน้ำท่วมหนักหลายพื้นที่ เพื่อเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม ขณะที่ ระยอง ฝนตกหนัก ฝายอ่างคลองบางไผ่แตก น้ำทะลัก บ้านฉางแล้ว
นายอิทธิพล คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ขณะนี้ จ.ชลบุรี ได้มีการประกาศให้เมืองพัทยาเป็นเขตภัยพิบัติตามระเบียบว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยประกาศเพื่อให้สามารถดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้ตามหลักเกณฑ์ของราชการ ในเรื่องของการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากน้ำท่วมเมื่อวานนี้ ซึ่งขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วม ได้คลี่คลายไปหมดแล้ว ในเชิงของการท่องเที่ยว ยังสามารถดำเนินการได้ตามปกติ แต่ยังงดกิจกรรมทางน้ำ เนื่องจากมีคลื่นลมแรงอยู่ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมยังไม่น่าเป็นกังวล แม้ว่าจะมีฝนตกอยู่ก็ตาม เพราะเจ้าหน้าที่ได้ระดมกำลังเฝ้าระวังตามจุดต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์อยู่ตลอด

ฝายอ่างคลองบางไผ่แตกน้ำทะลักบ้านฉาง
เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ในบริเวณอ่างเก็บน้ำคลองบางไผ่ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ฝายกั้นน้ำแตก ประกอบกับฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องทำให้น้ำทะลักเข้าถนนในหมู่บ้านยายร้า ต.สำนักท้อน อ.บ้านฉาง ปริมาณน้ำสูงประมาณ 50 ซม. ถึง 1 เมตร ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งเข้าช่วยเหลือแล้ว ในขณะเดียวกัน ที่เมืองพัทยา อ.บางละมุง ฝนยังตกต่อเนื่อง แต่ไม่หนักเหมือนเมื่อวาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบายน้ำลงทะเลไปแล้ว แต่ยังมีบางพื้นที่มีน้ำขังอยู่บ้าง

มท.1ยันส่งจนท.ช่วยเหลือน้ำท่วมพัทยาเต็มที่
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงสถานการณ์อุทกภัยฉับพลันในพื้นที่เมืองพัทยา ว่า ขณะนี้มีเจ้าหน้าที่จากฝ่ายปกครองและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ลงพื้นที่ไปดูแลปัญหาแล้ว
ทั้งนี้ ส่วนตัวเห็นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นลักษณะที่น้ำท่วมฉับพลันแล้วไหลลงทะเลไป และเชื่อว่าไม่นานสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ สำหรับการประกาศพื้นที่ภัยพิบัติในเขตเมืองพัทยานั้น เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ สามารถเข้าไปช่วยเหลือในพื้นที่ได้อย่างเต็มที่และสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้
อย่างไรก็ตาม พล.อ.อนุพงษ์ ได้ปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงรายชื่อสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ หรือ สปท.

ฝนกระหน่ำน้ำท่วมพลูตาหลวงสูง1-2เมตร
เมื่อช่วงบ่ายของวันนี้ได้เกิดเหตุน้ำในอ่างเก็บน้ำคลองบางไผ่ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ล้นสปิลเวย์ หรือ แนวคันกั้นน้ำ เข้าท่วมบ้านเรือนราษฎร ในบริเวณใกล้เคียงรวมถึงในพื้นที่ ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ระดับน้ำสูง 1 - 2 เมตร โดย อ.สัตหีบ ได้ตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่แล้ว ล่าสุด สามารถช่วยเหลือ นายศราวุฒิ ไกลทรงพล ใน ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ ที่ติดอยู่ภายในบ้านพักนานนับ 1 ชั่วโมง หลังจากถูกน้ำท่วมอย่างรุนแรงออกมาได้อย่างปลอดภัย ผลปรากฎว่า บ้านพังเสียหาย รวมถึงรถยนต์เก๋ง และสิ่งของต่าง ๆ พังเสียหายทั้งหมด ขณะนี้ ฝนยังคงตกอยู่ในระดับ 3 - 4 อย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดอีกด้วย

ผบ.ตร.บอกบึ้มยังไม่เข้าข่ายก่อการร้าย-หมายจับอีก1


ผบ.ตร.บอกบึ้มยังไม่เข้าข่ายก่อการร้าย-หมายจับอีก1
ข่าวอาชญากรรม วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ.2558 16:38 น.
646617
พล.ต.อ.สมยศ เผย ระเบิดราชประสงค์และสาทร ยังไม่เข้าข่ายก่อการร้าย สอบเส้นทางการเงินเป็นลักษณะของการจ้างวาน ทำเพราะโกรธแค้น ขณะที่ ศาลออกหมายจับรายที่ 13 แล้ว เป็นชายชาวปากีสถาน
พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผย ความคืบหน้าเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร ว่า ความผิดในกรณีดังกล่าวยังไม่เข้าข่ายข้อหาก่อการร้าย เนื่องจากยังไม่พบความผิดที่กระทำอย่างเป็นกระบวนการ หรือมีกลุ่มองค์กรใด กลุ่มใด ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าว แต่เป็นลักษณะของการเสียผลประโยชน์และต้องการแก้แค้นส่วนตัว ส่วนการที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. มีการรายงานเส้นทางการเงินของบวนการดังกล่าวนั้น เป็นไปในลักษณะของการว่าจ้างให้กลุ่มคนมาลงมือก่อเหตุมากกว่าที่จะเป็นการก่อการร้ายข้ามชาติ ส่วนใครจะเป็นผู้จ้างวานนั้น ขณะนี้กำลังสืบสวนอยู่ ตนไม่สามารถบอกได้
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า หากพนักงานสอบสวนมีพยานหลักฐานที่เชื่อได้ว่าผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว มีความผิดเข้าข่ายก่อการร้ายก็สามารถแจ้งเพิ่มเติมได้

รองผบ.ตร.ประสานเชิงลึกมาเลย์สอบ3ผู้ต้องสงสัยโยงบึ้ม
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า การมอบหมายให้ พล.ต.ท.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ จเรตำรวจ พร้อมคณะ เดินทางไปประสานข้อมูลเชิงลึก ตลอดจนพูดคุยกับผู้ต้องหา 3 คน ที่ถูกตำรวจมาเลเซียควบคุมตัวได้ จะมีความชัดเจนว่า ทั้ง 3 คน มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดบริเวณแยกราชประสงค์และท่าเรือสาทรมากน้อยเพียงใด โดยขึ้นอยู่กับกรอบกฎหมายและข้อกำหนดของทางการมาเลเซีย ว่า จะให้ตำรวจไทยสามารถพูดคุยกับผู้ต้องหาได้มากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้หากการสอบสวนของตำรวจไทยพบว่า ทั้ง 3 คน มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดในกรุงเทพฯ ก็สามารถขอส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศได้ เนื่องจากไทยและมาเลเซียมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
ส่วนการติดตามตัว นายอาบูดูซาตาร์ หรือ อิซาน ผู้ต้องหาตามหมายจับรายล่าสุด ยังไม่ยืนยันว่า หลบหนีเข้าประเทศตุรกีจริงหรือไม่ เพราะส่วนตัวก็ทราบข่าวจากสื่อมวลชนเช่นกัน ส่วนการประสานข้อมูลกับทางประเทศตุรกี พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่ระหว่างดำเนินการ
นอกจากนี้ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังระบุด้วยว่า ในวันพรุ่งนี้ เวลา 10.30 น. จะเรียกประชุมชุดสืบสวนสอบสวนคดีระเบิดทั้งหมด ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล และจะมีการพิจารณาว่า นายอาเดม คาราดัก และ นายเมียไรลี ยูซุฟู ผู้ต้องหาที่ควบคุมได้ 2 คน รวมถึง ผู้ที่ถูกออกหมายจับและยังหลบหนีอยู่นั้น ว่า จะสามารถแจ้งข้อกล่าวหาก่อการร้ายได้หรือไม่ พร้อมยืนยันว่า ได้มีการประสานตำรวจสากล เร่งติดตามตัวผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง ประสานข้อมูลกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ในการตรวจสอบเส้นทางทางการเงินด้วย
ขณะเดียวกัน ยอมรับว่า รู้สึกเสียใจกับการเผยแพร่ข้อมูลการสอบสวนที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้กลุ่มผู้ก่อเหตุไหวตัว หลบหนีออกนอกเส้นทางที่ตำรวจคาดการณ์ไว้ พร้อมขอความร่วมมือสื่อมวลชน ในการนำเสนอข้อมูล

ศาลออกหมายจับอีก1ชายสัญชาติปากีสถานโยงบึ้ม
พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ศาลจังหวัดมีนบุรีได้ออกหมายจับ นายอับดุล ดาวาบ (Mr.Abdul Tawab) สัญชาติปากีสถาน พัวพันเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์และท่าเรือสาทร ในข้อหา "ร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง โดยผิดกฎหมาย และร่วมกันมีซึ่งยุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต เบื้องต้น นายอับดุล ดาวาบ เป็นผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับเป็นรายที่ 13 และมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด ส่วนจะเกี่ยวข้องและทำหน้าที่อะไรนั้น ทาง พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตรียมแถลงรายละเอียดในเวลา 17.30 น.

เทียนฉายคาดมีชัยนั่งปธ.กรธ.หาคนรุ่นใหม่ช่วย

เทียนฉายคาดมีชัยนั่งปธ.กรธ.หาคนรุ่นใหม่ช่วย
ข่าวการเมือง วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ.2558 7:16 น.
646429
อดีตประธาน สปช. ย้ำ ไม่รับตำแหน่งประธาน สปท. คาด 'มีชัย ฤชุพันธุ์' อาจนั่งประธาน กรธ. ไม่มีทางเลือก ด้าน บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ไม่ขอพูดเป็นประธาน กรธ. หรือไม่
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.เทียนฉาย กีระนันทน์ อดีตประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. โดยย้ำว่าจะไม่รับตำแหน่งประธานสภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ หรือ สปท. หากได้รับการทาบทาม ทั้งนี้ วิเคราะห์ด้วยว่า บุคคลที่มีความเหมาะสมจะรับหน้าที่ประธาน คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. ชุดใหม่นั้น ประเมินว่า เป็นนักกฎหมาย นักวิชาการ หรือนักรัฐศาสตร์ คนรุ่นใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและเก่งด้านกฎหมายมหาชน น่าจะมีความเหมาะสมหลายคน  แต่หากไม่มีทางเลือก โดยส่วนตัว คาดว่า ศาสตราจารย์ ดร.มีชัย ฤชุพันธุ์  สมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อาจจะเข้ามารับหน้าที่เป็นประธาน ซึ่งมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เพราะต้องช่วยงาน คสช. และเห็นแก่ประเทศชาติเป็นหลัก

สำหรับการตั้งสภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ หรือ สปท. จำนวน 200 คน อดีตประธาน สปช. เปิดเผยว่า ขณะนี้มีอดีต สปช. ตอบรับเข้าร่วมหลายคน อาทิ พันตรีอาณันย์ วัชโรทัย, นายวันชัย สอนศิริ  รวมถึง ผศ.ดร.นิรันดร์ พันทรกิจ พร้อมกันนี้ โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยที่จะมี สปท. มากถึง 200 คน เพราะอาจไม่เกิดประโยชน์ และไม่มั่นใจจะดำเนินการปฏิรูปประเทศแต่ละด้านได้สำเร็จทันตามเป้าหมาย หรือไม่

ด้าน ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นว่า จะตอบรับเข้าร่วมเป็นประธาน กรธ. หรือไม่ ระบุเพียงว่า ไม่ขอพูดถึง และร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด ถูกคว่ำร่างฯ ไปแล้ว

'สังศิต'มอง'มีชัย'เหมาะสมประธานกรธ.มากสุด
นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN เกี่ยวกับมุมมองความเคลื่อนไหวการตั้งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ว่า โดยส่วนตัว คนที่จะมาเป็นประธาน ขึ้นอยู่กับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องการแบบใด เพื่อมาตอบโจทย์ มั่นใจคนที่มีความสามารถเหมาะสมมีจำนวนมาก แต่ปัจจุบันต้องการคนที่มีบารมี มีคุณวุฒิ วัยวุฒิ เพื่อให้ทุกคนยอมรับ ซึ่งชื่อ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ จึงน่าจะเป็นคนที่เหมาะสมและทำงานร่วมกับ คสช. ได้ดีที่สุด แต่ถ้าเป็น นายอานันท์ ปันยารชุน ก็จะได้ ร่าง รธน. ที่มีความแตกต่างออกไป เนื่องจากมีประสบการณ์ด้านภาคประชาชนมากกว่า
ทั้งนี้ นายสังศิต ยังกล่าวด้วยว่า ร่างรัฐธรรมนูญ นั้นจะมีส่วนสำคัญ 2 ส่วนคือ ส่วนของภาครัฐ ทั้งในส่วนของรัฐบาลและสภาฯ ที่จะต้องออกแบบโครงสร้างใหม่ทั้งหมดกับภาคประชาชน ที่จะต้องออกแบบการมีส่วนร่วม และสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับและการแสดงออก ส่วนการกำหนดสัดส่วน สภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ ที่มาจากทหารถึง 50 คน นั้น มองว่ามากเกินไป เพราะการปฏิรูปสำคัญที่สุดคือ เรื่องของความรู้ความสามารถในการดำเนินการเท่านั้น

INN CHANNELทดลองช่องข่าวทางยูทูป





กำลังทดลองออกอากาศสดรายการ"ไอเอ็นเอ็น.ข่าวเที่ยง"ดำเนินรายการโดย ธนวัตร มัททวีวงศ์ ผ่านทางยูทูป

คุณผู้ชมยัง สามารถติดตามข่าวด่วนต้นชั่่วโมง ข่าวกลางชั่วโมง และ รายการต่างๆของสำนักข่าวไอเอ็นเอ็น.ได้ทางดาวเที่ยมจานส้มIPMช่อง62 และสามารถรับชมผ่านทางเวปไซต์สำนักข่าวไอเอ็นเอ็นhttp://www/innnews.co.th

สำหรับรายการของไอเอ็นเอ็น.ที่ท่านจะติดตามได้มีดังนี้



07.00 - 09.00 เปิดข่าวเด่นเปิดประเด็นดัง

09.00 - 10.30 โฟกัสเศรษฐกิจ

10.30 - 11.30 ดารา และ สปอร์ตนิวส์

12.00 - 13.00 ข่าวเที่ยง

13.30 - 14.30 ไอ.เอ็น.เอ็น.ทุกทิศทั่วไทย

16.00 - 18.00 เกาะข่าวเดินเปิดประเด็นดัง

19.00 - 20.00 จับชีพจรข่าว

20.30 - 21.30 ไอ.เอ็น.เอ็น. ร่วมด้วยช่วยกัน